เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 18:56:16
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง
| | |-+  พระแก้วมรกต 2
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน พระแก้วมรกต 2  (อ่าน 3010 ครั้ง)
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« เมื่อ: วันที่ 12 มกราคม 2010, 23:15:19 »

3.จาริกสู่โยนก
   
ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาที่ 1(หลักฐานบางเล่มว่าเป็นสมัยของสมเด็จพระราเมศวร) กรุงศรีอยุธยาได้ส่งพระยาญาณดิศไปปกครองเมืองกำแพงเพชร ซึ่งเป็นหัวเมืองของอาณาจักรสุโขทัย ที่ถูกยึดมาได้เป็นเมืองประเทศราชในรัชสมัยของพระบรมราชาธิราชที่ 1
พระยาญาณดิศมีเชื้อสายเป็นพระญาติวงศ์ผู้ใหญ่ของกษัตริย์สุโขทัย จึงได้รับความเคารพจากราษฎรในอาณาจักรมาก บ้านเมืองสงบร่มเย็น
   
ที่ต้องกล่าวถึงพระยาญาณดิศก็เพราะว่า ในวันหนึ่ง พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาได้ทรงทราบว่า องค์พระแก้วมรกตได้หายสาบสูญไปจากหอพระเมืองละโว้ สืบความจากผู้ดูแลรักษาหอพระได้ว่านางจันทน์ซึ่งเป็นมารดาของพระยาญาณดิศ เป็นผู้เอาพระแก้วมรกตไป จึงทรงทวงถามไปทางกำแพงเพชร จากนั้น นางจันทน์จึงมีหนังสือส่งกราบทูลว่าจะขอพระราชทานยืมพระแก้วมรกตไว้สักการะบูชาสักระยะหนึ่ง แล้วจะถวายคืน พระแก้วมรกตจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองกำแพงเพชรจนสิ้นรัชกาลสมเด็จพระราเมศวร
   
ตัดภาพไปที่อาณาจักรอันยิ่งใหญ่อีกอาณาจักรในยุคเดียวกันนั้น คืออาณาจักรล้านนา สมัยนั้นตรงกับรัชกาลของพระเจ้ากือนา เป็นกษัตริย์องค์ที่ 8 ของนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ซึ่งครองราชย์สมบัติอยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.1899-1929(ตามข้อมูลในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์)
   
พระเจ้ากือนาทรงมีพระอนุชาร่วมพระชนกชนนีอยู่องค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า เจ้ามหาพรหม ซึ่งพระเจ้ากือนาแต่งตั้งให้ไปครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ 3 เมือง ได้แก่ เมืองเชียงราย, เชียงแสน และเมืองฝาง
   
ตามพระราชพระเพณีโบราณที่ยึดถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนเม็งรายปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา ผู้ใดเป็นผู้ครองเมืองเชียงราย ผู้นั้นถือเป็นมหาอุปราชรัชทายาท มีสิทธิ์จะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ล้านนาองค์ต่อไป แต่ภายหลังที่พระเจ้ากือนาสวรรคตลงในปี พ.ศ.1929 ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนของนครเชียงใหม่กลับฝ่าฝืนพระราชประเพณี ด้วยการร่วมกันโอบอุ้มพระเจ้าแสนเมืองมา หรือเจ้านายลักขบุราคม ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์เดียวของพระเจ้ากือนาขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่
   
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความแค้นเคืองให้เจ้ามหาพรหมอย่างมาก จึงยกทัพเข้าไปประชิดเมืองเชียงใหม่ แต่แล้วกองทัพก็ต้องแตกพ่าย เจ้ามหาพรหมต้องรวบรวมกองกำลังที่เหลือออกจากอาณาจักรล้านนา ล่องใต้ลงไปขออาศัยบารมีพระยาญาณดิศที่เมืองกำแพงเพชร ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับโดยดี
   
อาศัยอยู่เมืองกำแพงเพชรนานจนสนิทชิดเชื้อและได้รับการวางพระทัยจากพระยาญาณดิศ เจ้าเมืองกำแพงเพชรถึงกับเปิดห้องพระภายในเรือนให้เข้าไปกราบนมัสการพระแก้วมรกตและพระพุทธสิหิงค์ด้วยกัน เจ้ามหาพรหมได้เห็นพระพุทธรูปทั้งสององค์ก็เกิดทั้งศรัทธาและความโลภ คิดหาวิธีการที่จะได้เป็นผู้ครอบครองพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์นี้
   
