เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 18:50:54
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง
| | |-+  ใครป่อจะฮู้ประวัติดอยจ้างงู ก่อคับ ที่เชียงแสนคับ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ใครป่อจะฮู้ประวัติดอยจ้างงู ก่อคับ ที่เชียงแสนคับ  (อ่าน 4724 ครั้ง)
sonicbank
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 150


ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว


« เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2010, 21:47:31 »

อยากจะขอพี่ๆน้องๆใครพอจะฮู้  ประวัติดอยจ้าง - งู ผ่องคับ ขอความรู้หน่อยคับผม
เคยได้ยินอุ้ยเล่าว่า หัวเป็นจ้างตัวเป็นงูคอยปกปักรักษาถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่เจียงแสน แต่ตอนนี้ถ้ำได้ปิดแล้ว ก็จะมีปากถ้ำ หรือจ้าวบ้านว่าตาดถ้ำอยู่ที่ บ้านหนองปลาสะเด็ด  ต.ศรีดอนมูล    ทุกปีจาวบ้านจะทำพิธี ที่ปากถ้ำ ว่าจะโทษถามอุ้ย แต่ว่า ไปก้าถ่านที่สวรรค์ล่ะ ตอนนี้ดอยนั้นฮ้องว่าดอยสะโง๊ะ คับอันนี้ไปหาในเวปมาคับ แต้บ่แต้บ่ฮู้  คำว่า ช้างงู ได้ชื่อมาจาก "ดอยช้างงู" ในตำนานเชียงแสน ซึ่งมีเรื่องตอนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการที่ฟื้นเมืองเชียงแสนโดยกล่าวว่าเมื่อพระองค์พังครองเมืองเชียงแสนอยู่นั้น
ก็ได้ถูกพวกขอมดำชิงเมืองในศักราช ๒๙๗ พระองค์พังและราชเทวีถูกเนรเทศไปเป็นนายบ้านเวียงสี่ทวงและต้องส่งส่วยแก่ขอมทุกปี เมื่อพระโอรสชื่อพรหมกุมารเจริญวัยขึ้นแล้วก็ได้สะสมอาวุธคิดชิงเมืองคืน เมื่อพรหมกุมารมีอายุได้ ๑๓ ปีนั้น เทวดาได้มาแสดงในความฝันว่าหากต้องการช้างวิเศษแล้วก็ให้ไปล้างหน้าที่แม่น้ำโขง
จะมีช้างเผือกสามเชือกล่องมาตามน้ำ หากได้เชือกแรกแล้วจะสามารถปราบได้ทั้งจักรวาลหากได้เชือกที่สองจะปราบชมพูทวีปได้ทั้งหมด แต่หากจับเชือกที่สามได้ก็จะปราบได้เพียงล้านนาทั้งหมดและขอมดำทั้งมวล พรหมกุมารจึงตัดเอาขอไม้ไล่ไปล้างหน้าที่น้ำแม่ของหรือแม่น้ำโขงตามที่เทวดาบอก คู่หนึ่งจึงมีงูตัวหนึ่งมีลวดลายเป็นด่างดวงมีขนาดเท่ายุ้งข้าวล่องลงมาตามน้ำ พรหมกุมารและบริวารก็ได้แต่สั่นด้วยความกลัว เมื่องูนั้นล่องน้ำไปแล้วสักคู่ก็มีงูอีกตัวหนึ่งมีลำตัวเป็นมันวับและมีขนาดเท่าต้นลานล่องมา พรหมกุมารคิดว่าเทวดาบอกว่าจะมีช้างแต่ก็พบงูแทน ซึ่งเทวดาคงจะหมายถึงงูนั้นจึงบอกบริวารว่าให้ช่วยกันกระโดดลงไปจับเอางูในลำน้ำ งูเมื่อถูกจับก็กลายเป็นช้างและพรหมกุมารก็อาศัยช้างตัวนี้ขี่เข้าสงคราม ซึ่งพอช้างของนายทัพขอมมองเห็นช้างของพรหมกุมารก็ล้มลงแล้วลุกเตลิดหนีพรหมกุมาร
ขับช้างไล่ติดตามพวกขอมดำไปจนถึงแดนเมืองละโว้ หลังจากการสงครามแล้ว พรหมกุมารก็ได้คืนสู่เวียงพางคำ พอปลดเครื่องศึกลงจากหลังช้างแล้ว ช้างนั้นก็กลับกลายเป็นงูใหญ่ตามเดิมแล้วเลื้อยเข้าไปใน "รูดอย" เสีย คนทั้งหลายจึงเรียกดอยดังกล่าวว่า "ดอยช้างงู".

