เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 24 กรกฎาคม 2025, 11:51:14
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  อาชีพไหน น่าทำงานมากที่สุด
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 พิมพ์
ผู้เขียน อาชีพไหน น่าทำงานมากที่สุด  (อ่าน 4041 ครั้ง)
ฟ้ามีตา
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 173


ไม่พูด ก็ไม่ได้แปลว่า โง่


« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 00:03:29 »

ผมว่าทุกอาชีพ น่าทำงานทั้งหมดและครับ เพียงแต่เราจะจัดอยู่ในส่วนไหน

ส่วนไหนที่ผมกล่าวนั้นก็คือ กฏ 80:20 คุณรู้หรือเปล่าว่ามันหมายความว่าอย่างไร


IP : บันทึกการเข้า
ฟ้ามีตา
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 173


ไม่พูด ก็ไม่ได้แปลว่า โง่


« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 00:06:27 »



ดร.ประภัสสร วรรณสถิตย์
หัวหน้าภาควิชาการบริหารองค์การและทรัพยากรมนุษย์

คิดตั้งนานว่าเที่ยวนี้จะมีเรื่องอะไรเบาๆมาเล่าให้น้องๆฟังกัน ว่าแล้วก็นึกถึงเรื่องเด็ดๆ
ได้เรื่องหนึ่งนั่นก็คือ 80:20 ของพาเลโต รับรองได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากและถ้าน้องๆ
สามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้พี่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีมากเลยละ ทีนี้ก่อนที่จะ
พูดถึงกฎ 80:20 ของพาเลโต เรามารู้จักกันก่อนดีกว่าว่า พาเลโต เป็นใครและกฎ 80:20
 ของเขามีที่มาอย่างไรนะครับ วิลเฟรโด พาเลโต (Vifredo Paleto) นักคณิตศาสตร์
และเศรษฐศาสตร์ ได้กล่าวว่าเราไม่สามารถที่จะกระจายความมั่งคั่งให้กับประชาชน
ไว้มีความมั่งคั่งอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน ทั้งนี้เพราะรายได้ประชาชาติ
ของประเทศกว่า 80% มาจากประชาชนกลุ่มน้อยเพียง 20% เท่านั้น ซึ่งทฤษฎีของ
พาเลโตนั้นไม่เพียงแต่นำไปวิเคราะห์การกระจายรายได้ของประชาชนเท่านั้น
แต่ยังสามารถที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเราได้อย่าง
ไม่น่าเชื่อ เช่นในการเรียนหากอาจารย์สั่งให้มีการทำรายงานกลุ่ม สมมติให้กลุ่มหนึ่ง
มี 10 คนก็มักจะปรากฏว่ามีคนที่เป็นแกนหลักในการทำรายงานเพียง 2 – 3 คนเท่านั้น
ที่เหลืออีก 7 – 8 คนก็จะช่วยกันทำรายงานกันคนละนิดละหน่อย เช่นพิมพ์ปกรายงาน
ถ่ายเอกสาร ก็จะเข้าข่ายที่ว่ารายงานที่ทำประมาณ 80% เป็นผลงานของคนในกลุ่ม
เพียง 2 – 3 คนเท่านั้น (ประมาณ 20% ของสมาชิกในกลุ่ม) เป็นต้น ลองดูอีกสัก
ตัวอย่างหนึ่งดีกว่านะครับน้องๆจะได้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น น้องเคยสังเกตเวลา
เราประชุมกลุ่มเพื่อแสดงความคิดเห็นหรือเปล่าครับ จากประสบการณ์ของพี่เวลาประชุม
กลุ่มนั้นจะพบว่าถ้ามีสมาชิกมาร่วมประชุมมากๆนั้นจะพบว่าคนที่แสดงความคิดเห็นใน
ที่ประชุมนั้นก็จะมีเพียง 2 – 3 คนเท่านั้นที่แสดงความคิดเห็น ส่วนที่เหลือก็มักจะ
นั่งเงียบไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นออกมา ผิดกับกับการประชุมกลุ่มย่อยที่มีสมาชิก
เพียง 5 – 7 คน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่จะมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นออกมา
อย่างเท่าเทียมกัน

