เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 20 เมษายน 2024, 01:45:51
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง
| | |-+  พระแก้วมรกต
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน พระแก้วมรกต  (อ่าน 4555 ครั้ง)
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2010, 01:39:40 »

**สงวนลิขสิทธิ์นะครับ

บทนำ
   
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญมากที่สุดในยุคสมัยปัจจุบัน คำว่าสำคัญที่สุดนี้ มิได้ประเมินด้วยความงดงามของพุทธลักษณะ มิได้วัดด้วยเรื่องราวของอภินิหาริย์ แต่ยึดถือตามที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้พระราชทานนามของกรุงเทพมหานครไว้แต่เดิมว่า “กรุงรัตนโกสินทร์อินท์อโยธยา”  ซึ่งมีความหมายว่าเป็นที่เก็บรักษาองค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรเอาไว้ 
   
ผมมีความศรัทธาสูงสุดต่อองค์พระแก้วมรกต และเป็นผู้หนึ่งที่รู้สึกทึ่งต่อสถาปัตยกรรมภายในวัดพระแก้ว ที่งดงามและละเอียดละออราวเทวดายกจากสวรรค์ลงมาวางไว้ กระนั้น ในเรื่องความเป็นมาของพระแก้วมรกต ผมกลับมิเคยนึกตั้งคำถาม คิดเอาเองด้วยซ้ำไปว่าพระพุทธรูปหยกล้ำค่าคู่บ้านคู่เมืององค์นี้ คงจะสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระมิ่งเมืองในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง
   
เพิ่งมาเจอตัวอวิชชาที่ซ่อนอยู่ในความเข้าใจผิดมาเนิ่นนาน หลังได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่กว่า 3 ปี และได้เดินทางไปเยี่ยมชมวัดเจดีย์หลวง ในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกต เมื่อคราวที่อาณาจักรล้านนายังเจริญรุ่งเรือง ก่อนที่องค์พระแก้วมรกตจะได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ อาณาจักรล้านช้าง(ปัจจุบันคือเมืองลาว) ตั้งแต่คราวที่เมืองหลวงยังตั้งอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง จนเมื่อเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้างย้ายไปอยู่ที่นครเวียงจันทน์ องค์พระแก้วมรกตก็ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่เมืองหลวงแห่งใหม่นั้นด้วย และประดิษฐานอยู่ที่นั่นนานถึง 214 ปี
   
ต่อมา เมื่ออาณาจักรสยามแผ่ขยายอิทธิพลยิ่งใหญ่เหนืออาณาจักรอื่นๆ ในอุษาคเนย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้แผ่ขยายอิทธิพลเหนืออาณาจักรล้านช้าง และได้อัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มาประดิษฐานที่กรุงเทพมหานครหลายองค์ด้วยกัน โดยในจำนวนนั้นมี พระแก้วมรกต พระแก้วขาว และพระบางรวมอยู่ด้วย ซึ่งในภายหลังได้มีการส่งกลับคืนพระบางให้กับเมืองลาวเพียงองค์เดียว
   
ผมโปรยเกร็ดเรื่องราวขององค์พระแก้วมรกตคร่าวๆ ด้วยเหตุผลว่าเมื่อได้ศึกษาค้นคว้าโดยลึกแล้ว การเดินทางของพระแก้วมรกตมีความสำคัญเชื่อมโยงกับการเมืองในอุษาคเนย์ ประวัติศาสตร์ และรวมถึงความสัมพันธ์กับพระพุทธรูปองค์อื่นๆ อีกหลายองค์ จึงทำให้ความตั้งใจเดิมของผมที่ต้องการเพียงตอบข้อสงสัยตัวเองให้ได้ หลังเดินทางมาใช้ชีวิตในจังหวัดเชียงราย แล้วได้พบกับวัดชื่อวัดพระแก้วอีกแห่งหนึ่ง สำคัญก็คือว่าวัดแห่งนี้ซึ่งเดิมชื่อวัดป่าเยี้ยะ(ป่าไผ่) มีเจดีย์สีทองอร่ามหนึ่งองค์ตั้งอยู่หลังอุโบสถ เจดีย์องค์นี้ถูกระบุว่าเป็นสถานที่สำคัญที่พบพระแก้วมรกตพอกปูนปิดทองประดิษฐานอยู่ภายใน หลังเกิดเหตุอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมากลางยอดเจดีย์เมื่อปี พ.ศ.1977
   
