ตามประวัติกล่าวว่าพระเจ้าไชยสงคราม ราชโอรสพระเจ้าเม็งรายเมื่อได้มอบราชสมบัติให้พระเจ้าแสนภูราชโอรสขึ้นครองนครเชียงใหม่แล้ว พระองค์ได้นำอัฐิพระราชบิดามาประทับอยู่ที่เมืองเชียงราย และได้โปรดเกล้าฯ สร้างกู่บรรจุอัฐิของพระราชบิดาไว้ ณ ดอยงำเมือง
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เมื่อพญามังรายสวรรคต พระยาไชยสงคราม (ขุนคราม) ราชโอรส จึงครองเมืองเชียงรายต่อมา และสถาปนาให้พระยาแสนภู โอรสองค์ใหญ่ไปครองเมืองเชียงใหม่ ใน พ.ศ. 1861 ใน พ.ศ. 1870 พระยาไชยสงครามถึงแก่ทิวงคต พระยาแสนภูได้ให้เจ้าคำฟูราชโอรสไปครองเมืองเชียงใหม่ แล้วพระองค์ได้กลับมาครองเมืองเชียงราย
รุ่งขึ้นปี พ.ศ. 1871 พระยาแสนภูมีพระราชประสงค์จะสร้างพระนครอยู่ใหม่ต้องการชัยภูมิที่ดี ขุนนางได้สำรวจหาได้ที่เมืองเก่าริมแม่น้ำโขง อันเป็นเมืองโบราณของเวียงไชยบุรีจึงโปรดให้สร้างนครใหม่ขึ้นที่นั้น เอาแม่น้ำโขงเป็นคูปราการเมืองด้านตะวันออกอีก 3 ด้าน ให้ขุดโอบล้อมพระนครไว้ ตั้งพิธีฝังหลักเมืองวันศุกร์ เดือน 5 (เดือน 7 เหนือ) ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. 1871 ขนานนามว่า หิรัญนครชัยบุรีศรีเชียงแสน (ตามพระนามของพระองค์) แต่คนต่อมาภายหลังเรียกว่า เชียงแสน คืออำเภอเชียงแสนในปัจจุบัน ซึ่งยังมีซากกำแพงเมืองปรากฏอยู่
พระยาแสนภู ครองอยู่เมืองเชียงแสนได้ 7 ปี ก็ได้ถึงแก่ทิวงคต พระยาคำฟู ราชโอรสจึงได้ครองเมืองเชียงแสนต่อมา พระยาคำฟูจึงได้ให้ท้ายผายูราชโอรสไปครองเมืองเชียงใหม่ เมื่อพระยาคำฟูถึงแก่ทิวงคต ท้ายผายู ราชโอรส ซึ่งครองเมืองเชียงใหม่อยู่ ก็ได้ครองเมืองเชียงใหม่ต่อมา แล้วให้ท้าวกือนา (ตื้อนา) ราชโอรส มาครองเมืองเชียงรายแทน นับแต่นั้นมาเมืองเชียงราย (รวมทั้งเชียงแสนด้วย) ได้เริ่มมีฐานะคล้ายเมืองลูกหลวง โดยมีเชียงใหม่เป็นเมืองหลวง แต่ก็ยังคงมีเชื้อพระวงศ์ปกครองสืบต่อกันมาอีกหลายพระองค์ สุดท้ายในสมัยพระยากลม เป็นเจ้าเมืองเชียงแสน โดยมีพระเจ้าเมกุฏครองเมืองเชียงใหม่ ใน พ.ศ. 2101 เมืองเชียงใหม่และเชียงแสนก็เสียให้แก่บุเรงนอง เจ้ากรุงหงสาวดี อาณาจักรล้านนา (รวมทั้งเชียงรายและเชียงแสนด้วย) จึงได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าตั้งแต่นั้นมา แต่มีบางครั้งก็เป็นอิสระและบางครั้ง ก็ตกอยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยา รวมเป็นระยะเวลาอันยาวนานนับ 200 ปี จนถึงสมัยธนบุรี แม้ว่าบางสมัยจะมีการจับอาวุธขึ้นต่อสู้เพื่อ เป็นอิสระจากพม่าแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ในระยะหนึ่งพม่าได้ฟื้นฟูเมืองเชียงแสนให้เป็นเมืองเอกในการปกครอง เนื่องจากต้องการให้เป็นหัวเมืองเพื่อป้องกัน การรุกรานจากรุงศรีอยุธยา และยังสามารถใช้เป็นแหล่งสะสมเสบียงในยามศึกสงครามกับกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย
ลำดับเจ้าผู้ครองเมืองเชียงราย
๑. พญามังราย
๒. ขุนเครื่อง
๓. พญามังราย(ครั้งที่ ๒)
๔. พญาไชยสงคราม
๕. พญาแสนภู
๖. ท้าวมหาพรหม
๗. ท้าวยี่กุมกาม
๘. หมื่นค้อม
๙. ท้าวบุญเรือง
๑๐. พระยอดเชียงราย
นับตั้งแต่ปีพ.ศ. ๑๘๑๗ พญาแสนภูได้เสด็จไปสร้างเมืองเชียงแสนแล้วปล่อยให้มุขอำมาตย์อยู่รักษาเมือง จึงทำให้เมืองเชียงรายขาดความสำคัญลง แต่ทางเมืองฝาง เชียงใหม่ พะเยาและเชียงแสนมีความรุ่งเรือง ต่อมาเชียงรายก็ถูกยึดครองจากมอญ และต่อมา ล้านนา รวมทั้งเผ่าไท ต่าง ๆก็ตกอยู่ในการปกครองของพม่า(มอญ)โดยเด็ดขาดตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๑๐๑ เป็นต้นมา เมืองเชียงรายได้กลายเป็นเมืองร้างไปนานไม่อาจนับได้ว่าเป็นเวลานานเท่าใดจนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๓๘๖ เจ้ามโหตรประเทศเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ให้เจ้าธรรมลังกา กะเกณฑ์ผู้คน ที่เคยเอามาจากเชียงตุง พะยาก เมืองเลน เมืองสาด ที่ไปอยู่เชียงใหม่และลำพูน กลับมายังเชียงราย โดยมีเจ้าปกครองดังนี้
๑. เจ้าธรรมลังกา พ.ศ. ๒๓๘๖-๒๔๐๗
๒. เจ้าอุ่นเรือน พ.ศ. ๒๔๐๘-๒๔๑๙
๓. เจ้าราชวงศ์สุริยะ พ.ศ. ๒๔๒๑-๒๔๓๔
หลังจากที่เจ้าราชวงศ์สุริยะถึงแก่อนิจกรรมทำให้เมืองเชียงรายว่างเจ้าเมืองลง และเป็นช่วงที่หัวเมืองฝ่ายเหนือหรือล้านนากำลังจะถูกผนวกเข้าเป็นแผ่นดินเดียวกันกับกรุงเทพ ซึ่งเชียงรายก็เป็นหัวเมืองส่วนหนึ่งที่จะต้องถูกรวมเข้าไปด้วยโดยมีข้าหลวงจากส่วนกลางมาปกครองตามลำดับดังนี้
๑. พันตรีหลวงภูวนาทนฤบาล
๒. นายอรรถสุริวงศ์(หลวงอมรศักดิ์)
๓. ขุนรักษ์นรา
จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทยยกเมืองเชียงรายขึ้นเป็นจังหวัดเชียงรายรวมอยู่ในมณทลพายัพชั้นใน
และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเชียงรายก็กลายเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยจนทุกวันนี้
เจ้าหลวงองค์สุดท้าย (องค์ที่ ๔) เจ้าหลวงเมืองไชย หรือ พระยารัตนาณาเขต (รัตนอณาเขต) เพิ่มเติมให้ด้วยครับ
บ.ก.ล้อล้านนา