        ในส่วนตัวของพี่แล้วหลักการของ พาเลโต นั้นมีส่วนคล้ายคลึงกับทฤษฎีการ
ออมแรงทางสังคม (Social Loafing) การออมแรงทางสังคมหมายถึง การที่เมื่อเพิ่ม
จำนวนสมาชิกภายในกลุ่ม จะพบว่าสมาชิกภายในกลุ่มหรือทีมงานจะมีการใช้ความ
พยายามในการปฏิบัติที่ลดลง เช่น ถ้า ก. ใช้แรง 50 หน่วยในการทำงานชิ้นหนึ่ง
สำเร็จ ก. กับ ข.ร่วมกันอาจต้องใช้แรงคนละ 30 หน่วยเพื่อให้งานสำเร็จและถ้า
ก+ ข+ ค ร่วมกันทำงาน อาจจะต้องใช้แรงคนละ 25 หน่วย จะพบว่ามีแรงหายไป
จากการเพิ่มของสมาชิกที่เข้ามาทำงาน ซึ่งมีผลต่อการออกแบบงานและมอบหมาย
งานแก่กลุ่ม (ดูภาพประกอบ) ดังนั้นกลุ่มที่ดีจึงไม่ควรมีจำนวนสมาชิกที่มากเกินไป


เอ้านอกเรื่องไปซะไกลเลย กลับมาที่เรื่องกฎ 80:20 ของเราดีกว่านะครับ ทีนี้ลองมา
ดูตัวอย่างที่ใกล้ตัวเรากันบ้างว่าเราเอา กฎ 80:20 ไปใช้อะไรได้อีกในชีวิตประจำวัน
ของเรา น้องเคยเข้าไปซื้อของที่ร้าน 7-11 กันบ้างหรือเปล่า (อย่าบอกนะว่าไม่เคย)
ทีนี้น้องสังเกตหรือเปล่าครับว่าในร้าน 7-11 นั้นมีสินค้าเป็นจำนวนมากหลายพันราย
การ แล้วน้องทราบหรือเปล่าว่ารายได้กว่า 80% ของรายได้ในร้านนั้นมาจากสินค้า
เพียง 20% ที่วางขายอยู่ในร้านเท่านั้น เอเมื่อรู้อย่างนี้แล้วน้องคงสงสัยว่าทำไมเรา
ไม่ขายเฉพาะสินค้าที่ขายดีเท่านั้นละ คำตอบก็คือ ร้านค้าจำเป็นที่จะต้องมีสินค้า
ที่หลากหลายเพราะว่าผู้บริโภคนั้นมีความต้องการที่มีความแตกต่างกันนั่นเอง
เมื่อเริ่มเข้าใจกับกฎ 80:20 มากขึ้นแล้ว น้องๆลองเอามาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน
ของเราบ้างอย่างเช่นเรื่องของการวางแผนการใช้จ่ายของตัวเราเองในแต่ละสัปดาห์
ถ้าน้องเคยทำบัญชีรายจ่ายของตัวเองแล้วนำมาเรียงค่าใช้จ่ายจากมากไปหาน้อย
น้องจะพบว่า 20% ของรายการรายจ่ายต้นๆ จะมีมูลค่าสูงถึง 80% ของรายจ่าย
ทั้งหมดในแต่ละสัปดาห์ ดังนั้นถ้าน้องต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายหรือลดรายจ่าย
ของน้องลง น้องก็ต้องให้ความสนใจในการควบคุมค่าใช้จ่ายในกลุ่ม 20% เพราะถ้า
หากสามารถควบคุมรายจ่ายในกลุ่มดังกล่าวได้แล้วก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในภาพ
รวมลงได้





แหล่งที่มา http://ba.bu.ac.th/ejournal/HR/HR6/HR6.htm
IP : บันทึกการเข้า
ฟ้ามีตา
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 173


ไม่พูด ก็ไม่ได้แปลว่า โง่


« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 00:11:12 »



น่าสนใจ

ตอนผมเรียนยังไม่จบ จบแล้ว ผมอยากกลับไปทำสวนที่บ้าน แต่พ่อกับแม่บอกว่า ถ้าอยากทำสวน ทำไมไม่บอกตั้งแต่จบ ป.๖ ผลสุดท้ายผมเลยไม่ได้เป็นเจ้าของสวน

