เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 13:46:54
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง
| | |-+  พระอุปคุต อรหันต์ผู้พิชิตพญามาร โดยพนมกร นันติ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน พระอุปคุต อรหันต์ผู้พิชิตพญามาร โดยพนมกร นันติ  (อ่าน 4535 ครั้ง)
maekok_14
คือคนของพระราชา คือข้าของแผ่นดิน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,253



« เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 08:44:16 »

พระอุปคุต อรหันต์ผู้พิชิตพญามาร



เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๙ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง  ได้จัดให้มีพิธีสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง  นั่นคือพิธีมหาพุทธาภิเษกพระเจ้าล้านทองเฉลิมพระเกียรติ  ซึ่งในพิธีสำคัญนี้เองที่ผู้เขียนได้เป็นคณะกรรมการดำเนินการ  และได้จัดให้มีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องที่สำคัญๆ หลายพิธี เช่น การขึ้นท้าวทั้งสี่ พิธีอัญเชิญพระอุปคุต พิธีกวนข้าวทิพย์ และพิธีเบิกเนตรเป็นต้น  ซึ่งในพิธีอันเป็นมหามงคลที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเช่นนี้  ตามประเพณีวัฒนธรรมและคติความเชื่อของชาวล้านนา  จะต้องมีการอันเชิญพระอุปคุตมาสถิต ณ มณฑลพิธี  เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองและรักษาพิธีให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
   แต่ก่อนที่จะไปถึงพิธีการอันเชิญพระอุปคุตนั้น  ผู้เขียนขออธิบายให้เกิดความกระจ่างและเพื่อเป็นการทำความเข้าใจร่วมกัน  ว่าพระอุปคุตนั้นคืออะไร  และมีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนามากน้อยเพียงใด



ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่าพระอุปคุตเถระนั้นเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วได้บำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ชื่อว่า  พระอรหันต์ขีณาสพ  เป็นผู้ที่มีอภิญญาภินิหารต่างๆ จนสามารถแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย  และมีเรื่องเล่าขานกันว่าประมาณปลายพุทธศตวรรษที่  ๒ หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ดับขันธ์ปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานีแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชผู้ซึ่งมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูปมากมายทั่วทั้งชมพูทวีป เพื่อใช้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า  โดยได้สร้างสถูปและเจดีย์ขึ้นถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ด้วยกัน
เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งหมด เป็นการมโหฬารยิ่งใหญ่ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน และเพื่อให้การฉลองสมโภช เป็นไปด้วยความเรียบร้อยปราศจากอุปสรรคและการเข้ามารบกวนซึ่งหมู่มารทั้งปวง  พระองค์จึงได้อาราธนาพระอรหันต์ขีณาสพผู้ซึ่งทรงอิทธิฤทธิ์ มาเป็นผู้คุ้มครองงาน ให้ปราศจากการรบกวนจากมารร้ายต่างๆ เนื่องจากว่าพระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร ไม่มีรูปใดที่จะสามารถจะเป็นผู้คุ้มครองงานมหกรรมนั้นได้ โดยเฉพาะภัยจากพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย  นอกเสียจากพระอุปคุตเถระผู้เดียวเท่านั้น พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ รูป ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระมาช่วยรักษาความปลอดภัย ซึ่งกล่าวกันว่าพระอุปคุตเถระองค์นี้ปกติแล้วเป็นผู้ที่ชอบสันโดษอยู่องค์เดียว เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุข  ตามตำนานกล่าวว่าท่านเนรมิตเรือนแก้ว(กุฏิแก้ว) ขึ้นในท้องทะเลหลวงหรือสะดือทะเล ซึ่งภายในปราสาทแก้วได้เนรมิตรัตนะบัลลังก์เป็นที่พำนัก แล้วก็ลงไปอยู่ประจำที่กุฏิแก้วตลอดเวลา   พระอุปคุตเถระจะออกจากสมาบัติเหาะขึ้นมาบิณฑบาตในโลกมนุษย์ เฉพาะในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น  ซึ่งวันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธนี้เอง  ชาวล้านนาเรียกกันว่า “เป็งปุ๊ด” ซึ่งมีประเพณีใส่บาตรพระอุปคุตตอนเที่ยงคืน  ซึ่งผู้เขียนจะได้นำมาอธิบายต่อไป



