100 ปีของกาดหลวงน่าสนใจไม่แพ้ตลาดเก่า ๆ ในประเทศไทย มีเรื่องราวที่เล่าได้อย่างมีสีสัน เพราะมีชีวิตผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนาอยู่ในตลาดนั้น ผุ้คนชาวเชียงใหม่ผูกพันเป็นตลาดคู่เมือง มากกว่าความรู้สึกที่มีต่อ Modern Trade ที่ตีโอบล้อมเมืองเชียงใหม่ดักกินกำลังซื้อผู้บริโภคอยู่ทุกวัน
ข้อมูลของศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้เก็บรวบรวมประวัติและภาพถ่ายเก่าของ อ.บุญเสริม ศาตราภัย ได้บันทึกไว้ว่า กาดทั้งสามตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ตั้งขึ้นในช่วงที่การค้าทางเรือระหว่างเชียงใหม่และกรุงเทพฯ มีความเจริญเติบโตมาขึ้น ในช่วงนั้นมีเรือสินค้าเข้ามาจอดรับส่งสินค้าที่ท่าน้ำทางฝั่งตะวันตกเป็นจำนวนมาก ท่าเรือสำคัญทางฝั่งนี้คือ คุ้มท่าซึ่งตั้งอยู่หน้าคุ้มเจดีย์กิ่ว (ปัจจุบันคือสถานกงสุลอเมริกัน) ท่าเรือแห่งนี้เป็นท่าเรือสำหรับจอดขบวนเรือของเจ้าหลวงและเรือหางแมงป่องที่เดินทางไปมาระหว่างเชียงใหม่และกรุงเทพฯ
เล่ากันว่า ในแต่ละวันมีเรือมาจอดเรียงรายยาวจากคุ้มท่าจนถึงคุ้มเจ้าแก้วนวรัฐ (ปัจจุบันคือกาดเจ๊กโอ้ว) ในขณะเดียวกันก็มีผู้คนค่อยๆ ทยอยเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากิน บางคนเป็นพ่อค้าคนกลางซื้อขายสินค้าที่มาจากกรุงเทพฯ และซื้อสินค้าจากภาคเหนือส่งลงไปขายที่กรุงเทพฯ บางคนทำการค้ากับพ่อค้าคนกลางขายสินค้าอุปโภคและบริโภค เช่น อาหาร พืชผัก เนื้อสัตว์ ของแห้ง และเสื้อผ้า เป็นต้น เมื่อรถไฟมาถึงเชียงใหม่ สะพานข้ามน้ำปิงสร้างเสร็จก็ยิ่งทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาตั้งร้านค้าทำมาหากินหนาแน่นมากขึ้น ทำให้ตลาดทั้งสามแห่งนี้ค่อยๆ เติบโตขึ้นตามการหลั่งไหลของผู้คนที่เข้ามาทำมาหากิน
กาดหลวงหรือตลาดวโรรส ตั้งอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นข่วงเมรุหรือสุสานเก่าของเจ้านายฝ่ายเหนือ ในปีพ.ศ. 2452 พระราชชายาเจ้าดารารัศมีโปรดให้ย้ายสุสานไปไว้รวมกันที่วัดสวนดอก และในปีพ.ศ. 2453 พระองค์ได้พัฒนาพื้นที่นี้ขึ้นเป็นกาด เพื่อให้คนได้แลกเปลี่ยนซื้อขายกัน ชื่อกาดวโรรสนำมาจากพระนามของเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ 8
กาดต้นลำไย หรือตลาดต้นลำไย ในหนังสือเรื่องเล่าจาวกาด เล่ม 2 กล่าวว่า เดิมบริเวณนี้เป็นแหล่งเลี้ยงช้างและที่อาบน้ำช้างของเจ้าหลวงผู้ปกครองเมืองเชียงใหม่ ต่อมาหลวงโยนการพิจิตร (หม่องปันโหย่ว อุปโยคิน) เข้ามาขอเช่าที่เพื่อใช้เป็นที่เลี้ยงช้างชักลากซุง ล่องตามน้ำปิงของบริษัทบอร์เนียวและบอมเบย์เบอร์มา พร้อมกับสร้างห้องแถวติดแม่น้ำปิงให้คนงานอาศัยอยู่ ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นชุมชนย่อยๆ และมีพ่อค้าแม่ค้าทยอยนำสินค้ามาตั้งขายใต้ต้นลำไยให้กับคนงานและคนที่สัญจรไปมา เมื่อแรกตั้งมีลักษณะเป็นกาดก้อมเล็กๆ ต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นตลาดขนาดใหญ่ เรียกว่ากาดต้นลำไย