ปัจจุบัน วัดพระแก้วจังหวัดเชียงราย เป็นที่ประดิษฐานพระหยกเชียงราย ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อสมมติฐานที่ผมตั้งไว้เรื่องตำนานการสร้างพระแก้วมรกตอันจะได้นำมาอธิบายในบทต่อๆ ไป และผมขอเรียนทำความเข้าใจตรงนี้ว่า การศึกษาเรื่องพระแก้วมรกตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน รวมถึงเป็นเรื่องที่ผมปรารถนาจะเดินทางรวบรวมหลักฐานด้วยตนเอง ทั้งภาพถ่าย วัตถุพยาน และเอกสารอ้างอิงอื่นๆ อันสามารถจะช่วยคลี่คลายหรือบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระแก้วมรกตได้ใกล้เคียงข้อเท็จจริงที่สุด
   
ดังนั้น ในเรื่องราวต่างๆ ที่จะนำมาบอกเล่าถัดจากนี้ จึงเป็นเพียงการทำงานเบื้องหลัง หรือการวาดเส้นแผนที่ขึ้นรางๆ ไปตามหลักฐานที่ค้นเจอในชั้นต้น การที่ผมจะสรุปประเด็นใดๆ ก็ดีในเรื่องที่นำมาบอกกล่าว ยังเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือหักล้างด้วยหลักฐานอื่นๆ ได้ และการทำงานในครั้งนี้มีเป้าหมายเพียงประการเดียวคือความสนใจใคร่รู้ หลังได้เดินทางไปยังวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ และวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย ซึ่งกลายเป็นความเชื่อมโยงกันขององค์พระแก้วมรกต กับประวัติศาสตร์การเมืองในภูมิภาค
   
เมื่อลองได้ศึกษาลงไปแล้ว ผมจึงพบว่าในด้านที่ความบังเอิญยังไปไม่ถึงนั้น องค์พระแก้วมรกตยังเคยประดิษฐานอยู่ที่วัดพระแก้วดอนเต้า จังหวัดลำปาง และที่วัดพระแก้ว จังหวัดกำแพงเพชรอีกด้วย ไม่นับตำนานที่ว่าเคยประดิษฐานอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา กับที่อาณาจักรขอม(กัมพูชา)
   
เพราะหากจะเริ่มกันด้วยเรื่องเล่าที่เป็นตำนานจริงๆ แล้ว ผมคงต้องเริ่มเปิดตำนานพระแก้วมรกตกันที่ประเทศอินเดีย..
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2010, 01:41:36 »

1.ตำนานการสร้างพระแก้วมรกต
   
มีหนังสือโบราณที่กล่าวถึงตำนานพระแก้วมรกตซึ่งพอจะอ้างอิงได้อยู่ 2 สำนวนด้วยกัน เล่มหนึ่งคือ“ชินกาลมาลีปกรณ์” (พ.ศ.2060) แต่งขึ้นเป็นภาษาบาลีโดยพระรัตนปัญญาเถระ วัดป่าแดง จ.เชียงใหม่ ในรัชสมัยของพระเมืองแก้ว ส่วนอีกเล่มคือ “รัตนพิมพ์วงศ์”(พ.ศ.2272 แต่ตัวเลขตามหลักฐานนี้น่าจะไม่ถูกต้อง) ซึ่งแต่งขึ้นเป็นภาษามคธโดยพระพรหมราชปัญญา วัดมหาโพธาราม หรือวัดเจ็ดยอด จ.เชียงใหม่ ในชินกาลมาลีปกรณ์เล่าตำนานการสร้างพระแก้วมรกตเอาไว้ว่า ภายหลังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงได้ 500 ปี พระอรหันต์องค์หนึ่งนามนาคเสนเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร แคว้นอุตรประเทศ(อินเดีย) มีดำริที่จะสร้างพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่ง เพื่อเป็นอนุสรณ์แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานไว้ที่เมืองปาฏลีบุตรนั้น
   
