ไม่ได้ว่าใครนะคะ แต่มามองสภาพบ้านเมืองในปัจจุบันเป็นแบบนี้ไหม
อย่างแรก สวัสดิการที่ดี (แน่ใจเหรอว่าได้สวัสดิการที่ดีเฉพาะข้าราชการ คำว่า 2มาตรฐานไม่น่าจะเกิดขึ้นในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือพัฒนาแล้ว)
อย่างที่สอง ความมั่นคงในการทำงานมีความเสี่ยงน้อยกว่าการทำงานในภาคเอกชน (มีเกษียณเหมือนกัน เด๋วนี้เอกชนปรับระบบใหม่ก็เยอะ)
อย่างที่สาม มักจะได้รับโปรโมชั่นต่างๆจากพวกข้าราชการการเมือง รวมไปถึงนายทุน บริษัทห้างร้านต่างๆ(ดูดีๆ โปรโมชั่นที่ว่าคือแหล่งเงินกู้ที่สร้างหนี้สินแม่นก่อ ชาวบ้านบางคนไม่ต้องถือโปร ก็สะดวกได้ ขอมีเงินพอ)
อย่างที่สี่ ถือว่ามีหน้ามีตาในสังคม (หากมีตำแหน่งพอที่จะยืดได้ แต่บางคนย้ำบางคน ยืดไม่ออกหรอก เพราะหนี้สินท่วมตัว ข่าวออกเยอะแยะ ฆ่าตัวตายเพราะหนี้ )
อยากจะบอกว่า บ่ดีลืมคำว่าเพียงพอและพอเพียง หากแต่มี4ข้อ แต่ความดีในตัวเอง(ศีลธรรม)ไม่มีในเลย ก็คิดเอาเองแล้วกันว่าทุกอย่างล้วนหลอกตาทั้งนั้น
และอยากจะบอกว่าชาวบ้านนาสีนาสาทั่วไป เขามีมากกว่า 4 ข้อที่กล่าวมา
อันนี้ผมประชดระบบโครงสร้างสังคมไทยครับ
เพราะ "ข้าราชการ" มันไม่ใช่ "ข้าราษฎร"
มันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระจายอำนาจแบบบนลงล่างที่ควบคุมการปกครองแบบรวมศูนย์
จึงทำให้การเข้าเป็นข้าราชการ หมายถึงการรวมตัวให้เข้าอยู่ในระบบและอำนาจของรัฐ ซึ่งนำไปสู่ผลตอบแทนจากรัฐในรูปแบบลูกจ้าง - นายจ้าง พร้อมกับอำนาจการจัดการที่มาในข้าราชการบางกลุ่ม
การที่รัฐจะสามารถควบคุมคนในกำกับได้ จำเป็นต้องให้ผลตอบแทนที่รัฐเห็นว่าดีกว่าและคุ้มพอที่จะทำให้คนเข้ามาทำงานเป็น "ข้าราชการ" ซึ่งผลตอบแทนเหล่านั้นปรากฏออกมาในรูปของ
1. "สวัสดิการ" สำหรับตนเองและคนในครอบครัว
เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการศึกษา ที่สามารถเบิกได้ ได้บำนาญหรือเงินก้อนหลังจากพ้นวัยทำงาน ฯลฯ แม้จะเป็นองค์กรของรัฐอื่นๆที่ผันตัวเองออกจาก "ระบบราชการ" ก็ยังคงต้องระบบสวัสดิการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
ลองนึกภาพดูนะครับ คนที่ไม่ได้มีสวัสดิการที่ดีพอ ดังเช่น ชาวนา ชาวไร่ พ่อค้า แม่ค้า หรือกลุ่มที่เรียกว่า "ภาคการผลิตอย่างไม่เป็นทางการ" (Informal Sector) ที่ไม่ได้มีหลักประกันชีวิตอยู่ในระบบสวัสดิการของรัฐ จำเป็นต้องหาหลักประกันให้กับชีวิตของตนเอง ทั้งการสะสมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งการจ่ายเบี้ยประกันชีวิต ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ต้องจัดการกับระบบชีวิตตัวเองอย่างยิ่งยวด แม้ว่าบางคนจะมีหลักประกันชีวิตที่มั่นคง แต่ก็ยังต้องเผชิญความเสี่ยงในด้านอื่นๆอีก (ความผันผวนของเศรษฐกิจ, ภัยธรรมชาติ, ภัยจากคน)