กาดเจ๊กโอ้วหรือตลาดนวรัฐ ตั้งขึ้นตามชื่อของเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงองค์ที่ 9 (พ.ศ.2452-2482 ) ทั้งนี้เพราะตั้งอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นคุ้มของเจ้าแก้วนวรัฐ ในปีพ.ศ. 2488 เถ้าแก่โอ้ว (นายชู โอสถาพันธุ์) ได้ซื้อคุ้มหลังนี้ และอพยพครอบครัวเข้าไปอยู่ ในปี พ.ศ. 2500 เถ้าแก่โอ้วได้รื้อคุ้มออกและพัฒนาพื้นที่ให้เป็นตลาด เพราะเห็นว่าบริเวณนี้อยู่ติดกับแม่น้ำปิง มีผู้คนสัญจรไปมามาก ประกอบกับตัวคุ้มเองก็ชำรุดและเสื่อมโทรมลงมากแล้ว
เมื่อแรกตั้งกาดทั้งสามยังเป็นลานโล่งๆ ติดตลาดไม่นาน เริ่มตั้งแต่เช้ามืดพอสายหน่อยแดดแรงก็กลับบ้าน เมื่อมีคนเข้ามาค้าขายมากขึ้น จึงมีการสร้างอาคารร้านค้าถาวรเรียงรายอยู่บนสองฝั่งถนน เป็นอาคารไม้บ้าง ตึกบ้าง ความน่าสนใจของกาดทั้งสามนี้คือ การทำมาหากินร่วมกันอย่างลงตัวระหว่างชุมชนต่างเชื้อชาติ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือชาวจีน ชาวพื้นเมือง และชาวซิกข์ ชาวจีนและชาวพื้นเมืองขายของจิปาถะทั้งของกินและของใช้อยู่ในตลาด ส่วนชาวซิกข์ ที่เรียกว่านายห้าง ตั้งร้านขายผ้าเมตรจากโรงงานอยู่รอบนอกตลาดจากตรอกเล่าโจ๊วอ้อมไปทางถนนช้างม่อยทั้งสองฝั่ง ชาวซิกข์กลุ่มนี้ย้ายมาจากแคว้นปัญจาบ ทางตอนเหนือของอินเดีย นับถือศาสนาซิกข์ ส่วนหนึ่งเป็นนิกายนามธารี ศูนย์กลางของชาวซิกข์กลุ่มนี้อยู่ที่วัดนามธารี บนถนนช้างม่อยตัดใหม่ใกล้ๆ กับกาดหลวงนี้เอง
เมื่อพ.ศ. 2511 ได้เกิดโศกนาฏกรรมที่สร้างความเศร้าโศกให้กับผู้คนในกาดอย่างใหญ่หลวง กล่าวคือในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ได้เกิดเพลิงไหม้ที่กาดต้นลำไยและลามมาที่กาดหลวง ด้วยอาคารที่เป็นไม้ และสินค้าที่เป็นผ้า ทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ในที่สุดไฟก็เผาผลาญตลาดทั้งสองแห่งเสียหายอย่างยับเยิน ทำให้พ่อค้าแม่ขายประสบปัญหาอย่างมากต้องนำของออกไปขายที่อื่นๆ เช่น บริเวณสี่แยกโรงแรมสุริวงศ์ บนถนนช้างคลาน เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีการสร้างตลาดขึ้นใหม่เป็นอาคารแบบตะวันตกตามที่เราเห็นทุกวันนี้ ในสมัยนั้นนับว่าเป็นอาคารที่มีความทันสมัยมาก
แม้ว่ากาดทั้งสามนี้ตั้งอยู่ใกล้กัน แต่มิได้แย่งลูกค้ากัน เพราะแต่ละแห่งมีลูกค้าคนละกลุ่มเรียกว่าแบ่งเซ็กเมนท์เตชั่นไว้อย่างลงตัวเช่น กาดหลวงเป็นศูนย์กลางของผ้านานาชนิด ทั้งเสื้อผ้าสำเร็จรูป และผ้าเมตร รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางสินค้าของฝาก ตั้งแต่เสื้อผ้าพื้นเมือง พืชผักนานาชนิด และของกินพื้นเมือง
กาดเจ๊กโอ้ว เป็นศูนย์กลางของสินค้าจากโรงงานทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภค
ส่วนกาดต้นลำไย เป็นศูนย์กลางของพืชผลทางการเกษตร ทั้งพืชผักผลไม้ และเนื้อสัตว์ เป็นต้น
ส่วนกลางคืนผมก็ว่ามีสีสันและเป็นแหล่งท่องเที่ยวไม่แพ้กลางวันเช่นกัน คือ ตอนนี้เริ่มมีการปิดถนนเพื่อทำเป็นถนนคนเดิน มีสินค้าสารพัดสารเพ และที่น่าสนใจคือเมนูขนมจีนใต้สะพานลอยตลาดต้นลำไย ที่เป็นที่รู้จักของคนเชียงใหม่มานานเกือบ 20 ปี ซึ่งหากนักท่องเที่ยวต้องการสัมผัสขนมจีนน้ำเงี้ยวที่มีบรรยากาศเชียงใหม่จริง ๆ ก็ต้องลองลิ้มชิมรส โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่มาซื้อของช็อปปิ้งบนถนนย่านกาดต้นลำไย
รสชาติของขนมจีนใต้สะพานตลาดต้นลำไยนั้นมีหลายน้ำให้ชิมกัน ทั้งน้ำเงี้ยว น้ำยาปลา น้ำพริก น้ำยาป่า แกงเขียวหวาน ไข่ต้ม แคบหมู สนนราคาชามละ 12 บาท ซึ่งหากเวลาหิวต้องชิมให้ครบทุกน้ำ ภายใต้บรรยากาศร้านใต้โคมแสงเทียน กินแบบไม่ต้องกลัวใครมองเพราะแสงสลัวโรแมนติกเหลือเกิน
วันนี้ครบ 100 ปี กาดหลวง หรือ ตลาดวโรรส มีกิจกรรมหนึ่งที่ชาวกาดจำนวนหนึ่งมีความคิดร่วมกันที่จะจัดงานเฉลิมฉลองกับความเจริญรุ่งของ กาดแห่งนี้ที่มีมาตลอดหนึ่งศตวรรษ และเพื่อเป็นการฟื้นฟูย่านกาด,ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี และสร้างสุขภาวะให้เกิดขึ้นในชุมชน หนึ่งในจำนวนนั้นคือ นาวิน ลาวัลย์ชัยกุล ศิลปิน ไทยเชื้อสายอินเดีย ผู้เกิดและเติบโตมาในครอบครัวค้าขายที่กาดหลวง มีผลงานเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติและเป็นเจ้าของรางวัลศิลปาธร สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี พ.ศ.2553
นาวินได้ร่วมกับ ทีมงานนาวินโปรดักชั่น รวมถึงร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและเอกชน จัดเทศกาล “มหากาด” ขึ้นบริเวณกาดหลวงและพื้นที่ใกล้เคียง โดยการสร้างสรรค์กิจกรรมหลายรูปแบบที่เน้นการมีส่วนร่วมของชาวชุมชนย่านกาดหลวงทุกเชื้อชาติ
นิทรรศการหลักและศูนย์ข้อมูลจัดขึ้นที่ บ้านหลวงอนุสารสุนทร(บ้านตึก) อาคารเก่าแก่ที่สำคัญในย่าน ซึ่งมีการจัดแสดงภาพถ่ายในอดีตของเมืองเชียงใหม่ฝีมือการถ่ายภาพของ หลวงอนุสารสุนทร ถ่ายขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2450 - 2475 ผลงานส่วนใหญ่ไม่เคยปรากฎต่อสายตาสาธารณชนมาก่อน และภาพถ่ายย่านกาดในอดีตผลงานของช่างภาพอาวุโส บุญเสริม ศาตราภัย รวมถึงภาพวาดและวีดีทัศน์สารคดีบอกเล่าเรื่องราวความทรงจำของชุมชน ภายใน อาคารพิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรเชียงใหม่ ( ซึ่งปีนี้มีอายุครบ 100 ปี เช่นกัน) รวมถึงสะพานจันทร์สม และวัดเกตการาม ถูกใช้เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานของศิลปินหลายท่าน อาทิ ดาว วาสิกศิริ,พรชัย ใจมา,จักรกฤช ฉิมนอก ฯลฯ สอบถามได้ที่ โทร.053-890-21
อ้างอิงจาก
http://www.oknation.net/blog/akom/2010/12/27/entry-1