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 สิงหาคม 2010, 22:15:27 โดย sonicbank » IP : บันทึกการเข้า
เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2010, 22:13:23 »

ตำนานช้างงู

ดอยช้างงู หรือ ดอยสะโง้ ตั้งอยู่ที่บ้านดอยสะโง้ ตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
คำว่า ช้างงู ได้ชื่อมาจาก "ดอยช้างงู" ในตำนานเชียงแสน ซึ่งมีเรื่องตอนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการที่ฟื้นเมืองเชียงแสนโดยกล่าวว่าเมื่อพระองค์พังครองเมืองเชียงแสนอยู่นั้น
ก็ได้ถูกพวกขอมดำชิงเมืองในศักราช 297 พระองค์พังและราชเทวีถูกเนรเทศไปเป็นนายบ้านเวียงสี่ทวงและต้องส่งส่วยแก่ขอมทุกปี เมื่อพระโอรสชื่อพรหมกุมารเจริญวัยขึ้นแล้วก็ได้สะสมอาวุธคิดชิงเมืองคืน เมื่อพรหมกุมารมีอายุได้ 13 ปีนั้น เทวดาได้มาแสดงในความฝันว่าหากต้องการช้างวิเศษแล้วก็ให้ไปล้างหน้าที่แม่น้ำโขง

จะมีช้างเผือกสามเชือกล่องมาตามน้ำ หากได้เชือกแรกแล้วจะสามารถปราบได้ทั้งจักรวาลหากได้เชือกที่สองจะปราบชมพูทวีปได้ทั้งหมด แต่หากจับเชือกที่สามได้ก็จะปราบได้เพียงล้านนาทั้งหมดและขอมดำทั้งมวล พรหมกุมารจึงตัดเอาขอไม้ไล่ไปล้างหน้าที่น้ำแม่ของหรือแม่น้ำโขงตามที่เทวดาบอก คู่หนึ่งจึงมีงูตัวหนึ่งมีลวดลายเป็นด่างดวงมีขนาดเท่ายุ้งข้าวล่องลงมาตามน้ำ พรหมกุมารและบริวารก็ได้แต่สั่นด้วยความกลัว

เมื่องูนั้นล่องน้ำไปแล้วสักคู่ก็มีงูอีกตัวหนึ่งมีลำตัวเป็นมันวับและมีขนาดเท่าต้นลานล่องมา พรหมกุมารคิดว่าเทวดาบอกว่าจะมีช้างแต่ก็พบงูแทน ซึ่งเทวดาคงจะหมายถึงงูนั้นจึงบอกบริวารว่าให้ช่วยกันกระโดดลงไปจับเอางูในลำน้ำ งูเมื่อถูกจับก็กลายเป็นช้างและพรหมกุมารก็อาศัยช้างตัวนี้ขี่เข้าสงคราม ซึ่งพอช้างของนายทัพขอมมองเห็นช้างของพรหมกุมารก็ล้มลงแล้วลุกเตลิดหนีพรหมกุมารขับช้างไล่ติดตามพวกขอมดำไปจนถึงแดนเมืองละโว้

หลังจากการสงครามแล้ว พรหมกุมารก็ได้คืนสู่เวียงพางคำ พอปลดเครื่องศึกลงจากหลังช้างแล้ว ช้างนั้นก็กลับกลายเป็นงูใหญ่ตามเดิมแล้วเลื้อยเข้าไปใน "รูดอย" เสีย คนทั้งหลายจึงเรียกดอยดังกล่าวว่า "ดอยช้างงู" ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น "ดอยสะโง้"

เครดิต
http://www.oocities.com/tour312/chang.htm

...

"พระเจ้าพรหมมหาราช"

แต่ละตำราระบุช่วงเวลาของพระเจ้าพรหมไว้ไม่เหมือนกัน ในหนังสือประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดเชียงราย ซึ่งเอา "ตำนานสิงหนวัติฉบับสอบค้น" มาเป็นหลักอ้างอิง กล่าวคือย้อนไปเมื่อ พ.ศ.1460 ในรัชสมัยของ พระเจ้าพังคะ หรือ พระองค์ฬั่ง กษัตริย์องค์ที่ 43 แห่งราชวงศ์สิงหนวัติ ได้ถูกพวกขอมขับไล่จากเมืองโยนกพันธุ์ไปอยู่เมืองเวียงสี่ตวง ใกล้แม่น้ำสาย จนกระทั่ง 4 ปีต่อมา หรือเมื่อ พ.ศ.1464 มเหสีของพระองค์ไปประสูติโอรสคนที่ 2 มีการขนานนามว่า "พระเจ้าพรหมกุมาร"

ในตำนานได้กล่าวถึงประวัติตอนปฐมวัยของ "พระเจ้าพรหมกุมาร" เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น เมื่อพระองค์มีพระชันษาได้ 7 ปี ก็สามารถเล่าเรียนวิชาเพลงอาวุธและตำราพิชัยสงคราม จนจบครบถ้วนกระบวนความ หรือเมื่อพระองค์มีพระชันษาได้ 13 ปี ได้ทรงสุบินว่า มีเทพยดามาบอกว่า จะมีช้าง 3 ตัวล่องน้ำโขงมา และให้เจ้าพรหมกุมารไปล้างหน้าที่นั่น หากจับช้างตัวแรกได้จะมีอานุภาพปราบได้ทั้ง 4 ทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ 2 จะมีอานุภาพได้ชมภูทวีป ถ้าจับได้ตัวที่ 3 จะปราบแว่นแคว้นล้านนาได้