ด้วยจิตแห่งพระอรหันต์กับปณิธานที่แน่วแน่ ทำให้ท้าวสักกะเทวาราช หรือพระอินทร์ถึงกับร้อนอาสน์ที่ประทับ จึงใช้ญาณทิพย์ส่องลงมาหาสาเหตุที่ทำให้รุ่มร้อน และเมื่อทรงทราบถึงเจตจำนงของพระนาคเสนก็ยินดีพระทัยยิ่ง ตั้งใจร่วมอนุโมทนาโดยมอบหมายให้พระวิสสุกรรม(วิศวกรรม) ไปขอแก้วมณีโชติ ของพระจักรพรรตราธิราช ซึ่งเป็นแก้ววิเศษที่มีรัศมีรุ่งโรจน์หาแก้วอื่นใดเทียบเทียมมิได้ ตั้งอยู่ที่เขาวิปุละ ซึ่งกั้นเขตแดนระหว่างเมืองมคธกับกรุงราชคฤห์ แต่เมื่อพระวิสสุกรรมไปขอพระจักรพรรตราธิราชกลับไม่ยอมยกให้ จนกระทั่งท้าวสักกะเทวาราชต้องเดินทางไปด้วยพระองค์เอง โดยพระองค์ได้แจ้งถึงเจตนารมณ์ของพระนาคเสนให้พระจักรพรรตราธิราชทรงทราบ กระนั้นแล้วพระจักรพรรตราธิราชก็ยังมิทรงยอมมอบแก้วมณีโชติให้ โดยให้เหตุผลว่าเป็นของคู่ควรสำหรับพระจักรพรรตราธิราชเพื่อใช้ปราบยุคเข็ญของโลกเท่านั้น แต่ด้วยเห็นแก่ท้าวสักกะเทวาราชที่มีพระทัยศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนา จึงได้ถวายแก้วมรกตให้แทน เมื่อได้แก้วมรกตแล้ว พระวิสสุกรรมจึงได้ลงไปสร้างพระแก้วมรกตขึ้นบนโลก โดยใช้เวลาสร้างอยู่ 7 วัน แล้วเนรมิตวิหารขึ้นเป็นที่ประดิษฐาน
   
พระแก้วมรกตที่พระวิสสุกรรมสร้างขึ้น มีพุทธลักษณะงดงามมาก และมีฉัพพรรณรังษีพวยพุ่งออกจากพระวรกายเป็นสีต่างๆ เหล่าพระอรหันต์ เทวดา สมณะ ชี พราหมณ์ ตลอดจนประชาชนที่ได้ชมพระบารมีต่างแซ่ซ้องบูชาด้วยความปลื้มปิติล้นพ้น พระนาคเสน ร่วมด้วยเทวดา นาค ครุฑ คนธรรม์ และมนุษย์ที่อยู่ในที่นั้น จึงได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาได้ถึง 7 องค์ ประดิษฐานเข้าไปอยู่ในส่วนต่างๆ ขององค์พระดังนี้คือ
   
พระโมฬี 1 พระนลาต1 พระอุระ1 พระอังสา2(ซ้าย-ขวา) และพระชานุ2(ซ้าย-ขวา)
   
เมื่อพระบรมสารีริกธาตุเสด็จไปประดิษฐานเรียบร้อยแล้วทั้ง 7 แห่ง เนื้อแก้วมรกตก็ปิดสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีรอยหรือช่องแม้แต่น้อย แล้วฉับพลันนั้นก็เกิดแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
   
หลังจากนั้นพระแก้วมรกตได้ยกฝ่าพระบาทขึ้น คล้ายกำลังจะเสด็จลงจากที่ประดิษฐาน พระนาคเสนจึงทำนายว่า จากนี้ไปองค์พระแก้วมรกตจะมิได้อยู่แต่เมืองปาฏลีบุตรเท่านั้น แต่จะต้องเสด็จไปโปรดเวไนยสัตว์ยัง 5 ประเทศ คือ 1.ลังกา 2.โยนก 3.อยุธยา 4.สุวรรณภูมิ และ5.ปะมะหล
   
ตำนานเดินทางมาถึงตรงนี้ สงสัยเหมือนกับผมไหมครับว่าเมืองปะมะหลหมายถึงประเทศใด เรื่องนี้คล้ายกับที่ผมเคยสงสัยเรื่องตำนานพระเจ้า 5 พระองค์ ที่บอกว่าปัจจุบันเรากำลังอยู่ในยุคสมัยของพระเจ้าองค์ที่ 4 คือสมณะโคดม แต่ต่อไปจะมีพระเจ้าองค์ที่ 5 ก็คือยุคของพระศรีอริยเมตไตร ว่าตามตำนานแล้ว การโปรดเวไนยสัตว์ยัง 5 ประเทศของพระแก้วมรกต ดูจะใช้เวลาน้อยกว่าการมาถึงของพระเจ้า 5 พระองค์อยู่มาก และยังมีหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงได้เป็นรูปธรรมมากกว่า
   
