เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 20 เมษายน 2024, 05:17:56
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง
| | |-+  วันเสีย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 4 5 พิมพ์
ผู้เขียน วันเสีย  (อ่าน 11560 ครั้ง)
taekeuk_poomse
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 12 สิงหาคม 2010, 22:56:08 »

พระพุทธองค์ทรงตอบว่า...
ทุกยามที่คิดดีทำดีเป็นฤกษ์ดีเสมอแต่มนุษย์ผู้มากด้วยกิเลสไม่ได้คิดดีทำดีตลอดเวลายังติดอยู่ในกิเลส ตัณหา ความโลภ ก่นด่า ติฉินนินทาใส่ร้ายป้ายสี เมื่อไม่คิดดีทำดีก็ย่อมไร้สิ่งปกป้องคุ้มครอง

-------

ผมคิดว่าวันเสียคือ วันฝนตก วันแดดเปรี้ยง วันพายุกระหน่ำ วันน้ำท่วมน้ำนอง
วันซึนามิ และวันอารมณ์เสีย 555+ ฯลฯ

สมัยนี้ควรจะหาข้อมูลจากกรมอุตุแน่นอนที่สุด <---




คิดแปลกเนาะ  ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
นึกว่าวันเสียต้องเอาไปซ่อมซะอีก หุหุ

555555555
ตัวน้อย แผลงฤทธิ์แล้วววววว

+100 จ้า
IP : บันทึกการเข้า
itimaun
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 02:02:41 »

ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ปฎิบัติยึดถือกันมาหลายร้อยหลายพันปีครับหากเรายังเชื่อตรงนี้ก็เป็นคนล้าหลังโบราณเป็นคนไม่ร่วมสมัยงมงายไร้สาระ แต่หากเราอยากทันสมัย ชอบอะไรใหม่ๆก็มิควรปฎิบัติตาม เช่นงานศพ โบราณเค้า สวดอภิธรรม เพื่่อให้คนตาย ไป่สู่สุคติ ท่านก็ไม่ต้องสวด โบราณเค้า เผาศพ ฝังศพ ท่านก็ไม่ต้องทำตามเดี๋ยวล้าหลัง ลาบศพเอา เท่ห์ดี ฝากไว้เท่านี้ครับ ต้นไม้ใหญ่ จะยืนหยัดต้านแรงลมพายุได้ ก็ต้องอาศัย รากเหง้า ทั้งรากแก้วและรากฝอยรากยิ่งลึก ต้นไม้ยิ่งแข็งแรงครับ โกรธ โกรธ

เฮ้อเหอเม้อ คนสมัย
IP : บันทึกการเข้า
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 11:37:11 »

ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

        ความศรัทธา คือ ความเชื่อความเลื่อมใสที่ประกอบด้วยหลักแห่งปัญญา ความเชื่อด้วยหลักของเหตุและผล หาเหตุและผลมาไตร่ตรองให้เห็นความจริง

        ความงมงาย คือ ความเชื่อแบบไม่มีเหตุผล ไม่ลืมหูลืมตา เขาบอกว่าดีก็ดี บอกว่าผิดก็ผิด เชื่อผู้ที่ชี้นำตนเองโดยเชื่อแบบไม่มีเหตุผล รู้ไม่จริงไม่ใช้สติและปัญญามากำกับความเชื่อนั้น

เรื่องความเชื่อผมเชื่อหลักคำสอนของศาสดาศาสนาพุทธ ไม่เชื่อพวกอวิชชา เดรัจฉานวิชาต่าง ๆ

ส่วนเรื่องวันเสียนั้นท่านผู้รู้พอจะอธิบายความเป็นมาว่าทำไมถึงกำหนดเป็นวันเสีย
มีความแน่นอน ชัดเจน หรือไม่ สู้การพยากรณ์ของกรมอุตุได้หรือไม่ ?

รู้สึกว่ามีคนอารมณ์เสียนะครับ เพราะโลกหมุนไปข้างหน้า
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ต้องอธิบายได้ เพราะคนที่มีความคิด
แบบคนรุ่นใหม่ เรียนรู้การใช้เหตุผลมากขึ้น ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
~KT 2 U~
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,601


♥ แม่ค้าออนไลน์ ผู้ซึ่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ♥


« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 12:06:33 »

ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

        ความศรัทธา คือ ความเชื่อความเลื่อมใสที่ประกอบด้วยหลักแห่งปัญญา ความเชื่อด้วยหลักของเหตุและผล หาเหตุและผลมาไตร่ตรองให้เห็นความจริง

        ความงมงาย คือ ความเชื่อแบบไม่มีเหตุผล ไม่ลืมหูลืมตา เขาบอกว่าดีก็ดี บอกว่าผิดก็ผิด เชื่อผู้ที่ชี้นำตนเองโดยเชื่อแบบไม่มีเหตุผล รู้ไม่จริงไม่ใช้สติและปัญญามากำกับความเชื่อนั้น

เรื่องความเชื่อผมเชื่อหลักคำสอนของศาสดาศาสนาพุทธ ไม่เชื่อพวกอวิชชา เดรัจฉานวิชาต่าง ๆ

ส่วนเรื่องวันเสียนั้นท่านผู้รู้พอจะอธิบายความเป็นมาว่าทำไมถึงกำหนดเป็นวันเสีย
มีความแน่นอน ชัดเจน หรือไม่ สู้การพยากรณ์ของกรมอุตุได้หรือไม่ ?

