คุณคิดเห็นอย่างไร รถสีหนึ่ง แต่ติดสติ๊กเกอร์บอกว่าเป็นอีกสีหนึ่ง !

[tuna053]

สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆ ท่านพระอาจารย์ เรตเชิด
พอดีกระผมไม่มีกัณฑ์เทศน์ถวายขอเขียนเป็นกระดาษถวายได้ก่อ
เพราะฟังเทศน์แล้วบ่ทำบุญกลัวว่าดวงจะบ่ดีเดี๋ยวจะบ่มีโฉลก
สมมุติเอาเนาะว่าถวายจะอี้
กล้วย 1 เคลือ
น้ำตาลทราย 1 ถุง
ข้าวสาร 1 ถุง
มาม่า 1 แพ็ค
ปลากระป๋อง 1 แพ็ค
เจเล่ 1 แพ็ค
น้ำ 1 ขวด
ปัจฉิมลิขิต... ผมทำบุญแล้วชาติหน้าผมจะสบายก่อท่านอาจารย์เรตเชิด
 

[oyoyo *^_^*]

อ้างคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแบบนี้ไม่ทราบว่า เข้าใจในคำสอนอย่างถ่องแท้หรือเปล่าครับ

ความงมงาย ก็คือความไม่รู้

ความไม่รู้ ก็คือ อวิชชา

อวิชชากิเลส ก็คือ เครื่องทำให้จิตใจเศร้าหมอง

จิตใจเศร้าหมอง ก็คือ จิตไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ์

จิตไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ์ ก็คือ จิตใจที่มีทุกข์

จิตใจที่มีทุกข์ ก็คือ จิตที่ยังมีตัณหา

จิตที่ยังมีตัณหา ก็คือ จิตที่ยังเข้าสู่นิพพานไม่ได้

จิตที่ยังเข้าสู่นิพพานไม่ได้ ก็คือ จิตที่ยังมีทุกข์อยู่ในวัฏฏสงสารอยู่ต่อไป

จิตที่ยังมีทุกข์อยู่ในวัฏฏสงสารอยู่ ก็คือ จิตที่ยังไม่รู้ ยังงมงายต่อไป

...เพราะความงมงาย เพราะความไม่รู้ เป็นเหตุและผลของทุกข์
โดยนัยดั่งที่กล่าวแล้วนี้






.........................
คำสอนอันหนึ่งของ พระพุทธเจ้า คือไม่ให้ปลงใจเชื่อ(กาลามสูตร ๑๐)
เป็นธรรมสำคัญเบื้องต้นอันหนึ่ง ที่ผู้ปฏิบัติควรยึดไว้

 

[Rung]

ใจเย็นๆจ้าทุกๆท่าน...เดี๋ยวแม่ลูกแฝดจะพาลคลอดก่อนกำหนดนะคะ...
 
   กระทู้ตั้งมาให้ออกความคิดเห็นค่ะ คิดยังไงก็พูดกันไป แต่อย่าขยายความจนทำให้แตกแยกกันเลยนะคะ..

  รักกันใว้ค่ะ เราชาวเชียงราย....          

[[ตา-รา-บาว]]

วิทยาศาสตร์มะเดียวสอนเรื่องไปนิพพานได้โตยกะครับ ผมกะนึกว่าไปแค่พระจันทร์หรือดาวอังคาร แสดงว่าต้องมีการพิสูจน์จากวิทยาศาสตร์ละว่ามีนิพพานอยู่จริง บ่ใช่แค่ความเชื่อในพุทธศาสนา คุณ Red Shirts ถึงได้เอามาฮื้ออ่านกัน

[QingGE]

อ่อ เคยเรียนในห้องเรียนวิชาปรัชญา อาจารย์ถามว่า ในมือนี้เค้าถืออะไรอยู่ (กระดาษ) ทุกคนตอบว่ากระดาษ กระดาษสีขาวฯลฯ อาจารย์บอกว่าให้มองแบบปรัชญามองแก่นลึก ไม่มีใครมองออกสังสัยมันลึกเกิน จนอาจารย์อธิบาย ว่ามันคือต้นไม้ เพราะกระดาษก่อนที่จะมาเป็นกระดาษมันคือต้นไม้