เรื่องตำนานพระเจ้า 5 พระองค์นี้ ผมติดเอาไว้ก่อน และจะเล่าเป็นเกร็ดความรู้ให้ทราบภายหลัง

 แม้ว่าความจริงเรื่องตำนานพระแก้วมรกต อาจจะแต่งขึ้นก่อนหรือหลังการอัญเชิญองค์พระแก้วมรกตไปประดิษฐานยังวัดพระศรีรัตนศาสดารามกรุงเทพมหานครก็ตามที แต่ชื่อเมืองปะมะหลก็มีส่วนช่วยลดอัตตาในการเป็นผู้ครอบครองพระแก้วมรกตของกรุงเทพมหานครแต่เพียงผู้เดียวลงไปไม่น้อย
   
ถัดจากนี้ ผมจะเริ่มติดตามคำทำนายของพระนาคเสน ไปพร้อมๆ กับการตามรอยจาริกโปรดเวไนยสัตว์ขององค์พระแก้วมรกตยังประเทศต่างๆ
   
จำคำทำนายได้อยู่ใช่ไหมครับ เรากำลังจะเริ่มเดินทางจากอุตรประเทศ สู่ลังกา(ศรีลังกา) ไปดูกันครับว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง..
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2010, 01:45:15 »

2.จาริกสู่(ศรี)ลังกา
   
ย้อนทวนความจำเรื่องพระอรหันต์นาคเสนซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดอโศการาม มีความปรารถนาจะสร้างพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานที่เมืองปาฏลีบุตร แคว้นอุตรประเทศนั้นก่อน ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงได้ 500 ปี แต่ที่จริงแล้ว เมืองปาฏลีบุตรเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากต่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่หลักธรรมของศาสนาพุทธออกไปทั่วโลก
   
บุคคลที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดให้กับเมืองปาฏลีบุตรในยุคนั้น ก็คือพระเจ้าอโศกมหาราช
   
และเป็นพระองค์อีกเช่นกัน ที่สร้างวัดอโศการามขึ้นมา
   
เมืองปาฏลีบุตร เดิมเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อปาฏลีคาม หากตั้งอยู่ในทำเลที่สำคัญเหมาะแก่การคมนาคมทางเรือและการค้าขายกับแคว้นทางเหนืออันได้แก่ แคว้นโกศล แคว้นวัชชี แคว้นสักกะ แคว้นมัลละ กับแคว้นตะวันออก ได้แก่ แคว้นมคธ แคว้นกาสี แคว้นอังคะ เนื่องจากตัวหมู่บ้านตั้งอยู่ในจุดที่แม่น้ำ 4 สายไหลมาบรรจบกัน กลายเป็นมหานทีคงคาที่กว้างใหญ่(แม่น้ำที่ไหลมาบรรจบกันประกอบด้วยแม่น้ำคงคา แม่น้ำโสณะ แม่น้ำเกรทคันดัก และแม่น้ำฮักคารา) ส่วนชื่อปาฏลีบุตรที่เปลี่ยนมาในภายหลังนั้น ตั้งขึ้นตามจุดที่ตั้งเมืองซึ่งมีต้นแคฝอย(ปาฏลิ)เติบโตอยู่นั่นเอง
   
กล่าวกันว่า ในสมัยที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระองค์ทรงเสด็จข้ามแม่น้ำคงคาในจุดที่ตั้งหมู่บ้านปาฏลีคามนี้ทุกครั้ง เมื่อต้องจาริกไปตามเส้นทางสู่กรุงราชคฤห์ กรุงไพสาลี และนครสาวัตถี
   
ภายหลังพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานได้ราว 200 ปี พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้ที่สร้างเมืองปาฏลีบุตรให้กลายเป็นที่รู้จักกว้างขวางทั้งเอเชียและยุโรป โดยมีหลักฐานจากบันทึกของเมกาสนิส เอกอัครราชทูตที่ซิลิอุกุส ส่งไปประจำ ณ เมืองปาฏลีบุตรเขียนบรรยายความยิ่งใหญ่ของเมืองเอาไว้ดังนี้
   