รู้สึกว่ามีคนอารมณ์เสียนะครับ เพราะโลกหมุนไปข้างหน้า
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ต้องอธิบายได้ เพราะคนที่มีความคิด
แบบคนรุ่นใหม่ เรียนรู้การใช้เหตุผลมากขึ้น ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม


That's Correct !!!!   ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ

เพราะการดูวันดีวันเสีย ก็ดูจากการหมุนของโลกแหล่ะคร่า  เคยเห็นบุคคลที่ท่านเรียนอวิชา(ดังว่า) ใช้หลักการของดาราศาสตร์ มาคำนวณด้วยมั้ยคะ นั่นคือที่มาค่ะ เพราะโลกหมุนรอบตัวเองอยู่ทุกปี แล้วองศาของโลกก็จะบรรจบที่เดิมทุกปี เมื่อเราอยู่จุดเดิมตลอด แต่เราก็จะได้พบกับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดจากดวงดาว การเคลื่อนที่ของดาว การเคลื่อนที่ของโลก ความหนาแน่นของมวลอากาศ บวกกับธาตุบนพื้นโลก แล้วในร่างกายของคนด้วย เมื่อเกิดการทำปฏิกิริยา มันก็ต้องเป็นผลเสีย เขาก็สรุปออกมาว่า เมื่อถึงวันนี้ จะมีปรากฏการณ์นี้ จะส่งผลยังไง

ไม่งั้นข้างขึ้น ข้างแรม ก็เป็นอวิชาไปด้วยสิค๊า   ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

แหมๆ คนสมัยใหม่ก็งี้แหล่ะ ไม่รู้จักกระดานดำ กับใบข่อยซะแล้ว อิอิ ในนั้นมีมากกว่าที่คิดนะ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม 

อ๊ะๆๆๆ  เป็นวิธีการคิดค่ะ แหมๆๆๆ อย่าอ่านแล้วคิดแต่ว่ามันคือความงมงายสิคะ ในเมื่อวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้ทุกสิ่ง แต่ต้องอธิบายด้วยว่า พิสูจน์ด้วยหลักการไหน ใช้อะไรเป็นตัววัด แล้วตัวแปรที่ได้มายังไง แล้วใช้อะไรเป็นสมมุติฐานว่าึความเชื่อที่มีนั้นไร้เหตุผล

(สรุปแล้วถ้าอารมณ์เสียต้องใช้ เทอร์โมมิเตอร์วัดมั้ยคะ ดูยังไงอะ เราไม่เก่งวิทย์ฯ ค่ะ เข้าใจแต่ชีวะ และจิตวิทยา )  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

ปล. ถ้ารถเดินหน้าได้อย่างเดียว ไม่มีวันถอย เราจะไม่รุ้เลยว่าเมื่อกี้ขับผ่านอะไรมา ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 12:16:47 โดย ~หมูllว่ีีullดง~ » IP : บันทึกการเข้า

taekeuk_poomse
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 12:16:58 »

บั้งไฟพญานาคแม่น้ำของ(โขง) วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้หรือยังน้อ ว่ามันเกิดจากอะไร ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงขึ้นเฉพาะช่วง 15 ค่ำเดือน 11

ฮี่ฮี่ฮี่จุ๊กกรู้  อีนี้บางสิ่ง วิทยาศาสตร์ก็ยังหาคำตอบไม่ได้นะจะนายจ๋า
IP : บันทึกการเข้า
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 12:26:13 »

บั้งไฟพญานาค พิสูจน์ได้ <--- แต่ด้วยคนท้องถิ่นไม่ยินยอม เพราะจะเป็นการสูญเสียความเชื่อถือและรายได้มหาศาล

อารมณ์ วัดได้ <--- ด้วยวัดกระแสไฟฟ้าที่เซลสมอง การเต้นของหัวใจ การหลั่งฮอร์โมนการแสดงออกทางกาย สีหน้า ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
~KT 2 U~
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,601


♥ แม่ค้าออนไลน์ ผู้ซึ่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ♥


« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 12:43:49 »

บั้งไฟพญานาค พิสูจน์ได้ <--- แต่ด้วยคนท้องถิ่นไม่ยินยอม เพราะจะเป็นการสูญเสียความเชื่อถือและรายได้มหาศาล

อารมณ์ วัดได้ <--- ด้วยวัดกระแสไฟฟ้าที่เซลสมอง การเต้นของหัวใจ การหลั่งฮอร์โมนการแสดงออกทางกาย สีหน้า ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม


อ๋อที่แท้ก็ไม่ได้ใช้เทอร์โมมิเตอร์เนาะ แล้วปกติคนอารมณ์เสียกระแสไฟฟ้าที่เซลสมองและการเต้นของหัวใจเป็นแบบไหนคะ ถ้าการทำงานของทั้งสองระบบเร็วและแรงจะแยกยังไงว่า ตื่นเต้น เหนื่อย ร้อน เครียด ไม่สบาย จิตใจไม่ปกติ หรือ อารมณ์เสีย