ถ้าถามผมว่าอาชีพไหนทำงานหนักที่สุด ตามความเห็นส่วนตัว ไม่มีอาชีพไหนเลยที่ทำงานหนัก  แต่มีคนในอาชีพนั้น ๆ หลาย ๆ คนทำงานหนัก เพราะ ยังมีเพื่อนร่วมอาชีพส่วนหนึ่งกำลังทำนา อยู่บนหลังของคนเหล่านั้น

นั้นแสดงให้เห็นว่าคนรุ่นเก่าหรือยังคงเป็นคนสมัยปัจจุปันมีแนวคิดที่ต้องการความมั่นคง

ให้แก่ชีวิตมากกว่าสิ่งอื่นได

ลองมาดู เรื่อง เงิน 4 ด้านสักหน่อยไหม


IP : บันทึกการเข้า
ฟ้ามีตา
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 173


ไม่พูด ก็ไม่ได้แปลว่า โง่


« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 00:13:10 »


คนทุกคนในโลกกลมๆ ใบนี้ มีวิธีในการทำเงิน 4 แบบ แบ่งแยกตามลักษณะนิสัยของคน 4 ด้านดังนี้

1. E (Employee: ลูกจ้าง)

  ถ้าเราได้รับเงินเดือนจากการทำงานให้กับกิจการที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ ก็แสดงว่า
เงินของเรามาจากด้าน E ไม่ว่าเขาจะอยู่ตำแหน่งไหนในบริษัทตั้งแต่พนักงานทำ
ความสะอาด จนถึงประธานบริษัท ก็ล้วนแต่เป็นลูกจ้างด้วยกันทั้งนั้น
คนเหล่านี้ชอบที่จะคิดและพูดว่า

 “ฉันต้องการหางานที่มีรายได้มั่นคง” หรือไม่ก็พูดว่า “เราจะได้ค่าล่วงเวลาเท่าไร”
หรือ “มีวันหยุดกี่วัน”

 การทำเงินของคนกลุ่ม E คือ การทำงานอิสระตามลำพัง รายได้มีขีดจำกัด
ต้องขายความรู้ ความสามารถและแรงงานของตนเองเพื่อแลกกับรายได้ที่ได้มา

 ซึ่งข้อจำกัดในการเพิ่มรายได้ของการเป็น ลูกจ้างก็คือ “เวลาและความรู้
ความสามารถในอาชีพนั้นๆ”

  หากวันนี้เราต้องการรายได้มากขึ้น เราต้องมีความรู้ ความสามารถมากขึ้นเพื่อต่อรอง
กับค่าตัวของเรากับนายจ้าง หรือหากเราขยัน ทำงานมากขึ้น (จำนวนชั่วโมงมากขึ้น)
เราก็อาจจะมารายได้มากขึ้น (หรือเรียกว่าทำ OT. ) หรือเราอาจจะมองหางานใหม่
ที่เงินเดือนมากขึ้นก็ได้

  น่าเสียดายที่คนในด้าน E มุ่งเน้นแต่แสวงหาความมั่นคง แต่เขาไม่รู้เลยว่า
วันดีคืนดีเขาอาจจะถูกให้ออกจากงานเมื่อไรก็ได้ บริษัทอาจจะต้องปิดตัวหรือปลด
คนงานออกเพื่อลดต้นทุน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนด้าน E ไม่สามารถควบคุมได้
นอกจากนั้นคนกลุ่มนี้ยังไม่รู้วิธีการทำเงินด้วยวิธีอื่นๆ เขายินดีที่จะทำงานให้กับคน
อื่น หรือนายจ้างในบริษัทหรืออาจจะรับราชการและยอมที่จะทำงานอย่างหนักทุกๆ
วันจนครบ 1 เดือนเพื่อรับเงินเพียง 1 ครั้ง

