เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 กรกฎาคม 2025, 15:12:03
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  เอามาให้อ่านครับ James McCarthy (พระวิภาคภูวดล) เล่าถึง จ.เชียงราย ในสมัยอดีต
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน เอามาให้อ่านครับ James McCarthy (พระวิภาคภูวดล) เล่าถึง จ.เชียงราย ในสมัยอดีต  (อ่าน 918 ครั้ง)
nip42
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 741



« เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 14:17:46 »

๒๖.งานที่เชียงแสน
   เมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงเมืองฝางนั้น เจ้าหลวงเชียงใหม่เสด็จมาที่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำบุญ พวกมูเซอดอยผ้าห่มปกถูกตามตัวไปแสดงการเล่นถวาย หัวหน้าเป่ามูเซอเข้าเมืองอย่างมีพิธีรีตอง นั่งม้าเล็ก ไม่ใส่เสื้อเพราะอากาศร้อนและกางร่มสีทอง มีชาวเป่ามูเซอเดินเป่าปี่อ้อที่โปรดปรานตามมาติดๆ บ้างถือดายถือปืนก็มี ท้ายขบวนมีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวเต็มที่ ประดับประดาอาภรณ์ราวกับเป็นตัวแทนความสวยและความมั่งคั่งของลาวทั้งหมู่บ้าน เจ้าหลวงเชียงใหม่เสด็จมาโดยกระบวนช้าง ๒๐ เชือก ดอกเตอร์ ชีค ผู้บัดนี้ล่วงลับแล้ว ติดตามมาด้วย
    มีการตระเตรียมจะล่าสัตว์ในทุ่งเมืองฝางกันด้วย ข้าพเจ้าร่วมขบวนไปกับดอกเตอร์ชีค ซึ่งพาช้าง ๒๐ เชือก สำหรับไล่ราวเก้งและหมูป่า แต่ข้าพเจ้าเกิดจับไข้ขึ้นเลยหมดสนุก แม้จะมีสัตว์ให้ล่ามากแต่เราก็ประสบผลสำเร็จไม่เท่าไร แถมกลุ่มหนึ่งยังถูกช้างป่าเกเรไล้พากันลำบากไปเสียอีก
    เจ้าหลวงเสด็จออกจากเมืองฝางอย่างโก้หร่าน มีการเป่าแตรตีฆ้องกลอง พระองค์ประทับหลังช้างงาตัวมหึมา มีกระบวนทหาร ๕๐ นายนำหน้า และอีกเป็นกองร้อยตามมาช้างหลังล้วนถือหอก ชายาที่โปรดหลายนางก็นั่งช้างตามภายในขบวน
    พระสฤษดิ์มาถึงเมืองฝางเอาตอนนี้พอดี เขาทำงานได้สำเร็จเป็นผลดีมาก ความนี้นับว่ามีสุภาพบุรูษสยามอยู่กับข้าพเจ้าถึง ๘ นายด้วยกัน ข้าพเจ้าเตรียมการจะส่งแต่ละคนแยกย้ายกันไปวัดทางในทิศต่างๆ กัน แล้วนัดไปบรรจบที่เชียงแสน
    วันที่ ๑๕ มีนาคม ข้าพเจ้าเริ่มทำงานวงรอบจากเมืองฝาง แต่หมอกตกหนามากบนภูเขา กระทั่งว่าห่างออกไปเพียงสองไมล์ก็มองอะไรไม่เห็นเสียแล้ว ข้าพเจ้าผ่านหมู่บ้านชาวเงี้ยวหลายแห่งซึ่งอพยพมาจากเชียงตุงก็มี เมืองหางก็มี เมืองตูม(Maung Tum) ก็มีบ้าง ล้วนเป็นกองระวังชายแดนอย่างดีตามที่เชื่อกัน ก่อนที่อังกฤษจะเข้ายึดครองแคว้นฉาน ประชาชนพวกนี้ไม่อยู่กันอย่างสงบสุข แต่ต้องกระจัดกระจายแยกย้ายกันไปทุกทิศทาง พวกที่ระวังเหตุตามชายแดนเหล่านี้ยากจนมาก ต้องหาของป่าเลี้ยงชีพ ปลูกกระท่อมมุงหญ้าอาศัยอยู่ไปพลาง ระหว่างถางป่าเอาที่ไว้เตรียมทำนาในปีต่อไป