และในครั้งนี้เองที่พระอุปคุตเถระถูกพระภิกษุสองรูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติชำแรกมหาสมุทรลงมาถึงตัวท่านแล้วแจ้งต่อท่านว่า ให้ท่านจงเป็นธุระเพื่อคอยปกป้องกันพญาวัสสวดีเทพบุตรมาร อย่าให้รบกวนงานฉลองพระสถูปเจดีย์ ของพระเจ้าอโศกมหาราชที่จัดฉลองสมโภชในครั้งนี้ได้ และเมื่อพระอุปคุตเถระได้รับทราบความดังนั้นแล้ว ท่านได้รับนิมนต์จากภิกษุทั้ง ๒  และได้เดินทางมานมัสการและรายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น
พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้เสด็จเข้ามานมัสการคณะสงฆ์เพื่อขอทราบเรื่อง ถึงผู้จะที่จะมาทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของงานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยจัดขึ้น  เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ คือพระอุปคุตเถระก็ทรงนึกแคลงพระทัย เนื่องจากพระอุปคุตเถระนั้นท่านมีร่างกายผ่ายผอมดูอ่อนแอ พระองค์ก็ทรงไม่แน่ใจและเกรงว่าพระอุปคุตเถระองค์นี้จะทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์
   ครั้นวันรุ่งขึ้นขณะที่พระอุปคุตเถระออกบิณฑบาตนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชต้องการทดสอบฤทธิ์เดชพระเถระรูปนี้จึงทรงปล่อยช้างตกมันให้เข้าทำร้าย พระมหาอุปคุตเถระเห็นดังนั้นจึงได้สะกดช้างที่กำลังวิ่งเข้ามาหาให้หยุดอยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ประดุจช้างที่สลักด้วยก้อนหิน  เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชเห็นดังนั้นก็ทรงเลื่อมใสศรัทธาพระอุปคุต  จึงเสด็จไปขอขมาพระมหาอุปคุตเถระ  และท่านก็ให้อภัยทั้งแก่พระเจ้าอโศกมหาราช และพญาคชสารนั้น



พระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อเห็นว่าพระอุปคุตเถระ เป็นผู้มีฤทธิ์เดชเพียงนั้นพระองค์ก็ทรงวางพระทัย และสั่งให้จัดเตรียมฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งหมดด้วยการปลูกสร้างโรงพิธี ประดับประดาให้มีความวิจิตรสวยงามด้วยธงทิวและประทีปโคมไฟตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ทำให้ตามแนวฝั่งแม่น้ำคงคาสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ  เมื่อถึงฤกษ์งามยามดีตามที่กำหนดไว้พระอรหันต์ขีณาสพพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด ตลอดจนพุทธศาสนิกชนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณงานพร้อมเครื่องสักการบูชา เพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภช พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในมหาเจดีย์และเจดีย์ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
ในขณะเดียวกันที่มีการฉลองสมโภชอยู่นั้นพญาวัสสวดีเทพบุตรมาร ก็มุ่งหน้าเข้ามาในงานเพื่อหวังที่จะก่อความวุ่นวาย ต่างๆ นานา ทั้งบันดาลให้เกิดลมพายุ ทั้งแปลงร่างเป็นสัตว์ป่าและสัตว์ที่ดุร้ายต่างๆนาๆ แต่ทุกครั้งก็ถูกพระอุปคุตเถระกำราบได้ทุกครั้งไป  สุดท้ายเพื่อให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารออกไปจากบริเวณพิธี  พระอุปคุตเถระจึงเนรมิตร่างหมาเน่าขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วดึงเอาประคตจากเอวของท่านออกมาผูกร่างหมาเน่านั้น คล้องคอพญาวัสสวดีเทพบุตรมารไว้ แล้วสำทับว่าไม่ว่าใครก็ตามนอกจากท่านเอง แล้วเอาหมาเน่านี้ออกจากคอพญาวัสสวดีเทพบุตรมารไม่ได้ แล้วขับพญาวัสสวดีเทพบุตรมารออกไปจากบริเวณงานทันที ด้วยความอับอายพญาวัสสวดีเทพบุตรมารก็ออกมาจากบริเวณงาน และพยายามแกะเอาซากหมาเน่าออกด้วยฤทธานุภาพทั้งหมดที่ตนมีอยู่  แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ได้เพราะเมื่อเอามือทั้งสองต้องสายประคตที่คล้องคอเมื่อได  ต้องมีเหตุให้ไฟลุกขึ้นไหม้คอและมือทันทีทุกครั้ง  สุดที่พญาวัสสวดีเทพบุตรมารจะแก้ไขด้วยตนเอง  จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากผู้ทรงฤทธิ์ตามที่ต่างๆ แต่ก็ไม่มีใครที่จะสารมารถช่วยเหลือได้



ถึงแม้พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร จะไปขอให้พระอินทร์ ท้าวยามา ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมิตเทวราช ตลอดจนท้าวสหัสบดีพรม ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ต่างได้แต่แนะนำให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารไปขอขมาพระอุปคุตเถระเสีย พญาวัสสวดีเทพบุตรมารเห็นดังนั้นจึงจำใจต้องกลับไปหาพระอุปคุตเถระ เพื่อขอขมาและขอให้ท่านช่วยเอาซากหมาเน่าออกจากคอให้แล้วจะไม่มารบกวนการจัดงานอีก พระอุปคุตเถระก็ให้ความเมตตาผ่อนปรนให้ แต่ท่านยัง
ไม่ไว้ใจพญาวัสสวดีเทพบุตรมาร เกรงว่าพญาวัสสวดีเทพบุตรมารจะกลับมาทำลายพิธีในภายหลัง จึงเดินนำพญาวัสสวดีเทพบุตรมารไปยังเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วเอาซากหมาเน่าทิ้งลงเหวพร้อมทั้งเนรมิตให้สายประคตยาวขึ้น แล้วพันคอพญาวัสสวดีเทพบุตรมารไว้กับเขาลูกนั้น พร้อมทั้งแจ้งให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร ทราบว่าเมื่อเสร็จพิธีฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์สิ้นสุดลงแล้วจึงจะมาแก้สายประคตออกให้ และปล่อยให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารเป็นอิสระต่อไป
   เมื่อเวลาการจัดงานสมโภชน์ผ่านไปตามที่ตกลงกันไว้และสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พระอุปคุตเถระ จึงกลับมาหาพญาวัสสวดีเทพบุตรมารโดยแอบอยู่ห่างๆ เพื่อฟังเสียงพญาวัสสวดีเทพบุตรมารว่าละพยศร้ายหรือยัง พญาวัสสวดีเทพบุตรมารเองเมื่อจากทิพยวิมานอันบรมสุขมารับทุกขเวทนาเช่นนี้เป็นเวลานานแล้ว ก็ละพยศร้ายในสันดานหวนนึกถึงพระพุทธโคดม จึงกล่าวสดุดีในความเมตตากรุณาของพระพุทธเจ้า ในเรื่องที่ทรงมีมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ว่า “ทรงบำเพ็ญสิ่งอันเป็นที่สุดหามิได้เป็นที่พึ่งพำนักแก่สัตว์โลกทั้งมวลในกาลทุกเมื่อ พระองค์นั้น เป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ อนึ่ง ในกาลก่อนข้าพเจ้าได้ทำร้ายพระองค์โดยประการต่างๆ แต่พระองค์ก็ยังทรงมหากรุณาธิคุณ มิได้กระทำการโต้ตอบแก่ข้าพเจ้าเลย มาบัดนี้สาวกของพระองค์นามว่าอุปคุตไม่มีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเลย กระทำกับข้าพเจ้าให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และได้รับความอับอายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าข้ายังมีบุญกุศลที่ได้สั่งสมไว้แต่กาลก่อน ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาเป็นพระสัพพัญญูในอนาคต ดังเช่นพระองค์ต่อไป”



กล่าวได้ว่าการตกระกำลำบากในครั้งนี้ทำให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมาร ซึ่งความจริงแล้วในอดีตชาติ  เคยมีจิตตั้งมั่นที่จะบำเพ็ญเพียรให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นกัน แต่ที่ได้กระทำการขัดขวางพุทธศาสดาของพระพุทธโคดมก็ด้วยความริษยาพระพุทธโคดม  เนื่องด้วยพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตนทั้งๆที่ตนบำเพ็ญบารมีมามากพอสมควรเหมือนกัน แต่การกระทำในแต่ละครั้งก็มิได้ล่วงเกินทำบาปหนักแต่ประการใด เมื่อพระอุปคุตเถระได้ยินคำปรารภดังนั้น ก็เห็นว่าพญาวัสสวดีเทพบุตรมารสิ้นพยศแล้วจึงแก้สายรัดประคตออกให้ และปล่อยให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารเป็นอิสระ พร้อมทั้งขอขมาพญาวัสสวดีเทพบุตรมารและบอกว่า การกระทำครั้งนี้ก็เพื่อให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารระลึกได้ถึงพุทธภูมิที่ท่านเคยปรารถนาไว้เท่านั้นเอง มิได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินประการใด ซึ่งพญาวัสสวดีเทพบุตรมารก็เข้าใจด้วยดี
ต่อจากนั้นพระอุปคุตเถระก็ได้ขอให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารเนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็นเป็นพุทธานุสติบ้าง ซึ่งพญาวัสสวดีเทพบุตรมารก็รับคำแต่ขอร้องว่า  เมื่อเห็นเขาเนรมิตกายเป็นพระพุทธองค์แล้ว อย่าหลงกราบไหว้เป็นอันขาดเพราะจะให้เขาบาปหนัก ครั้นเมื่อพญาวัสสวดีเทพบุตรมารเนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะและฉัพพรรณรังสีอันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา แวดล้อมด้วยมหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวาร เสด็จเยื้องย่างด้วยพุทธลีลาอันงดงามยิ่ง พระเถระและบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นเช่นนั้น ก็ลืมตัวพากันถวายนมัสการทำเอาพญาวัสสวดีเทพบุตรมารตกใจ รีบคืนร่างเดิมและท้วงติงว่าทำให้ตนมีบาปหนัก แต่พระอุปคุตเถระก็กล่าวให้พญาวัสสวดีเทพบุตรมารสบายใจว่า ทุกคนกราบไหว้พระพุทธเจ้าและพญาวัสสวดีเทพบุตรมารก็ไม่บาปหรอก แต่หากจะได้กุศลมากกว่า



ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นตำนานที่กล่าวถึงอภิญญาภินิหารของพระอุปคุตเถระ  ที่มีการเล่าขานสืบต่อกันมากระทั่งปัจจุบัน และในตำนานหรือในพระไตรปฎกไม่ได้กล่าวถึงการละสังขารเข้าสู่นิพพานของพระอุปคุตเถระ  หรือพระอรหันต์ขีณาสพรูปนี้เลย  จึงมรความเชื่อกันอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ว่าพระอุปคุตเถระ  ท่านยังคงเข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอยู่ในเรือนแก้ว หรือกุฏิแก้ว  ในท้องทะเลหลวงหรือสะดือทะเล เพื่อคอยช่วยเหลือโลกมนุษย์อยู่นั่นเองในคติ ความเชื่อของชาวล้านนา เมื่อมีการฉลองสมโภช หรืองานทำบุญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา  อาทิงานฉลองกุฏิ ศาลา วิหาร งานพุทธาภิเษก  ปอยหลวง
ชาวล้านนาจะมีพิธีอันเชิญพระอุปคุตเถระเพื่อมาสถิต ณ  
มณฑลพิธีที่จัดขึ้น เพื่อให้พระอุปคุตช่วยปกป้องคุ้มครอง
และรักษาความสงบเรียบร้อยของงานให้เกิดความราบรื่น
โดยตลอด  พิธีอันเชิญพระอุปคุตของชาวลานน้ามีพิธีที่
น่าสนใจดังนี้



การจัดงานฉลองสมโภชต่างๆที่ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างข้างต้น ส่วนใหญ่แล้วชาวล้านนาจะกำหนดระยะเวลาของการจัดงานราว ๓-๔ วัน วันแรกเรียกว่าตานตุง วันถัดมาเป็นวันดา วันที่ ๓ เป็นวันที่หัววัดต่างๆ มาร่วมทำบุญ  และวันสุดท้ายเป็นวันถวายทาน  ซึ่งก่อนวันที่จะมีการตานตุงนั้น  ชาวล้านนาจะมีพิธีขึ้นท้าวทั้งสี่  หรือต๊าวตังสี่เพื่อบอกกล่าวเทวาอารักษ์และพระแม่ธรณีให้รับรู้รับทราบถึงงานบุญดังกล่าว  หลังจากนั้นจะมีพิธีอันเชิญพระอุปคุตเพื่อมาสถิตยังมณฑลพิธี  ซึ่งชาวล้านนาจะสร้างหอพระอุปคุตขึ้นทำด้วยโครงไม้ไผ่สูงพอประมาณ  หุ้มด้วยจีวรพระลักษณะเป็นซุ้มเล็กๆ พอที่จะวางเครื่องนอนและอัฐบริขารได้  หลังจากนั้นจะจัดเตรียมบุษบกและประดับประดาบุษบกให้มีความสวยงาม ซึ่งในสมัยก่อนจะใช้คนหามหรือใช้เกวียนลาก แต่ปัจจุบันจะใช้รถยนต์แทนเนื่องจากมีความสะดวกมากกว่าตามยุคสมัย  ภายในบุษบกจะมีพานสำหรับอัญเชิญพระอุปคุตหนึ่งใบ มีผ้าขาวหรือผ้าทองรองรับและประดับประดาให้สวยงาม  บนรถบุษบกมีโต๊ะหมู่บูชาจำนวน ๑ ชุด พร้อมทั้งเครื่องสักการะต่างๆ อันประกอบไปด้วยแจกันดอกไม้ กระถางธูป-เชิงเทียน  และที่ขาดไม่ได้คือเครื่องอัฐบริขารซึ่งมีบาตร ผ้าไตร ๑ ชุด ตาลปัตร ขันข้าวตอก- ดอกไม้เพื่ออันเชิญพระอุปคุต น้ำขมิ้นส้มป่อยและน้ำอบน้ำหอม