“ณ จุดที่แม่น้ำคงคา ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำสายหนึ่งนั้น(ปัจจุบันแม่น้ำสายนี้เรียกว่าแม่น้ำแม่น้ำเกรทคันดัก สมัยพุทธกาลเรียกว่าแม่น้ำมหี) เป็นที่ตั้งของเมืองปาลิโพธะ(ออกเสียงตามภาษากรีกโบราณ) นครมีความยาว 9.2 ไมล์ กว้าง 1.7 ไมล์ รูปร่างของนครเป็นทรงสี่เหลี่ยมด้านขนาน มีกำแพงไม้ล้อมรอบ ตามช่องกำแพงมีช่องไว้สำหรับยิงธนู ด้านหน้านครมีคูน้ำสำหรับป้องกันศัตรูและระบายน้ำทิ้งจากเมือง เป็นคูโดยรอบเมืองที่มีขนาดกว้าง 600 ฟุต ลึกประมาณ 18 เมตร บนกำแพงมีหอคอย 570 หอ มีประตู 64 ประตู”
   
และสำหรับความเจริญรุ่งเรืองนั้น หลวงจีนฟาเหียนที่ได้เดินทางมาถึงเมืองนี้เช่นกัน บันทึกเอาไว้ว่า
   
“พระราชวังหลวงและท้องพระโรงตั้งอยู่กึ่งกลางพระนคร ซึ่งยังมีมาจนถึงบัดนี้ ทั้งหมดสร้างโดยนายช่างที่มีความชำนาญ ซึ่งนับเป็นความฉลาดอย่างยิ่งของพระเจ้าอโศกมหาราชที่เลือกช่างเหล่านั้นมา สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดตลอดจนกำแพงและประตูทำมาจากหิน แกะสลักลวดลายวิจิตรชนิดมนุษย์ยุคปัจจุบันคงไม่สามารถทัดเทียมได้เลย
   
“ในเมืองมีวัดของฝ่ายมหายานที่ใหญ่โตและงดงามอย่างยิ่ง และมีวัดของฝ่ายหินยาน( เถรวาท) อีกแห่งหนึ่ง ทั้งสองวัดมีพระสงฆ์ประมาณ 600-700 รูป มีการศึกษาพระธรรมวินัยเคร่งครัด เขตแขวงและเมืองในปกครองของแคว้นนี้ มีความยิ่งใหญ่กว่าเมืองอื่นๆ ในเขตนั้น ประชาชนอยู่กันอย่างมีความสุขและอุดมสมบูรณ์”
   
แต่ครั้นเมื่อเวลาลุผ่านไปอีก 230 ปี หลวงจีนเฮี่ยนจังที่เดินทางมาภายหลัง พบว่าเมืองปาฏลีบุตรได้แทบจะกลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว
   
ปัจจุบันเมืองปาฏลีบุตรมีชื่อว่าเมืองปัตนะ(Patna) เป็นเมืองหลวงของรัฐพิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำคงคามีความกว้างที่สุดในอินเดีย คือประมาณ 5 กิโลเมตร
   
รัฐพิหารนี้มีพุทธศาสนสถานอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น พุทธคยา นาลันทา ราชคฤห์ ไพศาลี ฯลฯ ชื่อพิหารมาจากภาษาอังกฤษว่า BIHAR แปลว่า วัดหรือศาสนสถาน และสำหรับหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าเมืองปัตนะเป็นที่ตั้งของเมืองปาฏลีบุตรเดิมนั้น ก็คือวัดอโศการามของพระเจ้าอโศกมหาราชนั่นเอง
   
เหตุใดเมืองปาฏลีบุตรที่เคยเจริญรุ่งเรืองมากลายเป็นเมืองร้างไปได้ ตำนานกล่าวว่า หลังพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่เมืองปาฏลีบุตรได้ราว 300 ปี ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าสิริกิติกุมาร เมืองปาฏลีบุตรก็เกิดสงครามกับพวกนอกศาสนาอยู่มิได้ขาด(พยายามจะสันนิษฐานว่าเป็นสมัยก่อตั้งราชวงศ์โมกุล ซึ่งจะตรงกับช่วงปี พ.ศ.1700-2200 อันเป็นยุคที่ศาสนาอิสลามเจริญรุ่งเรืองในอินเดีย แต่ความเป็นไปได้ก็ห่างกันเกือบเก้าร้อยปี หากตัวเลขที่จดบันทึกไว้ไม่ผิดพลาด หรือเรื่องราวในส่วนนี้เป็นเพียงตำนาน พวกนอกศาสนาก็น่าจะหมายถึงพวกอื่นที่ไม่เกี่ยวกับวัฒนธรรมอิสลาม) ชาวเมืองเกรงว่าพระแก้วมรกตจะได้รับอันตราย จึงอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่เกาะลังกา
   
พระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ ณ เกาะลังกาประมาณ 200 ปี จนถึงสมัยของพระเจ้าอนุรุทธมหาราช หรือพระเจ้าอโนรธามังฉ่อ กษัตริย์พุกาม(พม่า) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ทรงเดชานุภาพมาก พร้อมกับทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง จึงได้ส่งพระเถระไปศึกษาพระไตรปิฎกที่ลังกา พระองค์ได้ทราบเรื่องราวความงดงามและศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระแก้วมรกต ว่าเป็นยอดปรารถนาจะอัญเชิญมาครอบครองของมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่หลายพระองค์ และเมื่อทราบเช่นนั้นก็บังเกิดความปรารถนาที่จะเป็นผู้ครอบครองพระแก้วมรกตเช่นเดียวกัน
   
พระอนุรุทธมหาราชจึงได้แต่งตั้งพระศีลขันฑ์ เป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปยังเกาะลังกา เพื่อขอพระไตรปิฎกและพระแก้วมรกตจากพระเจ้ากรุงลังกา ซึ่งพระเจ้ากรุงลังกาก็มิอาจขัดขืนได้ จึงได้มอบพระไตรปิฎกและพระแก้วมรกตอัญเชิญมากับเรือสำเภาสองลำ แต่เมื่อเรือสำเภาลอยอยู่กลางทะเลก็เกิดฤทธาภินิหาริย์เป็นลมพัดแรงจัด นำพาเรือสำเภาไปสู่ทิศทางที่ไม่เคยแล่นผ่านมาก่อน และจดจำทางกลับไม่ได้ โชคดีของเรือสำเภาลำที่อัญเชิญพระไตรปิฎก ที่สามารถแล่นไปเกยยังหาดพุกามประเทศ หากว่าเรือสำเภาอีกลำที่อัญเชิญพระแก้วมรกตมานั้น ลอยไปเกยอ่าวอินทปัตถ์ ประเทศกัมพูชา
   
เมื่อพระเจ้าอนุรุทธมหาราชทราบเรื่อง ได้พยายามส่งคนไปเจรจาขอคืนพระแก้วมรกต หากพระเจ้ากรุงอินทปัตถ์ก็คืนให้แต่พระเถระกับพระไตรปิฎกบางส่วน แต่ไม่คืนพระแก้วมรกตให้ คงตั้งประดิษฐานอยู่ที่ประเทศกัมพูชาจนถึงสมัยพระเจ้าเสนกราช
   
ตำนานกล่าวว่าพระเจ้าเสนกราชเป็นกษัตริย์ที่ไม่ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม เป็นเหตุให้เกิดอาเพทอุทกภัยท่วมกรุงกัมพูชา ต่อมาประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 19 ได้มีพระเถระรูปหนึ่งอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ที่กรุงศรีอยุธยา ตรงกับสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1(พระเจ้าอู่ทอง) โดยได้ประดิษฐานไว้ภายในพระมหาเวชยันต์ปราสาท และได้มีการสมโภชญ์อย่างยิ่งใหญ่ แล้วหลังจากนั้นจึงได้เคลื่อนย้ายไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองละโว้(ลพบุรี)
   
ว่าตามคำทำนายของพระนาคเสนอย่างซื่อๆ คงต้องว่าท่านทำนายพลาดไปทีเดียวที่บอกว่าองค์พระแก้วมรกตจะจาริกไปยังโยนกนครก่อนกรุงศรีอยุธยา และเหมือนท่านจะมิได้ให้คุณค่ากับยุคสมัยที่องค์พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศกัมพูชาแม้แต่น้อย ผมพยายามมองข้ามๆ ไปหลายจุด(ใหญ่) แล้วคิดเอาว่าถ้าตำนานเรื่องคำทำนายนี้ถูกต้องบริบูรณ์อยู่ในตัวตั้งแต่แรกแล้ว คนที่ผิดคงเป็นคนที่จดบันทึกถ้อยคำทำนายมาเผยแพร่ในยุคหลังแน่ๆ
   