สีก็เหมือนกัน ทำไมต้องเรียกสีแดงว่าสีแดงทำไมไม่เรียกว่าสีดำ ทำไมภาษาอื่นไม่เรียกสีแดง ว่าสีแดง ทำไมไปเรียกว่า red (อังกฤษ) คำต้อบนอกจากการวิวัฒนาการทางภาษาแล้วยังไปเกี่ยวข้องกับวาทกรรมทางสังคมด้วย

สรุปเราไม่จำเป็นต้องเรียกสีหรือสิ่งของใดๆตามที่สังคมได้กำหนดขึ้นมาก็ได้ถ้าเรามีความเป็นตัวของตัวเราเอง สีแดงแต่จริงๆแล้วในทัศนคติของเราอาจเรียกว่าสีเหลืองก็ได้ แต่สีเหลืองเราจะเรียกเป็นอีกสีหนึ่ง พอมีรถเป็นสีแดงแต่เราให้คำจำกัดความสีแดงว่าสีเหลือง กลัวคนอื่นไม่รู้ความคิดของเรา เราก็ประกาศไปเลยก็ได้ว่า รถคันนี้น่ะสีเหลืองแต่มันออกแดง แต่มันแดงเพราะเป็นสิ่งที่คุณถูกปลูกฝังมาว่าเป็นสีแดง แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ เอ้าเอาเข้าไป ลองไปเถียงกับนักปรัชญาดู...

การตั้งชื่อคน สิ่งของ สัตว์ หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ก็กำหนดให้เข้าใจตรงกันอยู่แล้ว
ส่วนใครจะตั้งชื่อเอง เข้าใจเอง นั้นก็ไม่ว่ากัน
แต่จะเกิดความสบสนขึ้นแน่นอนเมื่อนำไปใช้กับคนอื่นครับ

ก็คงจะเป็นอย่างนั้นครับ เค้าถึงต้องใช้คนเดียวหรือใช้ในกลุ่มของเค้าครับ ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินวัยรุ่นพูดกันในกลุ่มโดยใช้คำผวน ผมฟังไม่รู้เรื่องแต่เค้าเข้าใจกันเอง ถามเค้าบอก เป็นภาษากลุ่ม แต่พอพูดกับเราก็สลับมาพูดกับเราปะกะติ ที่คนทั่วไปพูดกันนี่แหละครับ

[QingGE]

วิทยาศาสตร์มะเดียวสอนเรื่องไปนิพพานได้โตยกะครับ ผมกะนึกว่าไปแค่พระจันทร์หรือดาวอังคาร แสดงว่าต้องมีการพิสูจน์จากวิทยาศาสตร์ละว่ามีนิพพานอยู่จริง บ่ใช่แค่ความเชื่อในพุทธศาสนา คุณ Red Shirts ถึงได้เอามาฮื้ออ่านกัน

^
^
ชอบๆ

[QingGE]

ไปๆ มาๆ สดเข้า ปรัชญา ปุ๊นติ๊กๆ เข้าเลิกเข้าเดิ๊ก

^
^
ชอบ

[QingGE]

อ่อ เคยเรียนในห้องเรียนวิชาปรัชญา อาจารย์ถามว่า ในมือนี้เค้าถืออะไรอยู่ (กระดาษ) ทุกคนตอบว่ากระดาษ กระดาษสีขาว

อาจารย์บอกว่า : ไม่ใช่สีขาว สีน้ำตาลต่างหาก
นักเรียน : สีน้ำตาลยังไง? เนี่ยๆ เห็นอยู่สีขาว
อาจารย์ : สีน้ำตาลทรายไง ฮาๆๆๆ
นักเรียน : ?!?....เวงกำ (เหงื่อผุด) 

อิอิ แวะมาอ่านๆ

[QingGE]

ขยันพิมพ์มากครับ แต่ไม่อ่านดีกว่า เสียสายตา คิดว่าดีแล้ว ควรแล้ว ก็เชิญต่อไปครับ

Cool+

[QingGE]

สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆ ท่านพระอาจารย์ เรตเชิด
พอดีกระผมไม่มีกัณฑ์เทศน์ถวายขอเขียนเป็นกระดาษถวายได้ก่อ
เพราะฟังเทศน์แล้วบ่ทำบุญกลัวว่าดวงจะบ่ดีเดี๋ยวจะบ่มีโฉลก
สมมุติเอาเนาะว่าถวายจะอี้
กล้วย 1 เคลือ
น้ำตาลทราย 1 ถุง
ข้าวสาร 1 ถุง
มาม่า 1 แพ็ค
ปลากระป๋อง 1 แพ็ค
เจเล่ 1 แพ็ค
น้ำ 1 ขวด
ปัจฉิมลิขิต... ผมทำบุญแล้วชาติหน้าผมจะสบายก่อท่านอาจารย์เรตเชิด
 