ฮาร์โมนที่หลั่งเป็นชนิดไหนหรอคะ แล้วถ้าบางคนไม่แสดงออกทางกาย ทางสีหน้าเลย ต้องวัดระดับฮอร์โมน กับการเต้นของหัวใจ เท่านั้นรึเปล่า วัดด้วยอุณหภูิมิได้มั้ย หรือปริมาตรของเหงื่อและสารคัดหลั่ง น่ะค่ะ

(อยากรู้จริงๆ นะเนี่ย ไม่มุขนา) ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 12:59:55 »

ทฤษฎีนี้ได้รับการทดลองและพิสูจน์โดยนักวิทยาศาสตร์อเมริกันหลายคนแล้ว พอล เอ็กแมน เป็นผู้ริเริ่มการค้นคว้านี้ ส่วนอีกคนหนึ่งคือ โรเบิร์ต ซาจอง นักจิตวิทยาแห่งแกนน์-อาเปอร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน เป็นผู้สานต่อศึกษาเพิ่มเติมว่าอะไรมาก่อนแน่ สีหน้าหรือความรู้สึก
การศึกษาวิจัยของซาจองพาย้อนกลับไปสู่การทดลองที่มีขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เอกสารรายงานการวิจัยชื่อ Emotion and Facial Efference : A Theory Reclaimed ของซาจอง ได้อ้างอิงตำราของอิสราเอล เวนบอม นักจิตวิทยาฝรั่งเศสซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1906 โดยเวนบอมเชื่อว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าทำหน้าที่คล้ายเส้นด้ายเย็บเส้นเลือดและกำหนดระเบียบของการไหลเวียนโลหิตที่เลี้ยงสมองการไหลเวียนของโลหิตนี้มีผลย้อนกลับมายังความรู้สึกด้วย ตามทฤษฎีของเวนบอมนำไปสู่การสรุปยืนยันว่า บ่อยครั้งอารมณ์เกิดขึ้นในลักษณะคล้อยตามสีหน้า ไม่ใช่เกิดขึ้นก่อนทุกครั้งไป
                เวนบอมมีสมมติฐานว่า ปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เห็นได้ชัดทุกประเภทมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับระบบหมุนเวียนโลหิต ไม่ว่าจะเป็นอาการอายหน้าแดง ร้องไห้สะอึกสะอื้น หัวเราะ หรืออื่นๆอีกมาก ล้วนมีผลต่อการไหลเวียนของโลหิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ต้องผ่านการขยับของกล้ามเนื้อกระบังลมที่ท้อง เวนบอมอธิบายว่า ปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่แสดงออกมานั้น มีผลกระทบต่อการหมุนเวียนของโลหิตทั้งสิ้น เพียงแต่จะเป็นไปในทางบวกหรือลบเท่านั้น และสีหน้าของคนเราก็เป็นกลจักรสำคัญตัวหนึ่งของขั้นตอนนี้
แล้วทำไมการยิ้มและการหัวเราะจึงสัมพันธ์กับความสุขและความสดชื่น ในเรื่องนี้เวนบอมอธิบายว่าเป็นเพราะเลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงสมองมากขึ้นในเวลาที่คุณยิ้มและหัวเราะนั่นเอง ผลที่ตามมาคือสุขภาพจะแข็งแรงและอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ ตรงกันข้าม อารมณ์เครียดและหน้าตาบึ้งตึงทำให้เลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงสมองน้อย ไม่ช้าไม่นานสุขภาพจะเสื่อมและล้มเจ็บได้ในที่สุด คนที่ตีสีหน้าเศร้าอยู่ตลอดเวลาก็เช่นกัน ทำให้เลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงสมองน้อยลงเป็นการถาวร หมายความว่าสมองจะได้รับอาหารไม่เพียงพอ จึงอาจทำงานไม่เป็นปกติได้ โดยเวนบอมบอกอีกว่าไซโกเมติก เมเจอร์ เป็นกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการยิ้มมากที่สุดและยังมีหน้าที่โดยตรงต่อการกระตุ้นเลือดให้วิ่งไปสู่สมองมากขึ้น และนี่จึงเป็นผลให้มีอารมณ์ดีและสบายใจขึ้น

ในขณะเดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซาจองก็ได้อ้างทฤษฎีของเวนบอมเพื่ออธิบายว่า โลหิตแดงสามารถลดอุณหภูมิของสมองให้เย็นลงได้ อาจเป็นไปได้ว่าอุณหภูมิสมองมีผลกระทบต่อต่อมต่างๆในสมอง และกระตุ้นให้ขับฮอร์โมนออกมาเป็นตัวนำอารมณ์ความรู้สึกไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น เวลาเราเป็นทุกข์โลหิตที่ไหลเวียนสู่สมองเดินทางไม่สะดวก ต่อมในสมองจึงทำงานไม่ปกติตามไปด้วย
เมื่อใดที่สมองได้รับออกซิเจนจำนวนมาก ย่อมทำงานได้ดีกว่าเวลาขาดแคลนออกซิเจน และอาการเจ็บป่วยส่วนใหญ่เกิดจากร่างกายขาดสมดุล จึงดูเหมือนมีเหตุผลเชื่อถือได้ว่า การที่เลือดไปเลี้ยงสมองน้อย อาจก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายหรืออาการเจ็บป่วยได้ ด้วยเหตุผลว่าสมองไม่สามารถทำงานอย่างเหมาะสมนั่นเอง

ทราบไหมค่ะ ว่าสมองมีความสามารถในการจำและยากที่จะลืมอะไรง่ายๆโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เมื่อคุณยิ้มทั้งที่ใจเป็นทุกข์สมองจะจำได้ว่ากิริยาเช่นนี้เคยสัมพันธ์กับความสุขมาก่อนและจะปล่อยฮอร์โมนที่
เหมาะสมออกมาให้ทันที ผลก็คือคุณจะรู้สึกดีขึ้น ซาจองสรุปว่าถ้าคุณฝึกทำเช่นนี้บ่อยๆสีหน้าและความรู้สึกที่ดีจะปรากฏบ่อยขึ้นจนกลายเป็นนิสัยซาจองมีความรู้สึกว่า ทฤษฏีของเวนบอมน่าจะเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อผู้ป่วยจิตเวช และคนที่มีอาการโรคประสาทอื่นๆเช่น เศร้าซึม และวิตกกังวล เป็นต้น ถ้าผู้ป่วยมีอาการเศร้าซึมและวิตกกังวล ได้รับการสอนให้รู้จักแสดงสีหน้าออกมาอย่างเหมาะสม พวกเขาจะแลดูมีความสุขมากกว่าเศร้าหมอง และอาจหายเป็นปกติได้จากการเริ่มต้นด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรอื่นเลย

นอกจากนี้พอลเอ็กแมนยังได้ทำการทดลองให้เห็นว่า ถ้าคุณฝืนยิ้มหรือทำหน้าสดชื่นได้อารมณ์ที่สมองและร่างกายก็จะเป็นไปตามนั้น ผลงานบุกเบิกของเขาตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์หลายเล่ม ล้วนพูดว่า “ยิ้มบำบัดโรค” มีคุณค่าในการบำบัดรักษาเป็นอย่างยิ่ง
เอ็กแมนเริ่มทำการศึกษาวิจัยด้วยการตั้งคำถามว่า การทำงานของระบบประสาทที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ เรียกย่อๆว่า ANS ขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปหรือไม่ โดยก่อนหน้าหน้านี้ในปี 1890 นักจิตวิทยาชื่อวิลเลียม เจมส์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ANS จะทำงานแตกต่างกันออกไปเวลาเกิดมีอารมณ์แต่ละรูปแบบ เอ็กแมนและผู้ร่วมงานจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ตัดสินใจก้าวไปตามรอยนี้ ขอร้องให้อาสาสมัครซึ่งเป็นนักแสดงกลุ่มหนึ่ง แสดงสีหน้าท่าทางและอารมณ์ตามคำสั่ง
อารมณ์ที่ใช้ในการวิจัยเป็นอารมณ์โดดๆ 6 ชนิดคือ ตื่นเต้นประหลาดใจ เศร้า โกรธ กลัว เกลียด และเป็นสุข ในขณะที่อาสาสมัครแสดงสีหน้าต่างๆจะมีเครื่องมือบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิ การเกร็งกล้ามเนื้อ และความยืดหยุ่นของผิวหนังไว้ด้วย
ในการทดลองครั้งแรก ตัวทดลองถูกขอร้องให้เกร็งหดกล้ามเนื้อบางส่วน และจำได้แม่นว่าตนทำสีหน้าอย่างไรกับอารมณ์เช่นไร เพื่อประโยชน์ในการบันทึกสำหรับการวิเคราะห์ แต่ละสีหน้าจะต้องทำค้างไว้นานประมาณ 10 นาที
แม้จะไม่มีขอยืนยันแน่ชัดว่าตัวทดลองรู้สึกตามคำสั่งจริงหรือไม่แต่พวกเขาก็เกิดมีปฏิกิริยาทางร่างกายตามที่ตั้งสมมติฐานไว้ นั่นคืออารมณ์ไม่ดีมีผลทำให้ ANS ทำงานหนักขึ้น ในบรรดาอารมณ์ที่ใช้ในการทดลองทั้งหมด ความสุขเพียงอย่างเดียวที่เป็นอารมณ์ด้านบวก นอกนั้นเป็นลบทั้งสิ้น

การทดลองพบว่าอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มกว่าปกติมาก เวลาคนเราโกรธ แม้แต่อุณหภูมิที่ปลายนิ้วก็สูงขึ้นด้วย อารมณ์โกรธเป็นตัวกระตุ้นให้ ANS ทำงานหนักมากกว่าอารมณ์อื่นๆมากกว่าความเกลียด ความตื่นเต้นประหลาดใจ หรือความเศร้า
การทดลองยังพบด้วยว่า ระบบภายในร่างกายจะผิดปกติและทำงานหนักขึ้นจนน่าวิตก เวลาที่คนเราอารมณ์ไม่ดี แต่จะกลับเป็นปกติเวลาที่มีความสุขและหน้าตายิ้มแย้ม เอ็กแมนเสริมว่า การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบสมองส่วนกลาง มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงทีเดียว เขาฉุกใจคิดขึ้นมาได้เช่นเดียวกับซาจองว่า อาจเป็นไปได้ว่าการจงใจทำสีหน้าเบิกบานจะช่วยบำบัดอาการเจ็บป่วยได้
สมมติว่าคนที่ทุกข์ร้อนเป็นกังวล แต่จงใจวางหน้าเป็นปกติ เหมือนไม่มีความกังวลใดๆเกิดขึ้น บางทีการทำงานของต่อมฮอร์โมนอาจเป็นไปตามสีหน้านั้น หรือคนเศร้าซึมและวิตกกังวลมักถูกขอร้องให้ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าไว้ อาจเป็นเพราะเพียงเท่านี้ก็ช่วยบรรเทาความกดดันไปได้ไม่น้อยแล้ว
แต่ถึงอารมณ์จะดีเพียงไร สีหน้าจากอารมณ์นั้นจะอยู่ได้นานแค่ 4 วินาที ถ้ายิ้มค้างนานกว่านั้น กล้ามเนื้อจะเริ่มเป็นตะคริวทว่าการเปลี่ยนแปลงของANS อยู่ได้นาน กว่านั้นหลายชั่วโมง แม้สีหน้าจะลบเลือนไปแล้วก็ตาม ดังนั้น ถ้าคุณต้องการให้ระบบของร่างกายทำงานอย่างราบรื่นและสอดคล้องต้องกันดี คุณควรจะหาเรื่องยิ้มให้ได้บ่อยๆ