    เมื่อปีก่อน เพี้ยปราบเคยหนีมาตามทางนี้ ผู้ที่ติดตามมาได้เผากระท่อมที่อยู่ ณ เมืองยอน (Maung Yawn) และเวียงเข่ (Wieng Ke) คนละฝากน้ำกก(nam Kok) เสียราบไป มีแต่ทางเดินเท้าเลาะลัดผ่านป่าไผ่ทึบ ยิ่งข้าพเจ้าเป็นไข้ ก็ยิ่งไปได้แต่ช้าๆ บุกผ่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วยเรื่อยไป
    วันที่ ๒๔ เกิดพายุฟ้าคะนอง และมีลูกเห็บก้อนโตๆ ข้าพเจ้าได้ลองเก็บมาตรวจดูลูกหนึ่งลักษณะคล้ายสตรอเบอรี่ ด้านที่กว้างออกจะเหลวแค่ด้านอื่นๆ ขรุขระ ราวกับเป็นลูกเห็บสี่ห้าก้อนเกาะตัวรวมกันอยู่ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ ๑/๔ นิ้ว อากาศระยะนั้นเย็นลงแต่ชาวบ้านซึ่งห่วงที่ทำกินเริ่มเผาป่า การโค่นถางนั้นเสร็จไปหลายเดือนแล้ว ไม่ที่ตัดไว้กิ่งแห้งดี พอเผาก็ไหม้หมด ได้ขี้เถ้ากับปุ๋ยอย่างดี ควันที่โขมงรวมเข้ากับหมอกที่ไมให้มองอะไรไม่เห็นนอกจากดวงอาทิตย์ ซึ่งทอแสงสีแดงมัวๆ
    พวกฉานเมืองยอนคงจะเป็นคนซื่อ หากเราสามารถถือจะลักษณะของคนคนเดียวเป็นตัวแทนของคนทั้งท้องถิ่นได้ ที่เมืองนั้น ข้าพเจ้าหาคนนำทางได้คนหนึ่ง ส่งเงินให้เขา ๑๐ รูปี แล้วสั่งให้ไปซื้อข้าว เขาหายตัวไปทั้งวันจึงขนข้าวกลับมาพะเนินเทินทึกนับว่าราคาถูกอย่างยิ่ง อันที่จริงเขาจะหนีกลับไปบ้านเสียก็ได้ถ้าหากว่ามีนิสัยโจรอยู่บ้างแม้แต่น้อย
    ข้าพเจ้าถึงเมืองตูม ในวันที่ ๒๘ ไข้จับเสียแทบยืนไม่อยู่ หัวหน้าชาวบ้านสองคนมาหาแบะอธิบายอย่างสุภาพว่า เมืองตูมขึ้นอยู่กับเชียงตุง ข้าพเจ้าชี้แจงว่าไม่ได้มาสอบเรื่องการตั้งถิ่นฐาน แต่มาสำรวจเขตแดนเท่านั้น พอกางกระโจมเสร็จข้าพเจ้าก็รีบเข้านอนเพราะอาการไข้รุนแรงขึ้นทุกที
    เมืองตูมเป็นที่ราบชั้นดี อยู่ต้นน้ำสายมียอดเขาสูงแวดล้อมรอบด้าน ซึ่งพวกมูเซออาศัยเป็นที่ทำกิน ชาวเมืองเป็นเผ่าเขิน (kern) ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าชนที่ดีที่สุดในแคว้นฉานตลอดบ่ายวันนั้นผู้หญิงและเด็กจำนวนมากล้วนแต่งตัวดี พากันเอาขนม น้ำตาลอ้อย และไข่มาให้เรา ทุกคนยิ้มแย้มเมื่อเล่าให้เราฟังว่าได้เดินทางมาไกล
    ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษย่อมไม่อาจยินยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นกับข้าพเจ้าเป็นแน่ ยังไม่ทันสิ้นวันก็มีคนสักเป็นลวดลายจากคอไปถึงสันเท้ากลุ่มหนึ่งโผล่เข้ามาพบเรา คนหนึ่งบอกว่าตนเป็นเจ้าเมืองกวาน (Maung Kwan) ท่าทางดุเดือดมาก บอกให้ข้าพเจ้าถอยกลับไปเสีย เพราะไม่มีวันที่จะอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปยังเมืองกวานได้ พ่อเมือง(ตูม) บอกแก่ข้าพเจ้าว่า ชายนั้นอยู่ฝั่งอยู่ฝั่งตะวันตกของลำน้ำสาลวิน เคยอยู่ในกลุ่มนักผจญภัยชื่อ เตวต นาลู (Twet Nalu) ผู้ที่เคยก่ออาชญากรรมไว้มากมาย เจ้าเมืองเชียงตุงเคยจ้างเขาไว้เป็นทหารพักหนึ่งก่อนที่เขาจะก่อคดีฆาตกรรมขึ้นหลายครั้งที่เมืองไล และเมืองลิน หรือ เล็ม(Maung Lim or Lem) อนึ่ง ลูกน้องของชายผู้นี้ได้เข้าตีปล้นพ่อค้าที่มาจากหนองคายในเดือน มกราคม - เดือนกุมภาพันธ์ ๑๘๘๙
    หมู่บ้านหลายแห่งในถิ่นแถบนี้ เป็นนิคมโจร เพราะทางการบ้านเมืองมีนโยบายที่จะให้พวกโจรอยู่ตามชายแดน ทำหน้าที่ระวังภัยสงครามไปด้วยในตัว พ่อค้าที่ข้าพเจ้าได้พบที่นี่เป็นชาวแคว้นฉานเชื้อจีน (ชาวจีนแคว้นฉาน) และเข้าข้างจีนอย่างเต็มที่ที่เดียว ระหว่างต่อรองราคาดาบอย่างสนุกสนาน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องวิธีการปกครองของจีนให้แจ่มแจ้งไปด้วย
    ข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าว่า เวลาที่มีข้าราชการเดินทางมาหยุดพักในหมู่บ้าน ชาวบ้านจะต้องเอาอาหารมาให้สำหรับพอกินกันทั้งคณะชั่ว ๓ วัน แต่หลังจาก ๓ วันไปแล้วพวกที่มาต้องจ่ายเงินค่าอาหารเอง ข้อที่ทำให้เป็นทุกข์นั้นมีอยู่แต่ที่ว่า ท่านหัวหน้าคณะข้าราชการจีนคนนั้นเรียกร้องให้ชาวบ้านช่วยหามคานหามที่ตัวนั่ง
    พ่อค้าชาวจีนแคว้นฉานคนหนึ่งอยากเป็นปืนของข้าพเจ้า และอยากลองยิงดูสักนัดหนึ่ง แต่ดูไม่ค่อยตื่นเต้นนักที่ได้เห็นปืนบรรจุท้าย เขาออกจะชอบใจเสียงของมัน แต่เมื่อส่งปืนคืนนั้นได้บอกว่า ในเมืองจีนมีปืนดีกว่านี้ยิงได้ถึงคราวละ ๑๐ นัด ตามที่ข้าพเจ้าสังเกตดูเหมือนคนไทยเชื้อจีนจะพูดภาษาสยามได้ชัดเจนกว่าพวกฉานจากลุ่มน้ำสาลวิน
    พระพุทธรูปองค์หนึ่งกำลังหล่ออยู่จวนเสร็จ เขาเอาเงินที่อุทิศมาเข้าบรรจุในพระอุระ พ่อเมืองมอบคนนำทางให้ข้าพเจ้า ๔ คน ซึ่งได้อาศัยเป็นผู้ป้องกันภัยในตัว แล้วเราก็เดินทางไปเมืองกวาน ระหว่างทางได้พบคนกำลังขุดหาทอง ที่ตั้งเมืองกวานนั้นนับว่าวิเศษมาก มีเนินเขาสลับซับซ้อนและทุ่งนากว้างไกล ข้าพเจ้ากางกระโจมพักที่ริมแม่น้ำและไม่ได้เห็นหน้าคนที่มาขู่ข้าพเจ้านั้นเลย พวกที่มาตั้งหลักแหล่งที่นี่มาจากแถบสาลวินล้วนเป็นอาชญากรตัวกลั่นทั้งสิ้น กลุ่มใหญ่ที่มาแวะเวียนอยู่รอบค่ายพักของเรานั้นสักลายคลอดตัวจากหัวจดเท้า ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเด็กคนหนึ่งอายุราวสัก ๑๐ ขวบ มีสมุนรุ่นๆ ตามหลังกว่า ๒๐ คน มีคนบอกว่าเด็กคนนี้เป็นลูกชายของ เตวด นาลู นักผจญภัยแห่งลุ่มน้ำสาลวิน เมื่อออกจากเมืองกวานนั้นข้าพเจ้าไปตามรอยทางเดินข้ามเทือกเขาไปถึงแม่น้ำสายแต่มีสิ่งกีดขวางมีมาก เพื่อให้พวกปล้นหนีได้โดยสะดวก ทางของเราทอดผ่านที่บุกเบิกของพวกกาว (Kaw) และหมู่บ้านอีกหลายแห่งที่ร้างแล้ว เรือนทั้งนั้นมีขนาดใหญ่และยังมั่นคงดี แต่พวกกาวไม่เคยอยู่ที่ไหนนาน พอมีคนตายลงสักคนสองคนก็หาว่ามีผีร้ายให้โทษต้องรีบย้ายถิ่นฐาน
    ข้าพเจ้าไม่อาจพบปะกับใครได้เลย ที่ข้างทางห่างลำธารสัก ๕๐ หลา ข้าพเจ้าเห็นหญิงชราหอบของมาเต็มหลัง กำลังกวาดลานที่ตอนนั้นมีเถ้าถ่านตอไม้ระเกะระกะ แกพาเด็กมาด้วย ๒ คน แต่พอเจ้า ๒ คนนั้นเหลือบเห็นข้าพเจ้าเท่านั้นก็โกยอ้าวเข้าแฝงพงไม้วิ่งหยอยๆ ตามกันไปเหมือนลูกลิงโดดไปตามต้นไม้ ทิ้งหญิงชราไว้ตามลำพังเป็นพักๆ นานๆ ก็เข้ามาอ้อนเสียหนหนึ่ง ตาดูเหมือนหญิงชราจะไม่ได้โต้ตอบด้วยดีเท่าไรนัก
    ข้าพเจ้าได้พบมูเซอกลุ่มหนึ่งเดินทางมาจากด้านตะวันออกของลำน้ำแม่โขง  ต้อนควายมายังเมืองกวาน ควายนั้นได้ยืมมาจากเพื่อนๆ ที่เมืองแหลม (Maung lam) จึงเป็นค่ายร้างอยู่ติดกับวัดซึ่งร้างเช่นเดียวกัน ทั้งค่ายและวัดนี้สร้างขึ้นพร้อมกันเพื่อกำหนดหมายตำแหน่งสำหรับเรือนระวังภัย (Guard House) สันติและสงครามถูกสถาปนาขึ้นในที่เดียวกัน และเสื่อสำเร็จสมดังความประสงค์แล้วก็ถูกทอดทิ้งไปดุจกันเช่นนั้น 
    จากจุดนี้ เราก็เดินทางผ่านทุ่งราบเชียงแสน ซึ่งแลโล่งเกือบตลอดเพราะน้ำท่วมเพิ่งลด คงเหลือแต่ต้นไม้ประเภททนทาน เมื่อเข้าใกล้ตัวเมืองเชียงแสน เราได้เห็น หนอง บึง ปลัก ตม เป็นจำนวนมาก เมืองนั้นมีเนินเขาล้อมรอบ ล้วนแต่มีชื่อเสียงในพงศาวดาร เจ้าเมืองผู้ชราซึ่งออกจะมีอาการประสาทหวั่นไหวง่าย ตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าเกลียดชัง  ปลัดเมืองอย่างมากนั้น ก็มีตำนานส่วนตัวที่แปลกประหลาดมากมายหลายเรื่อง
    ทางทิศใต้ เลยแนวเขาออกไปประมาณ ๖ ไมล์ มีบึงใหญ่ปลาชุม ทิศตะวันออกคือแม่น้ำโขง และพื้นดินก็อุดมสมบูรณ์ สภาพการดำรงชีวิตของประชาขนจึงสะดวกสบายชาวสยามทุกคนทำนาเก่ง ที่มีฐานะก็ชอบทำสวนผลไม้ ทำความอุดมของดินให้เกิดผลสะพรั่ง
    เชียงแสนมีชื่อเสียงในเรื่องการสร้างพระพุทธรูป ซึ่งบางองค์ใหญ่มากและงามมากด้วย ครั้งหนึ่งนิยมปางที่เรียกว่า  "ขัดสมาธิเพชร์ (Katamapet)" ซึ่งชาวสยามยกย่องว่าเป็นแบบโบราณและขนาดพอเหมาะ เลยขนลงไปรักษาที่บางกอกหลายองค์ การนำพระพุทธรูปชำรุดมาหล่อใหม่นั้นทำไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการดูหมิ่นในศาสนา คนที่อยู่ในตัวเมืองเกือบทั้งหมดเป็นข้าราชการ ชาวบ้านที่อพยพจากลำพูนมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ส่วนใหญ่อยู่ตามหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ประปรายในทุ่งราบ มีชีวิตที่แสนจะสะดวกสบายไม่ต้องเสียภาษี จึงชักจูงให้ทำงานได้ยาก