เมื่อทุกอย่างได้จัดเตรียมพร้อมแล้ว ก็เคลื่อนขบวนทั้งหมดซึ่งมีฆ้องกลองหรือมโหรีที่แต่ละหมู่บ้านแต่ละชุมชนพอจัดเตรียมให้  เพื่อเดินทางไปอันเชิญพระอุปคุตยังสถานที่ๆ กำหนดไว้  ที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานที่ในการไปอันเชิญพระอุปคุตนั้น  ชาวล้านนาจะไปอันเชิญพระอุปคุตที่แม่น้ำหรือลำห้วยที่มีน้ำไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา และเป็นแม่น้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณต้นน้ำเช่นอุทยาน น้ำตก เพราะเป็นแหล่ง กำเนิดของสายน้ำและมีความสะอาดมากที่สุด  มูลเหตุที่ต้องไปอันเชิญพระอุปคุตที่แม่น้ำนั้นก็เนื่องด้วยตามตำนาน  พระอุปคุตเถระท่านเนรมิตเรือนแก้วหรือกุฏิแก้ว ขึ้นในท้องทะเลหลวงหรือสะดือทะเล  แต่เนื่องจากบริเวณอาณาจักรล้านนานั้นไม่มีแผ่นดินที่ติดกับทะเลเลย  ดังนั้นชาวล้านนาจึงได้สมมติให้แม่น้ำสายใดสายหนึ่งเป็นสะดือทะเลแทน ในพิธีพุทธาภิเษกพระเจ้าล้านทองเฉลิมพระเกียรติฯ ผู้เขียนซึ่งเป็นคณะกรรมการดำเนินการจัดงาน  และเป็นผู้ที่มีหน้าที่ในการจัดพิธีอันเชิญพระอุปคุต  ได้เลือกเอาสถานที่สวนรุกขชาติน้ำตกโป่งพระบาทเป็นสถานที่ในการไปอันเชิญพระอุปคุต  เนื่องจากเป็นแหล่งต้นน้ำและมีความเป็นธรรมชาติมากที่สุดนั่นเอง การเลือกเอาสถานที่ใดสานที่หนึ่งเป็นสถานที่ๆ จะประกอบพิธีอันเชิญพระอุปคุตนั้น  เจ้าของงานหรือผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องต้องออกไปสำรวจเพื่อเตรียมความเรียบร้อยก่อน  ซึ่งดูว่าสถานที่นั้นสะดวกและมีพื้นที่พอที่จะรองรับผู้คนได้หรือไม่  และสะดวกที่จะลงไปอันเชิญพระอุปคุตกลางแม่น้ำนั้นหรือไม่  เพื่อไม่ให้เกิดอุปสรรคระหว่างการอันเชิญพระอุปคุต  ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดการติดขัดและการจัดงานจะไม่ราบรื่น
เมื่อได้เวลาอันสมควรและทุกอย่างพร้อมแล้ว  พิธีอันเชิญพระอุปคุตก็จะเริ่มต้นจากปู่อาจารย์ หรือพ่อหนานของชาวล้านนา  จะทำหน้าที่กล่าวโองการอัญเชิญพระอุปคุต ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ  โดยในคำกล่าวอัญเชิญจะบอกด้วยว่าผู้เป็นประธานในการจัดงานหรือผู้ที่เป็นประธานมาอันเชิญนั้นเป็นใคร  และอัญเชิญไปในงานอะไรเป็นต้น  ขณะเดียวกันในแม่น้ำก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยอยู่แล้วเพื่อเตรียมอันเชิญพระอุปคุตขึ้นมา  โดยในน้ำนั้นจะเลือกเอาที่ไม่ลึกและพอที่ให้เจ้าหน้าที่ลงไปยืนได้  เมื่อพ่อหนานอ่านโองการจบก็จะบอกให้เจ้าหน้าที่ที่ลงไปคอยอยู่นั้นงมเอาก้อนกินขึ้นมาก้อนหนึ่ง  ซึ่งเคล็ดในการงมเอาก้อนหินซึ่งสมมติแทนองค์พระอุปคุตนี้  จะงมเอาก้อนหินขึ้นมา ๓ ครั้งด้วยกัน  ครั้งแรกและครั้งที่ ๒ ผู้ที่งมก้อนหินขึ้นมาจะชูก้อนหินที่งมได้ขึ้นเพื่อให้พ่อหนานดูว่าใช่หรือไม่ ซึ่ง ๒ ครั้งแรกที่นำขึ้นมานั้นถือว่ายังถือว่าไม่ใช่  จนกระทั่งครั้งที่ ๓ ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่งมเอาก้อนหินขึ้นมา ต้องรู้จักเลือกเอาก้อนที่มีลักษณะกลมสวยงาม  ไม่มีรอยร้าว  ไม่แตกบิ่นหรือมีรอยตำหนิ  ล้างให้สะอาด  จากนั้นชูให้พ่อหนานดูเมื่อพ่อหนานหรือผู้ประกอบพิธีบอกว่าใช่  ขณะนี้วงดนตรี  ฆ้อง-กลองที่เตรียมไปจะเริ่มบรรเลง    ผู้คนจะโห่ร้องไชโยเพื่อแสดงความชื่นชมยินดีและเสมือนหนึ่งเป็น
การถวายการต้อนรับพระอุปคุตด้วย  เมื่อได้ก้อนหินสมมติองค์พระอุปคุตแล้วก็เชิญใส่พานที่เตรียมไว้  มอบให้ผู้เป็นประธานซึ่งอาจเป็นพระสงฆ์หรือคฤหัสถ์ก็ได้  ประพรมด้วยน้ำขมิ้นส้มป่อย น้ำอบน้ำหอมต่างๆ และเชิญขึ้นบุษบก  เพื่อเคลื่อนขบวนแห่มายังมณฑลพิธีอันเป็นในการประกอบการฉลองสมโภชนั้นๆ ต่อไป  ขณะที่เคลื่อนขบวนมานั้นวงมโหรีหรือวงดนตรีจะประโคมนำหน้ารถบุษบกมาโดยตลอด