สาธุ:)_

[QingGE]

ความงมงาย ก็คือความไม่รู้

ความไม่รู้ ก็คือ อวิชชา

อวิชชากิเลส ก็คือ เครื่องทำให้จิตใจเศร้าหมอง

จิตใจเศร้าหมอง ก็คือ จิตไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ์

จิตไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ์ ก็คือ จิตใจที่มีทุกข์

จิตใจที่มีทุกข์ ก็คือ จิตที่ยังมีตัณหา

จิตที่ยังมีตัณหา ก็คือ จิตที่ยังเข้าสู่นิพพานไม่ได้

จิตที่ยังเข้าสู่นิพพานไม่ได้ ก็คือ จิตที่ยังมีทุกข์อยู่ในวัฏฏสงสารอยู่ต่อไป

จิตที่ยังมีทุกข์อยู่ในวัฏฏสงสารอยู่ ก็คือ จิตที่ยังไม่รู้ ยังงมงายต่อไป

...เพราะความงมงาย เพราะความไม่รู้ เป็นเหตุและผลของทุกข์
โดยนัยดั่งที่กล่าวแล้วนี้






.........................
คำสอนอันหนึ่งของ พระพุทธเจ้า คือไม่ให้ปลงใจเชื่อ(กาลามสูตร ๑๐)
เป็นธรรมสำคัญเบื้องต้นอันหนึ่ง ที่ผู้ปฏิบัติควรยึดไว้

 

สาธุ:)

[aunpang]

ทำอะไรที่ไม่เดือดร้อนใคร ก็ทำไปเหอะค่ะ  แต่ถ้าทำแล้วมีผลกับคนรอบข้างนี่ก็พิจารณาตัวเองได้แล้ว

[ดอกไม้-ใบหญ้า]

ความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ
เค้าบอกไว้ว่า...............ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่...............

[bm farm]

  ...เขาจะรู้ตัวไหมเนี่ย....อิอิ

ทำอะไรที่ไม่เดือดร้อนใคร ก็ทำไปเหอะค่ะ  แต่ถ้าทำแล้วมีผลกับคนรอบข้างนี่ก็พิจารณาตัวเองได้แล้ว

[เด็กชายมังคุด ฆ่าตุ๊ดด้วยมือเปล่า]

ทำแล้วไม่เดือดร้อนใคร ไม่ผิดกฎหมาย และคุณสบายใจ ก็ทำไปเถอะครับ

ดีกว่า พวกไป เขียน ตึก หรือกำแพง ต่างๆ

รักคนนู้น รักคนนี้ อะไรพวกนี้

[taekeuk_poomse]

ทำอะไรที่ไม่เดือดร้อนใคร ก็ทำไปเหอะค่ะ  แต่ถ้าทำแล้วมีผลกับคนรอบข้างนี่ก็พิจารณาตัวเองได้แล้ว

แม้...............................กระทบกระทั่งได้ใจจริงๆ ติดตามมานาน อิอิอิอิ

[salao]

เห็นผ่านๆ มาหลายวัน แต่ไม่ได้เข้ามาร่วมอภิปราย
พออ่านไป ผมติดอยู่เรื่องเดียว คือ "โง่-งมงาย"
ใครโง่งมงาย? ความรู้เดินทางนำหน้าทุกคนไปทุกวัน
คิดว่าคนที่เชื่อไม่เหมือนเราเพราะ "โง่-งมงาย" ก็แปลว่าอ้างว่าเราฉลาดกว่า
ซึ่งก็ยังเป็นความฉลาดที่วิ่งไม่ทันความรู้ที่ไม่สิ้นสุดอยู่นั่นเอง

ผมคิดง่ายๆ ว่าการติดสติ๊กเกอร์แบบนั้น มันเป็นการสะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละคน
คนที่เชื่อ สะท้อนมาแบบหนึ่ง
คนไม่เชื่อ ก็สะท้อนอีกแบบหนึ่ง
แต่ทุกคน มีสิทธิ์ของเขา ไม่ใช่เขา "โง่-งมงาย"