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 13:07:21 »

 ยิ้มกว้างๆ ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
~KT 2 U~
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,601


♥ แม่ค้าออนไลน์ ผู้ซึ่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ♥


« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 13:55:02 »

ทฤษฎีนี้ได้รับการทดลองและพิสูจน์โดยนักวิทยาศาสตร์อเมริกันหลายคนแล้ว พอล เอ็กแมน เป็นผู้ริเริ่มการค้นคว้านี้ ส่วนอีกคนหนึ่งคือ โรเบิร์ต ซาจอง นักจิตวิทยาแห่งแกนน์-อาเปอร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน เป็นผู้สานต่อศึกษาเพิ่มเติมว่าอะไรมาก่อนแน่ สีหน้าหรือความรู้สึก
การศึกษาวิจัยของซาจองพาย้อนกลับไปสู่การทดลองที่มีขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เอกสารรายงานการวิจัยชื่อ Emotion and Facial Efference : A Theory Reclaimed ของซาจอง ได้อ้างอิงตำราของอิสราเอล เวนบอม นักจิตวิทยาฝรั่งเศสซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1906 โดยเวนบอมเชื่อว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าทำหน้าที่คล้ายเส้นด้ายเย็บเส้นเลือดและกำหนดระเบียบของการไหลเวียนโลหิตที่เลี้ยงสมองการไหลเวียนของโลหิตนี้มีผลย้อนกลับมายังความรู้สึกด้วย ตามทฤษฎีของเวนบอมนำไปสู่การสรุปยืนยันว่า บ่อยครั้งอารมณ์เกิดขึ้นในลักษณะคล้อยตามสีหน้า ไม่ใช่เกิดขึ้นก่อนทุกครั้งไป
                เวนบอมมีสมมติฐานว่า ปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เห็นได้ชัดทุกประเภทมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับระบบหมุนเวียนโลหิต ไม่ว่าจะเป็นอาการอายหน้าแดง ร้องไห้สะอึกสะอื้น หัวเราะ หรืออื่นๆอีกมาก ล้วนมีผลต่อการไหลเวียนของโลหิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ต้องผ่านการขยับของกล้ามเนื้อกระบังลมที่ท้อง เวนบอมอธิบายว่า ปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่แสดงออกมานั้น มีผลกระทบต่อการหมุนเวียนของโลหิตทั้งสิ้น เพียงแต่จะเป็นไปในทางบวกหรือลบเท่านั้น และสีหน้าของคนเราก็เป็นกลจักรสำคัญตัวหนึ่งของขั้นตอนนี้
แล้วทำไมการยิ้มและการหัวเราะจึงสัมพันธ์กับความสุขและความสดชื่น ในเรื่องนี้เวนบอมอธิบายว่าเป็นเพราะเลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงสมองมากขึ้นในเวลาที่คุณยิ้มและหัวเราะนั่นเอง ผลที่ตามมาคือสุขภาพจะแข็งแรงและอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ ตรงกันข้าม อารมณ์เครียดและหน้าตาบึ้งตึงทำให้เลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงสมองน้อย ไม่ช้าไม่นานสุขภาพจะเสื่อมและล้มเจ็บได้ในที่สุด คนที่ตีสีหน้าเศร้าอยู่ตลอดเวลาก็เช่นกัน ทำให้เลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงสมองน้อยลงเป็นการถาวร หมายความว่าสมองจะได้รับอาหารไม่เพียงพอ จึงอาจทำงานไม่เป็นปกติได้ โดยเวนบอมบอกอีกว่าไซโกเมติก เมเจอร์ เป็นกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการยิ้มมากที่สุดและยังมีหน้าที่โดยตรงต่อการกระตุ้นเลือดให้วิ่งไปสู่สมองมากขึ้น และนี่จึงเป็นผลให้มีอารมณ์ดีและสบายใจขึ้น

ในขณะเดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซาจองก็ได้อ้างทฤษฎีของเวนบอมเพื่ออธิบายว่า โลหิตแดงสามารถลดอุณหภูมิของสมองให้เย็นลงได้ อาจเป็นไปได้ว่าอุณหภูมิสมองมีผลกระทบต่อต่อมต่างๆในสมอง และกระตุ้นให้ขับฮอร์โมนออกมาเป็นตัวนำอารมณ์ความรู้สึกไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น เวลาเราเป็นทุกข์โลหิตที่ไหลเวียนสู่สมองเดินทางไม่สะดวก ต่อมในสมองจึงทำงานไม่ปกติตามไปด้วย
เมื่อใดที่สมองได้รับออกซิเจนจำนวนมาก ย่อมทำงานได้ดีกว่าเวลาขาดแคลนออกซิเจน และอาการเจ็บป่วยส่วนใหญ่เกิดจากร่างกายขาดสมดุล จึงดูเหมือนมีเหตุผลเชื่อถือได้ว่า การที่เลือดไปเลี้ยงสมองน้อย อาจก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายหรืออาการเจ็บป่วยได้ ด้วยเหตุผลว่าสมองไม่สามารถทำงานอย่างเหมาะสมนั่นเอง

ทราบไหมค่ะ ว่าสมองมีความสามารถในการจำและยากที่จะลืมอะไรง่ายๆโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เมื่อคุณยิ้มทั้งที่ใจเป็นทุกข์สมองจะจำได้ว่ากิริยาเช่นนี้เคยสัมพันธ์กับความสุขมาก่อนและจะปล่อยฮอร์โมนที่
เหมาะสมออกมาให้ทันที ผลก็คือคุณจะรู้สึกดีขึ้น ซาจองสรุปว่าถ้าคุณฝึกทำเช่นนี้บ่อยๆสีหน้าและความรู้สึกที่ดีจะปรากฏบ่อยขึ้นจนกลายเป็นนิสัยซาจองมีความรู้สึกว่า ทฤษฏีของเวนบอมน่าจะเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อผู้ป่วยจิตเวช และคนที่มีอาการโรคประสาทอื่นๆเช่น เศร้าซึม และวิตกกังวล เป็นต้น ถ้าผู้ป่วยมีอาการเศร้าซึมและวิตกกังวล ได้รับการสอนให้รู้จักแสดงสีหน้าออกมาอย่างเหมาะสม พวกเขาจะแลดูมีความสุขมากกว่าเศร้าหมอง และอาจหายเป็นปกติได้จากการเริ่มต้นด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรอื่นเลย

นอกจากนี้พอลเอ็กแมนยังได้ทำการทดลองให้เห็นว่า ถ้าคุณฝืนยิ้มหรือทำหน้าสดชื่นได้อารมณ์ที่สมองและร่างกายก็จะเป็นไปตามนั้น ผลงานบุกเบิกของเขาตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์หลายเล่ม ล้วนพูดว่า “ยิ้มบำบัดโรค” มีคุณค่าในการบำบัดรักษาเป็นอย่างยิ่ง
เอ็กแมนเริ่มทำการศึกษาวิจัยด้วยการตั้งคำถามว่า การทำงานของระบบประสาทที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ เรียกย่อๆว่า ANS ขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปหรือไม่ โดยก่อนหน้าหน้านี้ในปี 1890 นักจิตวิทยาชื่อวิลเลียม เจมส์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ANS จะทำงานแตกต่างกันออกไปเวลาเกิดมีอารมณ์แต่ละรูปแบบ เอ็กแมนและผู้ร่วมงานจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ตัดสินใจก้าวไปตามรอยนี้ ขอร้องให้อาสาสมัครซึ่งเป็นนักแสดงกลุ่มหนึ่ง แสดงสีหน้าท่าทางและอารมณ์ตามคำสั่ง
อารมณ์ที่ใช้ในการวิจัยเป็นอารมณ์โดดๆ 6 ชนิดคือ ตื่นเต้นประหลาดใจ เศร้า โกรธ กลัว เกลียด และเป็นสุข ในขณะที่อาสาสมัครแสดงสีหน้าต่างๆจะมีเครื่องมือบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิ การเกร็งกล้ามเนื้อ และความยืดหยุ่นของผิวหนังไว้ด้วย
ในการทดลองครั้งแรก ตัวทดลองถูกขอร้องให้เกร็งหดกล้ามเนื้อบางส่วน และจำได้แม่นว่าตนทำสีหน้าอย่างไรกับอารมณ์เช่นไร เพื่อประโยชน์ในการบันทึกสำหรับการวิเคราะห์ แต่ละสีหน้าจะต้องทำค้างไว้นานประมาณ 10 นาที
แม้จะไม่มีขอยืนยันแน่ชัดว่าตัวทดลองรู้สึกตามคำสั่งจริงหรือไม่แต่พวกเขาก็เกิดมีปฏิกิริยาทางร่างกายตามที่ตั้งสมมติฐานไว้ นั่นคืออารมณ์ไม่ดีมีผลทำให้ ANS ทำงานหนักขึ้น ในบรรดาอารมณ์ที่ใช้ในการทดลองทั้งหมด ความสุขเพียงอย่างเดียวที่เป็นอารมณ์ด้านบวก นอกนั้นเป็นลบทั้งสิ้น

