เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 27 เมษายน 2024, 17:16:33
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  การเกษตร,ฟาร์มสัตว์,ปศุสัตว์ (ผู้ดูแล: bm farm)
| | |-+  ---- [ จำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100% ,น้ำหมักมูลไส้เดือน 100% (เชียงราย) ] ----
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 17 พิมพ์
ผู้เขียน ---- [ จำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100% ,น้ำหมักมูลไส้เดือน 100% (เชียงราย) ] ----  (อ่าน 11630 ครั้ง)
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #40 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2013, 09:06:43 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 32

พริก

เรื่อง ประเภทและพันธุ์พริก

พริกที่มีการปลูกกันในปัจจุบันนี้ถ้ากล่าวรวม ๆ แล้วมีทั้งชนิดที่มีรสชาติเผ็ดมาก เผ็ดน้อย ไปจนถึงไม่เผ็ดเลย และขนาดของผลมีทั้งผลขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ เช่น พริกยักษ์ พริกใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามการจัดหมวดหมู่พริกในปัจจุบันยังค่อนข้างสับสน แต่มีวิธีที่นิยมใช้กันคือ การแบ่งแยกประเภทของพริกตามลักษณะลำต้นได้เป็น 13 พวกใหญ่ ๆ คือ

๑. พวกต้นล้มลุก พริกที่อยู่ในพวกนี้มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Cap­sicum annuum L. เป็นพริกที่มีอายุในการให้ผลผลิตสั้น(อายุสั้น) ดอกอาจมีสีขาวหรือสีม่วง มีหนึ่งดอกต่อข้อ ดังนั้นการเกิดผลจึงเกิดเป็นผลเดี่ยว มีทั้งชนิดที่ปลายผลชี้ขึ้นฟ้าและชี้ลงดิน (การติดผล) ซึ่งสามารถแบ่งออกได้อีกหลายชนิดโดยพิจารณาตามขนาด รูปร่าง สีของผล ตลอดจนการให้รสชาติว่ามีความเผ็ดมากน้อยเพียงใดหรือไม่เผ็ด ผลที่ยังอ่อนอยู่ สีของผลมักมีสีชีด, สีเขียว หรือสีม่วง เมื่อผลแก่จะมีสีแดงเข้ม, เหลืองอมส้ม, เหลืองนํ้าตาล, ม่วง หรือสีขาวนวล พริกที่จัดอยู่ในพวกนี้ เช่น พริกขี้หนู พริกยักษ์ พริกหยวก พริกจินดา พริกมัน หรือพริกชี้ฟ้า เป็นต้น

๒. พวกยืนต้น พริกที่อยู่ในพวกมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Capsicum frutescens L.) เป็นพริกที่มีอายุในการให้ผลผลิตนานกว่าพวกแรก (ประมาณ ๒-๓ ปี) มีลักษณะต้นเป็นไม้กึ่งพุ่ม ดอกสีเขียวอมเหลืองมี ๑-๓ ดอกต่อข้อ ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นกลุ่มขนาดผลเล็ก ลักษณะของโคนผลใหญ่ ปลายเรียวเล็กยาวประมาณ ๒-๓ เซนติเมตร ปลายผลชี้ขึ้น ผลเมื่อสุกมีสีแดงหรือเหลือง ส่วนใหญ่มีรสเผ็ดจัด เช่น พริกขี้หนูสวน พริกตาบาสโก เป็นต้น

สำหรับพันธุ์พริกที่ปลูกทั่วไปในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะแตกต่างกันออกไปตามท้องที่ปลูกและชื่อพันธุ์พริกก็มักเรียกต่างกันไปตามท้องถิ่นนั้น ๆ เช่น พริกพันธุ์ห้วยสีทน พริกเชียงใหม่ พริกบางช้าง และพริกที่นิยมปลูกมากที่สุดส่วนใหญ่เป็นพริกขี้หนู รองลงมาได้แก่ พริกชี้ฟ้า พริกมัน พริกสิงคโปร์ และพริกเหลือง เป็นต้น ลักษณะของพันธุ์พริกบางพันธุ์ที่มีการปลูกกัน ซึ่งสามารถปลูกขึ้นได้ดี ได้แก่

๑. พันธุ์ห้วยสีทน เป็นพริกขี้หนูเม็ดใหญ่ สำหรับประวัติของพริกพันธุ์นี้ ได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ ในปี ๒๕๑๖ ฝ่ายสาขาพืชผัก กองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร ได้รับเมล็ดพันธุ์พริกขี้หนูเม็ดใหญ่หรือที่เรียกว่าพริกจินดา จาก ดร.เถลิง ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยนั้น และได้นำมาทดลองปลูกศึกษาที่โครงการไร่นาตัวอย่างห้วยสีทน จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อปรับปรุงพันธุ์ให้มีลักษณะดีทั้งในด้านการเจริญเติบโตและความสม่ำเสมอของสายพันธุ์ รวมทั้งรูปร่าง และขนาดของผลให้เป็นที่นิยมของตลาดต่อมาในปี ๒๕๒๒ ก็ได้ผลิตเมล็ดพันธุ์พริกดังกล่าว (พันธุ์ห้วยสีทน) แนะนำสู่เกษตรกร

ลักษณะประจำพันธุ์ของพริกพันธุ์ห้วยสีทน มีทรงต้นตั้งเป็นพุ่มรูปตัววี สูงประมาณ ๑ เมตร เมื่อเริ่มให้ผล (มีอายุหลังจากย้ายกล้าปลูกประมาณ ๑๐๐ วัน) และจะสูงขึ้นจนถึงประมาณ ๑๕๐-๑๖๐ เซนติเมตร เมื่อมีอายุตั้งแต่ ๕ เดือนขึ้นไป ทรงพุ่มกว้างประมาณ ๘๐ เซนติเมตร มีกิ่งที่แตกออกจากโคนต้นประมาณ ๓-๕ กิ่ง มองดูแล้วมีลักษณะคล้ายกับการแตกกอของข้าว ลักษณะการติดผลชี้ขึ้นบน ผลเมื่อยังอ่อนมีสีเขียว ผลแก่สีแดงเข้ม ยาวประมาณ ๔ เซนติเมตร (ผลที่ออกรุ่นแรกมักยาวกว่ารุ่นหลังๆ) โคนผลใหญ่และเรียวไปหาปลาย ขนาดของผลค่อนข้างอ้วนปานกลาง ทั้งผลสดและผลแห้งมีรสชาติเผ็ดจัด เมื่อเก็บผลที่สุกมาทำเป็นพริกแห้งก็จะมีสีแดงเข้ม ผลเหยียดตรงไม่บุบบู้บี้ ก้านผลโดยทั่ว ๆ ไปยาวเท่ากับความยาวของผล ผลเกิดขึ้นตามข้อของกิ่งเกือบทุกกิ่ง

ลักษณะเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์พื้นเมือง

๑. ให้ผลผลิตสูงกว่า

๒. ให้น้ำหนักพริกแห้งสูงกว่า

๓. ผลสีแดงและเข้มกว่าทั้งสดและแห้ง

๔. เมื่อผลแห้งผิวจะมันมากกว่า

๕. ผลตากแห้งมีลักษณะที่เหยียดตรงมากกว่า

๖. ก้านผลยาวกว่า ชื่อเป็นที่นิยมของตลาดมาก

๗. แตกกิ่งกระโดงที่โคนต้นมากกว่า

๘. ทนทานต่อสภาพความแห้งแล้งได้ดีกว่า

พริกขี้หนูพันธุ์ห้วยสีทนสามารถปลูกได้ในสภาพดินฟ้าอากาศทั่วไป ทั่วทุกภาศของประเทศและทุกฤดูกาล เป็นพันธุ์ที่ทนต่อความแห้งแล้งได้ดี แต่ไม่ทนต่อดินปลูกที่ชื้นแฉะ จึงไม่เหมาะสมที่จะปลูกในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี ทั้งยังเป็นพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับพริกแห้ง เพราะสามารถเก็บไว้ได้นานวัน

๒. พันธุ์หัวเรือ เป็นพันธุ์พริกขี้หนูเม็ดใหญ่อีกเช่นกัน ปุลูกมากในจังหวัด อุบลราชธานี มีคุณสมบัติของพริกพันธุ์นี้คือ ปลูกง่าย ให้ผลผลิตสูง มีกลิ่นหอม รสชาติชวนกิน รสเผ็ด ลักษณะผลชี้ขึ้น ทั้งยังเหมาะสำหรับทำพริกแห้ง

๓. พันธุ์บางช้าง มีผลขนาดใหญ่ ยาวเรียว ชี้ลงดิน ผิวขรุขระ ผลดิบมีสีเขียวอ่อน เมื่อสุกมีสีแดงเข้ม เมื่อตากแห้งแล้วผิวจะย่นมาก ลักษณะต้นค่อนข้างเตี้ย ใบหน้าใหญ่ มีสีเขียวอ่อน

๔. พันธุ์เจแปน มีลำต้นสูงโปร่ง ทรงพุ่มกว้าง ผลค่อนข้างจะใหญ่ ชี้ลงดิน ผลดีบมีสีเขียวอ่อน ผลสุกสีแดง เมื่อนำไปตากแห้งมีสีส้ม

๕. พันธุ์เคเยนลองสลิม Cayenne Long Slim) เป็นพันธุ์พริกสีฟ้าพันธุ์ หนึ่ง ผลอ่อนมีสีเขียวแก่ เมื่อผลแก่เปลี่ยนเป็นสีแดงจัด

๖. พันธุ์ฮังกาเรียน เยลโล่ แว๊ก ฮอท (Hangarian Yellow Wax Hot) เป็นพันธุ์พริกหยวก ลำต้นตั้งตรง ใบมีสีเขียวอ่อน เมื่อผลยังอ่อนมีสีเหลืองและเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเมื่อผลสุก

๗. พันธุ์เบลบอย ไฮบริด (Bell Boy Hybrid) เป็นพันธุ์พริกยักษ์มี ลักษณะลำต้นเป็นพุ่มขนาดประมาณ ๕๐-๖๐ เซนติเมตร ผลมีสีเขียวเข้มถึงสีแดงเนื้อหนา

๘. พันธุ์บูลสตาร์โฮบริด (Blue Star Hybrid) เป็นพันธุ์ยักษ์อีกเช่นกัน มี ต้นตั้งสูง ผลมีสีเขียวเข้ม เป็นผลขนาดใหญ่ มี ๓-๔ ลอน เนื้อหนาปานกลาง

(ที่มา:http://www.thaikasetsart.com/)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 13:37:39 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #41 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2013, 09:48:02 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 33

น้อยหน่า

เรื่อง น้อยหน่า ผลไม้รสหวานพลังงานสูง

น้อยหน่าผลไม้ต่างแดนที่อยู่เมืองไทยมาหลายร้อยปี เป็นผลไม้ที่ให้ความหวาน มีคาร์โบไฮเดรตในรูปของน้ำตาลในปริมาณมากเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานในแต่ละวันค่อนข้างสูง มีวิตามิน A และ C ในปริมาณพอเหมาะซึ่งจะช่วยบำรุงสายตา และป้องกันโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี น้ำน้อยหน่าคั้นดื่มเพื่อขับเสมหะ และทำให้ชุ่มคอได้ดีมาก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Annona squamosa Linn.
ชื่อวงศ์ : ANNONACEAE
ชื่อสามัญ : Sugar Apple, Sweetsop, Custard Apple
ชื่ออื่น ๆ หมักเขียบ (ตะวันออกเฉียงเหนือ), ลาหนัง(ปัตตานี), มะนอแน่, มะแน่(เหนือ), หน่อเกล๊ะแซ (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), มะออจ้า, มะโอจ่า (เงี้ยว-เหนือ), เตียบ(เขมร) เป็นพืชยืนต้น ผลมีเนื้อสีขาว เมล็ดดำ รสหวาน ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกากลาง และใต้ แต่จะพบอยู่ทั่วไปในเขตร้อน ในประเทศไทยปลูกมากทางภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือ

ลักษณะทั่วไป
น้อยหน่า เป็นไม้ยืนต้น สูง 3-5 เมตร ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปใบหอกแกมขอบขนาน กว้าง 3-6 ซม. ยาว 7-13 ซม. ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ ห้อยลง กลีบดอกสีเหลืองแกมเขียว 6 กลีบ เรียง 2 ชั้นๆ ละ 3 กลีบ หนาอวบน้ำ มีเกสรตัวผู้และรังไข่ จำนวนมาก ผลเป็นผลกลุ่ม ค่อนข้างกลม

ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แตกกิ่ง ก้านสาขาออกเป็นก้านเล็ก ๆ ไม่ใหญ่โตมากนัก ผิวเกลี้ยง สีเทาอมน้ำตาล ลำต้นสูงประมาณ 8 เมตร ออกใบเดี่ยว เรียงสลับกันไป ตามข้อต้น ลักษณะของใบเป็นรูปรี ปลายและ โคนใบจะแหลม ใบกว้างประมาณ 1 – 2.5 นิ้ว ยาว 3 – 6 นิ้วสีเขียว ก้านใบยาว 0.5 นิ้ว
ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกันไปตามข้อต้น เป็นรูปรี ปลายใบและโคนใบแหลม ก้านใบยาว
ดอก ออกดอกเดี่ยว ๆ อยู่ตามง่ามใบ ลักษณะของดอกจะห้อยลงมีอยู่ 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ ชั้นในกลีบดอกจะสั้นกว่าชั้นนอก มีสี เหลืองอมเขียว กลีบเลี้ยงมี 3 กลีบ เกสรกลางดอกมีจำนวนมากมาย
ผล ออกเป็นลูกกลม ๆ ป้อม ๆ โตประมาณ 3 – 4 นิ้ว มีผิวขรุขระเป็นช่องกลมนูน ซึ่งใน แต่ละช่องนั้นภายในจะเป็นเนื้อสีขาว และมีเมล็ดสีดำหรือน้ำตาลเข้ม เนื้อในทานได้มีรส หวาน เปลือกผลสีเขียว แต่ถ้าสุกตรงขอบช่อง นูนนั้นจะออกสีขาวและบีบดูจะนุ่ม ๆ


น้อยหน่า มีชื่อสามัญ Sugar Apple , Sweetsop, Custard Apple ภาคเหนือเรียกว่า มะนอแน้ ภาคใต้เรียกว่า ลงหนัง การจำแนกน้อยหน่า โดยทั่วไปจะจำแนกตามลักษณะต่าง ๆ เช่น สีผิวของผล สีเนื้อและชนิดของเนื้อ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

น้อยหน่าพื้นเมืองหรือน้อยหน่าฝ้าย แบ่งออกได้ 2 สายพันธุ์ ตามลักษณะของสีผล คือ น้อยหน่าฝ้ายเขียวซึ่งมีผลสีเขียว กับน้อยหน่าฝ้ายครั่งมีผลสีม่วงเข้ม น้อยหน่าฝ้ายโดยทั่วไปมีลักษณะดังนี้คือ ลำต้นกลม เปลือกสีน้ำตาล พุ่มต้นมีรูปทรงแบบที่มีกิ่งก้านสาขาด้านกว้างมากกว่าความสูง ใบเป็นรูปไข่หรือโอวอนแลนซีโอเลท (oval lanceolate) สีใบเขียวในน้อยหน่าฝ้ายเขียว และสีเขียวเข้มในน้อยหน่าฝ้ายครั่ง ด้านล่างของใบสากมือเล็กน้อย ปลายใบเรียวแหลมฐานใบเป็นมุมป้าน ความยาวเฉลี่ย 12.32 ซม. ความกว้าง 5.13 ซม. ใบเรียงสลับกันออลเทอร์เนท (alternate) ลักษณะภายนอก ผลมีขนาดเฉลี่ยใหญ่กว่าพันธุ์อื่น ๆรูปร่างผลรูปหัวใจ ความยาวเฉลี่ย 6.78 ซม. ความกว้างเฉลี่ย 6.86 ซม. น้ำหนักเฉลี่ย 182.2 กรัม ผลอ่อนนุ่มเมื่อสุกมักแตกจากขั้ว ลักษณะภายใน เนื้อหยาบเป็นทราย เปลือกไม่ล่อนเมื่อปอกเปลือกเนื้อกับเมล็ดมักมักติดเปลือก เนื้อยุ่ยไม่จับตัวเป็นก้อน เนื้อในสีขาวในน้อยหน่าฝ้ายเขียว และสีขาวอมชมพูในน้อยหน่าฝ้ายครั่ง มีกลิ่นหอม รสหวาน เปอร์เซ็นต์น้ำตาลเฉลี่ย 17.2 % เมล็ดสีดำเป็นมันเมื่อแห้งเป็นสีน้ำตาล จำนวนเมล็ดเฉลี่ยต่อผล 50 เมล็ด การสุกประมาณ 1 วันpatch7
น้อยหน่าหนังหรือน้อยหน่าญวน แบ่งได้ 3 สายพันธุ์ คือ น้อยหน่าหนังเขียวมีผลสีเขียว น้อยหน่าหนังทองเกิดจากการเพาะเมล็ดของน้อยหน่าหนังเขียวแล้วกลายพันธุ์ผลมีสีเหลืองทอง และน้อยหน่าหนังครั่งเกิดจากการเพาะเมล็ดของน้อยหน่าหนังเขียวแล้วมีการกลายพันธุ์เช่นเดียวกับหนังทองแต่มีผลสีม่วงเข้มคล้ายน้อยหน่าฝ้ายครั่ง น้อยหน่าหนังโดยทั่วไปมีลักษณะดังนี้คือ ลำต้นกลมเปลือกสีน้ำตาล แตกกิ่งก้านสาขารอบต้น ทรงพุ่มเป็นรูปโดม (dome shaped) ใบมีรูปร่างรูปไข่และรูปหอก ปลายใบเรียวแหลมเล็กน้อย ด้านบนของใบสีเขียวเข้ม ในน้อยหน่าหนังเขียว สีเหลืองทองในน้อยหน่าหนังทอง และสีเขียวเข้มเกือบคล้ำในน้อยหน่าหนังครั่ง ส่วนด้านล่างของใบสีอ่อนกว่าด้านบนเล็กน้อย ความยาวเฉลี่ยของใบ 11.55 ซม. ความกว้างเฉลี่ย 5.0 ซม. ก้านใบยาวเฉลี่ย 1.5 ซม. การจัดเรียงตัวของใบเป็นแบบสลับ ลักษณะภายนอกของผล ตากว้างไม่ค่อยนูน ร่องตาตื้น ผลอ่อนนุ่มเมื่อสุกมักแตกจากขั้ว ผลยาวเฉลี่ย 6.87 ซม. กว้างเฉลี่ย 7.37 ซม. น้ำหนักผลเฉลี่ย 180 กรัม ลักษณะภายในผล เนื้อสีขาวในน้อยหนังเขียว สีขาวอมชมพูในน้อยหน่าหนังครั่ง และสีขาวอมเหลืองในน้อยหย่าหนังทอง เนื้อละเอียด เปลือกล่อนเป็นแผ่นล่อนจากเนื้อได้ เนื้อมาก เนื้อเหนียว กลิ่นหอม รสหวาน มีเปอร์เซ็นต์น้ำตาลเฉลี่ย 17.9% เมล็ดสีดำเป็นมัน จำนวน 41 เมล็ดต่อผล การสุกประมาณ 2 วัน

น้อยหน่าพันธุ์ลูกผสม

พันธุ์เพชรปากช่อง เกิดจากรูปผสมระหว่าง (เชริมัวย่าXหนังครั่ง)Xหนังเขียว#102 เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะใบขนาดกลาง รูปหอกกว้าง 7.4 ซม. ยาว 17.9 ซม. สีpatch6เขียวเข้ม เส้นใบเด่นเห็นชัดเจน ทรงพุ่มโปร่งปานกลาง ดอกใหญ่กว้าง 0.9 ซม. ยาว 2.8 ซม. ผลใหญ่รูปหัวใจกว้าง 9 ซม. ยาว 9.7 ซม. น้ำหนักผลเฉลี่ย 436.8 กรัม/ผล ผิวค่อนค้างเรียบ มีร่องตาตื้นคล้ายน้อยหน่าหนัง ผลอ่อนสีเขียวเข้ม เมื่อแก่จัดสีเขียวอ่อนขาวนวล เปลือกบางลอกเปลือกได การแตกของผลน้อยเมื่อแก่หรือสุก เนื้อเหนียวคล้ายน้อยหน่าหนัง ปริมาณเนื้อ72.4 % เมล็ดสีน้ำตาลอ่อนเฉลี่ย 19 เมล็ดต่อผล รสชาติหวานหอม ความหวาน 20 บริกซ์ การสุกช้าเฉลี่ย 4.9 วัน อายุหลังการเก็บเกี่ยวยาวนาน เริ่มให้ผลผลิตเมื่อต้นอายุ 2 ปีหลังปลูก เมื่อตัดแต่งสามารถออกดอกติดผลได้ตลอดปี การติดผลดกกระจายทั่วต้น อายุ 2 ปีเริ่มให้ผลผลิตเฉลี่ย 2.2 กก./ต้น/ปี อายุ 3 ปี เฉลี่ย 4.4 กก./ต้น/ปี และอายุ 4 ปีเฉลี่ย 37.9 กก./ต้น/ปี เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่มีเมล็ดน้อยจึงทำให้มีผลบิดเบี้ยวและมีขนาดของผลที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก แต่มีการติดผลง่ายทำให้สามารถเลือกไว้ผลที่มีรูปทรงตามต้องการได้
พันธุ์เนื้อทอง เกิดจากลูกผสมระหว่าง (เซริมัวย่า x หนังเขียว) x หนังเขียว #31 เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะใบขนาดใหญ่รูปหอกกว้าง 7.8 ซม. ยาว 18.3 ซม. สีเขียวอกเหลือง เส้นใบเด่นเห็นชัดเจน ทรงพุ่มโปร่ง ดอกใหญ่สั้น กว้าง 0.8 ซม. ยาว 2.9 ซม. ผลใหญ่รูปหัวใจกว้าง 8.8 ซม. ยาว 9.9 ซม. น้ำหนักผลเฉลี่ย 504.8 กรัม/ผล ผิวผลเรียบไม่มีร่องตา ผลอ่อนสีเขียวอ่อนเมื่อแก่จัด สีขาวนวล การแตกของผลปานกลางเมื่อสุก เปลือกหนามีส่วนของเมล็ดทรายอยู่ระหว่างเปลือกด้านในติดกับเนื้อ เนื้อสามารถแยกออกเป็นพูๆ ได้ไม่ติดกัน ปริมาณเนื้อ 64.0 เปอร์เซ็นต์ เมล็ดสีดำเฉลี่ย 23.3 เมล็ด/ผล รสชาติหวานหอม ความหวาน 18.9 บริกซ์ การสุกเฉลี่ย 4.5 วัน อายุหลังการเก็บเกี่ยวขาวนาน เริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุ 2 ปีหลังปลูก เมื่อตัดแต่งสามารถออกดอกติดผลได้ตลอดปีการติดผลดกกระจายทั่วต้นแต่ในบางฤดูมีการติดผลค่อนข้างยาก มีขนาดผลสม่ำเสมอไม่แตกต่างกันมาก อายุ 2 ปี ผลผลิตเฉลี่ย 1.78 กก./ต้น/ปี อายุ 3 ปีเฉลี่ย 2.14 กก./ต้น/ปี และอายุ 4 ปีเฉลี่ย 13.62 กก./ต้น/ปี
การขยายพันธุ์ เป็นพรรณไม้ที่ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด แต่จะไม่ชอบอยู่ในที่มีน้ำขัง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

การนำไปใช้ประโยชน์

ใบสดและเมล็ดน้อยหน่าสามารถใช้ฆ่าเหา และ โรคกลากเกลื้อน
โดยเอาใบน้อยหน่าสดมาคั้นเอาแต่น้ำ แล้วพอกหัว ภายใน 7 วัน
กลากเกลื้อนและเหาก็จะหาย เป็นเหา ซึ่งมีวิธีรักษาอยู่ 2 วิธีคือ
นำใบน้อยหน่าประมาณ 3-4 ใบมาบดหรือตำให้ ละเอียดแล้วคลุกกับเหล้า 28 ดีกรี คลุกให้เคล้ากันจนได้กลิ่นน้อยหน่า แล้วนำมาทาหัวให้ทั่ว เอาผ้าคลุมไว้สัก 10-30 นาทีและเอาผ้าออกใช้หวีสาง เหาก็ตกลงมาทันที
นำใบน้อยหน่า 7-8 ใบ มาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำทาหัวทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออก ซึ่งจะช่วยทำให้ไข่ฝ่อ และฆ่าเหาได้ และ แก้ขับพยาธิลำไส้ ฆ่าเหา แก้หิด แก้กลากเกลื้อน และแก้ฟกบวม
ราก เป็นยาระบาย ทำให้อาเจียน และแก้พิษงู ถอนพิษเบื่อเมา
เปลือกต้น เป็นยาสมานลำไส้ สมานแผล แก้ท้องร่วง แก้พิษ
แก้รำมะนาด ยาฝาดสมาน
ผล ผลดิบ จะเป็นยาแก้พิษงู แก้ฝีในคอ กลาก เกลื้อน ฆ่าพยาธิ ผิวหนัง และผลแห้ง แก้งูสวัด เริม แก้ฝีในหู
สรรพคุณ:
ตำรายาไทย: เมล็ด ตำผสมน้ำมันมะพร้าว ทาฆ่าพยาธิผิวหนัง ฆ่าเหา ฆ่าหิด ฆ่าพยาธิตัวจี๊ด แก้บวม รับประทานขับเสมหะ
รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา:
ใบสด 8-12 ใบ หรือเมล็ดที่กะเทาะเปลือกแล้ว (บุบพอแตก เอาแต่เนื้อในเมล็ด) ประมาณ 10-20 เมล็ด ตำให้ละเอียด 3-5 ช้อนชา ผสมกับน้ำมันพืช เช่นน้ำมันมะพร้าว 6-10 ช้อนชา คั้นเอาเฉพาะน้ำมันมาชโลมให้ทั่วเส้นผม ใช้ผ้าคลุมทิ้งไว้ 1/2 ชั่วโมง สระออกให้สะอาด ทำวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 2-3 วัน ไข่และตัวเหาจะตาย
การใช้ขนาดของสมุนไพร ขึ้นอยู่กับผมยาวและผมสั้น ถ้าผมยาวเพิ่ม ถ้าผมสั้นลดจำนวนของสมุนไพรลงเล็กน้อย สำหรับน้ำมันพืชก็เช่นเดียวกัน การชโลมน้ำยาบนเส้นผม ระวังอย่าให้เข้าตา เปลือกตา ริมฝีปาก รูจมูก เพราะจะทำให้ตาอักเสบ และเกิดอาการแสบร้อน ถ้าเข้าตาให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที และห้ามชโลมยาทิ้งไว้ข้ามคืน การสระน้ำยาสมุนไพรออก ต้องสระให้สะอาดทุกครั้ง

การปลูกน้อยหน่า
วิธีการปลูก

ควรปลูกในช่วงฤดูฝน
ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้าง ยาวและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร
ผสมดิน ปุ๋ยคอกจำนวน 5 กิโลกรัม และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตจำนวน 5 กิโลกรัม ประมาณ 500 กรัม เข้าด้วยกันในหลุมสูงประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม
ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุม โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย
ใช้มีดที่คมกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุงทั้ง 2 ด้าน (ซ้ายและขวา)
ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก
กลบดินที่เหลือลงในหลุม
กดดินบริเวณโดนต้นให้แน่น
ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลดพัดโยก
หาวัสดุคลุดดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง
รดน้ำให้ชุ่ม
ทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสงแดด
ระยะปลูก 3 x 3 เมตร

การดูแลรักษา
การให้ปุ๋ย

ต้นที่ยังไม่ให้ผลผลิตใส่ปุ๋ย อัตรา 0.5 กิโลกรัม/ต้น/ปี แบ่งใส่ 2 – 3 ครั้ง
ต้นที่ให้ผลผลิตแล้ว แบ่งการใส่ปุ๋ย
ปริมาณปุ๋ยที่ใช้ขึ้นอยู่กับอายุของต้นและผลผลิตบนต้น ซึ่งอัตราที่ใช้อยู่ระหว่าง 2 – 4 กิโลกรัม/ต้น/ปี
การให้น้ำ
ในระยะปลูกใหม่ จำเป็นต้องให้น้ำสม่ำเสมอ จะช่วยให้น้อยหน่าเจริญเติบโตได้เร็ว จำนวนรอดตายสูง น้อยหน่าเริ่มติดผลได้ในปีที่ 2 การให้น้ำแก่ต้นน้อยหน่าสม่ำเสมอจะทำให้ขนาดของผลและคุณภาพผลดี


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 13:43:18 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #42 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2013, 11:47:19 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 34

มะเขือเทศ

เรื่อง การปลูกมะเขือเทศ

มะเขือเทศสามารถเจริญเติบโตทางด้านลำต้น ใบ และออกดอกได้ดีตลอดทั้งปี แต่การติดผลของมะเขือเทศต้องการสภาพอากาศค่อนข้างเย็น อุณหภูมิกลางวันที่เหมาะสมอยู่ที่ระหว่าง 25 - 30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิกลางคืนประมาณ 16 - 20 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิกลางคืนสูงกว่า 22 องศาเซลเซียส จะทำให้มะเขือเทศไม่ติดผลหรือติดผลได้น้อยมาก ฝนและความชื้นสูงเป็นสาเหตุสำคัญทำให้โรคทางใบและทางรากระบาดรุนแรง ดังนั้นฤดูปลูกที่เหมาะสมที่สุดจึงอยู่ในช่วงฤดูหนาว โดยมีช่วงหยอดเมล็ดเพาะกล้าอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ซึ่งนอกจากสภาพอากาศจะเหมาะสมต่อการติดผล ทำให้ได้ผลผลิตสูงแล้วยังมีศัตรูพืชรบกวนน้อย ต้นทุนการผลิตจึงต่ำกว่าการปลูกในฤดูอื่นด้วย

การปลูกทำได้ 2 วิธี

1. เพาะกล้าแล้วย้ายปลูก โดยเตรียมแปลงกล้าอย่างประณีต ยกแปลงสูงประมาณ 1 คืบ นำปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมักมาคลุกเคล้าประมาณ 1 - 2 บุ้งกี๋ ต่อ 1 ตารางเมตร ใช้เมล็ดประมาณ 30 - 40 กรัม หยอดลงบนแปลงยาว 10 เมตร กว้าง 1 เมตร จะได้ต้นกล้าพอสำหรับปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ การหยอดเมล็ด ควรหยอดเป็นแถวห่างกันประมาณ 10 ซม. ลึกไม่เกิน 1 ซม. เมื่อหยอดเมล็ดแล้วกลบด้วยดินผสมปุ๋ยหมัก และคลุมแปลงด้วยฟางข้าว หรือ หญ้าแห้งบางๆ ในช่วง 3 วันแรก รดน้ำสม่ำเสมออย่าให้ผิวหน้าดินแห้ง และถ้าแดดจัดหรือฝนตกหนักต้องคลุมแปลงด้วยผ้าไนล่อนหรือผ้าพลาสติก เพื่อป้องกันเม็ดฝนกระแทกลำต้นหรือใบเป็นรอยซ้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย โรคที่สำคัญในแปลงกล้า คือ โรคโคนเน่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝนตกติดต่อกัน ความชื้นในอากาศและที่ผิวดินสูง ป้องกันโดยนำเศษฟางหรือหญ้าที่ใช้คลุมแปลงออกให้หมด เพื่อให้แปลงกล้าโปร่งและการระบายอากาศดี แล้วฉีดพ่นด้วยยากันรา ในช่วงที่กล้ามะเขือเทศอายุประมาณ 17 - 22 วัน ควรลดปริมาณน้ำที่ให้ลง และให้กล้าได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ ต้นกล้าจะแข้งแรง เหนียว ไม่อวบฉ่ำน้ำ ซึ่งมีผลให้กล้ารอดตายมาก หลังจากย้ายกล้า โดยทั่วไปการย้ายกล้าลงแปลงปลูกมักจะใช้กล้าอายุประมาณ 21 - 25 วัน หลังจากหยอดเมล็ดหรือเมื่อกล้ามีใบจริง 3 - 4 ใบ

2. หยอดเมล็ดลงแปลงปลูกโดยตรง ใช้ในกรณีที่สามารถให้น้ำได้ง่าย แต่จะเสียเวลาและแรงงาน ในการดูแลรักษามากกว่า อีกทั้งต้องใช้เมล็ดพันธุ์มากขึ้นเป็น 80 - 100 กรัม ต่อไร่ สำหรับระยะปลูกที่เหมาะสม ควรใช้ระยะระหว่างแถว 1 เมตร ระยะระหว่างต้น 25 - 50 ซม. ปลูก 1 ต้น ต่อ หลุม ถ้าใช้ระยะปลูกแคบจะได้ผลผลิตต่อ พื้นที่มากขึ้น แต่การควบคุมโรคและการปฏิบัติงานอื่น จะยุ่งยากขึ้นด้วย ในฤดูแล้งควรปลูกถี่ ส่วนในฤดูฝนควรใช้ระยะปลูกห่าง เนื่องจากมะเขือเทศเจริญเติบโตดี มีทรงพุ่มสูงใหญ่กว่าฤดูอื่นๆ

การปฏิบัติดูแลรักษา

- การคลุมแปลงปลูกด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง เพื่อรักษาความชื้นของดินและเป็นการป้องกันการชะล้างผิวหน้าดินเมื่อฝนตก หรือให้น้ำ นอกจากนี้ยังช่วยลดเปอร์เซ็นต์ผลเน่าและการระบาดของโรคทางใบ ซึ่งจะช่วยให้ผลผลิตเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 20 - 40 % แต่ฟางมักจะมีเชื้อราสเคอโรเตี่ยมติดมาด้วย ทำให้เกิดโรคเหี่ยวต้นแห้งตายไป การคลุมฟางจึงควรคลุมให้ห่างโคนต้น เพื่อไม่ให้โคนต้นมีความชื้นสูงเกินไป

- การกำจัดวัชพืช ใช้สารเคมีชื่อ เมตริบูซิน หรือชื่อการค้าว่า เซงคอร์ อัตรา 80 - 120 กรัม (เนื้อสารบริสุทธิ์) หรือ 115 - 170 กรัม สารเซงคอร์ 70 % ต่อพื้นที่ปลูก 1 ไร่ ฉีดหลังจากย้ายกล้า ขณะที่ดินมีความชื้นอยู่ จะสามารถควบคุมวัชพืชใบแคบและใบกว้างบางชนิดได้ แต่ถ้ามีการพรวนดิน พูนโคนหลังจากใส่ปุ๋ยที่อายุ 20 และ 40 วัน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีควบคุมวัชพืช

- การใส่ปุ๋ย

1. ปุ๋ยรองพื้น ใช้ปุ๋ย 15 - 15 - 15 อัตรา 30 กก./ไร่ รองก้นหลุมพร้อมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2,000 กก./ไร่ และโบแรกซ์ 4 กก./ไร่

2. ปุ๋ยแต่งหน้าที่อายุ 7 - 10 วัน หลังจากย้ายปลูก ใช้ปุ๋ย 46 - 0 - 0 หรือ 21 - 0 - 0 อัตรา 10 หรือ 20 กก./ไร่ ถ้าเปลี่ยนแปลงปลูกที่เคยปลูกผักกินใบ เช่น ผักชี มาก่อนควรใช้ปุ๋ย 13 - 13 - 21 แทน

3. ปุ๋ยแต่งหน้าที่อายุ 21 - 25 วัน หลังจากย้ายปลูก ใช้ปุ๋ย 15 - 15 - 15 อัตรา 30 กก./ไร่

4. ปุ๋ยแต่งหน้าที่อายุ 40 วัน หลังจากย้ายปลูก ใช้ปุ๋ย 13 - 13 - 21 อัตรา 30 กก./ไร่

5. ปุ๋ยแต่งหน้าที่อายุ 60 วัน หลังจากย้ายปลูก ใช้ปุ๋ยชนิดและอัตราเดียวกับครั้งที่ 4 แต่ถ้าสภาพต้นมะเขือเทศค่อนข้างโทรมมีผลน้อยก็ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยครั้งที่ 5

ในสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม เช่น ร้อนเกินไปหรือมีฝนตกบ่อย ทำให้ต้นมะเขือเทศไม่ค่อยสมบูรณ์ หรือมีอาการเฝือใบ อาจช่วยได้โดยการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบสูตรต่างๆ ตามระยะการเจริญเติบโต เช่น ในระยะยังไม่ออกดอกอาจใช้ปุ๋ยใบสูตรเสมอ เช่น 25 - 25 - 25 ส่วนในระยะออกดอกแล้วควรใช้ปุ๋ยใบที่มีฟอสฟอรัส และ โปแตสเซียมสูง เช่น 10 - 23 - 20 หรือ 10 - 30 - 20 เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปุ๋ยใบที่มีธาตุอาหารรอง หลายชนิดอยู่ด้วย เช่น แมงกานีส เหล็ก สังกะสี โบรอน จะช่วยให้ต้นมะเขือเทศสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

- การให้น้ำ ระยะที่มะเขือเทศต้องการน้ำมากคือ ช่วงแรกของการเติบโตและช่วงที่ผลกำลังขยายขนาด (ประมาณ 35 - 50 วัน หลังจากย้ายกล้า) สำหรับช่วงที่กำลังติดผล (20 -35 วัน) ไม่ต้องการน้ำมากนัก แต่ต้องการการพรวนดิน เพื่อให้รากเจริญเติบโตลงไปได้ลึก และรากกระจายทางด้านข้างได้สะดวก

- การปักค้าง มีความจำเป็นมากเมื่อปลูกมะเขือเทศในฤดูฝน หรือ ปลูกด้วยพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตแบบเลื้อย การปักค้างแบบค้างเดี๋ยวหรือแบบกระโจม จะช่วยให้ผลผลิตของมะเขือเทศสูงขึ้นกว่าการไม่ปักค้าง 20 % และทำให้การฉีดยาป้องกันศัตรูพืช การเก็บเกี่ยว และการปฏิบัติงานอื่นๆ ในแปลงสะดวกขึ้น นอกจากปักค้างแล้วต้องหมั่นผูกต้นมะเขือเทศติดกับค้างด้วย มิฉะนั้นแขนงที่เกิดใหม่จะเจริญเติบโตทอดไปกับดินทำให้ผลเน่าเสียหายได้

- การป้องกันกำจัดโรคที่สำคัญ โรคที่สำคัญ ได้แก่

1. โรคใบไหม้ เนื่องจากเชื้อ Alternaria และ Cercospora ระบาดเร็วมากเมื่ออุณหภูมิและความชื้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูฝนที่มีฝนตกติดต่อกันหลายวัน การเด็ดใบด้านล่างที่เป็นโรคทิ้งจะช่วยให้การระบาดของโรคช้าลง

2. โรคใบหงิกจากเชื้อไวรัส เกิดได้ทุกฤดูโดยมีแมลงหวี่ขาว และ เพลี้ยอ่อนเป็นพาหนะนำเชื้อ

3. โรคเหี่ยวเนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย มะเขือเทศเหี่ยวตายอย่างรวดเร็วขณะที่ลำต้นใบ ยังเขียวอยู่ไม่มียาป้องกันต้องใช้พันธุ์ต้านทานเท่านั้น ถ้าพบต้นเป็นโรคควรถอนทิ้งเผาไฟทันที

4. โรคเหี่ยวจากเชื้อสเคอโรเตี่ยม เกิดมากเมื่อดินมีความชื้นสูง จะพบราสีขาวทำลายผิวส่วนโคนต้นที่ติดกับดิน และในระยะต่อมาจะเห็นสปอร์คล้ายเมล็ดผักกาดที่โคนต้น การป้องกันใช้สารเคมีชื่อ ไวตาแวกส์ราด หรือ ใช้ปูนขาวประมาณครึ่งกำมือหรือใช้เชื้อราไตรโคเดอร่า โรยชิดโคนต้น

การป้องกันและกำจัดโรคราโดยใช้สารเคมีมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้

1. ขณะที่ยังไม่เกิดโรคควรฉีดยาป้องกันทุกๆ 7 - 10 วัน โดยใช้สารเคมีพื้นๆ เช่น แคปแทน , ไดเทนเอม45 , คอปเปอร์ออกซี่คลอไรด์ , คูปราวิท

2. เมื่อเริ่มเกิดอาการโรคระบาดจนเห็นได้แล้วควรใช้สารเคมี ประเภทดูดซึม เช่น เบนเลท โอดี , บาวีซาน , รอฟรัล , ดาโคนิล แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 3 ครั้ง จะทำให้เชื้อโรคดื้อยาได้ง่าย

- การป้องกันกำจัดแมลงที่สำคัญ แมลงที่สำคัญ คือ

หนอนเจาะผล ต้องกำจัดตั้งแต่หนอนยังมีขนาดเล็กก่อนที่จะเจาะทำลายเข้าไปในผล โดย สังเกตจากไข่หนอนซึ่งเป็นไข่เดี่ยวๆ รูปร่างกลม สีส้มเหลือง ขนาดประมาณหัวเข้มหมุด โดยตัวแก่ผีเสื้อกลางคืนวางไข่ตามยอดอ่อนหรือกลีบดอก ถ้าพบปริมาณไข่มากจะต้องฉีดยาภายใน 1 - 2 วัน สารเคมีที่ใช้เป็นประเภทถูกตัวตาย เช่น แลนเนท หรือ สารไพรีทรอยด์ และหมั่นเก็บผลที่ถูกหนอนเจาะทำลายออกจากแปลงนำมาเผาไฟ เพราะหนอนที่อยู่ในผลจะออกมาทำลายผลที่อยู่ในช่อเดียวกันต่อไปนี้ ทำให้เสียหายมากขึ้น

- การเก็บเกี่ยวผลสด

เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เมื่ออายุประมาณ 55 วัน หลังจากย้ายกล้า โดยเก็บผลที่เริ่มเปลี่ยนสี เพื่อหลีกเลี่ยงผลแตกและผลสุกเกินไป

การเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกฤดูต่อไป

สามารถทำได้เมื่อพันธุ์ที่ปลูกไม่ใช่พันธุ์ ลูกผสม การเก็บเมล็ดพันธุ์ควรเลือกเก็บเมล็ดจากแปลงที่ปลูกในฤดูหนาวเท่านั้น และเลือกเก็บจากต้นที่สมบูรณ์แข้งแรง มีลักษณะผลตามที่ตลาดต้องการ จึงจะได้เมล็ดที่สมบูรณ์แข้งแรง มีเปอร์เซ็นต์ ความงอกสูง การผลิตเมล็ดพันธุ์สามารถทำได้ง่าย โดยเก็บเกี่ยวผลที่สุกแดงผ่าขวางผล บีบเมล็ดออก หมักทิ้งไว้ในภาชนะพลาสติก 24 - 36 ชั่วโมง นำไปล้างน้ำหลายๆครั้ง เมล็ดที่ดีจะจมลง เมล็ดที่ไม่สมบูรณ์จะลอย ปล่อยให้ไหลออกไป เมื่อเมล็ดสะอาดดีแล้วนำไปผึ่งแดดบนตะแกรง 2 - 3 วัน จนเมล็ดแห้งสนิทจึงบรรจุเมล็ดในถุงพลาสติกหนา หรือ ในกระป๋องที่ปิดสนิท แล้วนำไปเก็บไว้ในที่เย็น ซึ่งโดยวิธีการเช่นนี้สามารถเก็บเมล็ดได้นาน อย่างน้อย 2 - 3 ปี

ประโยชน์ของ การปลูกมะเขือเทศ

1.ผลมีรสเปรี้ยวช่วยดับกระหายทำให้เจริญอาหาร บำรุงและกระตุ้นกระเพาะอาหาร ลำไส้ ไต ให้ทำงานได้ดีด้วยช่วยขับพิษและสิ่งคั่งค้างในร่างกายเป็นยาระบายอ่อน ๆ และเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับคนเป็นโรคนิ่ว วัณโรค ไทฟอยด์ หูอักเสบ และเหยื่อตาอักเสบ ให้รับประทานผลสดลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยรับประทานมะเขือเทศเป็นประจำ
2.ผิวหนังที่โดนแดดเผา โดยใช้ใบตำให้ละเอียดทาบริเวณที่เป็น
3.นำราก ลำต้น และใบแก่ต้มกับน้ำรับประทานแก้อาการปวดฟัน
4.นำน้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่มรักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง
5.ช่วยลดการแข็งตัวของผนังหลอดเลือด รักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน ช่วยบำรุงสายตา และช่วยย่อยอาหาร ลดความดันโลหิต และช่วยบรรเทาอาการป่วยของผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคตับอักเสบ โดยรับประทานมะเขือเทศสุกเป็นประจำ
6.คั้นน้ำมะเขือเทศสุกหรือปั่น ดื่มรับประทาน ลดอาการท้องอืดเฟ้อ และอาหารไม่ย่อย ช่วยดับกระหายคลายร้อน และช่วยรักษาโรคแผลร้อนใน



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 13:49:42 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
cafee
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 122


« ตอบ #43 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2013, 11:48:53 »

ขายยังไงอ่ะครับ  ราคาเท่าไหร่
IP : บันทึกการเข้า
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #44 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2013, 12:16:35 »

ขายยังไงอ่ะครับ  ราคาเท่าไหร่


ถึงคุณ cafee

ผมส่งราคาทาง PM ให้เรียบร้อยแล้วนะครับ
สนใจสั่งซื้อติดต่อสอบถาม เบอร์ 085-0668907 ได้ตลอด 24 ชั่วโมงครับ

ขอบคุณครับที่สอบถามข้อมูลเข้ามา

ฟาร์มบ้านมูลไส้เดือน



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 กันยายน 2014, 15:25:26 โดย ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #45 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2013, 15:46:30 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #35

ต้นส้มแขก

ต้นส้มแขก ลักษณะของต้นส้มแขก เป็นไม้ยืนต้นทรงพุ่มกว้างสูงประมาณ 5-14 เมตร เป็นไม้เนื้อแข็ง จัดอยู่ในวงศ์ Guttiferae (เป็นวงศ์เดียวกับ ชะมวง และ มังคุด) ลักษณะของเปลือกต้นหากเป็นต้นอ่อนจะมีสีเขียว หากแก่แล้วจะมีสีน้ำตาลอมดำ เมื่อลำต้นเป็นแผลจะมียางสีเหลืองออกมา

ลักษณะของใบส้มแขก เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ ใบใหญ่ผิวเรียบเป็นมัน ใบอ่อนมีสีน้ำตาลอมแดง ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม ยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร กว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร โดยใบแห้งจะมีสีน้ำตาล

ส้มแขกตากแห้ง

ลักษณะของดอกส้มแขก ออกตามปลายยอด ดอกเพศผู้มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ด้านในสีแดง ด้านนอกมีสีเขียว มีเกสรเพศผู้เรียงอยู่บนฐานรองดอก ส่วนดอกเพศเมียเป็นดอกเดี่ยวแทงออกจากปลายกิ่งมีขนาดเล็กกว่าดอกเพศผู้ รังไข่มีรูปทรงกระบอก

สรรพคุณส้มแขก

ผลส้มแขก ลักษณะของผลส้มแขก เป็นผลเดี่ยว ผิวเรียบสีเขียว เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแก่ มีขนาดใกล้เคียงกับผลกระท้อน เปลือกผลเป็นร่องตามแนวขั้วไปยังปลายผล มีประมาณ 8-10 ร่อง ที่ขั้วมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ 2 ชั้นๆ ละ 4 กลีบ เนื้อแข็งมีรสเปรี้ยวจัด ในผลมีเมล็ดแข็ง 2-3 เมล็ด

ส้มแขกลดน้ําหนัก

ผลส้มแขกมีรสเปรี้ยวนิยมนำมาปรุงอาหาร เช่น แกงส้ม แกงเลียง ต้มเนื้อ ต้มปลา เพื่อให้มีรสเปรี้ยว หรือใช้ทำน้ำแกงขนมจีน ทำเป็นเครื่องดื่มลดความอ้วน โดยการรับประทานส้มแขกในระยะแรกอาจจะทำให้รู้สึกหิวบ่อยมากขึ้น เนื่องจากไปเร่งระบบการเผาผลาญอาหาร โดยร่างกายจะค่อยๆปรับตัวไปเอง ซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 อาทิตย์ ระหว่างนี้ก็ให้ดื่มน้ำมากๆ หากรับประทานไปนานๆ ก็จะช่วยลดความอยากอาหารทำให้รู้สึกไม่หิวได้ และเมื่อหยุดรับประทานส้มแขกร่างกายจึงไม่กลับมาอ้วนอีกแน่นอน และที่สำคัญก็คือเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างแน่นอน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ประเมินผลและพบว่า ไม่มีการเปลี่ยนชองหน้าที่ของตับและไต รวมไปถึงระดับน้ำตาลในเลือดและความดันเลือดก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 13:53:36 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #46 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2013, 19:37:35 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 36

สะเดา

เรื่อง เรื่องเล่าของสะเดาลวก (Maire claire)

เพราะปีหนึ่งจะมีเพียงตอนที่ลมหนาวพัดมาเยือนเท่านั้น เราถึงจะได้หม่ำอาหารสุดโอชะ นั่นก็คือสะเดาน้ำปลาหวาน ที่ถึงแม้ไม่มีกุ้งเผาหรือปลาดุกย่างมาแกล้มก็ยังสามารถเอร็ดอร่อยได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

โชคดีที่อาหารเมืองไทยเราไม่ว่าจะหน้าร้อน หน้าฝน จนถึงหน้าหนาว (น้อยๆ) เราก็มีพืชผักหมุนเวียนกันมาเปิดการแสดงตลอดเวลา และสำหรับเวทีฤดูหนาวนี้ถ้าใครพลาดการเปิดแสดงสด (ลวกน้ำร้อนพอสุก) ของสะเดาจานเด็ดนี้ไปละก็ ขอบอกว่าเสียดายแทนอย่างแรง

รสชาติของสะเดานั้นค่อนข้างขมใครที่ลิ้นยังไม่คุ้นเคยอาจไม่ชอบ แต่ด้วยภูมิปัญญาของคนไทยที่ยากจะหาชาติไหนเทียม จึงมีใครบางคนคิดค้นสูตรน้ำปลาหวานมากินคู่กับสะเดาได้อร่อยจนลืมความขมไปเลย

นอกจากกินกับน้ำปลาหวานอร่อยแล้วสะเดายังมีประโยชน์อีกตั้งมากมาย เพราะอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ที่สามารถสกัดกั้นโรคมะเร็ง มี Polysaccharides กับ Liminoids ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกหรือเนื้อร้ายโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ และยังช่วยรักษาระดับการเต้นของหัวใจให้ลงจังหวะดีอีกด้วย

ส่วนสรรพคุณทางยาก็ว่ากันตั้งแต่รากที่ใช้แก้อาการเสมหะติดคอ เปลือกนำมาต้มกินแก้ไข้และแก้ท้องร่วง ก้านใบที่มีรสขมจัดนั้นก็ช่วยแก้ไข้ แก้ร้อนในดับกระหาย ใบอ่อนเอามาตำพอกทารักษาโรคผิวหนังได้ และที่นิยมก็คือใช้ผสมกับน้ำเป็นยากำจัดแมลงศัตรูพืชได้ดี ไม่มีสารตกค้าง และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 13:58:04 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ti0606
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24


« ตอบ #47 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2013, 19:42:14 »

อยากจะไปเยี่ยมชมจะไ้ด้มั้ยครับ  เขาเลี้ยงกันแบบไหน  เลี้ยงยากมั้ย
IP : บันทึกการเข้า
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #48 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2013, 00:42:51 »

อยากจะไปเยี่ยมชมจะไ้ด้มั้ยครับ  เขาเลี้ยงกันแบบไหน  เลี้ยงยากมั้ย

ถึงคุณ ti0606

คำถาม : อยากจะไปเยี่ยมชมจะไ้ด้มั้ยครับ  เขาเลี้ยงกันแบบไหน  เลี้ยงยากมั้ย ?
ตอบ : การเลี้ยงไส้เดือนไม่ยากและก็ไม่ง่ายจนเกินไปครับ ผมเลี้ยงได้ คุณก็เลี้ยงได้เช่นกันครับ แต่ตอนนี้ทางเรายังไม่สะดวกให้เยี่ยมชมนะครับ กำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงขยายพื้นที่ ถ้าปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้วทางเราจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะครับ ถ้าสงสัยหรืออยากได้ความรู้เพิ่มเติม สามารถโทรมาสอบได้ที่เบอร์ 085-0668907 ได้นะครับหรือส่งคำถามที่คุณสงสัยเข้ามาทาง pm ได้เลย เดี๋ยวผมจะเข้ามาตอบคำถามให้ทุกวันครับ


ขอบคุณครับที่สอบถามข้อมูลเข้ามา

ฟาร์มบ้านมูลไส้เดือน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 กันยายน 2014, 15:25:41 โดย ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #49 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2013, 08:42:45 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #37

ผักกาดขาว

เรื่อง ประโยชน์ผักกาดขาว และสรรพคุณ

ผักกาดขาวหนึ่งในผักที่มีสรรพคุณทางยาและวันนี้เราก็จะพาคุณ ๆ มารู้จักกับประโยชน์ผักกาดขาวและ สรรพคุณของผักกาดขาว กันค่ะ คุณพ่อบ้านแม่บ้านเป็นที่รู้จักกันดีว่า ประโยชน์ผักกาดขาว นั้นมีมากมายขนาดไหน ไหนจะช่วยปรุงอาหารให้อร่อย ไหนจะแก้โรคโน้นโรคนี้ก็ได้ หลาย ๆ คนคงจะส่งสัยใช้ไหมล่ะค่ะว่า ประโยชน์ผักกาดขาว และสรรพคุณมีอะไรกันบ้างเอ่ย วันนี้เราก็ไม่รอช้าที่จะนำ ประโยชน์ของผักกาดขาวสรรพคุณมาบอกกล่าวให้คุณ ๆ ได้ฟังกันค่ะ อ๋อลืมบอกไปค่ะว่า ผักกาดขาวจัดว่าเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรไทยด้วยนะขอบอก

สรรพคุณ / ประโยชน์ผักกาดขาว

กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะและลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร ทำให้เจริญอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ถ่ายได้คล่อง ขับอาหารเป็นพิษต่าง ๆ ในลำไส้ ป้องกันโรคคอตีบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หวัด ป้องกันมะเร็งในทางเดินอาหาร ป้องกันโรคตาบอดตอนกลางคืน โรคตาห้อง โรคลักปิดลักเปิด แก้ไอ ละลายเสมหะ แก้อักเสบ แก้พิษสุรา ดับกระหาย ขับปัสสาวะ เป็นยาบำรุงกำลัง แก้อาการบวมน้ำ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ หายใจลำบาก โรคเหน็บชา เลือดกำเดาออก ความดันโลหิตสูง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 14:01:53 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #50 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2013, 12:26:29 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #38

หอมแดง

เรื่อง หอมแดงกลิ่นฉุน มีสรรพคุณรักษาสิว

ถ้าพูดถึงหอมแดง หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงเครื่องปรุงที่ช่วยดับกลิ่นคาวและเพิ่มรสชาติให้อาหารชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไข่ลูกเขย ต้มโคล้ง แกงเลียง ต้มยำ ฯลฯ แต่คุณทราบหรือไม่ว่า หอมแดง นั้นนอกจากจะนำมาปรุงในอาหารแล้วยังมี ประโยชน์อีกมากมายโดยเคล็ดลับสุขภาพดีวันนี้จะพาคุณไปทำความ รู้จักกับประโยชน์ของหอมแดงในแง่มุมต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

หอมแดงเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นหรือมีหัวอยู่ใต้ดิน หัวมีลักษณะกลมสีม่วงอมแดง ประกอบด้วยหัวเล็ก ๆ อยู่รวมกันหลายหัว มีเปลือก บาง ๆ ห่อหุ้มอยู่ภายนอก ใบยาว กลวงออกดอกเป็นช่อ ช่อหนึ่งประกอบด้วยดอกเล็ก ๆ จำนวนมาก ดอกมีสีขาวหรือสีม่วงอ่อน โดย ในหัวหอมมีสารเคมีและสารอาหาร เช่น น้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วย ไดอัลลิน ไตรซัลไฟต์ เช่นเดียวกับที่พบในกระเทียม นอกจากนี้ยังมีฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ เพคตินและลูโคคินิน ซึ่งสารเหล่านี้ มีคุณสมบัติในการยับยั้งแบคทีเรีย ลดไขมันในเส้นเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ และในหัวหอมยังมีน้ำมันหอมระเหยที่ประกอบด้วยสารกำมะถันและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น เหล็ก แคลเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณสูงช่วยทำให้ความจำดี

สรรพคุณ ของหอมแดงนั้นยังมีมากมายไม่ว่าจะช่วยทำให้เจริญอาหาร ลดความร้อนในร่างกาย แก้หวัดคัดจมูก ขับลมในลำไส้ แก้ปวดท้อง ท้องอืด โดยแนะนำให้รับประทานแบบหัวแก่จัด นอกจากนี้น้ำมันในหัวหอมยังใช้เป็นยาขับประจำเดือน ขับเสมหะ และขับปัสสาวะ สำหรับน้ำหัวหอมนำมาใช้หยอดหูแก้อาการปวดหูและใช้ดมแก้อาการหน้ามืด ตาลาย วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดเป็นลม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจรวมไปถึงใช้เป็นยาเสริมสมรรถภาพทางเพศ นอกจากนี้หากนำหัวหอมมาบดผสมเหล้าเล็กน้อยและนำไปทาหรือพอกบริเวณที่เป็นผด ผื่นจะช่วยบรรเทาอาการคันได้ และยังสามารถช่วยถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อยได้อีกด้วย

สำหรับ สรรพคุณอีกอย่างหนึ่งที่หลายคนอาจยังไม่ทราบกัน คือ หัวหอมสามารถนำมา ?รักษา สิวและลดรอยด่างดำ? ได้ ด้วยวิธีนำหัวหอมแดงที่ล้างสะอาดแล้วมาฝาน ให้เป็นแว่นบาง ๆ ใช้ทา หรือแปะไว้ที่บริเวณที่เป็นสิว ฝ้า หรือ จุดด่างดำ หรือวางแว่นหอมแปะไว้บนรอยบวมจากการบีบสิวหรือรอยด่างดำบนใบหน้า ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก ทำเช่นนี้ทุกวันประมาณหนึ่งสัปดาห์ สิว ฝ้า หรือจุดด่างดำจะจางลง หากไม่ใช้วิธีฝานเป็นแว่นสามารถคั้นเอาเฉพาะน้ำของหัวหอมแล้วนำไปแช่ตู้เย็น เพื่อดับกลิ่นและลดความซ่าที่อาจทำให้แสบผิว จากนั้นนำมาทาเม็ดผดผื่นคันหรือทาใบหน้าก่อนเข้านอนทุกวันจะช่วยฆ่าเชื้อ แบคทีเรียและลดความมันบนใบหน้า จึงไม่ก่อให้เกิดสิว

ส่วนข้อควร ระวังในการใช้ประโยชน์ จากน้ำหอมแดงคือ ในหัวหอมแดงจะมีสารกำมะถันซึ่งทำให้แสบตา แสบจมูกและทำให้ผิวหนังมีอาการระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อน จึงไม่ควรทาบริเวณจุดที่ใกล้เคียงกับที่กล่าวมา

เห็นไหมล่ะคะ ว่า หอมแดงหัวเล็ก ๆ นั้นมีประโยชน์มากมาย นอกจากจะนำมาใช้ ปรุงอาหาร แก้อาการหวัด แก้อาการวิงเวียน บำรุงหัวใจ ลดอาการผื่นคันและเพิ่มสมรรถภาพทางเพศแล้วยังสามารถ นำมารักษาสิวได้อีกด้วย ถ้าผู้อ่านท่านใดกำลังมีปัญหาเรื่องนี้อยู่อย่าลืมลองนำสูตรที่แนะนำไปใช้ดูนะ

(ขอบคุณเนื้อหาจาก: ทีมวาไรตี้ sanook.com)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 14:07:03 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #51 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2013, 13:55:31 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #39

แครอท

อาหารเพื่อสุขภาพวันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับ "ประโยชน์ของแครอท" ประโยชน์ของแครอทมีหลายอย่าง ถ้าคุณเป็นคนรักสวยรักงามและไม่อยากแก่ก่อนวัย แครอทสามารถช่วยคุณได้ แต่ทานแครอทเท่าไรหล่ะถึงจะพาต่อความต้องการของร่างกาย อาหารเพื่อสุขภาพก็มีคำตอบมาให้เพื่อน ๆ ตามอาหารเพื่อสุขภาพมาเลย

แครอท

แครอทเป็นผักหัว มีฤทธิ์เย็น แครอทยังมีวิตามินหลายอย่างเช่น วิตามินซี โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และที่สำคัญแครอทมีเบต้าแคโรทีนสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอทันที่ที่เราทานแครอทเข้าไป

ประโยชน์ของแครอท : สรรพคุณของแครอท

สร้างภูมิต้านทาน

วิธีทำ นำแครอตมาใส่เครื่องปั่นแยกกาก และดืมเฉพาะน้ำแครอทเท่านั้น ดื่มวันละ 1 แก้วต่อวัน นอกจาำกช่วยสร้างภูมิต้านทานแล้วยังช่วยให้นอนหลับสนิทอีกด้วย

บำรุงสายตา

วิธีทำ เอาแครอตมาขูดให้เป็นเส้น ๆ แล้วนำไปผัดกับไข่ ทานเป็นประจำ จะช่วยบำรุงสายตาและบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี

ลดคอเสเตอรอล ต้านมะเร็ง

วิธีทำ ทานแครอตสดวันละ 2 หัวเป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดคอเสเตอรอลประมาณ 20 % และสามารถช่วยป้้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้

- ประโยชน์ของแครอท นอกจากที่อาหารเพื่อสุขภาพได้บอกไปแล้วนั้น ในแครอทก็ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอความชราได้แถมยังทำให้ผิวหนังของเราเปล่งปลั่งเหมือนหนุ่ม ๆ สาว ๆ อีกด้วย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 14:10:50 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #52 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2013, 15:26:53 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #40

พริก

เรื่อง พริก พริก พริก

พริก...ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น
สาร แคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวาง ระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก...ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก...ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วย ป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจาก พริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดกแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้ นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรที นสูงถึง 7 เท่า คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลาย เซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริก...ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไม เกรนลงได้

พริก...ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า น้ำ ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดี...นั่นเอง Tips เกณฑ์วัดระดับความเผ็ดร้อนสากลของพริกหรือผักผลไม้ที่มีสารแคปไซซินซึ่งให้ ความเผ็ดร้อนนี้เรียกว่า สโกวิลล์ (Seoville) เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อของผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับนี้ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ ลินคอร์น สโกวิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน โดยเขาได้คิดค้นระดับวัดความเผ็ดนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตยา พาร์ก เดวิส เพื่อวัดความฉุนหรือความเผ็ดร้อนของพริกต่างชนิดกัน สำหรับความเผ็ดที่วัดได้จากพริกขี้หนูสวนบ้านเรานั้นจะอยู่ที่ 50,000-100,000 สโกวิลล์ ในขณะที่สารแคปไซซินบริสุทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 15,000,000-16,000,000 สโกวิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร จากเรด ซาบีนา วัดค่าได้ถึง 350,000-577,000 สโกวิลล์...เลยทีเดียว


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 14:15:13 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #53 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2013, 18:56:31 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #41

กระเจี๊ยบเขียว

เรื่อง ประโยชน์และสรรพคุณกระเจี๊ยบเขียว

สรรพคุณกระเจี๊ยบเขียวอีกหนึ่งสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามากอยู่ นอกจาก กระเจี๊ยบเขียว จะเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้แล้ว สรรพคุณกระเจี๊ยบเขียว ยังนิยมมาทำเป็นอาหารรับประทานอีกด้วย เพราะ ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว มีมากมายจริง ๆ และวันนี้เราก็นำข้อมูขอบ ประโยชน์ และ สรรพคุณกระเจี๊ยบเขียว มาให้คุณ ๆ ได้ฟังและได้นำความรู้นี้ไปใช้ด้วยค่ะ เมื่อคุณได้เห็น ประโยชน์ และ สรรพคุณกระเจี๊ยบเขียว แล้วเชื่อว่าใครหลาย ๆ คนต้องหันมารับประทาน กระเจี๊ยบเขียว กันมากขึ้นอย่างแน่นอนเลยล่ะค่ะ ว่าแล้วเราก็มาดู ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว และ สรรพคุณของกระเจี๊ยบเขียว กันเลยดีกว่าค่ะ

ประโยชน์ / สรรพคุณกระเจี๊ยบเขียว

กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ให้ลุกลาม รักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง มีสรรพคุณเป็นยาระบายและสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย แต่ต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วัน

จาก ข้อมูล ของ วิสาหกิจชุมชนสนามจันทร์ ซึ่งแปรรูป กระเจี๊ยบเขียว ให้ข้อมูลว่า

รับประทานฝักกระเจี๊ยบ 10 -15 ฝัก ตอนเย็นหรือก่อนนอนสามารถลดอาการท้องผูก
รับประทาน 3 – 5 ฝัก ก่อนอาหารทุกวันสามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
รับประทาน 10 – 15 ฝัก ทุกวันสามารถบำรุงตับ
รับประทาน 5 ฝัก ก่อนอาหาร 3 มื้อ ติดต่อกันทุกวันสามารถกำจัดพยาธิตัวจี๊ด
รับประทาน 30 – 40 ฝัก ตอนเย็นหรือก่อนนอนสามารถดีท็อกซ์ลำไส้อุจจาระตกค้าง
รับประทานสม่ำเสมอ เป็นเส้นใยอาหารธรรมชาติมีแคลเซียมและวิตามินสูง
รับประทานประจำ มีโฟเลตสูงช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง บำรุงสมอง และพัฒนาการทารก
ในครรภ์ 40 ฝักแห้ง มีโฟเลต เทียบเท่าที่คนต้องการในหนึ่งวัน 10 ฝัก มีโฟเลตเท่ากับ 25% ของความต้องการในหนึ่งวัน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 14:19:29 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #54 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2013, 22:02:05 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #42

คะน้า

เรื่อง คะน้า ผักธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ผักคะน้า ไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จัก เพราะเป็นผักที่มีขายอยู่ทั่วไป หาซื้อง่าย นำไปประกอบอาหารได้หลายชนิด และยังเป็นส่วนประกอบ ใส่ลงในก๋วยเตี๋ยวหลายอย่างได้อร่อย เช่น ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว และยังเป็นของเคียงกับ อาหารยำต่างๆ ได้ดีอีกด้วย แถมราคาไม่แพง รสชาติดี ยิ่งเมื่อเริ่มเข้าหน้าหนาว ผักจะสวย ราคาถูกเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะ ผักชอบอากาศหนาว เลยทำให้ผักสวย และได้จำนวนการผลิตมาก

คะน้า เป็นผักที่ปลูกได้ทุกท้องที่ และภูมิอากาศ ช่วงระยะเวลาที่ปลูก จนถึงเก็บเกี่ยวสั้น ประมาณ 45 วัน ใช้พื้นที่ในการปลูกไม่มากนัก เสียแต่ว่าผักคะน้า จะมีศัตรูพืชมาก โดยเฉพาะหนอนและเพลี้ย สาเหตุนี้เอง เลยทำให้ผู้ที่ปลุกใช้ยาฆ่าแมลง และสารเคมีต่างๆ เพื่อไม่ให้ผักเสียหาย จึงทำให้ผักคะน้า เป็นผักที่ไม่ค่อยปลอดสารพิษ แต่ในปัจจุบันนี้ ได้มีการทำผักปลอดสารพิษกันมาก จึงทำให้ผู้บริโภค ได้ความปลอดภัยมากขึ้น ดังนั้น เวลาที่จะซื้อมาบริโภค ก็ควรเลือกที่ไว้ใจได้ ถ้าพอมีที่ทางมาลองปลูกคะน้าไว้กินเอง ก็จะเป็นการดีกินได้สบายใจ

เมล็ดคะน้าสีจะออกดำๆ มีบรรจุซองขายนำมาแช่น้ำ 1 คืน แล้วโรยลงบนดิน ที่ผสมปุ๋ยหมักเตรียมไว้ คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง พองอกต้นอ่อนๆ ค่อยย้ายลงแปลงหรือกระถาง พอต้นสูงประมาณ 10 เซนติเมตร ถอนต้นอ่อนบางส่วนออก บางต้นที่ถอนออก จะเป็นลูกคะน้า ผัดไฟแดงอร่อยมาก เพื่อจะได้เปิดช่องว่าง ให้ต้นที่แข็งแรงกว่าเติบโต รดน้ำให้ชุ่ม ใส่ปุ๋ยบ้าง เป็นครั้งคราว ประมาณ 45 วัน คะน้าจะโตเต็มที่ ให้ตัดยอดรุ่นแรกไปกินได้ ให้เหลือโคนต้นพอประมาณ ต้นคะน้าจะแตกยอดใหม่ ให้กินได้อีก 2-3 ครั้ง แต่ระวังหนอนผักหน่อย ถ้าเจอรีบเขี่ยออก มิฉะนั้นคะหน้าจะเหลือแต่ตอ

ใบเขียวจัดของคะน้า เป็นแหล่งรวมแร่ธาตุวิตามิน ที่คับคั่งและเข้มข้น ที่พบมากมายมหาศาล ก็คือเบต้า-แคโรทีน ที่กำ่ำลังมาแรง ในแวดวงอาหารเสริมสุขภาพ

เบต้า-แคโรทีน คือหนึ่งในสารประมาณ 500 ชนิด ที่รวมอยู่ในกลุ่ม "แคโรทีนนอย" ซึ่งเมื่อถ่ายโอนจากผัก สู่ร่างกายมนุษย์ จะกลายเป็นฐานในการแปรรูปสู่วิตามินเอ ซึ่งมีการค้นพบมานานแล้วว่า เป็นวิตามินที่สัมพันธ์ กับการเกิดมะเร็ง โดยในเลือดของผู้ป่วยโรคนี้ ได้รับการ วิเคราะห์พบว่า มีวิตามินเออยู่ในปริมาณต่ำ ขณะเดียวกัน การกินวิตามินเอให้เพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงต่อ การเกิดมะเร็งที่กระเพาะอาหาร ลำไส้ ลำคอ ปอด และกระเพาะปัสสาวะได้ และมีการค้นพบข้อเท็จจริง ชัดเจนขึ้นอีกว่า สารที่ไปยั้งมะเร็งนั้น ไม่ใช่วิตามินเอโดยตรง แต่ได้แก่สาร เบต้า-แคโรทีนต่างหาก

แต่ละวันมนุษย์จะได้รับวิตามินเอ จากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และพืชผัก-ผลไม้ โดยวิตามินเอจากสัตว์นั้น มนุษย์รับมาใช้ประโยชน์ได้เลยโดยตรง เมื่อร่วมกินกับไขมัน แต่สำหรับพืช ซึ่งมีโครงสร้างต่างจากสัตว์และมนุษย์ วิตามินเอจะอยู่ในรูปของแคโรทีนนอย ซึ่งร่างกายมนุษย์ ต้องนำมามาแปรรูปให้เป็น วิตามินเอต่อไป ด้วยกระบวนการทำงานประสานกัน ของระบบอวัยวะและแร่ธาตุสารอาหารต่างๆ

คะน้าและพืชร่วมสกุลกะหล่ำ เป็นแหล่งเบต้าแคโรทีนอันเยี่ยมยอด จะเอาไปล้างหรือปรุง ด้วยความร้อนในรูปใด ก็ยังคงคุณค่ามหาศาลนี้เอาไว้ได้ แต่หากกินสดได้จะวิเศษมาก เพราะของดีที่มีในคะน้าอีกลหายอย่าง ต้องการการประคบประหงม เช่นวิตามินซ

ยอดคะน้าสด อุดมไปด้วยวิตามินซี และเกลือแร่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้นกันโรค แข็งแรงสมบูรณ์น้องๆ เบต้า-แคโรทีน แต่วิตาในซีสลายไปได้ง่าย ด้วยน้ำและอากาศ ฉะนั้น กินคะน้าเมื่อไหร่ ต้องชะลอการหั่นไว้ ในขั้นตอนสุดท้าย

เมื่อเห็นคะน้าต้องนึกถึงความกรอบ น่ากิน และรสดีของคะน้า เสน่ห์ของผักคะน้า จึงทำให้มีผู้บริโภคกันมาก นำมาประกอบเป็นอาหารหลากหลาย ข้อสำคัญระวังเรื่องผักไม่ปลอดสารพิษ ควรเลือกดูก่อนซื้อมาบริโภค สิ่งที่สำคัญ เพื่อความแน่ใจในการบริโภค คือ ต้องล้างผักให้แน่นใจ ก่อนนำไปบริโภค การล้างผักคะน้า ที่ใบคะน้ามีไขสีเท่าเคลือบเอาไว้ บางคนสงสัยว่าเป็นสารเคมีหรือเปล่า ที่จริงไม่ใช่ ไขขาวๆ ที่เห็นนัน้เป็นสารธรรมชาติ ไม่มีพิษภัย แต่ซึมซับเอาละอองยาฆ่าแมลงได้ดี ฉะนั้น ยามล้างใบคะน้า จึงควรลูบไขขาวๆ นี้ออก หรือหากใส่เกลือ หรือโซดาไบคาร์บอเนต ไม่ก็เหยาะน้ำส้มสายชูสักหน่อย วิธีใดวิธีหนึ่ง ช่วยกำจัดยาฆ่าแมลงออกได้ ที่ดีกว่าการล้าง คือ การเลือกคะน้าที่มีรอยแมลงกิน แสดงว่าปลอดภัย

คะน้า เป็นผักสร้างกระดูกเหมือนใบยอ แต่ดีกว่าใบยอที่ว่ากินง่าย และกินได้บ่อย หาซื้อก็ง่าย ใบคะน้า มีแคลเซียมสูง งานวิจัยของ Robert P.H (1990) ศึกษาการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย พบว่า ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียม จากคะน้าได้ไม่น้อยกว่าแคลเซียมจากนม

คะน้า ชื่อทางวิทศาสตร์ Brassica oleracea CV. Group Chinese kale วงศ์ Brassicaceae

(แหล่งข้อมูล : www.yingthai-mag.com - ฉบับที่ 674 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2546)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 14:23:40 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #55 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2013, 23:25:05 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #43

แอปเปิ้ล

เรื่อง แอปเปิ้ลต่างสี ประโยชน์ดีต่างกัน

“แอปเปิ้ล” ผลไม้ที่ใครๆ ก็ต้องรู้จัก ผลไม้ขึ้นชื่อเรื่องของรสชาติความอร่อย เปลือกสีสดน่ากิน เนื้อในหวานหอมกรอบ แถมยังเปี่ยมล้นไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น เบตาแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ นอกจากนั้น ยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระและฆ่าเชื้อไวรัสอีกด้วย

เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล เราจะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล (การกินแอปเปิ้ลวันละ 2-3 ผลช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ โดยแอปเปิ้ลลดคอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย) ในทางกลับกันถ้าเราปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวในแอปเปิ้ลก็จะลดลงไปด้วย

นอกจากนั้น แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย เนื่องจากแอปเปิ้ล 1 ผล มีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลกว่า 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทั้งทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียระหว่างรอเวลาอาหารมื้อใหญ่ แต่ต้องเป็นแอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้ และการดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้หายหิวแต่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มด้วย

สำหรับแอปเปิ้ลที่เราเห็นตามท้องตลาดนั้น มีทั้งชนิดที่เปลือกสีแดง สีชมพู สีเหลือง และสีเขียว ซึ่งสีที่แตกต่างกันนั้นก็บ่งบอกได้ถึงสายพันธุ์ที่แตกต่างกันไป ถึงแม้เปลือกด้านนอกจะมีสีไม่เหมือนกันแต่เนื้อข้างในนั้นเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวลเหมือนกัน ซึ่งแอปเปิ้ลแต่ละสีก็จะมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

แอปเปิ้ลสีแดง
มีจุดเด่นที่ดีต่อสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย

แอปเปิ้ลสีชมพู
มีสารฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาแอปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

แอปเปิ้ลสีเหลือง
มีประโยชน์ต่างจากสีอื่นๆ โดยมีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

แอปเปิ้ลสีเขียว
มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะการกินแอปเปิ้ลสีเขียวนอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดีอีกด้วย

เห็นคุณค่า คุณประโยชน์หลายหลายของแอปเปิ้ลแต่ละสีกันแล้ว หลายคนคงอยากรีบไปกินแอปเปิ้ลโดยพลัน ซึ่งวิธีการกินแอปเปิ้ลให้ได้ประโยชน์นั้น หลายคนมักเข้าใจว่า ควรจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลออกก่อนกิน แต่จริงๆ แล้ววิธีนี้เป็นวิธีที่ผิด เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ลดลง และที่สำคัญอย่าลืมล้างน้ำให้สะอาดก่อนกินทุกครั้งด้วย



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 14:27:47 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #56 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2013, 00:02:09 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #44

เก๋ากี้ (GOJI BERRY)

เก๋ากี้ (GOJI BERRY) หรือ Lycium Barbarum เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งตระกูลเบอร์รีสีแดงมีลักษณะเป็นเมล็ดเล็กๆ ที่นิยมรับประทานในหมู่ชาวจีน ผลที่สุกแล้วจะมีสีแดงเหมือนเลือด จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า "ฮ่วยกี้" เป็นยาบำรุงชั้นดี มีฤทธิ์ปานกลาง

จากการค้นคว้าและวิจัยของ Dr. Earl Mindell พบว่าผลเก๋ากี้ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีค่า ORAC (สมรรถภาพการดูดซับอนุมูลอิสระของออกซิเจน) ในปริมาณมากถึง 25,300 (ในขณะที่ลูกพรุนซึ่งมีค่า ORAC เป็นลำดับที่ 2 มีค่า ORAC เพียง 5,700 เท่านั้น) โดยอนุมูลอิสระเป็นอนุมูลที่หลงเหลือจากปฏิกิริยาทางเคมีชีวะภายในร่างกายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรืออาจได้มาจากภายนอกร่างกายเช่นสภาวะอากาศที่เป็นพิษ หรือการสูบบุหรี่ อนุมูลอิสระสามารถทำปฏิกิริยากับสารอื่นได้ดีและมีพลังงานสูง ทำให้อนุมูลอิสระสามารถทำลายผนังเซลล์และทำลายสารพันธุกรรมของเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความแก่ ความเสื่อมของอวัยวะในร่างกาย หรือทำให้เซลล์เกิดการแบ่งตัวอย่างผิดปกติเกิดเป็นโรคมะเร็งตามส่วนต่างๆของร่างกายขึ้น

ข้อมูลจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า เมล็ดเก๋ากี้แต่ละเมล็ดประกอบด้วยกรดอะมิโน 18 จาก 20 ชนิดที่ร่างกายใช้ในการสร้างโปรตีน อุดมไปด้วย Polysaccharides 22 ชนิด มีค่า Glycemic Index ต่ำ (Glycemic Index: GI= ดัชนีที่ใช้ตรวจ วัดคุณภาพของอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งหลังรับประทาน และเข้าสู่ระบบการย่อยและดูดซึมของร่างกายจะสามารถเพิ่มระดับน้ำตาล ในเลือดได้มากหรือน้อยโดยเปรียบเทียบกับสารมาตรฐานคือ น้ำตาลกลูโคสซึ่งมีค่า GI เท่ากับ 100) อุดมไปด้วยสาร Antioxidant ในกลุ่ม Polyphenol และ Flavonoid สูงกว่าพืชทั่วๆไป มีใยอาหารสูงถึงร้อยละ 20 มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม มีเบต้าแคโรทีน (Beta carotene) สูงกว่าแครอท ซึ่งเบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอและจะถูกเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอจากเอนไซม์ที่ตับ จึงทำให้เก๋ากี้มีปริมาณวิตามินเอที่สูงมาก และมีแคลเซียมสูงกว่าบร๊อคโคลี่ มีแร่ธาตุที่สำคัญได้แก่ สังกะสี,เหล็ก,ทองแดง,แคลเซียม,เจอมันเนียม,เซเรเนียม และฟอสฟอรัส มีวิตามิน ซี เอ และบี 2 ยิ่งไปกว่านั้นเก๋ากี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนในหนังสือแพทย์แผนจีนร่วมสมัย The Pharmacopoeia of the People’s Republic of China ที่ออกโดยกระทรวงสาธารณสุขจีนและเป็นยอมรับว่าเป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นยาบำรุงร่างกายในวงกว้าง

สรรพคุณโดยรวมของเม็ดเก๋ากี้คือ

1. ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายจะสมบูรณ์ขึ้น เพราะมีสารต่างซึ่งทำหน้าที่เหมือนโมเลกุลหลักในร่างกาย ที่เมื่อเกิดการทำงานร่วมกันแล้วจะทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม และนำพาคำสั่งต่างๆ ที่เซลล์ของร่างกายใช้ในการติดต่อสื่อสารถึงกันได้ครอบคลุมทุกระบบ ทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานสัมพันธ์กันได้ดี ซึ่งจะช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง แก้อาการอ่อนเพลีย เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ช่วยให้หัวใจแข็งแรง ช่วยสร้างเม็ดเลือดที่แข็งแรงเพิ่มขึ้น เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ช่วยระบบเจริญพันธุ์ ลดอาการอักเสบของโรคไขข้ออักเสบ เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ และกระดูก ช่วยให้เหงือกแข็งแรง ปรับปรุงระบบการย่อย ลดความเครียด อาการปวดศีรษะ แก้อาการวิงเวียนศีรษะ ช่วยในการนอนหลับ ช่วยในเรื่องความจำ ทำให้รู้สึกสดชื่น บรรเทาอาการนอนไม่หลับ ปรับปรุงคุณภาพของการนอน ช่วยให้การออกกำลังกายได้นานขึ้น ช่วยขจัดความเมื่อยล้าและความเฉื่อยชา

2. ใช้รักษาอาการทางด้านสายตา จากงานวิจัยพบว่าเมล็ดเก๋ากี้ยังมีสารจำพวก zeaxanthin และlutein อยู่สูงมากซึ่งสารดังกล่าวเป็นสารจำพวก carotenoid ที่ช่วยป้องกัน ช่วยปรับสภาพแสง และกรองแสงสีน้ำเงินที่เข้าสู่ตาที่มีอันตรายต่อตา ป้องกันการเสื่อมของเลนลูกนัยน์ตาและจอภาพเรตินาจากอนุมูลอิสระได้ ช่วยรักษาโรคตาบอดกลางคืน ช่วยบำรุงสายตาทำให้การมองเห็นเป็นปกติ นอกจากนี้ผลเก๋ากี้ยังมีมีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และจะถูกเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอจากเอนไซม์ที่ตับ ซึ่งวิตามินเอมีประโยชน์ในการช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness) หากร่างกายขาดวิตามินเอจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้

3. เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ในผลเก๋ากี้มีสาร Polysaccharides ที่ช่วยกระตุ้นให้เซลเม็ดเลือดขาว (T & B lymphocyte) ปรับปรุงเซลล์เม็ดเลือดขาวให้ทำงานได้ดีขึ้น สร้างความแข็งแรงของเม็ดเลือด ป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้ เก๋ากี้มีสารพวกฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ช่วยป้องกันเม็ดเลือดแดงไม่ให้อนุมูลอิสระมาทำลาย และช่วยกระตุ้นไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดได้

4. เก๋ากี้ มีวิตามิน B1, B2, C และสารพวกฟลาวานอยด์ในปริมาณที่สูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระโดยไปกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในร่างกายให้ทำงานต้านอนุมูลอิสระได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการกำจัดอนุมูลอิสรจะช่วยปกป้องผนังเซลล์ในร่างกาย ช่วยดูแลเรื่องผิวพรรณชะลอความชรา กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต โดยต่อมใต้สมอง (human growth hormone)

5.ช่วยต่อต้านมะเร็งและสามารถหยุดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็ง อนุมูลอิสระในผลเก๋ากี้มีผลช่วยทำลายป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง ทั้งยังพบว่าเบต้าแคโรทีนสามารถช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกายให้ทำงานต้านสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น ซึ่งให้ผลดีกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง

นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาวิจัยของจีนที่บ่งชี้ว่า ผลเก๋ากี้ช่วยต่อต้านมะเร็งและยังสามารถหยุดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยในปี 2537 มีผลการศึกษาที่ได้รับการบันทึกลงในวารสารจีนเกี่ยวกับเนื้องอกว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็ง มีการตอบสนองในการรักษาโรคมะเร็งดีขึ้นเมื่อมีการนำผลเก๋ากี้มาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษา และยังช่วยอาการข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีคีโมและฉายรังสีด้วย

6.ลดระดับน้ำตาลในเลือดผู้เป็นเบาหวาน ลดโคเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต ยับยั้งการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยให้หัวใจแข็งแรง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น เพราะในเก๋ากี้มีสารพวกไซเพอโรน (cyperone) ซึ่งมีผลดีต่อหัวใจและความดันเลือด นอกจากไซเพอโรนยังมีสารแอนโทโซยานิน (anthocyanins) ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง มีเบต้า-ไซโตสเตอรอล (beta-sitosterol) ซึ่งสามารถช่วยรักษาระดับโคเลสเตอรอลที่ดีต่อร่างกาย ให้อยู่ในปริมาณสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยป้องกันไม่ให้โคเลสเตอรอลถูกเติมออกซิเจนและเกิดเป็นคราบอุดตันในเส้นเลือด นอกจากนี้ยังมีสารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยยับยั้งปฏิกิริยาการเกิดโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ที่ทำให้เกิดเป็นโรคหัวใจเนื่องจากเส้นเลือดตีบ

7. เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและกระดูก ช่วยให้เหงือกแข็งแรง

8.ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์

9.ส่งเสริมให้การทำงานของตับเพราะมีซีรีโบรไซด์(cerebroside) ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของตับให้เป็นปกติ

10. ส่งเสริมให้การทำงานของไตให้เป็นปรกติ

11. ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ในกระเพาะอาหารทำงานได้เป็นปกติ ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยและการดูดซึมสารอาหารดีขึ้น

12. มีบีเทนที่ช่วยให้เกิดการสร้างสารโคลีน (choline) ซึ่งเป็นสารประกอบที่ช่วยเสริมความจำให้ดีขึ้น ช่วยให้ร่างกายปรับตัวเพื่อควบคุมความกังวลและความเครียดให้ลดลงอยู่ในสภาวะปกติ ด้วยเหตุนี้เก๋ากี้จึงมีชื่อเรียกอย่างว่า แฮปปี้เบอร์รี่ (happy berry) ทำให้มีอารมณ์ที่สดชื่นแจ่มใส

13. ช่วยระบบเจริญพันธุ์ ช่วยเพิ่มฮอร์โมนเทสโตสเตอโรน (Testosterone) ในเลือดทำให้มีความต้องการทางเพศมากขึ้นทั้งในผู้ชายและผู้หญิง

การศึกษาความปลอดภัย: เมื่อฉีดสารสกัดน้ำเข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ขนาดสารสกัดน้ำที่ทำให้หนูถีบจักรตายร้อยละ 50 (LD50) มีค่าเท่ากับ 8.32 กรัม/กิโลกรัม

วิธีทำเม็ดเก๋ากี๊
1. เปิดน้ำไหลผ่านเก๋ากี้นานประมาณ 5 นาที เพื่อล้างกำมะถันที่เคลือบอยู่ภายนอกของเก๋ากี้ออกให้หมด
แช่เก๋ากี้ให้อ่อนทั้งเปลือกและเม็ด

2. แช่ให้นิ่มแล้วนำไปทำอาหารใส่แกงจืด หรือผัดผัก
ใส่ในโจ๊ก ทำน้ำผลไม้ ทานกับผักสลัด



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 14:31:42 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #57 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2013, 10:03:29 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #45

แปะตำปึง

เรื่อง แปะตำปึงหรือจักรนารายณ์ สมุนไพรสรรพคุณครอบจักรวาล

ต้นกำเนิด : ต้นยานี้มาจากประเทศจีน บางท่านเรียกว่า จินฉี่เหมาเยี่ย เข้ามาในไทยพร้อมกับหญ้าปักกิ่งหรือหญ้าเทวดา แปะตำปึง ถูกตั้งชื่อเป็นไทยว่า จักรนารายณ์ แต่มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น
กิมกอยมอเช่า หรือ ผักพันปี เป็นต้น

ลักษณะ : เป็นไม้พุ่มเตี้ย ลำต้นสีเขียว แตกกิ่งก้านอ่อน หักง่าย เมื่อโตเต็มที่ในฤดูหนาว จะออกดอกสีเหลืองมีก้านยาว มี 2 ชนิดคือ

1. ชนิดใบกลม (แปะตำปึง)ใบสีเขียวอ่อน ใบหนาเพราะมีขนหนานุ่มแบบกำมะหยี่ทั้งด้าน
บนและล่าง เส้นใบด้านบนลึกเช่นเดียวกับเส้นกลางใบแต่ด้านหลังใบกลับนูน กิ่งก้านออกเขียว
ปนแดง เปราะหักง่าย (รูปของแบบใบกลมครับ)

2. ชนิดใบยาว (จินฉี่เหมาเยี่ย) ใบค่อนข้างยาวกว่าแหลมกว่าและผิวใบค่อนข้างเรียบ
เพราะขนน้อยกว่าแบบใบกลม จับเทียบดูจะรู้สึกได้ชัด (รูปของแบบใบยาวครับ)

สรรพคุณ : สรรพคุณของทั้งสองมีเหมือนกัน มีรสเย็น ใช้ใบเป็นยา รสชาติคล้ายใบชมพู่สาแหรก โรคที่(มีผู้รับรองว่า)สมุนไพรชนิดนี้รักษาหายแล้วได้แก่ เบาหวาน ความดันสูง ภูมิแพ้ หอบหืด มะเร็ง งูสวัด เกาต์ ริดสีดวงทวารหนัก ขับนิ่ว แผลสะเก็ดเงิน แผลอักเสบพุพอง-ฝีหนอง ปวดประจำเดือน ปวดเส้น ปวดหลัง ไขมันในเลือด ไทรอยด์ ตาอักเสบ ตาเป็นต้อ โรคตาต่างๆ ปวดเหงือก ปวดฟัน โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ โลหิตจาง ฟอกเลือด ล้างสารพิษในร่างกาย ขับลม กินได้ นอนหลับ คนปกติทั่วไปกินแล้วสุขภาพ แข็งแรง เรียกว่าเป็นสมุนไพรครอบจักรวาลเลยทีเดียว

การขยายพันธุ์ : หลังจากเด็ดใบมากินหมดแล้ว ให้ตัดกิ่งออกเป็นท่อนๆยาว 10-15 ซ.ม . นำมาปักชำ ไว้ในที่รำไรและหมั่นรดน้ำเสมอๆ ประมาณ 7-10 วัน ก็จะแตกยอด-ออกรากเป็นต้นใหม่ เมื่อโตเต็มที่จะออกดอกสีเหลือง แต่ไม่ติดเมล็ด (ของพ่อเคยติดเมล็ดนะแต่เพาะไม่ขึ้น) ต้องปักชำกิ่งเท่านั้น พืชชนิดนี้ไม่ชอบร่มมากนัก ชอบดินร่วน ชอบแดดพอควร ชอบน้ำ แต่อย่าให้มีที่รองน้ำก้นกระถาง รากจะเน่า

วิธีใช้ : เป็นพืชสมุนไพรครอบจักรวาลที่ไม่มีพิษภัย ใช้ใบสดๆ ล้างให้สะอาด ซับน้ำให้แห้ง นำมาเคี้ยวกินสดๆหรือใช้ประกอบอาหารกิน เช่นแกงจืดหรือผัดน้ำมัน หรือเป็นเครื่องเคียงกับ
ขนมจีน ส้มตำ สลัดผัก ฯลฯได้ หรือจะนำใบมาล้าง ผึ่งแห้ง นำมาบดหรือตำ คั้นเอาแต่น้ำนำไป
นึ่งให้สุก ปล่อยให้เย็น ใส่ขวด ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ได้นาน แต่ที่ได้ผลดีที่สุด คือกินใบสด ก่อนเข้า
นอน 3-5 ใบ

วิธีใช้เฉพาะโรค :
โรคเบาหวาน - กินใบสดๆ 2-5 ใบ ช่วงตี 5 -ถึง 7 โมงเช้าก่อนอาหาร เพราะลำไส้เริ่มทำงานจะได้ผลเร็ว และกินอีกครั้งหลังอาหารเย็น 2-3 ชั่วโมงหรือกินก่อนนอน กินเช่นนี้นาน 7 วัน
หยุดดูอาการ 2-3 วัน จึงกินต่อเพื่อน้ำตาลในเลือดจะได้ไม่ลดเร็วเกินไป (ขอเสริมตรงนี้นิดนึงว่าปริมาณการกินของแต่ละคนอาจไม่เท่ากันขึ้นกับขนาดของใบและน้ำหนักตัว จึงขอให้คนป่วย
เบาหวานทดลองกินจำนวนใบน้อยๆ ก่อนแล้วคอยดูอาการ เพราะเคยมีคนบอกว่าบางคนกินแล้วน้ำตาลลดแบบฮวบฮาบ ซึ่งไม่รู้ว่ากินเยอะไปหรืออย่างไรและบางคนบอกว่าใบยาวลดน้ำตาล
ได้มากกว่าแบบใบกลมด้วย และพืชชนิดนี้ยังไม่มีผลการวิจัยรองรับเป็นทางการ จึงควรใช้ด้วยการระมัดระวังไว้ก่อนล่ะดี)

โรคตา - นำใบสดๆมาล้างให้สะอาด บด-โขลกในครกสะอาดๆ ให้แหลก แล้วนำมาพอกตาข้าง
ที่อักเสบหรือมัว นาน 30 นาที ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำ พอกเช้า-เย็น ตาจะดีขึ้นเร็วโรคความดัน
สูง-ต่ำ

มะเร็ง - ให้กินเป็นผัก เช่น จิ้มน้ำพริก ทุกวัน ถ้าเป็นมะเร็งกินก่อนนอน 5-7 ใบ ก่อนนอน ประมาณ
6 เดือน มะเร็งจะลดขนาดลง

งูสวัด - นำใบมาตำกับน้ำตาลทรายแดง เพื่อให้จับตัวเป็นก้อน ไม่หลุดง่าย พอกตรงรอยแผลไว้
30 นาที หรือใช้น้ำคั้นทาก็ได้

ริดสีดวงทวารหนัก - ตำใบสดแล้วใส่ในทวาร จะทำให้หายเร็ว ติ่งที่โผล่จะยุบ เลือดที่ออกจะหยุด

โรคกระเพาะ - ถ้าปวดท้องและเป็นโรคกระเพาะ ให้กินเดี๋ยวนั้น สักพักอาการปวดจะหายไป
ยังช่วยขับลมที่แน่นในท้องออกมาได้ด้วย

สิ่งที่ควรระวัง- อาหารแสลง เช่น กุ้ง เนื้อ ปลาหมึก ปู ปลาทู ปลาร้า หูฉลาม กะปิ ข้าวเหนียว หน่อไม้ แตงกวา หัวผักกาด เผือก สาเก ของดอง แอลกอฮอล์ ชา-กาแฟ ควรงด แต่หากจำเป็นต้องกิน ขอให้กินแปะตำปึง ก่อนหรือหลัง 2 ชั่วโมง

การปลูกใช้เอง ไม่ควรใช้ยาฆ่าแมลง หรือถ้ามีการใช้ปุ๋ย ควรทิ้งไว้อย่างน้อย 1 อาทิตย์ก่อนเก็บใบมาใช้ และควรล้างให้สะอาดๆก่อนนำมาใช้ โดยเฉพาะการพอกตา

งานวิจัยสมุนไพรแป๊ะตำปึงที่ได้ดำเนินมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995
พบว่า สารสกัดอัลกอฮอล์จากส่วนเหนือดินมีคุณสมบัติต้านอักเสบในสัตว์ทดลอง และพบสารกลุ่มฟลาโวนอยด์หลายชนิด ได้แก่ kaempferol ในรูปอิสระและกลัยโคไซด์ quercetin ในรูปอิสระและกลัยโคไซด์ ฟลาโวนอยด์เป็นสารที่อาจแสดงฤทธิ์ต้านอักเสบ ได้มีการทดลองใช้เจลต้านอักเสบที่มีสารสกัดแป๊ะตำปึง 2.5% เป็นตัวยา ในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด ซึ่งมักจะมีอาการเยื่อบุช่องปากอักเสบ (chemotherapy related mucositis)
พบว่าสามารถป้องกันและลดความรุนแรงของอาการได้อย่างมีนัยสำคัญ สมุนไพรแป๊ะตำปึงยังมีฤทธิ์ต้านไวรัสเริมในหลอดทดลอง ซึ่งสารกลุ่มที่แสดงฤทธิ์ดังกล่าว ได้แก่ กลุ่ม dicaffeoyl quinic acids, sitosteryl- และ stigmasteryl glucosides และ 1, 2-bis-dodecanoyl-3-alpha-D-glucopyranosyl-sn-glycerol ได้มีการทดลองใช้เจลต้านอักเสบที่มีสารสกัดแป๊ะตำปึงเป็นตัวยาในผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปาก พบว่า ปริมาณไวรัสมีแนวโน้มลดลง

(ที่มาข้อมูล : http://www.pamame.com/magazine.html)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 14:35:44 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #58 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2013, 13:52:04 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #46

น้ำส้มสายชู

เรื่อง วิธีทดสอบน้ำส้มสายชู

เมื่อกล่าวถึงน้ำส้มสายชูทุกคนคงจะรู้จักกันดีและรับประทานกันมาแล้ว เพราะอาหารหลายอย่างต้องใช้น้ำส้มสายชูในการแต่งรสและที่พบเห็นบ่อยๆคือในพริกดอง น้ำส้มสายชูแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

1.น้ำส้มสายชูหมัก
2.น้ำส้มสายชูกลั่น
3.น้ำส้มสายชูเทียม

-น้ำส้มสายชูหมัก

ทำจากการหมักน้ำตาลหรือผลไม้ที่มีน้ำตาล และข้าวเหนียวหมักด้วยยีสต์ให้เป็นอัลกอฮอล์แล้วจึงหมักต่อกับเชื้อน้ำส้มสายชูตามกรรมวิธีธรรมชาติ ซึ่งจะเปลี่ยนอัลกอฮอล์ให้เป็นกรดอะซิติกหรือกรดน้ำส้ม น้ำส้มสายชูที่ได้จะมีสีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาล มีกลิ่นหอมปนกลิ่นเฉพาะของกรดน้ำส้ม ซึ่งน้ำส้มชนิดนี้ไม่ค่อยมีจำหน่ายในท้องตลาดเนื่องจากกรรมวิธีในการผลิตไม่สะดวก และเก็บไว้ได้ไม่นาน

-น้ำส้มสายชูกลั่น

ทำจากการนำอัลกอฮอล์ที่ได้จากการหมักมากลั่นเสียก่อนแล้วจึงนำไปหมักกับเชื้อน้ำส้มสายชูทีหลัง ซึ่งจะได้น้ำส้มสายชูที่ไม่มีสีอาจแต่งเติมให้เป็นสีเหลืองอ่อนด้วยน้ำตาลเคี่ยวไหม้ น้ำส้มสายชูกลั่นจะมีกลิ่นกรดอ่อนๆ มีความบริสุทธิ์สูงกว่าน้ำส้มสายชูหมักและเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภค

-น้ำส้มสายชูเทียม

ได้จากการนำเอากรดน้ำส้ม (acetic acid) อย่างเข้มข้น ซึ่งได้จากการสังเคราะห์ขึ้นตามกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์มาเจือจางให้มีคุณภาพหรือมาตรฐานตามกฎหมายกำหนดคือ ให้มีความเข้มข้นของกรดเหลือ 4 – 7 % น้ำส้มสายชูชนิดนี้มีลักษณะใส ไม่มีสี มีกลิ่นฉุนของกรดน้ำส้ม น้ำส้มสายชูชนิดนี้มีราคาถูกและไม่อนุญาตให้เติมแต่งสี

น้ำส้มสายชูทั้งสามชนิดนี้รับประทานได้ไม่มีอันตราย แต่มีน้ำส้มสายชูอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นอันตรายต่อประชาชนถ้ารับประทานเข้าไปคือ "น้ำส้มสายชูปลอม" ซึ่งทำโดยนำเอาหัวน้ำส้มมาเจือจางกับน้ำแล้วบรรจุขวดขาย หัวน้ำส้มดังกล่าวเป็นกรดน้ำส้มชนิดเข้มข้นที่ใช้ในอุตสาหกรรม สิ่งทอ ฟอกหนัง ขนสัตว์ ไหม ไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค นอกจากนี้อาจมีการนำกรดแร่อื่น ๆ เช่น กรดเกลือ กรดกำมะถันมาทำหัวน้ำส้ม หรือน้ำส้มสายชูปลอมเปรี้ยวเข็ดฟัน แต่ไม่มีกลิ่นเฉพาะของกรดน้ำส้ม จึงมักเติมน้ำส้มสายชูหมักลงไปด้วยเพื่อทำให้กลิ่นเหมือนน้ำส้มสายชูหมัก

ถ้ารับประทานเข้าไปมาก ๆ จะกัดกระเพาะอาหาร และลำไส้จนเกิดแผลหรืออาจถึงกับกระเพาะอาหารและลำไส้ทะลุได้

เรามีวิธีทดสอบง่าย ๆ ที่จะทำให้ทราบว่าน้ำส้มสายชูชนิดใดเป็นน้ำส้มสายชูแท้ หรือน้ำส้มสายชูปลอมก็คือใช้น้ำยาสีม่วงสำหรับป้ายลิ้นเด็กหรือที่เรียกว่า เยนเชียนไวโอเล็ต หยดลงในน้ำส้มสายชูที่สงสัย สัก 2-3 หยดถ้าเป็นน้ำส้มสายชูปลอมที่ทำจากกรดอื่นที่ไม่ใช้กรดอะซีติก สีม่วงจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินหรือเขียว แต่ถ้าเป็นน้ำส้มสายชูที่เป็นกรดอะซิติก จะคงมีสีม่วง หรือเมื่อใส่ผักชีลงในน้ำส้มสายชูปลอมจะมีลักษณะตายนึ่ง คือจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองภายใน 5 นาที โดยเริ่มเปลี่ยนที่ปลายก้านของใบก่อน หรือสังเกตจากพริกดองในน้ำส้มสายชู ถ้าเป็นน้ำส้มสายชูปลอมส่วนของน้ำส้มที่อยู่เหนือพริกจะขุ่นเนื้อพริกเปื่อยยุ่ยและมีสีคล้ำลง

(ที่มา : ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา/by สาระแห่งสุขภาพ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 14:42:42 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #59 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2013, 15:21:27 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #47

กะหล่ำปลี

เรื่อง ประโยชน์ของกะหล่ำปลี

กะหล่ําปลี มีกรดทาร์ทาริก (Tartaric acid) ที่ช่วยยับยั้งและขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายเป็นไขมัน จึงมีส่วนในการช่วยลดน้ำหนักและคอเลสเตอรอลได้
ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เพราะกะหล่ำปลีดิบอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นผลดีต่อการเสริมสร้างและบำรุงกระดูก
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มโรคให้แข็งแรง ป้องกันหวัด เพราะกะหล่ำปลีดิบมีวิตามินสูง
ช่วยบำรุงผิวพรรณทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และยังช่วยคงความอ่อนเยาว์ได้อีกด้วย
กะหล่ำปลีมีสารเอสเมธิลเมโธโอนิน ที่สามารถช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้
ช่วยต่อต้านมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้ โดยการบริโภคกะหล่ำปลีมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดโอกาสของการเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายได้ถึง 66%
กะหล่ำปลีช่วยต่อต้านมะเร็งในตับ และมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกด้วย
ช่วยในการย่อยอาหารและล้างสารพิษทำความสะอาดลำไส้ เพราะกะหล่ำปลีดิบมีใยอาหารที่มีปริมาณพอเหมาะ จึงช่วยในการย่อยและกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กะหล่ำปลีดิบช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของแผลในลำไส้ และยังช่วยบำรุงลำไส้
กะหล่ำปลี สรรพคุณช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง
กะหล่ำปลี ประโยชน์ช่วยแก้และบรรเทาอาการท้องผูก
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
สรรพคุณกะหล่ำปลีช่วยแก้อาการเจ็บคอ
ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับสบาย หลับสนิท เพราะกะหล่ำปลีดิบมีสารซัลเฟอร์ซึ่งมีส่วนช่วยระงับประสาททำให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียด
กะหล่ำปลี สรรพคุณทางยามีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ
สรรพคุณของกะหล่ำปลีช่วยบำรุงไต
ช่วยบำรุงตับ ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของตับ ช่วยตับในการล้างสารพิษ
ช่วยเพิ่มการสร้างของกลูต้าไธโอนซึ่งจำเป็นต่อตับในการช่วยล้างสารพิษจากควันไอเสีย และยาต่างๆ
ช่วยรักษาระดับเอสโตรเจนให้คงที่
ช่วยบรรเทาอาการปวดตึงคัดเต้านม โดยใช้กะหล่ำปลีมาประคบเต้านม ลอกกะหล่ำปลีออกเป็นใบแล้วนำมาประคบที่เต้านมข้างละใบ ใช้ผ้าพันทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที โดยไม่ต้องนวดคลึงอาการปวดจึงคัดก็จะหายไป
กะหล่ำปลีมีกรดโฟลิก ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างสมองของเด็กทารกในครรภ์
ช่วยชะลอการเกิดผมหงอก กระตุ้นโปรตีนเคราติน (Keratin) ช่วยบำรุงรากผมเพราะกะหล่ำปลีมีวิตามินบี5
เมนูกะหล่ำปลีประโยชน์กะหล่ำปลีกะหล่ำปลีมีสรรพคุณช่วยแก้รสเผ็ดร้อนได้ สังเกตได้จากส้มตำ แม่ค้ามักจะใส่กะหล่ำปลีสดๆมาเป็นเครื่องเคียงให้รับประทานนั่นเอง
สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานอาหารปิ้งย่างเป็นประจำ ควรรับประทานผักกะหล่ำปลีด้วย เพราะอุดมไปด้วย Sulforaphane ที่จะช่วยป้องกันการถูกทำลายของ DNA และลดความเสียหายของ DNA ในร่างกาย
ประโยชน์ของกะหล่ำปลีใช้ประกอบอาหาร โดยเมนูกะหล่ำปลี ก็เช่น กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา, ผัดกะหล่ำปลีใส่ไข่, กะหล่ำปลีตุ๋นซี่โครงอ่อน, กะหล่ำปลีตุ๋นเอ็นวัว, กะหล่ำปลีต้มยัดไส้หมู, กะหล่ำปลีม้วนใส่หมูบดปรุงรส, ถุงทองกกะหล่ำปลี, ต้มกะหล่ำปลีเจ, แกงส้ม, แกงจืด, ห่อหมก, รับประทานร่วมกับน้ำพริก, ทำเป็นสลัด ฯลฯ

(แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือพิมพ์เดลินิวส์, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN))


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2013, 14:50:18 โดย Harmonious » IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 17 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!