ภายหลังเจ้ามหาพรหมสืบทราบว่า ผู้ดูแลพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์คือนางจันทน์มารดาของพระยาญาณดิศ จึงพยายามตีสนิทกับนางจันทน์ ความที่เจ้ามหาพรหมเป็นชายหนุ่มรูปงาม พูดจาไพเราะ ส่วนนางจันทน์เองก็เป็นแม่ม่ายโฉมสะคราญ ที่สุดทั้งคู่จึงลักลอบได้เสียกัน เมื่อการณ์เป็นดังนี้แล้ว วันหนึ่ง เจ้ามหาพรหมทรงร้องขอให้นางจันทน์ช่วยเหลือในการอัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์ กลับไปประดิษฐานยังแผ่นดินล้านนา นางจันทน์ซึ่งเป็นชู้รักก็รับปากว่าจะช่วยเหลือ
   
สองปีถัดจากนั้น เจ้ามหาพรหมเห็นเป็นเวลาเหมาะสม จึงทูลขอพระราชทานยืมพระพุทธสิหิงค์ต่อพระยาญาณดิศว่า จะนำไปเป็นแบบหล่อจำลองขึ้นใหม่ให้เหมือนองค์จริง พระยาญาณดิศทูลแนะนำว่าให้ไปขอกับมารดาตน เพราะเป็นผู้นำมาจากกรุงศรีอยุธยา แผนการของเจ้ามหาพรหมจึงลุล่วงโดยดี ส่วนพระแก้วมรกตนั้น นางจันทน์สั่งให้คนสนิทเอาไม้มะเดื่อมาแกะเป็นองค์พระขนาดเขื่อง แล้วคว้านภายในกลวง พอสวมองค์พระแก้วมรกตได้สนิทแล้วจึงให้คนนำไปถวายเจ้ามหาพรหม
   
เจ้ามหาพรหมเมื่อได้ทั้งพระแก้วมรกตและพระพุทธสิหิงค์ตามเจตนาแล้ว ก็เสด็จกลับไปยังนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ และได้เข้าเฝ้าถวายพระพุทธสิหิงค์ต่อพระเจ้าแสนเมืองมา พระนัดดาผู้เป็นกษัตริย์ล้านนาที่เคยมีเหตุแย่งชิงราชบัลลังก์กัน พร้อมกับขอพระราชทานอภัยโทษ พระเจ้าแสนเมืองมาใคร่ครวญแล้วไม่ติดค้างพระทัย จึงรับเอาพระพุทธสิหิงค์ไว้ และให้เจ้ามหาพรหมไปปกครองเมืองเชียงรายตามเดิม
   
เมื่อกลับไปปกครองเมืองเชียงราย เจ้ามหาพรหมนอกจากจะแอบอัญเชิญพระแก้วมรกตไปบูชาด้วยแล้ว ยังทูลขอยืมพระพุทธสิหิงค์ไปสร้างองค์จำลองไว้ที่เชียงราย  บ้านเมืองของพระองค์สงบร่มเย็นจนกระทั่งล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย เกิดความเป็นกังวลว่าจะมีใครได้องค์พระแก้วมรกตไปครอบครอง จึงโปรดให้โบกปูนปิดทองพระแก้วมรกตทั้งองค์ แล้วนำไปบรรจุไว้ในเจดีย์วัดป่าเยี้ยะซึ่งพอจะมองเห็นยอดเจดีย์ได้ กราบไว้บูชายอดเจดีย์อยู่จนสิ้นพระชนม์ และหลังจากนั้นไม่มีใครทราบเรื่องพระแก้วมรกตอีก
   
ล่วงมาถึงปี พ.ศ.1977 เกิดเหตุอัศจรรย์มีอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงลงไปที่ยอดเจดีย์วัดป่าเยี้ยะแตกเป็นเสี่ยง จนต้องมีการซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ ด้วยเหตุนั้นเองที่ทำให้พบพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทององค์หนึ่งบรรจุอยู่ในเจดีย์ เจ้าอาวาสจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปดังกล่าวขึ้นไว้บูชาในพระอุโบสถ โดยมิได้ทราบว่าพระพุทธรูปองค์นี้คือพระแก้วมรกต
   
ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง ปรากฏว่าปูนที่ฉาบพระแก้วมรกตบริเวณพระนาสิกเกิดกระเทาะออก และเห็นเป็นแก้วสีเขียวเข้ม เจ้าอาวาสจึงได้สั่งให้พระลูกวัดช่วยกันกระเทาะปูนออกทั้งองค์พระ จนกระทั่งได้เห็นพระหยกที่งดงามดุจเทวดาเนรมิต เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปทั่ว ประชาชนถ้วนทุกสารทิศต่างชวนกันไปชมบารมีของพระหยกและนมัสการด้วยความเคารพศรัทธา พร้อมทั้งเฉลิมฉลองกันเป็นการใหญ่ เมื่อข่าวนี้ถูกแจ้งให้พระเจ้าสามฝั่งแถนซึ่งเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ทรงทราบ พระองค์ก็ได้มีพระกระแสรับสั่งให้อัญเชิญพระหยก(ที่ต่อไปคือพระแก้วมรกต)ไปยังเมืองเชียงใหม่ เพื่อจะได้ประดิษฐานไว้เป็นศรีเมือง โดยทางเมืองเชียงรายเองได้จัดพิธีอัญเชิญใหญ่โต พร้อมทั้งขบวนคน ม้า และช้าง มีองค์พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่บนหลังช้างเชือกหนึ่ง
   
การอัญเชิญพระแก้วมรกตเป็นไปด้วยความราบรื่น จนกระทั่งเมื่อขบวนเดินทางไปถึงเส้นทางแยกระหว่างเมืองเชียงใหม่กับเมืองลำปาง(เขลางค์นคร) ช้างพลายที่อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับไม่ยอมก้าวไปทางเมืองเชียงใหม่ แต่มุ่งจะเดินไปทางเมืองลำปางเสียให้ได้ หมู่ควาญได้พยายามลากจูงเพียงไรก็ไม่เป็นผล และแม้จนกระทั่งมีการแก้ไขโดยการอัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นไว้บนหลังช้างเชือกอื่น ก็เป็นที่น่าประหลาดที่ช้างเชือกนั้นจะต้องบ่ายหน้าเดินไปทางเมืองลำปางทุกครั้งไป เหตุการณ์นี้เมื่อมีผู้นำไปกราบทูลให้พระเจ้าสามฝั่งแถนทรงทราบ พระองค์ก็คิดเห็นไปว่าบรรดาผีหรือเทวดาที่รักษาพระแก้วมรกตไว้คงยังไม่อยากให้พระแก้วมรกตไปประดิษฐานยังเมืองเชียงใหม่ จึงได้ยินยอมให้พระแก้วมรกตคงประดิษฐานอยู่ที่เมืองลำปาง ในอาณาจักรที่เจ้าหลวงหมื่นด้งนคร เป็นผู้ปกครอง และพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่เมืองลำปางที่วัดพระแก้วดอนเต้า(สันนิษฐาน)เป็นเวลารวมทั้งสิ้นถึง 32 ปี จนถึงรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช
   
ถึงปี พ.ศ. 2011(ข้อมูลจากพงศาวดารโยนก) พระเจ้าติโลกราชผู้ซึ่งสามารถปราบดาภิเษก ขึ้นเป็นกษัตริย์ ได้มีรับสั่งให้เจ้าหลวงหมื่นด้งนครผู้เป็นพระปิตุลา(ลุง) เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งมีอำนาจรองจากพระมหากษัตริย์ และต้องเสด็จไปประทับ ณ นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ พระเจ้าหมื่นด้งนครจึงนำพระแก้วมรกตขึ้นถวายต่อพระเจ้าติโลกราชด้วย
   
