ทฤษฎีนี้ได้รับการทดลองและพิสูจน์โดยนักวิทยาศาสตร์อเมริกันหลายคนแล้ว พอล เอ็กแมน เป็นผู้ริเริ่มการค้นคว้านี้ ส่วนอีกคนหนึ่งคือ โรเบิร์ต ซาจอง นักจิตวิทยาแห่งแกนน์-อาเปอร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน เป็นผู้สานต่อศึกษาเพิ่มเติมว่าอะไรมาก่อนแน่ สีหน้าหรือความรู้สึก
การศึกษาวิจัยของซาจองพาย้อนกลับไปสู่การทดลองที่มีขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เอกสารรายงานการวิจัยชื่อ Emotion and Facial Efference : A Theory Reclaimed ของซาจอง ได้อ้างอิงตำราของอิสราเอล เวนบอม นักจิตวิทยาฝรั่งเศสซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1906 โดยเวนบอมเชื่อว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าทำหน้าที่คล้ายเส้นด้ายเย็บเส้นเลือดและกำหนดระเบียบของการไหลเวียนโลหิตที่เลี้ยงสมองการไหลเวียนของโลหิตนี้มีผลย้อนกลับมายังความรู้สึกด้วย ตามทฤษฎีของเวนบอมนำไปสู่การสรุปยืนยันว่า บ่อยครั้งอารมณ์เกิดขึ้นในลักษณะคล้อยตามสีหน้า ไม่ใช่เกิดขึ้นก่อนทุกครั้งไป
เวนบอมมีสมมติฐานว่า ปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เห็นได้ชัดทุกประเภทมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับระบบหมุนเวียนโลหิต ไม่ว่าจะเป็นอาการอายหน้าแดง ร้องไห้สะอึกสะอื้น หัวเราะ หรืออื่นๆอีกมาก ล้วนมีผลต่อการไหลเวียนของโลหิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ต้องผ่านการขยับของกล้ามเนื้อกระบังลมที่ท้อง เวนบอมอธิบายว่า ปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่แสดงออกมานั้น มีผลกระทบต่อการหมุนเวียนของโลหิตทั้งสิ้น เพียงแต่จะเป็นไปในทางบวกหรือลบเท่านั้น และสีหน้าของคนเราก็เป็นกลจักรสำคัญตัวหนึ่งของขั้นตอนนี้
แล้วทำไมการยิ้มและการหัวเราะจึงสัมพันธ์กับความสุขและความสดชื่น ในเรื่องนี้เวนบอมอธิบายว่าเป็นเพราะเลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงสมองมากขึ้นในเวลาที่คุณยิ้มและหัวเราะนั่นเอง ผลที่ตามมาคือสุขภาพจะแข็งแรงและอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ ตรงกันข้าม อารมณ์เครียดและหน้าตาบึ้งตึงทำให้เลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงสมองน้อย ไม่ช้าไม่นานสุขภาพจะเสื่อมและล้มเจ็บได้ในที่สุด คนที่ตีสีหน้าเศร้าอยู่ตลอดเวลาก็เช่นกัน ทำให้เลือดถูกสูบฉีดไปเลี้ยงสมองน้อยลงเป็นการถาวร หมายความว่าสมองจะได้รับอาหารไม่เพียงพอ จึงอาจทำงานไม่เป็นปกติได้ โดยเวนบอมบอกอีกว่าไซโกเมติก เมเจอร์ เป็นกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการยิ้มมากที่สุดและยังมีหน้าที่โดยตรงต่อการกระตุ้นเลือดให้วิ่งไปสู่สมองมากขึ้น และนี่จึงเป็นผลให้มีอารมณ์ดีและสบายใจขึ้น
ในขณะเดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซาจองก็ได้อ้างทฤษฎีของเวนบอมเพื่ออธิบายว่า โลหิตแดงสามารถลดอุณหภูมิของสมองให้เย็นลงได้ อาจเป็นไปได้ว่าอุณหภูมิสมองมีผลกระทบต่อต่อมต่างๆในสมอง และกระตุ้นให้ขับฮอร์โมนออกมาเป็นตัวนำอารมณ์ความรู้สึกไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น เวลาเราเป็นทุกข์โลหิตที่ไหลเวียนสู่สมองเดินทางไม่สะดวก ต่อมในสมองจึงทำงานไม่ปกติตามไปด้วย
เมื่อใดที่สมองได้รับออกซิเจนจำนวนมาก ย่อมทำงานได้ดีกว่าเวลาขาดแคลนออกซิเจน และอาการเจ็บป่วยส่วนใหญ่เกิดจากร่างกายขาดสมดุล จึงดูเหมือนมีเหตุผลเชื่อถือได้ว่า การที่เลือดไปเลี้ยงสมองน้อย อาจก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายหรืออาการเจ็บป่วยได้ ด้วยเหตุผลว่าสมองไม่สามารถทำงานอย่างเหมาะสมนั่นเอง
ทราบไหมค่ะ ว่าสมองมีความสามารถในการจำและยากที่จะลืมอะไรง่ายๆโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เมื่อคุณยิ้มทั้งที่ใจเป็นทุกข์สมองจะจำได้ว่ากิริยาเช่นนี้เคยสัมพันธ์กับความสุขมาก่อนและจะปล่อยฮอร์โมนที่