 ตลอดเวลาเขาเฝ้ามองหาความมั่นคง มองหางานที่ได้เงินมากกว่าเดิมเสมอ
แต่ความจริงก็คือบริษัทจะไม่เลี้ยงดูหรือให้งานเราทำตลอดชีวิต เมื่อเราอายุถึง 55
หรือ 60 ปี เราจะถูกบังคับให้เกษียณอายุ แล้วเมื่อเราเกษียณอายุ ชีวิตที่เหลืออยู่จาก
นี้ของเรา ซึ่งยังคงต้องกินใช้ตลอด ทั้งค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเช่าบ้าน จะเอาที่ไหนมาจ่าย
ละครับ หรือว่าจะหวังว่าลูกๆ ของเราคงจะเลี้ยงดูเราแทน ญาติๆ ของเราจะเลี้ยงดู
เรา หรือว่าเราจะมีเงินเก็บซึ่งมีมากพอที่จะใช้ต่อจาก 60 ปีจนเสียชีวิตของเรา


 2. S (Self – Employed: กิจการส่วนตัวหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก)

  ถ้ารายได้ของเราเป็นลักษณะของค่านายหน้า หรือเราคิดค่าตัวของเราเป็นรายชั่วโมง
กับลูกค้า เราก็อาจจะอยู่ในกลุ่ม S เช่นพวกตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ที่มักจะพูดว่า
“เราคิดค่านายหน้า 6% จากราคาซื้อ”

 หรือพวกนักกฎหมายหรือแพทย์ที่คิดค่าใช้จ่ายเป็นรายชั่วโมง นอกจากนั้นก็ยังรวม
ถึงเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก เช่นเจ้าของร้านอาหาร กิจการในครอบครัว อาชีพที่ปรึกษา
หรือธุรกิจของตัวเองโดยที่เราเป็นผู้ดูแลหรือผู้ผลิตเอง รวมไปถึงการเป็น
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

 คนเหล่านี้มักชอบที่จะทำอะไรด้วยตัวเขาเองเสมอ เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ คนกลุ่มนี้มัก
จะมีรายได้ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับคนกลุ่มอื่นๆ ในขณะที่ต้องทำงานหนักมากกว่าคน
อื่น ปัญหาใหญ่ของคนกลุ่มนี้คือการขาดเงินทุน บ้างก็ขาดกำลังใจหรือบ้างก็ขาด
ทั้งสองอย่าง คนที่ทำเงินจากด้าน S ต้องอดทนทั้งกับลูกค้า เจ้าหน้าที่รัฐหรือ
แม้แต่ลูกจ้างของตัวเอง และเมื่อเขาต้องเผชิญกับคนหลายๆ กลุ่มพร้อมๆ
กันก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 วิธีทำเงินของคนกลุ่ม S คือ การขายเวลาในแต่ละวันและความสามารถ
(เฉพาะด้าน) ของตัวเราเองออกไป

 อาจจะเป็นการใช้เงินซื้อสินค้าอะไรมาบางอย่างเพื่อขายต่อ เช่นการเปิดท้ายขาย
ของ การเปิดร้านเสื้อผ้า หรือหากเราเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ถ้าเราเป็นคุณ
หมอที่มาเปิดคลินิกของตัวเอง เราก็ต้องลงทุนเช่าที่

ซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ฯลฯ หรือหากเป็นทนาย นักบัญชี เราต้องใช้เวลา
(ของเรา) ความรู้ ความสามารถ

(ของตัวเราเองเท่านั้น) ในการทำเงิน

  ข้อจำกัดของการทำเงินแบบ S ที่สำคัญที่สุดคือ “เวลา” เพราะเราไม่สามารถหยุด
ทำงานได้ เช่นหากเราเป็นเจ้าของร้าน หากเราต้องการปิดร้านเพื่อไปพักผ่อน
รายได้ของเรา (จากร้านค้าของเรา) ในวันนั้นก็จะไม่มี หากว่าเราเป็นทนายเกิดเรา
ไม่สบาย เราก็ไม่มีรายได้ในวันนั้น (จากค่าว่าความ หรือจากค่าให้คำปรึกษา)
เวลาจึงเป็นข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดของการทำเงินแบบ S

 นอกจากนั้นข้อจำกัดอีกข้อที่สำคัญคือ รายได้แบบ S นี้ ไม่สามารถส่งต่อให้กับ
ทายาทได้ เช่น หมอมีลูกชาย ลูกชายคนนี้อาจจะไม่ได้เรียนหมอมา
หรือเรียนมาอาจจะไม่เก่งเท่ารุ่นพ่อได้ ดังนั้นไม่แน่เหมือนกันว่าทายาทของเรา
จะทำได้เหมือนที่เราทำได้

 

 3. B (Business Owner: เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่หรือเจ้าของบริษัท)

  ถ้าหากว่ารายได้ของเรามาจากธุรกิจ โดยที่เราไม่ต้องไปทำงานนั้นเอง
เราก็จัดอยู่ในกลุ่ม B และรายได้นี้ก็จะมีเข้ามาตลอดไม่ว่าเขาจะทำธุรกิจนี้หรือว่า
ลาจากโลกนี้ไปแล้ว

 คนที่อยู่ในด้าน B สามารถที่จะปล่อยวางธุรกิจของเขาได้เป็นปีๆ เมื่อเขากลับมา
ธุรกิจนั้นก็ยังคงอยู่และอาจจะทำกำไรได้มากขึ้นอีกด้วย” เช่น ร้านแมคโดนัล
ผมว่าทุกคนน่าจะรู้จักร้านแมคโดนัลดี ทุกวันนี้ร้านแมคโดนัลทุกสาขาทั่วโลกทำราย
ได้ทุกๆ นาที ทุกๆ วันให้กับเจ้าของ โดยที่เจ้าของแมคโดนัลไม่ต้องไปทำงานที่
ร้านแมคโดนัลเลย (เจ้าของไม่จำเป็นต้องลงมือทำงานเอง) นอกจากนั้นหากเจ้า
ของร้านแมคโดนัลได้ตายจากโลกนี้ไป ลูกๆ ของเขาก็ยังคงมีรายได้จากร้าน
แมคโดนัลทั่วทุกมุมโลกอยู่ดี ลูกๆ ของเขาอาจจะทำแฮมเบอร์เกอร์ไม่เป็นเลยก็ได้

 คนรวยทั่วโลก โดยส่วนมากจะเป็นคนที่มีรายได้จากธุรกิจของตัวเอง
(เป็นคนแบบ B) ยกตัวอย่างเช่น

คุณทักษิณ เป็นเจ้าของบริษัท ชินคอร์ป (AIS) และบริษัทอื่นๆ อีกมากมาย
รายได้ที่ได้ต่อวันมากกว่าคนที่ทำงานประจำทำมาทั้งปี ในขณะที่คุณทักษิณ
ไม่จำเป็นต้องไปที่บริษัทเลย หรือบิล เกต เจ้าของบริษัทMicrosoft
ซึ่งเป็นผู้ผลิตโปรแกรมที่คนทั่วโลกรู้จักเช่น Windows, Microsoft Office ฯลฯ)

  บิล เกตมีรายได้มากขนาดที่มีคนเคยคำนวณเล่นๆ ว่า “หากบิล เกตทำเงิน 10 เหรียญ
ตกที่พื้น เขาไม่จำเป็นต้องก้มลงไปเก็บก็ได้ เพราะในอีก 1 วินาทีต่อมา
บริษัทของเขาก็สามารถทำเงินได้ 10 เหรียญ”

 
ลองคิดดูครับว่า ใน 1 นาทีเขา (บริษัทของเขา) จะทำเงินได้เท่าไร? ใน 1 ชั่วโมง
จะทำเงินได้เท่าไร? ถ้า 1 วันเขาจะทำเงินได้มหาศาลแค่ไหน? บิล เกตในวันนี้ไม่จำ
เป็นต้องไปทำงาน เขาก็มีเงินจากบริษัทของเขาตลอดเวลา

 การทำเงินแบบคนด้าน B คือการสร้างธุรกิจขึ้นและจ้างให้คนอื่นมาทำงานให้ธุรกิจ
ของเราเติบโต (ก็คือจ้างคนกลุ่ม E และ S มาทำแทนให้เรา) เป็นการทำงานเป็นทีม
 รายได้ไม่มีขีดจำกัด

