ขออภัยโรคภัยเบียดเบียน
ตาข้างขวาผมอาการเริ่มดีขึ้น
จะเขียนค่าวเรื่องหมาขนคำ
ต่อ..ช่วงอาทิตย์หน้าเป็นต้นไปครับ
ใกล้ปีใหม่ฝรั่ง..
รุสึกเฉยๆ
ฤดูกาลบ้านเขามันต่างจากบ้านเรา..
สังเกตุเรื่องภูมิอากาศได้น่ะครับ
ล้านนา
ถือเอาช่วงสงกรานต์หรือปีใหม่เมือง เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านปี ต้องมีธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อชำระสิ่งไม่ดีออกไป และรับสิ่งเป็นมงคลในวันปีใหม่
การปฏิบัติในเทศกาลสงกรานต์
1. วันสังขารล่อง เป็นวันที่ต้องทำความสะอาดบ้าน ชะล้างสิ่งไม่ดี
วันที่ปีเก่าจะผ่านพ้นไป หากจะกล่าวในแง่ของดาราศาสตร์ คือวันที่ดวงอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งถือเป็นวันสุดท้ายของปีเก่าที่กำลังจะผ่านพ้นไป คำว่า“ล่อง”ในภาษาล้านนา หมายถึง ล่วงไป หรือ ผ่านไปนั่นเอง
วันสังขานต์ล่องของชาวล้านนา เป็นวันที่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะเด็กๆ จะตื่นเต้นเพื่อรอต้อนรับวันขึ้นปีใหม่ วันสังขานต์ล่องจึงเป็นวันที่ทุกคนจะตื่นแต่เช้ามืดเพื่อรอดูปู่สังขานต์ ย่าสังขานต์ ที่เล่ากันว่าจะหอบข้าวของพะรุงพะรังมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ หรือบางทีก็ล่องเรือไปตามลำน้ำ
ชาวล้านนามีความเชื่อที่ยึดถือปฏิบัติมายาวนาน คือ“การดำหัว”หรือสระผมของตนเองด้วยน้ำขมิ้นส้มป่อย ซึ่งถือเป็นน้ำบริสุทธิ์ สะอาดและเป็นมงคลเพื่อชำระล้างสิ่งอัปมงคลให้ออกจากชีวิต
2. วันเน่า ห้ามทำในสิ่งไม่ดี ห้ามพูดไม่ดี และต้องเตรียมทำขนมไปวัด ขนทราย เตรียมของถวายพระ
ศัพท์โหราศาสตร์เรียกวันเน่าว่า "วันปูติ" และ ซึ่งคำว่าปูตินั้น มีความหมายว่าเน่า ดังนั้นเราจึงเรียกกันว่า "วันเน่า" ไม่เรียกวันเนาว์ที่เหมือนกับภาคอื่น
ในวันเน่าสำหรับวิถีปฏิบัติของคนล้านนา ถือเป็น“วันดา”คือวันที่เตรียมการสำหรับการไปทำบุญใหญ่ที่วัดในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นวันพญาวัน ดังนั้น กิจกรรมหลักที่นิยมถือปฏิบัติกันในช่วงเช้าของวันนี้ คือการจัดเตรียมข้าวของสำหรับทำบุญ เช่น การเตรียมอาหารหม้อใหญ่ เนื่องจากต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรดาญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ ลุง ป้า น้า อา ตามสายตระกูลของตน และยังทำบุญเพื่อหวังกุศลผลบุญให้กับตัวเองในภายภาคหน้าอีกด้วย
อาหารที่คนล้านนานิยมจัดเตรียมไว้ทำบุญมักเป็นอาหารที่ค่อนข้างพิเศษกว่าอาหารปกติทั่วไป อาทิ แกงฮังเล ต้มจืดวุ้นเส้น ต้มส้มไก่(ต้มข่าไก่)ห่อนึ่ง(ห่อหมก)แกงเผ็ดต่างๆ ตามแบบภาคกลาง(ยุคปัจจุบัน) โดยบางบ้านอาจเตรียมอาหารหลากหลายชนิดตามฐานะและศรัทธาของตนเอง
3. วันพญาวัน ไปทำบุญที่วัดตอนเช้า สรงน้ำพระ และเริ่มดำหัวญาติผู้ใหญ่
วันพญาวัน เป็นวันเถลิงศก หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวล้านนา ถือเป็นวันมงคล ช่วงเช้าของวันพญาวัน ควรเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับบุญกุศล วิญญาณ ความเชื่อ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กล่าวคือ ไปทำบุญที่วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล และอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ พร้อมอุทิศถึงเทวดา เจ้ากรรมนายเวร แล้วสรงน้ำพระเจดีย์พระพุทธรูป และปักตุงที่ค่อนข้างละเอียดลึกซึ้ง โดยแบ่งเป็นตุงประเภทต่างๆ ซึ่งความหมายส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องบุญกุศลและเรื่องของวิญญาณทั้งสิ้น
4. วันปากปี ทำบุญส่งเคราะห์ สืบชะตา กินอาหารที่ทำจากขนุน เพื่อให้หนุนนำชีวิตให้ดีขึ้น