พอรุ่งเช้า เจ้าพรหมกุมารจึงได้พาบริวารประมาณ 50 คน ไปยังท่าน้ำ ครั้งแรกเห็นงูเหลือมเลื่อมเป็นมันระยับลอยผ่านไปแล้ว 1 ตัว พอตัวที่ 2 ก็เป็นงูอีกเหมือนกัน พอตัวที่ 3 เจ้าพรหมกุมารจึงทรงนึกถึงเรื่องในสุบินนั้นคงเป็นงูนี่เอง จึงพร้อมกับบริวารช่วยกันจับงู เมื่อเจ้าพรหมกุมารสามารถขึ้นขี่ งูก็กลายเป็นช้างไปทันที แต่ไม่ยอมขึ้นฝั่ง จนกระทั่งบริวารต้องเอาพานทองคำตีล่อ ช้างจึงยอมขึ้นจากน้ำ และมีการเรียกชื่อว่า "ช้างพานทองคำ"

พระเจ้าพรหม ทรงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความสามารถและโปรดในการสงคราม เมื่อสามารถเตรียมกำลังไพร่พลได้อย่างเต็มที่แล้ว ก็ทูลพระบิดาให้เลิกการส่งส่วยแก่ขอม พวกขอมจึงยกทัพขึ้นไปปราบ พระเจ้าพรหมก็คุมกำลังออกต่อสู้และขับไล่พวกขอมจนแตกพ่าย สามารถยึดเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติคืนได้เมื่อ พ.ศ.1479 ในขณะที่พระองค์มีพระชันษาได้เพียง 16 ปีเท่านั้น

สำหรับช้างพานทองคำ เมื่อเสร็จสงครามก็ได้หายไปทางดอยลูกหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า "ดอยช้างงู" แต่ชาวอาข่าบริเวณนั้นออกเสียงไม่ชัดเจน เรียกว่า "ดอยสะโง้" หรือเขียนเป็นทางการว่า "ดอยสะโง๊ะ" และได้เรียกเพี้ยนมาจนถึงปัจจุบัน

ส่วนพระเจ้าพรหม เมื่อได้อัญเชิญพระบิดามาครองเมืองโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโยนกชัยบุรีแล้ว พระองค์ก็นำทัพไปขับไล่ขอมจนถึงเมืองกำแพงเพชร จนหมดเชื้อชาติขอมในอาณาจักรโยนกแล้วจากนั้นพระองค์ก็ได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เมืองอุมงคลเสลาเก่า เมื่อ พ.ศ.1480 เพื่อเป็นด่านหน้าคอยป้องกันพวกขอมยกทัพกลับมาตีอีก และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็น "เมืองไชยปราการ" ซึ่งปัจจุบันเป็นอำเภอชัยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ นั่นเอง

พระองค์ได้ครองเมืองไชยปราการได้ 59 ปี ก็เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.1540 ต่อมาได้มีการขนานนามพระองค์ว่า "พระเจ้าพรหมมหาราช"

เครดิต
http://www.sridonmool.com/home/index.php?option=com_content&view=article&id=54:2008-05-26-18-42-54&catid=37:place&Itemid=76


* ดอยช้างงู.jpg (46.02 KB, 400x137 - ดู 2428 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 สิงหาคม 2010, 22:22:16 โดย เชียงรายพันธุ์แท้ » IP : บันทึกการเข้า
sonicbank
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 150


ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2010, 22:18:29 »

ขอบคุณคับ อ้าย สุดยอดแต้อ้ายนิ
IP : บันทึกการเข้า
เมือง_ คนเจียงฮาย
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 158



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2010, 09:00:49 »

ดีคับ  เกิดมาก่อ ฮ่องดอยส่าโง่ ดอยส่าโง่ บ่ฮู่เลื่องซักเต้อะ กำนี่สะได้เล่าฮื่อลูกฟังกำเลาะ  ยินดีเน่อ เจ้าของกระทู้เน่อ
IP : บันทึกการเข้า

จงฝืนกระแสแห่งใจที่ไหลลงต่ำในทุกเวลาเถิด ฮักห้วยน้ำฮาก
bfesz
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2010, 10:40:22 »

สุดยอดบ่าก้วยเตดแต้ๆ


* DSCF8730.JPG (245.83 KB, 640x480 - ดู 2236 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
Cha5100
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2012, 21:00:00 »

ตอนเด็กทวดเล่าให้ฟังว่ามีถำ้อยู่ ชาวบ้านไปยืมถ้วย ช้อน แล้วไม่เอาไปส่งถำ้มีจึงปิด สมัยก่อนคนแถวนั้นชอบไปแอ๋วดอยหาของป่าถ้าใครหลงก็จะเจอ.ทวดเจอเจอท่ีหนึ่งตอนหลง.
IP : บันทึกการเข้า
ZaNen
Why so serious?
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 395


'Head and thinking cold, Heart Hot'


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 08 มีนาคม 2012, 10:21:13 »

เพิ่งรู้นะเนี่ย
ขอบคุณสำหรับความรู้จ้าว
IP : บันทึกการเข้า

หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!