เมื่อมาถึงยังสถานที่ประกอบพิธีแล้ว  ผู้เป็นประธานจะอันเชิญพระอุปคุตขึ้นประดิษฐานบนซุ้มที่จัดเตรียมไว้   หลังจากนั้นจะมีการจุดธูป-เทียน เพื่อบูชาพระรัตนตรัย และถวายเครื่องอัฐบริขารต่างๆ ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีการอันเชิญพระอุปคุต  บางแห่งเมื่อขบวนอันเชิญพระอุปคุตมาถึงสถานที่หรือมณฑลพิธี  จะมีชาวล้านหรือผู้เฒ่าผู้แก่ ออกมาฟ้อนรำเพื่อเป็นการสักการบูชาด้วย

เมื่อเสร็จสิ้นการฉลองสมโภชแล้ว  วันสุดท้ายของงานพ่อหนานผู้ประกอบพิธีคนเดิมจะนำชาวบ้านมาอันเชิญพระอุปคุต  เริ่มจากการสวดมนต์ไหว้พระ  และอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นบุษบกพร้อมอัฐบริขารต่างๆ   และมีวงดนตรีหรือวงมโหรีเหมือนเช่นเคยที่ไปอันเชิญมา  เพื่อส่งพระอุปคุตกลับยังสถานที่เดิมที่เชิญมานั้น  จึงถือว่าเป็นการเสร็จสิ้นพิธีการทั้งหมด
      มีประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการตักบาตรพระอุปคุต ตามที่ผู้เขียนได้กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า  พระอุปคุตเถระจะออกจากสมาบัติเหาะขึ้นมาบิณฑบาตในโลกมนุษย์ เฉพาะในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น      ซึ่งวันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธนี้เองที่ชาว
ล้านนาเรียกกันว่า “เป็งปุ๊ด” ซึ่งมีประเพณีใส่บาตรพระอุปคุตตอนเที่ยงคืน  ซึ่งยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ในหลายจังหวัดในเขตภาคเหนือตอนบน   การได้ตักบาตรเที่ยงคืนหรือตักบาตรเป็งปุ๊ดนี้ชาวล้านนาถือว่าได้อานิสงสูงมาก และประเพณีนี้ยังคงได้รับการสืบถอดมาถึงปัจจุบัน ผู้เขียนได้มีโอกาสไปใส่บาตรเที่ยงคืนเป็นประจำ  ซึ่งในปีหนึ่งๆ จะมีเหตุการณ์เป็งปุ๊ด  หรือเพ็ญที่ตรงกับคืนวันพุธเพียง ๒ ครั้งเท่านั้น  ในจังหวัดเชียงรายพระสงฆ์ในเขตตัวเมืองจะออกมารับบาตรในคืนวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ช่วงเวลาประมาณ ๔-๕ ทุ่มเรื่อยไป  จนกระทั่งเลยเข้าสู่วันใหม่ที่เป็นวันพุธ หรือวันเป็งปุ๊ดนั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 08:49:19 โดย maekok_14 » IP : บันทึกการเข้า
WH_Y
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,222



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 21:43:20 »

..สรียินดีเจ้าสำหรับข้อมูลของพระอุปคุต. ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
maekok_14
คือคนของพระราชา คือข้าของแผ่นดิน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,253



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 22:23:23 »

..สรียินดีเจ้าสำหรับข้อมูลของพระอุปคุต. ยิ้ม

ขอบคุณครับ
 ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 29 สิงหาคม 2012, 23:17:50 »