อย่างไรก็ตาม ในลำดับที่จะเสนอต่อไปนี้ จะเป็นเรื่องราวการจาริกโปรดเวไนยสัตว์ขององค์พระแก้วมรกต ยังเขตโยนกนคร ซึ่งเริ่มต้นขึ้นที่เมืองกำแพงเพชรเป็นแห่งแรก ตำนานในส่วนนี้มีความน่าสนใจและน่าเชื่อถือกว่าตำนานที่ได้นำเสนอในเบื้องต้น ด้วยเหตุว่ายังคงมีวัดวาอารามที่ถูกกล่าวอ้างว่าเคยเป็นที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกตหลงเหลืออยู่จนปัจจุบัน และยังมักจะถูกเรียกขานกันด้วยนามว่าวัดพระแก้วอีกด้วย
   
ผมเริ่มหาหลักฐานเรื่องตำนานพระแก้วมรกตในประเทศไทย ด้วยการเตรียมเดินทางไปยังวัดพระแก้วทุกวัดในอาณาจักรโยนก หรือล้านนานี้เอง

IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2010, 01:47:27 »

นึกชื่นใจในบรรยากาศของที่นี่ครับ
เลยเอางานที่ตัวเองเคยศึกษามาโพสต์แบ่งปันก้น
ที่จริงมีเชิงอรรถด้วย แต่ข้ามไปก็ไม่เป็นไร
ถ้ามีคนสนใจ เดี๋ยวผมจะมาต่อตอนโยนกครับ
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2010, 17:13:18 »

 ยิ้ม..รออ่านก่อนแล้วค่อยไปซื้อหนังสือ... ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
zombie01
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,519


ความสุขเกิดขึ้นได้ เพียงแต่รู้จักใช้ชีวิต


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2010, 17:15:11 »

ขยันพิมพ์จริง ๆ ครับ นับถือ  ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า

salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2010, 20:13:04 »

อ้างถึง
..รออ่านก่อนแล้วค่อยไปซื้อหนังสือ...

ไว้พรุ่งนี้มาลงตอนต่อไปให้อ่านครับ
หนังสือตอนนี้มี "ดินแดนซาเลา" ครับ เป็นเรื่องผจญภัยในป่า
ส่วนเรื่องพระแก้วมรกต ตอนนี้เพิ่งเขียนเสร็จภาคแรก ยังขาดอีกเยอะเหมือนกัน
แต่ที่จะเอามาลงนี้ จะให้จบถึงตอน "ปะมะหล" นะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
۰•ฮักแม่จัน©®
เลวบ้างในบางเวลา
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,017


"มารบ่มี บารมี บ่เกิด.."


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2010, 20:17:44 »

พี่ salao  เป็นนักเขียนหนังสือ เหรอครับ 
IP : บันทึกการเข้า

"ทำบุญเท่าไรก็ไม่สามารถลบล้างบาปได้ บุญอยู่ส่วนบุญ บาปอยู่ส่วนบาป"

ไม่มีใครหรอกที่จะเลวโดยสันดาน ..
หากแต่สถานการณ์มันบีบบังคับให้ทำ
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2010, 20:30:23 »

อ้างถึง
พี่ salao  เป็นนักเขียนหนังสือ เหรอครับ

เมื่อก่อนเป็นครู ตอนนี้เป็นนักเขียน และคอลัมนิสต์ครับ
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 13 มกราคม 2010, 02:11:23 »

อ่านต่อกระทู้นี้ครับ
http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=6391.0
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
warriors
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 13 มกราคม 2010, 17:37:19 »

ไปโตยคนครับ อิอิ
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 30 มกราคม 2010, 03:41:35 »

มาติดตามอ่านครับ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
NostradaMo~
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 30 มกราคม 2010, 11:53:41 »