การทดลองพบว่าอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มกว่าปกติมาก เวลาคนเราโกรธ แม้แต่อุณหภูมิที่ปลายนิ้วก็สูงขึ้นด้วย อารมณ์โกรธเป็นตัวกระตุ้นให้ ANS ทำงานหนักมากกว่าอารมณ์อื่นๆมากกว่าความเกลียด ความตื่นเต้นประหลาดใจ หรือความเศร้า
การทดลองยังพบด้วยว่า ระบบภายในร่างกายจะผิดปกติและทำงานหนักขึ้นจนน่าวิตก เวลาที่คนเราอารมณ์ไม่ดี แต่จะกลับเป็นปกติเวลาที่มีความสุขและหน้าตายิ้มแย้ม เอ็กแมนเสริมว่า การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบสมองส่วนกลาง มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงทีเดียว เขาฉุกใจคิดขึ้นมาได้เช่นเดียวกับซาจองว่า อาจเป็นไปได้ว่าการจงใจทำสีหน้าเบิกบานจะช่วยบำบัดอาการเจ็บป่วยได้
สมมติว่าคนที่ทุกข์ร้อนเป็นกังวล แต่จงใจวางหน้าเป็นปกติ เหมือนไม่มีความกังวลใดๆเกิดขึ้น บางทีการทำงานของต่อมฮอร์โมนอาจเป็นไปตามสีหน้านั้น หรือคนเศร้าซึมและวิตกกังวลมักถูกขอร้องให้ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าไว้ อาจเป็นเพราะเพียงเท่านี้ก็ช่วยบรรเทาความกดดันไปได้ไม่น้อยแล้ว
แต่ถึงอารมณ์จะดีเพียงไร สีหน้าจากอารมณ์นั้นจะอยู่ได้นานแค่ 4 วินาที ถ้ายิ้มค้างนานกว่านั้น กล้ามเนื้อจะเริ่มเป็นตะคริวทว่าการเปลี่ยนแปลงของANS อยู่ได้นาน กว่านั้นหลายชั่วโมง แม้สีหน้าจะลบเลือนไปแล้วก็ตาม ดังนั้น ถ้าคุณต้องการให้ระบบของร่างกายทำงานอย่างราบรื่นและสอดคล้องต้องกันดี คุณควรจะหาเรื่องยิ้มให้ได้บ่อยๆ

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม



โอ้ว!!!!    รอนานเลยนะเนี่ย กว่าจะหาข้อมูลเจอเนาะ

ไอ้เราก็หลงลองคิด วิเคราะห์เองตั้งนาน รู้งี้ถามอากู(เกิ้ล) ก็รู้ไปนานแล้วนะเนี่ย แหม๊.. ตอนเรียนจารย์ก็มีแต่สอนให้คิดเองจนเหนื่อย... เฮ้อ
มีน่าหล่ะ คนปกติอยู่เฉยๆ อารมณ์ชิลๆ  เขาไม่ยิ้มกัน กล้ามเนื้อจะเป็นตะคริวนี่เอง นั่งหายใจไปเปล่าๆ ปลี่ๆ ก็ทำหน้าบูดๆ กันไป เหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบอย่างนั้น  555+

ขอบคุณนะคะ 55+ เด๋วไปเจาะลึกกับอากู(เกิ้ล)ต่อ

ลป. น่าจะให้เครดิตสำหรับที่มาของเนื้อหาด้วยนะคะ  ยิ้มเท่ห์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 14:56:44 โดย ~หมูllว่ีีullดง~ » IP : บันทึกการเข้า

ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,466



« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 18:34:59 »

เผ็ดจริงนะ..ตัวแค่เนี๊ยะ
IP : บันทึกการเข้า

..............
itimaun
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 22:03:55 »

เผ็ดจริงนะ..ตัวแค่เนี๊ยะ
แสบจริงๆครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
สำหรับท่านใดที่ไม่เชื่อให้ลอง เผาไม้ เผาหญ้า เผาขยะ หรือเผาศพ วันเก้าก๋อง เน้อ ตกใจ
ตำราบอกไว้ว่าบ่อดี เป๋นวันร้อนวันไหม้ ขึดกับบ้านกับจองนักแล

วันที่ ๑๖ กับวันที่ ๒๘ เป็นวันเก้าก๋อง ครับ
ลักษณะของขึดคือการฉิบหายอาจไม่เห็นกับตาแต่ สลาด ยู(ไม้กวาด)
มันหด หิ้นลงทุกวันมีใครสัังเกตุเห็นบ้างว่ามันหิ้น หด รู้ตัวอีกทีสั้นจนกวาดไม่ได้แล้ว
อีกอย่างหาคำตอบให้ผมได้ไหมว่า....ทำไมบางคนถึงมีตะปู ๓นิ้ว๔นิ้ว อยู่ในท้องได้โดยไม่ได้กินเข้าไป
และ ทำไมหนังควายที่อยู่ในกระเพราะคน ถึงไม่ย่อยสลายทั้งที่อยู่ในท้องตั้งหลายวันแต่กลับขึ้นอืดและตายในที่สุด(เรื่อองจริงผ่านจอก็เคยนำมาออก)
ข้อสุดท้ายทำไมท่าน Mr.R  ถึงพิมพ์ครับ และอีกกระทู้พิมพ์ค่ะ  งงครับ ฮืม ฮืม ฮืม





บ่อเชื่อบ่อดีลบหลู่ บ่อฮู้บ่อดีดูแควน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 สิงหาคม 2010, 09:43:24 โดย เสือเจ็ดป๊อด » IP : บันทึกการเข้า
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #32 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 22:47:22 »

