คับ...ขอบคุณคับ ที่ให้คำแนะนำ
ผมก็อยากได้ที่ดินผืนนี้คืน ผมอยากเก็บไว้ให้ลูกสาวของผม แต่เงินก็จำนวนมากอยู่ คือ
เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วพวกเค้ากู้ 3 แสน แต่ต้นทบดอก เป็น 6 แสน ซึ่งเงินจำนวนนั้น ทางครอบครัวผมไม่มีส่วนได้เลยแม้แต่นิด เพียงความสงสารที่แม่ผมมีให้เค้า เลยทำให้เกิดมรดกหนี้ให้ผม และที่สำคัญ ผมคงไม่มีเงินจำนวนมากขนาดนั้น กลุ้มคับ ^^
เอามาให้อ่านครับ เผื่อจะช่วยได้บ้าง
สัญญากู้สมบูรณ์ตามกฎหมาย และถือว่าลูกหนี้ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้แล้ว แต่ส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราและส่วนที่มีการคิดดอกเบี้ยที่มีการทบต้น ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 113 , 654 , 655
ถ้าเจ้าหนี้ทำสัญญากู้ โดยเอาดอกเบี้ยคิดล่วงหน้าและเป็นดอกเบี้ยที่คิดเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2535 ดอกเบี้ยที่เกินอัตราตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น แต่เงินต้นลูกหนี้ต้องมีหน้าที่ต้องชำระให้กับเจ้าหนี้
ถ้าเจ้าหนี้ทำสัญญากู้กับลูกหนี้ 2 ครั้ง แต่มีการคำนวณจำนวนดอกเบี้ยผิดพลาดไปบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่มีการหักยอดเงินที่เคยชำระไปแล้ว สัญญากู้ยังคงมีผลบังคับใช้ได้ ลูกหนี้ยังคงมีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ตามจำนวนที่ค้างชำระจริง
อายุความที่เจ้าหนี้ต้องฟ้องร้องดำเนินคดีกับลูกหนี้ในการเรียกต้นเงินคืนให้มีกำหนด 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 หากเกินกำหนดลูกหนี้มีสิทธิปฏิเสธไม่ชำระหนี้ได้
อายุความที่เจ้าหนี้ฟ้องเรียกดอกเบี้ยค้างชำระคืนกับลูกหนี้ เป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/33(1) กฎหมายกำหนดให้ต้องฟ้องเรียกดอกเบี้ยภายใน 5 ปี นับแต่วันผิดนัด ส่วนดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ค้างชำระเกิน 5 ปี ขาดอายุความ
อายุความที่เจ้าหนี้สามารถฟ้องเรียกเงินจากลูกหนี้ในคดีที่เกี่ยวกับการที่ลูกหนี้ต้องผ่อนเงินคืนเป็นงวด ๆ เจ้าหนี้ต้องดำเนินคดีภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ครบกำหนดที่ลูกหนี้ต้องชำระในแต่ละงวด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33(2)
เจ้าหนี้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินถ้าคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ มีความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้เรียกจากลูกหนี้ ถ้ามิได้กำหนดไว้ในสัญญากู้ ให้เรียกได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ป.พ.พ.มาตรา 654 เจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยจากลูกหนี้ได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ถ้าเกินกว่านั้นให้ลดดอกเบี้ยเหลือเพียงร้อยละ 15 ต่อปี
ลูกหนี้ชำระดอกเบี้ยผิดกฎหมายให้กับเจ้าหนี้ ถือว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ โดยรู้อยู่แล้ว่าตนไม่มีความผูกพันต้องชำระ ลูกหนี้ไม่มีสิทธิยกขึ้นต่อสู้คดีเพื่อให้หลุดพ้นจากการรับผิดชำระหนี้ (ฎีกา 1565/2524) และลูกหนี้จะนำเงินที่ชำระไปแล้วไปหักออกจากดอกเบี้ยตามกฎหมายหรือหักจากยอดเงินต้นที่ค้างชำระไม่ได้
ดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินเรียกจากลูกหนี้ได้ เป็นไปตามมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.ธนาคารพาณิชย์ 2505 สถาบันการเงินจะต้องนำสืบถึงกฎหมายดังกล่าวและประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดให้สถาบันการเงินถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอก
เบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ และ พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 มาตรา 3 (คิดดอกเบี้ยได้สูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปี), มาตรา 4 วรรค 2 และ 3 สถาบันการเงินจะต้องนำสืบในชั้นศาล หากไม่นำสืบ สถาบันการเงินไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากลูกหนี้
โดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย (ฎีกา 4351/2532) สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ขัดต่อ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ดอกเบี้ยที่คิดเกินทั้งหมดจึงตกเป็นโมฆะ
เจ้าหนี้ห้ามคิดดอกเบี้ยทบต้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 654 ยกเว้นคู่สัญญาตกลงเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระ ถึงแม้จะค้างชำระไม่ครบ 1 ปี มาทบต้น แต่การตกลงเช่นนั้นต้องทำเป็นหนังสือ
สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/10 ดังนั้นถ้าเจ้าหนี้ฟ้องคดีเงินกู้เกิน 10 ปี ลูกหนี้ก็มีสิทธิปฏิเสธที่จะชำระหนี้
ถ้าสัญญากู้มีข้อตกลงที่ลูกหนี้เสียเปรียบผู้ให้กู้อย่างมากและไม่เป็นธรรมและสัญญากู้ทำหลังวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 ลูกหนี้สามารถใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ซึ่งมีผลบังคับเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2541 ขอยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวได้