บ้านเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) พลังงานขายได้
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติออกนโยบายส่งเสริมการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop Policy) เพื่อลดการใช้พลังงานสิ้นเปลือง ตามนโยบายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน 25% ภายใน 10 ปี โดยมีมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 และเปิดให้ยื่นคำขอการขายไฟฟ้าเมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีผู้ยื่นขอเสนอขายไฟฟ้าอย่างล้นหลามจนเกินตามปริมาณที่ กกพ. ประกาศ ให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาครับซื้อ 200 MW ทั่วประเทศ ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาของนโยบายคือให้การไฟฟ้ารับซื้อไฟฟ้าคืนจากบ้านเรือน และสถานประกอบการที่ติดตั้งโซล่าร์เซลล์บนหลังคา ในราคาหน่วยละ 6 บาทกว่าๆ จนเกือบ 7 บาท โดยรับซื้อในลักษณะราคาคงที่ (FiT, Feed in Tariff) เป็นเวลานานถึง 25 ปี ขึ้นอยู่กับกำลังการผลิตที่ติดตั้งและประเภทของผู้ใช้ไฟ
นายวีรพล ยิ้มสินสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพลังงานทดแทนและสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพะเยา เปิดเผยว่า การทำ Solar Roof เหมือนกับการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ทั่วๆ ไปหรือ Solar Farm ที่ตั้งบนพื้นดิน เพียงแต่ย้ายโครงสร้างขึ้นไปอยู่บนหลังคาเท่านั้น โดยอุปกรณ์หลักๆ ของระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา ประกอบด้วย เซลล์แสงอาทิตย์ อินเวอร์เตอร์ และระบบมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งาน แต่ระบบ Solar Roof ไม่มีแบตเตอรี่ เนื่องจากเป็นระบบ Grid Tied หรือ Grid Connect นั่นคือระบบผลิตไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับสายส่งของการไฟฟ้านั่นเอง โดยไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์แสงอาทิตย์จะถูกใช้เต็ม 100% ก่อน หากไม่เพียงพอ จะมีการดึงเอาไฟฟ้าจากสายส่งของการไฟฟ้าเข้ามาเสริมจนเพียงพอต่อการใช้งานไฟฟ้าในบ้านนั้นๆ จึงไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ให้สิ้นเปลือง เพราะแบตเตอรี่เป็นต้นทุนที่สูงมาก และยังต้องมีการบำรุงรักษาตามเวลา อีกทั้งการผลิตไฟฟ้าแบบมีแบตเตอรี่ จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยสูงกว่าค่าไฟฟ้าที่ซื้อมาจากการไฟฟ้านั่นเอง
สำหรับการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ให้ได้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าที่ดีที่สุดจะต้องหันแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไปยังทิศใต้อย่างเที่ยงตรง (Azimuth Angle =0) เนื่องจากทำให้ได้รับแสงแดดเต็มทั้งวัน หากหันไปทางทิศเหนือ จะได้รับประสิทธิภาพลดลงราว 20% และต้องจัดมุมเอียง (Inclination) ให้ตรงกับตำแหน่งละติจูดและลองติจูด ณ สถานที่ที่ติดตั้ง เช่น กทม. มีมุมเอียงเทียบกับพื้นดินที่ 15 องศา หรือเชียงใหม่อยู่ที่ 20 องศา เป็นต้น เนื่องจากมุมเอียงดังกล่าวจะปรับเซลล์แสงอาทิตย์ให้ตั้งฉากกับแสงที่มาจากดวงอาทิตย์มากที่สุดนั่นเอง ดังนั้น ข้อจำกัดของ Solar Rooftop คือข้อจำกัดทางทิศทางของเซลล์แสงอาทิตย์และมุมเอียงดังกล่าว จะถูกกำหนดตามทรงจั่วหลังคา หรือทิศทางมุมเอียง ทำให้ไม่สามารถจัดทิศทางของเซลล์แสงอาทิตย์ให้ได้ประสิทธิภาพเต็มที่ ทำให้ประสิทธิภาพลดลงไปไม่มากก็น้อย ยกเว้นการติดตั้งบนหลังคาบ้านสมัยใหม่ หรือ modern ซึ่งหลังคาจะเรียบเหมือนดาดฟ้า ดังนั้นการติดตั้งจึงสามารถปรับให้เซลล์แสงอาทิตย์ได้ประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง
นายวีรพล กล่าวอีกว่า ลักษณะของการลงทุน Solar Rooftop จะเป็นการลงทุนก้อนแรก ก้อนเดียว และได้ผลประหยัดค่าไฟฟ้าไปตลอดอายุโครงการ ซึ่งไม่น้อยกว่า 25 ปี คล้ายกับการได้รับบำนาญ ได้โดยมีหลักคิดง่ายๆ คือ เซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 1 kW จะสามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้เดือนละราว 750 บาทโดยประมาณ (คิดค่าไฟฟ้าปัจจุบันที่ 4 บาท) ดังนั้นหากบ้านท่านมีค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 3,000 บาท/เดือน หากต้องการลดค่าไฟฟ้าลง 50% หรือ 1,500 บาท ท่านก็ควรจะติดตั้งอยู่ที่ 2 kW เป็นต้น หากต้องการลดให้ได้ 100% หรือ 3,000 บาท ก็ควรติดตั้งราว 4 kW นั่นเอง
ทั้งนี้ ตัวอย่างของการติดตั้งโซล่าร์เซลล์และเห็นผลของการประหยัดได้จริง เห็นได้ชัดจากโครงการ 1 คณะ 1 โมเดล ของ มหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งได้เข้าไปติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์บนหลังคา ณ ที่ทำการโรงเรียนบ้านร่องไฮ ต.แม่ใส อ.เมือง จ.พะเยา ขนาด 450 วัตต์ สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 360 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว และใช้เป็นสถานที่ประชุมสีเขียว Green Meeting Point ของกลุ่มชุมชน โดยใช้ไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาไปด้วยในตัว
นายวีรพล กล่าวว่า การติดตั้ง Solar Rooftop มีอยู่ 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 ติดตั้งเพื่อลดค่าไฟฟ้าและส่วนที่เหลือขายคืนในราคาปรกติ และกรณีที่ 2 ติดตั้งเพื่อผลิตและขายไฟฟ้าทั้งหมดให้กับการไฟฟ้าในราคาหน่วยละ 6.11-6.96 บาท ตามนโยบายรับซื้อไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาของการไฟฟ้า โดยกระทรวงพลังงาน และ กกพ. นั่นเอง กรณีจึงนี้ทำให้การคืนทุนเร็วขึ้นกว่ากรณีแรก เนื่องจากสามารถขายไฟฟ้าเข้าสู่สายส่งได้ในราคาสูงกว่าราคาที่เราซื้อจากการไฟฟ้าโดยมีส่วนต่างราว 2 บาทกว่า จนถึง 3 บาท เพราะปรกติเราซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าในราคาเฉลี่ยหน่วยละ 3.8-4 บาท ซึ่งจะมีรายได้ต่อปีราว 12,000-14,000 บาท ต่อกิโลวัตต์ที่ติดตั้ง (ในกรณีที่ 2 นี้ ต้องผ่านขั้นตอนการยื่นคำขอขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าและต้องผ่านการพิจารณาเข้าร่วม ซึ่งการไฟฟ้ากำหนดปริมาณรับซื้อในรอบนี้อยู่ที่ 200 MW หรือ 200 เมกะวัตต์ แบ่งตามประเภทผู้ใช้ไฟฟ้า รายละเอียดสามารถหาได้จากเว็บไซต์ของ กกพ.
www.erc.or.th)
นายวีรพล กล่าวด้วยว่า ในการทำ Cash Flow หรือกระแสเงินสดที่ได้รับจากโครงการ Solar Rooftop จากการลงทุน มี จุดคุ้มทุนในกรณีที่ 1 อยู่ที่ราว 8-10 ปี และ กรณีที่ 2 มีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ราว 6.7 ปี ในกรณีใช้ทุนตนเอง แต่หากกู้สถาบันการเงินจะเหมือนจับเสือมือเปล่า โดยมีระยะเวลาคืนทุนอยู่ที่ราว 8.5-9 ปี ที่ระดับดอกเบี้ย 8.25% ลดต้นลดดอก ซึ่งหากดอกเบี้ยต่ำก็จะยิ่งคืนทุนไวขึ้น โดยระบบควรมีต้นทุนการติดตั้ง (รวมขนส่งและโครงสร้างระบบผลิตทั้งหมดที่พร้อมผลิตไฟฟ้า) อยู่ที่ประมาณ 65,000-85,000 บาท/กิโลวัตต์ (kW) ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพและยี่ห้อของอุปกรณ์ที่แตกต่างกันไป รวมถึงการรับประกัน และปริมาณที่กำลังผลิตที่ติดตั้งนั่นเอง หากมีการลงทุนสูงกว่านี้ ก็จะทำให้ระยะเวลาคืนทุนยาวนานขึ้น ส่วนค่าบำรุงรักษาระบบนั้นแทบไม่มีเลย เนื่องจากเป็นระบบที่ไม่มีการเคลื่อนไหว จะมีก็แต่การเช็ดล้างเซลล์ ซึ่งปรกติน้ำฝนก็จะชำระล้างให้อยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการเลือกใช้เซลล์แสงอาทิตย์ และอินเวอร์เตอร์ที่มีมาตรฐานและมี Efficiency ที่สูง ในราคาที่เหมาะสม เพราะระบบนี้ต้องอยู่กับเราให้ได้ถึง 25 ปี หากมีต้นทุนในการซ่อมแซมมาก ก็จะทำให้เกิดความไม่คุ้มค่า ดังนั้น การเลือกใช้อุปกรณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และอุปกรณ์เหล่านี้จะต้องผ่านการรับรองของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า มีการวางแผนที่จะเพิ่มปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) เพิ่มเติมจากรอบนี้อีก โดยวิธีนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนจากภาครัฐอีกด้วย ทั้งยังทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากค่า FT ไฟฟ้าน้อยลง และภาพรวมของประเทศได้รับผลประโยชน์มากกว่าด้วย