 ข้อจำกัดของการทำเงินแบบ B คือ “ความรู้ทางด้านการเงิน” การเริ่มต้นสร้างธุรกิจ
ต้องใช้ความรู้ทางด้านการเงินเพื่อช่วยควบคุมความเสี่ยงต่อการขาดทุน หลายๆ
คนไม่สามารถก้าวข้ามสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจได้ เพราะกลัวเสียเงินนั่นเอง


4. I (Investor: นักลงทุน)

  ถ้ารายได้ของเรามาจากการลงทุน เราก็อยู่ในกลุ่ม I คนกลุ่มนี้คือ คนที่มีรายได้จาก
การใช้เงินทำงานแทนนั่นเอง เช่นการได้รับการดอกเบี้ยหรือการปันผลจากหุ้น
รายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เราเป็นเจ้าของ รายได้จากค่าลิขสิทธิ์ (เพลง,
สูตรยาต่างๆ ลิขสิทธิ์ทางปัญญา ฯลฯ) โดยที่เราไม่จำเป็นต้องทำงาน เพราะเงิน
หรือทรัพย์สินของเขาทำงานแทนและทำเงินให้กับเจ้าของตลอดเวลา

  การทำเงินแบบคนด้าน I คือ มองหาการลงทุนที่สามารถใช้เงินของเรา
ออกไปทำงาน สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับมาให้เรา โดยที่เราไม่ต้องออกไปทำงาน

  เช่นการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือพันธบัตร หรืออาจจะลงทุนในกิจการ (บริษัท)
ที่คิดว่าน่าจะให้ผลประโยชน์ได้มากข้อจำกัดของการทำเงินแบบ I คือ “ความรู้ทาง
ด้านการเงิน” ผู้ที่เริ่มต้นอาจจะต้องผิดพลาด ล้มเหลวบ้างแต่ทั้งหมดนั้นจะเป็นกลาย
เป็นประสบการณ์ทำให้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น ผู้ที่มีความรู้ในเรื่องการเงินมากเท่าไร
จะเป็นผู้ที่ทำเงินได้มากที่สุด และมีความเสี่ยงน้อยที่สุด

 จะเห็นได้ว่าการทำเงินในด้าน B และ I จะเป็นด้านที่ทำเงินได้มาก ในขณะที่เรา
ใช้เวลาในการทำงานน้อยลง

  ในตอนท้ายของหนังสือชุดนี้ ผู้เขียนได้ถามเรา (คือผู้อ่าน) ว่า

  “ตอนนี้เราอยู่ด้านไหนของเงิน 4 ด้าน และครอบครัวของเรา คนรักและญาติๆ
ของเราเขามีรายได้จากด้านไหนบ้าง? เมื่อเรารู้แล้วว่าเราอยู่ด้านไหนแล้ว
เราต้องการจะอยู่ด้านไหนมากกว่ากัน?”

  ในวันนั้น หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือชุดนี้จนจบผมก็ตัดสินใจที่จะไม่ขอเป็นคน
จนอีกต่อไป ผมไม่ยอมที่จะมีชีวิตที่ทำงานไปวันๆ และรอเพียงแค่เศษเงินในตอนสิ้น
เดือนและก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันสิ้นเดือนอีก ผมยินดีที่จะเรียนรู้ ล้มเหลว ปรับปรุง
 พัฒนาความรู้ พัฒนาตัวเองให้ทำเงินแบบคนทางด้าน B หรือเป็นเจ้าของธุรกิจได้นั้นเอง

 แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจได้อย่างไร ผู้เขียนได้แนะนำวิธีที่เขาเคยทำมา
แล้วในการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เราเป็นเพียงมนุษย์เงินเดือน ย้ายด้านเป็นคนด้าน
B หรือเป็นเจ้าของธุรกิจ

ลองคิดดูแล้วบอกกับตัวเองว่า อยากอยู่ด้านไหน ของ เงิน 4 ด้าน

ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 00:17:30 โดย ฟ้ามีตา » IP : บันทึกการเข้า
duangsunny
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 123


« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 00:28:34 »

น่าจะทำ....ไม่ใช่หน้าครับ อ่านหัวข้อกระทู้ตอนแรกก็งงครับ
IP : บันทึกการเข้า
TobyTheBook
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,411



« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 13:25:03 »

ขอบคุณเจ้า เอายูทูปลงไม่เป็น ^^

ทุกอาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้ น่าทำหมดอะค่ะ

ดูน้องคนนี้สิ สุดยอดเล้ยย  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม


IP : บันทึกการเข้า
เสือไฟ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,171


บำบัดทุกข์ บำรุงสุข


« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 13:46:10 »

ปลัดอำเภอครับ เป็นอาชีพที่สนุกมาก
IP : บันทึกการเข้า
superbump
สมาชิกลงทะเบียน
มัธยม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 810



« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 15:03:35 »

...อาชีพ สุจริต... ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
ใต้ฟ้า..เจียงฮาย
<<< Fibre optic>>>
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,563


บริการ เดินสาย Fiber optic ,LAN


« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 15:10:12 »

Re: อาชีพไหน หน้าทำงานมากที่สุด
---------------------------------------------------------------
จากหัวกระทู้.....อาชีพที่ หน้า ทำงาน.....
ดารา....
พริตตี้....
แอร์โฮสเตท...
พนักงานต้อนรับ....
 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม..ตามนี้ครับ...ที่...หน้า...ทำงานมากที่สุด.. ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
*******************
แต่ถ้าหากเป็นงานที่...น่า...ทำมากที่สุด...คือทำงานแล้วได้เงิน..ทำแล้วมีความสุข...ทำแล้วไม่เดือดร้อนคนอื่น...งานอย่างนี้ก็น่าทำที่สุดครับ..... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

<<รับเดินสาย และ Spice Fiber Optic
ระบบ FTTR,กล้องวงจรปิด,สาย LAN ,ซ่อมคอมพิวเตอร์ และเครื่องพิมพ์ Printer>>งานช่างทั่วไป..<<>>087-1729636
kooboori
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,270



« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 15:59:43 »

ตื่นๆ อยู่โรงพยาบาลนะดีละ
IP : บันทึกการเข้า

" นกกระจอก ย่อมไม่เข้าใจ วิถีแห่ง อินทรี "
@เชียงแสน
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,358


..ทุกลมหายใจคือการเปลี่ยนแปลง..


« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 19:09:59 »

หลังจากเรียนจบ ก็เป็นมนุษย์ทำงานกันเป็นส่วนใหญ่
ถ้าหากให้คุณเลือก อาชีพที่หน้าทำงานมากที่สุด
คุณจะเลือก อาชีพอะไร ... แลบลิ้น

...อาชีพที่ (หน้าทำงาน) น่าทำงาน มากที่สุด...อะไรก็ได้ที่เป็นอาชีพสุจริต
และคนทำต้องเป็นคนดี มีคุณธรรมครับ... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
momcivil
เมื่อมีจงรู้จักให้ เมื่อได้จงรู้จักพอ เมื่อขอจงรู้จักคุณค่าคนเราเกิดมาถึงเวลาก็ต้องไป
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 979


ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ


« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2012, 23:25:42 »

หุหุ อาชีพทำนาบนหลังคนแน่นอนที่สุด เห็นอยู่เต็มแผ่นดิน รวยเอ๊า รวยเอา
IP : บันทึกการเข้า

@ต่อไปนี้ทางเดินของฉันจะมีเธออยู่เคียงข้างกันตลอดไป
คนเมือง ณ กว่างกรุง
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 553


กำหนดชีวิตตัวเอง หรือรอให้คนอื่นมากำหนดชีวิตเรา..


« ตอบ #32 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 03:46:36 »

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกความคิดเห็น
ก็อย่างที่ทุกคนว่าแหละครับ ทุกอาชีพนั้นสำคัญหมด อยู่ที่ว่าเราทำหน้าที่ของตัวเองนั้นดีหรือยัง หากตั้งใจทำสิ่งนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนเชื่อว่าสักวันก็คงเป็นวันของเรา
จุดประสงค์ในการตั้งกระทู้ แค่อยากแชร์ประสบการณ์การทำงาน เผื่อใครที่พึ่งเรียนจบหรืออยากจะทำงานเขาจะได้รู้ว่า งานแต่ละอย่างมีความยากง่าย หรือท้าท้ายมากน้อยสักเพียงไหน...
... หากคุณไม่ให้เกียรติกับอาชีพตัวเอง ก็เท่ากับว่าคุณไม่ให้เกียรติตัวเอง...

