ภาษากลางไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาของเมืองหลวงเสมอไปครับ
บางประเทศก็ไม่ใช้ภาษาของเมืองหลวงเป็นภาษากลาง
หรือบางที หลายประเทศก็ไม่ยอมรับด้วยซ้ำว่าตัวเองมีภาษากลาง 1 ภาษา
เพราะเกรงเกิดความแตกแยกในชาติ เลยอนุโลมให้ใช้หลายภาษาร่วมกัน
ในอิตาลี ภาษากลาง เขาก็ไม่ใช้สำเนียงของกรุงโรมนะ
แต่เขาใช้สำเนียงภาษาของนครฟรอเรนซ์
เพราะสำเนียงภาษามีความสลักสลวยกว่า
ที่เบลเยี่ยม ประชากรพูดหลายภาษา
โดยหลักๆจะใช้ภาษาดัตช์ ภาษาฝรั่งเศส และเยอรมันอีกนิดหน่อย
ข้าราชการเบลเยี่ยมจึงต้องพูด อ่าน เขียน ให้ได้ อย่างน้อย 3 ภาษา
คือ ดัตช์ ฝรั่งเศส และอังกฤษ
เพื่อความเสมอภาคในการรับใช้ประชาชนภายในชาติ
นอกจากนี้ ตามถนนหนทางก็จะต้องมีป้ายบอกทาง 3 ภาษา
ไม่งั้นโดนฟ้องร้องแน่ๆ เพราะถือว่าเลือกปฏิบัติ
อ้อ เอกสารราชการก็ต้องมี 3 ภาษาด้วยนะ
ในอเมริกาเองก็ใช่ย่อย รัฐบาลไม่ยอมรับว่าตัวเองมีภาษากลาง
โดยเลี่ยงไปใช้คำว่า ภาษาที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด
ซึ่งก็คือ ภาษาอังกฤษนั่นแหละ
แถมยังไม่มีสำเนียงกลางด้วยนะ
แต่ส่วนใหญ่ในทีวี นักข่าวจะใช้สำเนียงนิวยอร์กกัน
มีบ้างที่ใช้สำเนียงบอสตัน หรือนิวเจอร์ซี
ส่วน วอชิงตัน ดีซี นี่ก็มี แต่ถือว่าน้อย
คำว่า "ภาษากลาง" เนี่ย มันสะท้อนถึงอำนาจ
ศูนย์อำนาจในประเทศนั้นๆมักกำหนดให้ภาษาของถิ่นตนเป็นภาษากลาง
โดยไม่จำเป็นต้องถามความสมัครใจของท้องถิ่นอื่นๆ
เพราะตัวเองสามารถใช้อำนาจบังคับได้
ด้วยวิธีสุด classic นั่นคือ ผ่านระบบการศึกษาของรัฐ
ส่วนเหตุผลที่รัฐต้องกระทำเช่นนี้ ก็มีหลายอย่าง แล้วแต่การตีความ
ซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ เพราะเกี่ยวพันกับเรื่องความมั่นคงในชาติ
เอาง่ายๆ สรุปก็คือ
การมีภาษากลางของแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นๆ
ส่วนภาษากลางของโลก อันนี้ละไว้ในฐานที่เข้าใจน่อ
กลับมาที่ภาษาท้องถิ่นในประเทศ THAILAND
อันนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของท้องถิ่นครับ
ต่อให้รัฐบาลกรุงเทพฯไม่รับรองให้ใช้เป็นภาษากลาง
แต่ถ้าคนในท้องถิ่นยังพูด อ่าน เขียน ภาษาของตน
รัฐบาลก็คงไม่โง่ที่จะสั่งให้เลิก อย่างมากก็แค่ไม่สนับสนุน
หันตวยอย่างยิ่งครับ