เมื่อมีการอัญเชิญพระแก้วมรกตมาถึงนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ พระเจ้าติโลกราชได้มีศรัทธาสร้างพระอารามราชกูฏเจดีย์ถวาย แล้วสร้างหอพระแก้วประดิษฐานไว้ในเมืองเชียงใหม่ และยังได้พยายามจะสร้างพระวิหารที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกตให้มียอดปราสาทสมพระเกียรติยศ หากยอดปราสาทสร้างขึ้นกี่ครั้งก็ถูกอัสนีบาตฟาดลงพินาศสิ้น จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นไว้บนซุ้มจระนำด้านทิศตะวันออกของเจดีย์ใหญ่ภายในเขตพัทธสีมาของวัดโชติการาม หรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกชื่อว่าวัดเจดีย์หลวง ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา โดยประดิษฐานอยู่คู่กับพระเสตังคมณี  หรือพระแก้วขาว ซึ่งทั้งองค์พระแก้วมรกต และพระแก้วขาว ถือกันว่าเป็น 1 ใน 5 พระพุทธรูปสำคัญคู่อาณาจักรล้านนา ส่วนพระพุทธรูปอีก 3 องค์ได้แก่ พระเจ้าทองทิพย์, พระแก่นจันทร์ และพระโรหิตมณี โดยพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์ตำนานกล่าวว่าล้วนสร้างในปี พ.ศ.700 ทั้งสิ้น ต่างกันเพียงเดือนที่สร้างเท่านั้น (แต่ในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ระบุว่าพระแก้วมรกตสร้างในปี พ.ศ.500)
   

   พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ ณ วัดเจดีย์หลวงคู่กับพระแก้วขาวรวมเวลาได้ 84 ปี ก็มีเหตุให้ต้องนิราศไปยังกรุงศรีสัตนาคนหุต อาณาจักรล้านช้าง หรือที่เป็นประเทศลาวในปัจจุบันนี้
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 12 มกราคม 2010, 23:15:56 »

ใครมีภาพสถานที่ไหน เชิญร่วมแจมได้ครับ
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
penis
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 05 ธันวาคม 2011, 14:24:28 »

พระแก้วมรกตตกลงแล้วไม่ใช่ของล้านนาเราโดยตรงหรอครับ
 ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม
IP : บันทึกการเข้า
Yim sri
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,753



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 05 ธันวาคม 2011, 16:16:04 »

นับถือ ค่ะ สุดยอด อ่านแล้วได้ความรู้มาก
IP : บันทึกการเข้า

ธ สถิตย์ในใจตราบนิรันดร์กาล
soonerorlater
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 160


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 06 ธันวาคม 2011, 23:59:46 »

พระแก้วสร้างในยุคเชียงแสน เป็นศิลปะเชียงแสน

เชียงแสน = ล้านนา

พยายามสร้างเรื่องอ้างอิงเหลือเกิน กุีเอาดื้อๆ
IP : บันทึกการเข้า
chate
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,023


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 16 มกราคม 2012, 17:27:36 »

ขอบคุณความรู้ดีๆ....
IP : บันทึกการเข้า
~pong03~
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 899



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 20 มกราคม 2012, 06:52:54 »

พระแก้วสร้างในยุคเชียงแสน เป็นศิลปะเชียงแสน

เชียงแสน = ล้านนา

พยายามสร้างเรื่องอ้างอิงเหลือเกิน กุีเอาดื้อๆ

นั้นเน๊อะ ดูเอาที่ศิลปะการสร้าง ก๊อฮู้ว่าเป๋นของไผ๋
คนเหมียง คนล้านนาสมัยเก่า มีฝีมือ นัก เรื่องการ สร้างศิลปะ อย่างวัดวาอาราม
แกาะสลัก ไม้เป๋นแบบลายล้านนา ชะป๊ะป๋าปั๋ง
คนเหมียงเฮาดีอย่าง สร้างศิลปะแบบเล่าเรื่องผ่านภาพศิล
จะว่าเป๋น หนึ่งในเมืองไทยก๊อว่าได้
IP : บันทึกการเข้า

Facebook -https://www.facebook.com/pin.manora
Line Pin manora
ปัญญาวุฒิ
เดินต่อไป
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 392



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 09:55:22 »

พระแก้วสร้างในยุคเชียงแสน เป็นศิลปะเชียงแสน

เชียงแสน = ล้านนา

พยายามสร้างเรื่องอ้างอิงเหลือเกิน กุีเอาดื้อๆ

คงเป็นความต้องการผูกเรื่อง เพื่อให้เกิดศรัทธา ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร

ศาสนาอื่นก็มีครับ เช่น ลูกเกิดมาโดยไม่มีพ่อ   ก็มีข้อแก้ตัวเหมือนกัน
IP : บันทึกการเข้า

บล็อกเศรษฐี blogger    แบบบ้านน่ารัก
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!