แล้วอย่างนี้ “สวัสดิการของข้าราชการ” มันดีกว่ามากไหมครับ
2. ในเรื่องของความมั่นคงในอาชีพการงาน
ในช่วงเวลาชีวิตทำงานนั้น ความเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง ความเสี่ยงต่อการถูกลดเงินรายได้ ความเสี่ยงในเรื่องความมั่นคงขององค์กร ย่อมมีน้อยกว่าการทำงานเอกชน หรือ กลุ่มต่างๆที่ได้กล่าวมาแล้ว (แม้ว่าเงินเดือนจะไม่หวือหวา แต่ก็มีเข้ามาคงที่ทุกเดือน)
3. มักจะได้รับโปรโมชั่นต่างๆจากพวกข้าราชการการเมือง รวมไปถึงนายทุน บริษัทห้างร้านต่างๆ
นั่นแหละครับ โปรโมชั่นที่ว่าคือ การซื้อผ่อนจ่าย การกู้เงินดอกเบี้ยถูก การได้สิทธิพิเศษเหนือกลุ่มคนอื่นๆ ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนเล็งเห็นว่า รายได้ของกลุ่มข้าราชการเป็นรายได้ที่แน่นอน มีแหล่งเงินหมุนเวียนหลายแห่ง จึงทำให้การทำธุรกิจกับกลุ่มคนเหล่านี้ มีปัจจัยความเสี่ยงน้อยกว่า และที่สำคัญข้าราชการการเมืองก็ย่อมต้องมีการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มข้าราชการประจำด้วย ถือว่าเป็นภารกิจที่สำคัญเช่นกัน ดังจะเห็นว่า กลุ่มข้าราชการมักจะได้ผลประโยชน์จากนโยบายทางการเมืองอยู่เป็นประจำ
4. มีหน้ามีตาในสังคม (หากมีตำแหน่งพอที่จะยืดได้)
มันเป็นมรดกจากการปกครองแบบเดิมที่ผู้เข้ารับราชการ หากไม่ใช่ลูกเจ้าขุนมูลนาย ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถที่ผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี เพื่อเข้ามาช่วยในการจัดการในเรื่องต่างๆของรัฐ ดังนั้นการเป็นข้าราชการในการปกครองแบบเดิมนอกจากเป็นการตอกย้ำสถานะทางสังคม (ตอกย้ำถึงเครือข่าย เชื้อสายกลุ่มอำนาจ)แล้ว ยังจะเป็นโอกาสในการเลื่อนสถานะทางสังคมอีกด้วย เนื่องจากรัฐบาลได้มอบอำนาจบางส่วนในการจัดการบริหาร
แล้วมันก็กลายมาเป็นมรดกตกทอดมาถึงสังคมไทยในปัจจุบัน แม้ว่าบทบาทของข้าราชการประจำจะไม่เด่นชัดเหมือนเมื่อก่อน แต่ด้วยการได้รับอำนาจบางส่วนจากรัฐบาล ทำให้ยังพอที่จะสร้างพื้นที่ของตนเองในสังคมได้จากอำนาจที่ได้รับมา และสิ่งที่ตามมานั้น คือ องค์ประกอบที่ช่วยแสดงสถานะเหล่านั้นให้เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในเหตุผลของข้อ 3
-------------------------------------------------------------------------------------------
อีกส่วนหนึ่งที่เขาตั้งใจเข้ารับราชการเพื่ออยากจะทำงานให้เกิดประโยชน์แก่สังคมก็มีเยอะครับ ในแต่ละกลุ่ม แต่ละสังคมที่ประกอบด้วยคนหมู่มาก ย่อมมีวัตถุประสงค์และแนวทางที่แตกต่างกันบ้าง
แต่หากไม่มีเรื่องผลตอบแทนที่ได้รับกลับคืนมาที่คุ้มค่า ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่า จะมีคนต้องการเข้ามาทำงานราชการมากน้อยสักแค่ไหน