เป็นวันถัดจากวันพญาวัน ถือเป็นวันเริ่มต้นชีวิตที่ดีหลายพื้นที่จะประกอบพิธีสืบชาตาหมู่บ้าน ผู้คนไปร่วมงานกันพร้อมหน้า ตกเย็นจะมีการประกอบอาหารอันมีขนุนเป็นหลัก เช่น แกงขนุน ตำขนุน เป็นต้น เพราะเชื่อว่าจะเกิดการหนุนส่งให้ชีวิตพบเจอแต่สิ่งที่ดีงาม บ้างก็ทำอาหารประเภทลาบเอาเคล็ดทางโชคลาภเป็นประเดิม บ้างเสริมบารมี ด้วยการจุดเทียนมงคลบูชาพระ ซึ่งมักประกอบด้วยเทียนยันต์สืบชาตา หลีกเคราะห์หรือสะเดาะเคราะห์และรับโชค เป็นต้น
“คนเมือง”
คำว่า “คนเมือง” เป็นคำที่ใช้เรียกคนไทถิ่นล้านนา ตั้งแต่ เชียงใหม่ตลอดจนคนทางภาคเหนือ
ทำไมคนเหนือจึงเรียกตัวเองว่า “คนเมือง”
มีที่มาดังต่อไปนี้
เรื่อง "กึ่งศตวรรษในหมู่ชาวสยามและชาวลาว” ในปี พ.ศ.2454 เรียกคนล้านนาว่าคนลาว เรียกภาษาล้านนาว่าภาษาลาว และเรียกดินแดนนี้ว่า ลาว
ส่วนหมอด็อดด์หรือนายวิลเลียม คลิฟตัน เขียนหนังสือชื่อ “ชนชาติไทย” ในปี พ.ศ.2466 ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานการเรียกชื่อคนกลุ่มไหนว่าคนเมืองในภาคเหนือ
สงวน โชติสุขรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญการปริวรรตอักขระล้านนาให้ความเห็นเมื่อปี พ.ศ.2516 ว่า คนเมืองหมายถึงคนที่อยู่ในเมือง มีวัฒนธรรม
ส่วน จิตร ภูมิศักดิ์ นักวิชาการที่เขียนหนังสือ “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอมและลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ” พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ.2519 กล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ไทเมืองที่มีระบุในตำนานและพงศาวดารต่างๆ เช่น ตำนานสุวรรณโคมคำ ที่สืบค้นได้เก่าที่สุดว่าเป็นบรรพบุรุษชาวไทประชากรหลักในภาคเหนือหรือดินแดนล้านนา มีเชื้อสายสัมพันธ์กับชาวไทเหนือ ไทใหญ่และไทลื้อในยูนนาน ได้อพยพเคลื่อนย้ายมาตั้งอาณาจักรเล็กๆ ซ้อนทับพื้นที่แคว้นสุวรรณโคมคำของกรอมหรือขอมโบราณ จนพัฒนาไปเป็นอาณาจักรโยนก หิรัญนครเงินยาง และอาณาจักรล้านนา
และจิตรกล่าวว่า คนเมือง เกิดขึ้นเพื่อเรียกตนเองเพื่อตอบโต้และเลี่ยงการถูกเหยียดหยามทั้งจากพม่าและสยามฝั่งซ้าย
อันที่จริงแล้ว คำว่า คนเมือง ได้ถูกใช้เพื่อต่อสู้เชิงอัตลักษณ์กับรัฐสยามมาตั้งแต่ช่วงที่สยามส่งข้าหลวงเข้ามาควบคุม
อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว ผู้เชี่ยวชาญภาษาล้านนา กล่าวในหนังสือ “รำลึกเชียงใหม่ 700 ปี” เมื่อ พ.ศ.2540 ว่าไม่พบคำว่า “คนเมือง” ในเอกสารโบราณของล้านนา
สรัสวดี อ๋องสกุล ผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ล้านนาในปี พ.ศ.2529 ได้ยืนยันว่าคำว่า “คนเมือง” เพิ่งจะปรากฏเป็นครั้งแรก ในรายงานของกรมหมื่นพิชิตปรีชากร ข้าหลวงพิเศษฝ่ายลาวเฉียง (ดูแลเมืองลำพูนและลำปาง ระหว่าง พ.ศ.2427-2428) สอดคล้องกับคำกล่าวของไกรศรี นิมมานเหมินท์ ที่ว่าคนไทยวนในภาคอื่นๆ ไม่รู้จักคำว่า คนเมือง และชาวไทใหญ่ ไทเขิน ไทลื้อ ไทยองในล้านนาที่ผ่านมาช่วงร้อยกว่าปี ถือว่าตนเองเป็นคนเมืองทั้งสิ้น และไกรศรีเองก็เป็นผู้นำการสร้างหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับแรกของเชียงใหม่ที่ชื่อว่า “คนเมือง” ในปี พ.ศ.2496 และเป็นผู้รณรงค์วัฒนธรรมและศักดิ์ศรีคนเมือง
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า คำว่า “คนเมือง” เป็นคำที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาในสมัยหลังการปฏิรูปการปกครองจนสมัยรัชกาลที่ 5 มานี้เอง
คนเมืองมีเอกลักษณ์ที่น่าภูมิใจของตนเองที่ชัดเจนทั้งประวัติศาสตร์ จารีต วรรณกรรม ภาษา และศิลปวัฒนธรรมต่างๆ
ธเนศวร์ เจริญเมือง มีความเห็นในทางเดียวกันถึงที่มาของคำว่า คนเมือง ดังเช่นที่กล่าวมา