..สรียินดีเจ้าสำหรับข้อมูลของพระอุปคุต. ยิ้ม
ยินดีครับ ที่ห้องนี้มีผู้รู้เพิ่มอีกท่านแล้ว
ข้อมูลต่างๆคนรุ่นหลังไม่ค่อยมีคนรู้ละครับ
ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
maekok_14
คือคนของพระราชา คือข้าของแผ่นดิน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,253



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 29 สิงหาคม 2012, 23:30:03 »

..สรียินดีเจ้าสำหรับข้อมูลของพระอุปคุต. ยิ้ม
ยินดีครับ ที่ห้องนี้มีผู้รู้เพิ่มอีกท่านแล้ว
ข้อมูลต่างๆคนรุ่นหลังไม่ค่อยมีคนรู้ละครับ
ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

ช่วยกันจรรโรงไว้ ไม่มีสาบสูญครับ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 21 กันยายน 2012, 01:18:49 »

สาธุ ๆ ๆ อนุโมทามิ   ขออนุโมทนา ในธรรมทาน วิทยาทาน   ที่  ท่าน พนมกร  นันติ  ได้ นำมาเผยแผ่ แพร่ พระกิตติคุณ  ของ พระอุปคุตตะ  มหาเถระ  พระอรหันต์(อ่านว่า  อะ ระ หัน  ไม่ใช่  ออ ระ หัน) ผู้ปราบมาร  ตลอดจน สาวกมาร

ตามประวัติ มีที่มา ว่า พระมหาอุปคุตตะ         ท่าน เป็น คู่เวร ของ  พญามาร คือ  หัวหน้า ของ  ผู้ขัดขวาง การทำความดี งาม

 เป็น  คู่เวรที่สามารถ ทำให้ เท้าพญาเทพบุตร ผู้ มีมหาปารมี ขั้น พระมหาโพธิสัตย์ ละพยศ ได้      โดย ไม่มีใคร ทำได้  หากไม่ใช่ ท่านพระอุปคุตผู้นี้    เพราะ คนอื่น ไม่มี กรรม เกี่ยวพันกัน นั่นเอง

ท่านพญามาร นี้ พิเศษ กว่า พระโพธิสัตย์ หลายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ องค์
 หลายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  องค์  ทรง ประทับ  ชั้น ดุสิต  บารมี มากกว่า โพธิสัตย์  ทั่วไป  ก็ เป็น หัวหน้าชั้น ๆ นี้

 แบบ เท้าสันตุสิตเทพบุตร       ก่อน มาเสวยพระชาติ           เป็น   เจ้าชายสิทธัตถะ ราชกุมาร  แห่ง ศากยะวงศ์


แต่   ท่าน บุญมาก มหาบุญ  ทรง  เสวยทิพยสมบัติ  ระดับ หัวหน้า ของ ชั้น 6 สูงสุด  ของ  สวรรค์  อันเป็นทิพย์ ยิ่งกว่า ใคร ใน 6ชั้น


ถัด ไป จาก  นี้ ก็เป็น        ชั้น  พรหม กับ อรูปพรหม   แล้ว  ครับ

   ทรง    พิเศษ ยิ่งกว่า พิเศษ  เลย........................ ครับ


มหาโพธิสัตย์ คือ  ผู้ตั้ง  สัตยาธิษฐาน  เอาการอธิษฐาน  คือ การ มุ่ง กระทำ ทางใจ  ทางกาย  ทางวาจา  3 เท่า ของ พระอนุพุทธะ  สาวกภูมิ ให้ได้ สำเร็จ เป็น พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์หนึ่ง อย่างจริงแท้ แน่นอน (อย่างเป็น สัตย์)

โพธิ  แปลว่า รู้                 ตรัสรู้ แปลว่า รู้โดย การรู้ โดย ไม่ต้องมีใคร มาสอน(ครู)  อย่างที่รู้  
 
 ธรรมะ  คือ  สิ่ง  ที่  มีอยู่จริง  และ จริงๆ   มี  3 จริง
จริง ดีงาม ก็ กุศล          ร้ายจริง  ก็  อกุศล ไม่ดี  บาป        อย่าง ที่สาม คือ  ความดับดี  ดับร้าย  ท่าน ว่า  นิพพาน  การดับ ที่เย็น ๆ เพียง ไร  ผมก็ ไม่รู้    ย้อน ว่า  ผม เป็น พวก ..........