ที่จริง นอกจากเรื่องตัวอย่างปรัชญาที่คุณเพื่อนตุ๊กแกยกมาแล้ว
ผมมีคำอธิบายง่ายๆ เรื่องชื่อคน
ชื่อคนเป็นชื่อเฉพาะ ภาษาทางการเรียก "วิสามานยนาม"
พระราชินีของเรา พระองค์มีพระนามว่า "สิริกิติ์"
โดยหลักภาษา ตัวไหนการันต์ก็จะไม่ออกเสียง แต่เราอ่านว่า สิ-ริ-กิต
เพราะเจ้าของพระนามท่านให้อ่านอย่างนั้น

ดังนั้น การติดสติ๊กเกอร์บอกว่าสีใด
ก็เพราะเจ้าของรถต้องการให้คนอื่นอ่านเป็นสีนั้น ไม่ได้ให้เข้าใจว่ารถเป็นสีตามที่ตาเราเห็น
และเรียกตามชื่อสัญลักษณ์ที่สมมติร่วมกันมา
มันเป็นสิทธิ์ของเขา เอกลักษณ์ของเขา รถของเขา

ส่วนตัวผมไม่สรุปว่า "โง่-งมงาย" ครับ

[♥ idogpom ♥(บุคคลไปทั่ว)]

ถูกใจ +10

เห็นผ่านๆ มาหลายวัน แต่ไม่ได้เข้ามาร่วมอภิปราย
พออ่านไป ผมติดอยู่เรื่องเดียว คือ "โง่-งมงาย"
ใครโง่งมงาย? ความรู้เดินทางนำหน้าทุกคนไปทุกวัน
คิดว่าคนที่เชื่อไม่เหมือนเราเพราะ "โง่-งมงาย" ก็แปลว่าอ้างว่าเราฉลาดกว่า
ซึ่งก็ยังเป็นความฉลาดที่วิ่งไม่ทันความรู้ที่ไม่สิ้นสุดอยู่นั่นเอง

ผมคิดง่ายๆ ว่าการติดสติ๊กเกอร์แบบนั้น มันเป็นการสะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละคน
คนที่เชื่อ สะท้อนมาแบบหนึ่ง
คนไม่เชื่อ ก็สะท้อนอีกแบบหนึ่ง
แต่ทุกคน มีสิทธิ์ของเขา ไม่ใช่เขา "โง่-งมงาย"

ที่จริง นอกจากเรื่องตัวอย่างปรัชญาที่คุณเพื่อนตุ๊กแกยกมาแล้ว
ผมมีคำอธิบายง่ายๆ เรื่องชื่อคน
ชื่อคนเป็นชื่อเฉพาะ ภาษาทางการเรียก "วิสามานยนาม"
พระราชินีของเรา พระองค์มีพระนามว่า "สิริกิติ์"
โดยหลักภาษา ตัวไหนการันต์ก็จะไม่ออกเสียง แต่เราอ่านว่า สิ-ริ-กิต
เพราะเจ้าของพระนามท่านให้อ่านอย่างนั้น

ดังนั้น การติดสติ๊กเกอร์บอกว่าสีใด
ก็เพราะเจ้าของรถต้องการให้คนอื่นอ่านเป็นสีนั้น ไม่ได้ให้เข้าใจว่ารถเป็นสีตามที่ตาเราเห็น
และเรียกตามชื่อสัญลักษณ์ที่สมมติร่วมกันมา
มันเป็นสิทธิ์ของเขา เอกลักษณ์ของเขา รถของเขา

ส่วนตัวผมไม่สรุปว่า "โง่-งมงาย" ครับ

[zombie01]

ทำอะไรที่ไม่เดือดร้อนใคร ก็ทำไปเหอะค่ะ  แต่ถ้าทำแล้วมีผลกับคนรอบข้างนี่ก็พิจารณาตัวเองได้แล้ว

แม้...............................กระทบกระทั่งได้ใจจริงๆ ติดตามมานาน อิอิอิอิ

กระทู้นี้ มันเฉ ๆ ออกไปทางสีหนึ่ง อย่างที่เจ้าของกระทู้ต้องการน่ะครับ อ่านดี ๆ บอร์ดนี้ไม่ใช่บอร์ดส่วนตัวไว้ระบายสิ่งใด ๆ ครับ ขอยืนยันอีกครั้ง

[ตาต้อม]

เดี๋ยวขอเช็คดูก่อน พี่เค้าไป มิดติ้งด้วยอ๊ะเป่า