หากเสกได้จริง

ก็ยุบกระทรวงกลาโหม + ยุบ สนง.ตำรวจแห่งชาติ ไปเลย

แล้วตั้ง กระทรวงเสกหนังควาย แทนบ่ดีก๊ะครับ ประหยัดงบประมาณ

มีโจรผู้ร้ายที่ไหนหรือใครรุกรานประเทศเสกเข้าท้องให้หมด


(บ่ได้ลบลู่เน้อครับ)

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 22:52:53 โดย Mr.R » IP : บันทึกการเข้า
~KT 2 U~
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,601


♥ แม่ค้าออนไลน์ ผู้ซึ่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ♥


« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2010, 23:39:04 »

ถ้าต้องใช้หนัง ควายที่มีสี่ขา ขนาดนั้นคงไม่พอหรอกมั้ง

ถ้าจะต้องใช้เยอะขนาดนั้น คงต้องตั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์การเพาะควายเพิ่มน่ะ

รอการเพิ่มจำนวนตามธรรมชาติคงไม่ทัน  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

* การพยายามนำความคิดของคนอื่นมาใช้ ยังไงมันก็ไม่ลื่นไหลเท่าความคิดตัวเอง ยิ้มเท่ห์

ลป. เอ่อ.... คุณคนพยายามสมัยใหม่มาผิดที่แล้วมั้ง ที่นี่มีแต่คนอนุรักษ์และนิยมสมัยเก่าๆ อ่ะค่า ตกใจ ตกใจ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 สิงหาคม 2010, 00:11:49 โดย ~หมูllว่ีีullดง~ » IP : บันทึกการเข้า

wat
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 322


« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2010, 09:12:15 »

คนเหลือกำ ไปถามตุ้เจ้า จะเกี่ยวข้าวว่าเดือนนี้เสียวันไหน ตุ้เจ้าบอกไม่เชื่อ เกี่ยวข้าวแล้วยังมาเยาะเย้ย ตุ้เจ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอวันตีข้าวเอาข้าวขี้นเก็บบนหลองข้าว เกิดไฟไหม้ จำมาจากเพลงคำเมืองครับ
IP : บันทึกการเข้า
itimaun
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #35 เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2010, 09:41:14 »

คนเหลือกำ ไปถามตุ้เจ้า จะเกี่ยวข้าวว่าเดือนนี้เสียวันไหน ตุ้เจ้าบอกไม่เชื่อ เกี่ยวข้าวแล้วยังมาเยาะเย้ย ตุ้เจ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอวันตีข้าวเอาข้าวขี้นเก็บบนหลองข้าว เกิดไฟไหม้ จำมาจากเพลงคำเมืองครับ
เปิ้นฮ้องว่า วันไชยธฤษ์ ไฟไหม้หลองเข้า ทึดๆๆๆ
IP : บันทึกการเข้า
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2010, 10:15:56 »



สมัยนี้เปิ้นทำนาปี นาดอ 2-3 รอบ
เปิ้นบ่เก็บในหลองกั๋นแล้ว

เวลาจะเกี่ยวเปิ้นถามเจ้าของรถเกี่ยวปู้น

บ่ใจ้กาหา

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
~KT 2 U~
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,601


♥ แม่ค้าออนไลน์ ผู้ซึ่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ♥


« ตอบ #37 เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2010, 11:29:10 »

ที่จริงจะเกี่ยวข้าวบ่ะเด่ว

ต้องถามกระเป๋าตังค์ตั๋วเก่าก่อนก้า

ว่ามีตังค์จ่ายก้าจ้างรถเกี่ยวก่ออี้เนาะ  ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #38 เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2010, 11:32:58 »

ที่จริงจะเกี่ยวข้าวบ่ะเด่ว

ต้องถามกระเป๋าตังค์ตั๋วเก่าก่อนก้า

ว่ามีตังค์จ่ายก้าจ้างรถเกี่ยวก่ออี้เนาะ  ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

ส่วนใหญ่เปิ้นจะหื้อเกี่ยวก่อนแล้ว ขายโฮงสีเลย
ได้สตางค์ก็มาจ่ายค่ารถเกี่ยวเอาทีหลัง ภายในวัน หรือสองวัน

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
~KT 2 U~
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,601


♥ แม่ค้าออนไลน์ ผู้ซึ่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ♥


« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2010, 11:49:47 »

ที่จริงจะเกี่ยวข้าวบ่ะเด่ว

ต้องถามกระเป๋าตังค์ตั๋วเก่าก่อนก้า

ว่ามีตังค์จ่ายก้าจ้างรถเกี่ยวก่ออี้เนาะ  ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

ส่วนใหญ่เปิ้นจะหื้อเกี่ยวก่อนแล้ว ขายโฮงสีเลย
ได้สตางค์ก็มาจ่ายค่ารถเกี่ยวเอาทีหลัง ภายในวัน หรือสองวัน

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม


บ่ดีลืมว่า มันบ่ใจ่มีก้ารถเกี่ยวเน้อ.. เอ.. มีก้าหยังแหมหา..
ถ้าคนบ่เกยทำนา จะบ่ฮู็ว่ามันเป๋นใด อ่านก้าในหนังสือ ค้นหาก้าในเน็ต อ้างกาหลักการ มันมีบ่ใจ้หมดเน้อ
ลองไปทำผ่อเหียก่อน แล้วค่อยมาเล่าเนาะ...  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

หน้า: 1 [2] 3 4 5 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!