    บุตรชายของเจ้าเมืองมาหา และบอกข้าพเจ้าว่า พวกสำรวจอินเดียจะเดินทางมาที่นี่ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดว่าอาจเป็นไปได้ในเมื่อคณะนักสำรวจประเทศอินเดียก็กำลังทำงานอยู่ในบริเวณใหล้เคียง หลังจากที่สำรวจเขตแดนเรียบร้อยแล้ว แต่ออกจะแปลกใจมากที่ได้พบชาวยุโรป ๒ นาย คือ ม. วาคล์ (M.Vacle) และ ม.มาสซี (M.Massie) ม.มาสซี่ มาจากหลวงพระบาง จะไปเมืองสายหรือไซ (Sai) แล้วเลยต่อไปไร่ชาที่ต้นน้ำอูไอบัง (Ibang) และไอวู(Iwu) ส่วน ม.วาคส์  ที่สมทบมาด้วยนั้น เป็นชาวมณฑลตังเกี๋ย ทั้ง ๒ คน พากันไปที่เชียงฮุ่งมาแล้ว แต่ก่อนที่จะไปถึงที่นั้น มิสเตอร์สกอตต์ก็ได้ออกเดินทางต่อไปเชียงตุงเสียแล้ว
    เขามาเชียงแสนผ่านทางเมืองแหลม และตื่นเต้นกับการเดินทางมากพอใช้ แต่ก็ออกจะผิดหวังที่พบว่านักสำรวจชาวอังกฤษได้เคยผ่านมาทางนี้ก่อนหน้าเขาแล้ว เขามีเหรียญตราที่ฝรั่งเศสออกให้ใช้ในเขตอาณานิคม (Piece de Commerce) ติดมาด้วย ขนาดสักเท่าเหรียญดอลลาร์เมกซิกัน แต่ปรากฏว่าใช้ไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงขอแลกเหรียญเอาไว้ดูสักสองสามเหรียญคิดว่าเหรียญพวกนี้คงไม่แพร่หลายเท่าใดนัก ไม่เหมือนเหรียญรูปีซึ่งไม่กี่มานี้ข้าพเจ้ายังได้เห็นใช้กันตลอดขึ้นไปถึงอ่าวตังเกี๋ย
    ชาวฝรั่งเศสทั้งสองตื่นตระหนกกับโรคสัตว์ที่กำลังระบาดอยู่เป็นอันมาก เพราะคาดว่ามันจะแพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ วันที่ ๒๐ เมษายน เขาก็ออกจากเชียงแสน ล่องเรือไปหลวงพระบาง แต่ระหว่างที่อยู่เชียงแสนด้วยกันก็นับได้ว่าเป็นเพื่อเดินทางที่ดีพอควร
๒๗. ทำงานอย่างยากเข็ญ
    นอกจากที่ว่า ข้าพเจ้าต้องทนทุกข์เพราะไข้ป่ารุมเร้านับเป็นเดือนๆ  แล้วอุปสรรคต่อการสำรวจก็ยังตามมาอีกหลายประการ พระสฤษดิ์ฯ มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่าหาเขาที่ข้าพเจ้าชี้ให้ไม่พบ เพราะหมอกหนาจนมองอะไรไม่เห็น นายทหารสยามอีกผู้หนึ่งรายว่าพนักงานตัดไม้หนีไปหมด ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ฝนเริ่มตกลงมาแล้วหมอกค่อยจางลงไปมากข้าพเจ้าจึงรวบรวมสติกำลังเดินทางออกจากเชียงแสนในวันที่ ๒๖ เมษายน ไปหยุดที่เนินเขาเล็กๆ ชื่อดอยผาเลา (Doi Palao) และสั่งให้ตัดต้นไม้ เพื่อให้พวกหนุ่มๆ ได้เคยชินกับงานที่ละน้อย เตรียมตัวไว้สำหรับงานหนักที่จะตามมาคืองานที่ยอดเขา ซึ่งจะต้องจัดการกับต้นไม้ขนาดมหึมาทั้งนั้น