ที่  สามารถ  เรียก  ตนได้  ว่า      

กู  ดี   แต่.........      ปาก    เพราะ   ไม่ใช่ อริยบุคคล(พระแท้ ขั้น  โลกุตรสมบัติ)




สาธุ  สวัสดี

  จาก

 หนานธง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 21 กันยายน 2012, 02:29:36 โดย nantong » IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
maekok_14
คือคนของพระราชา คือข้าของแผ่นดิน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,253



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 27 กันยายน 2012, 15:54:18 »

สาธุ ๆ ๆ อนุโมทามิ   ขออนุโมทนา ในธรรมทาน วิทยาทาน   ที่  ท่าน พนมกร  นันติ  ได้ นำมาเผยแผ่ แพร่ พระกิตติคุณ  ของ พระอุปคุตตะ  มหาเถระ  พระอรหันต์(อ่านว่า  อะ ระ หัน  ไม่ใช่  ออ ระ หัน) ผู้ปราบมาร  ตลอดจน สาวกมาร

ตามประวัติ มีที่มา ว่า พระมหาอุปคุตตะ         ท่าน เป็น คู่เวร ของ  พญามาร คือ  หัวหน้า ของ  ผู้ขัดขวาง การทำความดี งาม

 เป็น  คู่เวรที่สามารถ ทำให้ เท้าพญาเทพบุตร ผู้ มีมหาปารมี ขั้น พระมหาโพธิสัตย์ ละพยศ ได้      โดย ไม่มีใคร ทำได้  หากไม่ใช่ ท่านพระอุปคุตผู้นี้    เพราะ คนอื่น ไม่มี กรรม เกี่ยวพันกัน นั่นเอง

ท่านพญามาร นี้ พิเศษ กว่า พระโพธิสัตย์ หลายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ องค์
 หลายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  องค์  ทรง ประทับ  ชั้น ดุสิต  บารมี มากกว่า โพธิสัตย์  ทั่วไป  ก็ เป็น หัวหน้าชั้น ๆ นี้

 แบบ เท้าสันตุสิตเทพบุตร       ก่อน มาเสวยพระชาติ           เป็น   เจ้าชายสิทธัตถะ ราชกุมาร  แห่ง ศากยะวงศ์


แต่   ท่าน บุญมาก มหาบุญ  ทรง  เสวยทิพยสมบัติ  ระดับ หัวหน้า ของ ชั้น 6 สูงสุด  ของ  สวรรค์  อันเป็นทิพย์ ยิ่งกว่า ใคร ใน 6ชั้น


ถัด ไป จาก  นี้ ก็เป็น        ชั้น  พรหม กับ อรูปพรหม   แล้ว  ครับ

   ทรง    พิเศษ ยิ่งกว่า พิเศษ  เลย........................ ครับ


มหาโพธิสัตย์ คือ  ผู้ตั้ง  สัตยาธิษฐาน  เอาการอธิษฐาน  คือ การ มุ่ง กระทำ ทางใจ  ทางกาย  ทางวาจา  3 เท่า ของ พระอนุพุทธะ  สาวกภูมิ ให้ได้ สำเร็จ เป็น พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์หนึ่ง อย่างจริงแท้ แน่นอน (อย่างเป็น สัตย์)

โพธิ  แปลว่า รู้                 ตรัสรู้ แปลว่า รู้โดย การรู้ โดย ไม่ต้องมีใคร มาสอน(ครู)  อย่างที่รู้  
 
 ธรรมะ  คือ  สิ่ง  ที่  มีอยู่จริง  และ จริงๆ   มี  3 จริง
จริง ดีงาม ก็ กุศล          ร้ายจริง  ก็  อกุศล ไม่ดี  บาป        อย่าง ที่สาม คือ  ความดับดี  ดับร้าย  ท่าน ว่า  นิพพาน  การดับ ที่เย็น ๆ เพียง ไร  ผมก็ ไม่รู้    ย้อน ว่า  ผม เป็น พวก ..........

ที่  สามารถ  เรียก  ตนได้  ว่า      

กู  ดี   แต่.........      ปาก    เพราะ   ไม่ใช่ อริยบุคคล(พระแท้ ขั้น  โลกุตรสมบัติ)




สาธุ  สวัสดี

  จาก

 หนานธง

อนุโมทนาครับ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
@เชียงแสน
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


..ทุกลมหายใจคือการเปลี่ยนแปลง..


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 30 กันยายน 2012, 20:10:12 »

..ข้อมูลดีมากมายจริง ๆ ครับ... ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
watsriboonruang
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 51


« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 07 ธันวาคม 2012, 08:22:39 »

http://www.facebook.com/watsriboonruang.doilan?ref=tn_tnmn แวะไปดูครับ http://youtu.be/3UqC3eoJ_hc


* 28068_424955750902836_1670053416_n.jpg (149.93 KB, 960x480 - ดู 937 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 07 ธันวาคม 2012, 20:00:00 »

เห็นแล้วขนคิงลุกหน่ะ หินแม่น้ำโขงเอามาแกะ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!