เหมาะสมออกมาให้ทันที ผลก็คือคุณจะรู้สึกดีขึ้น ซาจองสรุปว่าถ้าคุณฝึกทำเช่นนี้บ่อยๆสีหน้าและความรู้สึกที่ดีจะปรากฏบ่อยขึ้นจนกลายเป็นนิสัยซาจองมีความรู้สึกว่า ทฤษฏีของเวนบอมน่าจะเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อผู้ป่วยจิตเวช และคนที่มีอาการโรคประสาทอื่นๆเช่น เศร้าซึม และวิตกกังวล เป็นต้น ถ้าผู้ป่วยมีอาการเศร้าซึมและวิตกกังวล ได้รับการสอนให้รู้จักแสดงสีหน้าออกมาอย่างเหมาะสม พวกเขาจะแลดูมีความสุขมากกว่าเศร้าหมอง และอาจหายเป็นปกติได้จากการเริ่มต้นด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรอื่นเลย
นอกจากนี้พอลเอ็กแมนยังได้ทำการทดลองให้เห็นว่า ถ้าคุณฝืนยิ้มหรือทำหน้าสดชื่นได้อารมณ์ที่สมองและร่างกายก็จะเป็นไปตามนั้น ผลงานบุกเบิกของเขาตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์หลายเล่ม ล้วนพูดว่า “ยิ้มบำบัดโรค” มีคุณค่าในการบำบัดรักษาเป็นอย่างยิ่ง
เอ็กแมนเริ่มทำการศึกษาวิจัยด้วยการตั้งคำถามว่า การทำงานของระบบประสาทที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ เรียกย่อๆว่า ANS ขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปหรือไม่ โดยก่อนหน้าหน้านี้ในปี 1890 นักจิตวิทยาชื่อวิลเลียม เจมส์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ANS จะทำงานแตกต่างกันออกไปเวลาเกิดมีอารมณ์แต่ละรูปแบบ เอ็กแมนและผู้ร่วมงานจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ตัดสินใจก้าวไปตามรอยนี้ ขอร้องให้อาสาสมัครซึ่งเป็นนักแสดงกลุ่มหนึ่ง แสดงสีหน้าท่าทางและอารมณ์ตามคำสั่ง
อารมณ์ที่ใช้ในการวิจัยเป็นอารมณ์โดดๆ 6 ชนิดคือ ตื่นเต้นประหลาดใจ เศร้า โกรธ กลัว เกลียด และเป็นสุข ในขณะที่อาสาสมัครแสดงสีหน้าต่างๆจะมีเครื่องมือบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิ การเกร็งกล้ามเนื้อ และความยืดหยุ่นของผิวหนังไว้ด้วย
ในการทดลองครั้งแรก ตัวทดลองถูกขอร้องให้เกร็งหดกล้ามเนื้อบางส่วน และจำได้แม่นว่าตนทำสีหน้าอย่างไรกับอารมณ์เช่นไร เพื่อประโยชน์ในการบันทึกสำหรับการวิเคราะห์ แต่ละสีหน้าจะต้องทำค้างไว้นานประมาณ 10 นาที
แม้จะไม่มีขอยืนยันแน่ชัดว่าตัวทดลองรู้สึกตามคำสั่งจริงหรือไม่แต่พวกเขาก็เกิดมีปฏิกิริยาทางร่างกายตามที่ตั้งสมมติฐานไว้ นั่นคืออารมณ์ไม่ดีมีผลทำให้ ANS ทำงานหนักขึ้น ในบรรดาอารมณ์ที่ใช้ในการทดลองทั้งหมด ความสุขเพียงอย่างเดียวที่เป็นอารมณ์ด้านบวก นอกนั้นเป็นลบทั้งสิ้น
การทดลองพบว่าอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มกว่าปกติมาก เวลาคนเราโกรธ แม้แต่อุณหภูมิที่ปลายนิ้วก็สูงขึ้นด้วย อารมณ์โกรธเป็นตัวกระตุ้นให้ ANS ทำงานหนักมากกว่าอารมณ์อื่นๆมากกว่าความเกลียด ความตื่นเต้นประหลาดใจ หรือความเศร้า
การทดลองยังพบด้วยว่า ระบบภายในร่างกายจะผิดปกติและทำงานหนักขึ้นจนน่าวิตก เวลาที่คนเราอารมณ์ไม่ดี แต่จะกลับเป็นปกติเวลาที่มีความสุขและหน้าตายิ้มแย้ม เอ็กแมนเสริมว่า การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบสมองส่วนกลาง มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงทีเดียว เขาฉุกใจคิดขึ้นมาได้เช่นเดียวกับซาจองว่า อาจเป็นไปได้ว่าการจงใจทำสีหน้าเบิกบานจะช่วยบำบัดอาการเจ็บป่วยได้
สมมติว่าคนที่ทุกข์ร้อนเป็นกังวล แต่จงใจวางหน้าเป็นปกติ เหมือนไม่มีความกังวลใดๆเกิดขึ้น บางทีการทำงานของต่อมฮอร์โมนอาจเป็นไปตามสีหน้านั้น หรือคนเศร้าซึมและวิตกกังวลมักถูกขอร้องให้ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าไว้ อาจเป็นเพราะเพียงเท่านี้ก็ช่วยบรรเทาความกดดันไปได้ไม่น้อยแล้ว
แต่ถึงอารมณ์จะดีเพียงไร สีหน้าจากอารมณ์นั้นจะอยู่ได้นานแค่ 4 วินาที ถ้ายิ้มค้างนานกว่านั้น กล้ามเนื้อจะเริ่มเป็นตะคริวทว่าการเปลี่ยนแปลงของANS อยู่ได้นาน กว่านั้นหลายชั่วโมง แม้สีหน้าจะลบเลือนไปแล้วก็ตาม ดังนั้น ถ้าคุณต้องการให้ระบบของร่างกายทำงานอย่างราบรื่นและสอดคล้องต้องกันดี คุณควรจะหาเรื่องยิ้มให้ได้บ่อยๆ