(น่าทำงาน ไม่ใช่ หน้าทำงาน น่าอายจริงเรา  ยิงฟันยิ้ม)
 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 04:04:53 โดย คนเมือง ณ กว่างกรุง » IP : บันทึกการเข้า

"กว่างเจียงของ"
Maxza555
ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี ^^
สมาชิกลงทะเบียน
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11,875



« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 09:04:26 »



น่าสนใจ

ตอนผมเรียนยังไม่จบ จบแล้ว ผมอยากกลับไปทำสวนที่บ้าน แต่พ่อกับแม่บอกว่า ถ้าอยากทำสวน ทำไมไม่บอกตั้งแต่จบ ป.๖ ผลสุดท้ายผมเลยไม่ได้เป็นเจ้าของสวน

ถ้าถามผมว่าอาชีพไหนทำงานหนักที่สุด ตามความเห็นส่วนตัว ไม่มีอาชีพไหนเลยที่ทำงานหนัก  แต่มีคนในอาชีพนั้น ๆ หลาย ๆ คนทำงานหนัก เพราะ ยังมีเพื่อนร่วมอาชีพส่วนหนึ่งกำลังทำนา อยู่บนหลังของคนเหล่านั้น
บาดใจเป็นที่สุด
IP : บันทึกการเข้า

@_ริวซึเกะคุง_@
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,798



« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 10:13:15 »


ดี  ดี  ดีๆๆๆๆๆ
IP : บันทึกการเข้า

ถ้าอยากได้แต่เงินไม่พอ=คุยกันได้ครับ
มีความคิดว่าราคาสูงไป=อ่าน+ดูเฉยๆ
ต่อเอามัน,อวดเลี่ยม,ไม่เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา=ไปข้างหน้าก่อนครับ(ไล่แบบสุภาพสุดแล้ว)
pom_9963
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,742


โปรแกรมสำเร็จรูปให้เช่า Line >> itsmypoodle


« ตอบ #35 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 10:27:28 »

 ยิงฟันยิ้ม .. จอห์น ชาวไร่ !!! 
IP : บันทึกการเข้า
tfgc2007
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,873


สมบัติพญามังราย ต้องรักษาไว้


« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 11:36:40 »

ผมมีคุณสมบัติตรงตามต้องการ...เดี๋ยวผมไปฮับจ้างเน้อ...แล้วเฮาจะหยะหยังดีครับ555
IP : บันทึกการเข้า

รักษ์กำเมือง....ร่วมส่งเสริมละอ่อนเหนือ อู้กำเมือง....
เชียงรายสถาปนิก'97 รับ ออกแบบ เขียนแบบบ้าน อาคาร รับบริหารงานก่อสร้างและงานระบบทุกประเภท ตรวจสอบอาคาร โดยสามัญวิศวกร สามัญสถาปนิก และ จป.วิชาชีพ
a_pong
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,754


« ตอบ #37 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 11:58:54 »

หุหุ อาชีพทำนาบนหลังคนแน่นอนที่สุด เห็นอยู่เต็มแผ่นดิน รวยเอ๊า รวยเอา
คิดจะทำอยู่...ทุนยังไม่พอ...ฮิฮิ   อยากรวย
IP : บันทึกการเข้า
poupoushop.com
~..Rose Apple..~
สมาชิกลงทะเบียน
มัธยม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 719


แม่ค้า-คนเชียงใหม่.


« ตอบ #38 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 12:14:09 »


...อาชีพ สุจริต... ยิงฟันยิ้ม

+ ถูกต้องค่ะ  กินอิ่ม  หลับสบาย  ^^
IP : บันทึกการเข้า

ชุดผ้าปูที่นอนราคาถูก http://poupoushop.com
ร้านLine https://shop.line.me/@poupoushop
romeo28
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 513


« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 12:36:11 »

อยากเป็น ยากูซ่า ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!