ตามมาอ่านด้วยครับ มีความรู้มากมาย
ผมว่า ไปจังหวัด เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ล้วนมีชื่อวัดพระแก้วหมด สันนิฐานว่า คงเคยเป็นที่ประดิษฐานของ พระแก้วมรกต นั่นเองเคยติดตามอยู่ช่วงหนึ่งใจจริงอยากให้มาประดิษฐานที่เชียงรายนะ รู้สึกจะเป็นที่ประทับแรก(ถ้าจำไม่ผิด) หลังจากระหกระเหินไปไกลๆและนานมากเป็นร้อยปีขึ้นไป
คงมีสักวันที่ปาฏิหาริย์เป็นจริง ชาวล้านนาจะได้สักการะพระแก้วที่แผ่นดินล้านนาเอง


* Clip_2.jpg (61.47 KB, 500x500 - ดู 711 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
NostradaMo~
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 30 มกราคม 2010, 11:54:57 »

ทรงเครื่อง 3 ฤดู


* Clip_3.jpg (55.53 KB, 395x261 - ดู 701 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
taekeuk_poomse
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 01 กุมภาพันธ์ 2010, 11:19:03 »

ผมมักจะเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับเว็บไซต์ลาวบ่อยๆ คนลาวเอง มักจะกล่าวอ้าง ประวัติศาสตร์ ของตัวเอง เท่านั้น ถ้าพูดถึงเรื่องพระแก้วมรกตปุ๊บ เค้าก็จะบอกว่า พระแก้วมรกตเป็นของเค้า แล้วคนไทยแย่งเอาไป ผมเคยเอา ประวัติศาสตร์ของล้านนาไปพิมพ์เป็นภาษาลาวให้เค้าอ่านอยู่บ่อยๆ เชื่อ มั้ยครับ ว่า มีส่วนน้อยมากๆ ที่จะรู้จัก ว่า "อาณาจักรล้านนานี้ มันแม่นหยัง อยู่บ่อนใด แล้ว ไผเป็นกะสัด" เค้าไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่า กษัตริย์ของล้านนามีใครบ้าง และแต่ละพระองค์มีพระราชกรณียกิจเช่นไร เค้ารู้แต่เพียงว่า ล้านนามีกษัตริย์ผู้ก่อตั้งอาณาจักรก็คือ พญามังราย และ ลัดไปหา พระเจ้าไชยเชษฐา โน่นเลย   เค้ารู้แต่เพียงว่า กษัตริย์เค้าที่ ครองทั้งดินแดน ล้านช้าง และล้านนา ช่วงนั้นและถือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเวลานั้น ก็คือ พระเจ้าไชยเชษฐา เพราะถือว่าเป็นลูกครึ่ง ล้านนา กับล้านช้าง และมีความชอบธรรมที่จะเอาสิ่งของมีค่า จากล้านนาไปยังล้านช้างได้ เช่น พระแก้วมรกต และพระแก้วขาว  ประวัติศาสตร์ของเค้าเริ่มต้นจากตรงนี้

และที่ร้ายไปกว่านั้น เค้าเขียน เหมือนกับว่า ล้านนาของเรา เป็น แค่ เมืองรองล้านช้างเท่านั้น
และล้านช้าง มีหน้าที่ต้องปกป้องอาณาจักรล้านนา เพราะพระเจ้าไชยเชษฐามีความชอบธรรมที่จะครองทั้งสองอาณาจักร  ทั้งๆที่ เราก็รู้อยู่แก่ใจ ว่า ล้านช้าง จริงๆมันเกิดขึ้นหลังล้านนา  ถ้าราชวงค์ของเราไม่ไปผูกสัมพันธ์ไมตรีกับล้านช้าง ก็คงไม่ต้องมีลูกครึ่ง มาปกครองล้านนา และพระแก้วมรกต ก็คงไม่เสด็จไปอยู่ล้านช้างเป็นแน่แท้ ว่ามั้ยครับ

IP : บันทึกการเข้า
AOM_COM
สมาชิกลงทะเบียน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 380


notebook ใหม่ ราคาทุน สนใจทักมาคะ


« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 01 กุมภาพันธ์ 2010, 13:23:50 »

ตอนนี้มีติดตัวองค์หนึ่งเจ้า...รูปแรกเลยบ่ฮู้ว่าประจำฤดูบ่าหยั่ง
IP : บันทึกการเข้า

ไอดี Line tc_aor เบอร์โทร 086-1888739 อ้อ ขาย notebook ใหม่ ทุกยี่ห้อ ราคาทุน มีหน้าร้าน สินค้าประกันตามเงื่อนไขบริษัท
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!