    ที่บ้านแม่จัน (Ban Mechan) อันเป็นจุดร่วมทางจากถิ่นเหนือมาเชียงใหม่ ข้าพเจ้าตื่นขึ้นวันหนึ่งก็พบว่าพวกคนงานหนุ่มๆ หนีไปหมด เจ้าเมืองเชียงแสนก็กำลังจะไปเชียงใหม่ แต่พอข้าพเจ้าชี้แจงว่าเขาไม่ควรทิ้งเมืองให้ปราศจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ แต่ควรจะรออยู่ช่วยข้าพเจ้าในระหว่างที่อากาศยังดีอยู่ เขาก็ยินยอมเห็นด้วย
    วันที่ ๑ พฤษภาคม ข้าพเจ้าหาคนได้พร้อมตอนเที่ยงจึงออกเดินทาง ตกเย็นก็หยุดพักที่พุน้ำร้อน พุเหล่านี้เป็นที่น่าชมที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าได้เคยเห็นมาในสยาม ที่อื่นๆ นั้นน้ำปุดขึ้นมาเพียงที่ผิวดิน แต่ที่นี่น้ำร้อนขนาดเดือดพุขึ้นมาจากรอยหินแตกสูงถึง ๒ ฟุต โดยรอบมีเสียงอื้อสนั่นเหมือนเสียงเครื่องปั่นไฟขนาดเล็กหลายๆ เครื่อง พุหนึ่งนั้นเป็นน้ำกำมะถันธรรมชาติ
    ระหว่างเดินทางอยู่ในแม่จัน เราละให้บรรดาโอรสเจ้าหลวงพร้อมด้วยขบวนม้าและช้างรออยู่เชิงเขา แล้วไต่ทางผ่านหมู่บ้านมูเซอ ไปพักแรมคืนที่หมู่บ้านร้างที่พวกชาวเมืองงำ (Maung Ngam) เคยมาพักอยู่หลังจากบ้านเรือนประสบอัคคีภัย เมื่อปีกลาย
    วันต่อมาเราต้องทำงานหนัก ถางทางฝ่าดงทึบ พอถึงพลบค่ำก็ลงไปหาน้ำ ป่าทึบเหลือเกิน หุบเขาก็ทั้งสูงและชันจะหารที่กางกระโจมพักสัก ๖ ตารางฟุตก็ทั้งยาก
    ในระหว่างกลางคืน มีเสือตัวหนึ่งเข้ามารบกวนอยู่เรื่อยๆ ต้องตระโกนไล่กันเสียงหลง ฟังดูไม่รู้ว่ามีใครถูกมันคาบไปบ้างหรือเหล่า ข้าพเจ้าใจหิ้วใจแขวนค่าที่เคยเสียลูกหาบไปคนหนึ่งด้วยวิธีนั้น ครั้งทำงานในคาบสมุทรมลายู แต่โชคดีว่าคราวนี้ไม่มีใครเป็นอะไรไป
    ในตอนเช้า คนทำทางเผ่ามูเซอแกะรอยกลับไปหมู่บ้านของตน เราจึงออกเดินทางต่อไปเอง ไม่มีใครเสียดายมากนัก เพราะพูดกันไม่ค่อยเข้าใจ ช้ำพาเราไปผิดทางบ่อยๆด้วย
    ป่าไผ่ชนิดลำเล็กนั้นทึบมากทีรอยทางสัตว์ป่าเดินอยู่ทั่วไป ดูจะมีพวกวัวป่าชุกชุมต้นชาผ่าขึ้นอยู่ทั่วทุกหนแห่งหน ต้นไม้หลายต้นมีรอยขวานสับฟันด้วยฝีมือของนักเดินทางก่อนหน้าเรา ทำให้รู้ว่าเขาไปทางไหนกัน เราพยายามที่จะขึ้นให้ถึงจุดสูงสุดของเทือกเขาลักษณะฟันปลาเทือกนี้ แต่ทั้งหมอกและฝนเป็นอุปสรรคกีดขวาง และข้าวของเราก็เหลือน้อยพอเราถางยอดเขาที่คิดว่าสูงที่สุดเสร็จลง หมอกก็ยกเผยให้เราเห็นยอดที่สูงกว่าอยู่ไกลออกไปไม่ถึงไมล์ แต่ในช่วงระหว่างนั้นมีหุบเขาชันขวางอยู่ ต้องใช้เวลาวันเต็มๆ จึงจะข้ามพ้นเราจึงคิดว่ายอดเขาที่เรายืนอยู่ซึ่งอยู่ในเทือกที่มีชื่อว่าสามเส้า (Sam Sao) ก็คงจะพอใช้การได้ในกรณีนี้
    เกิดมีเรื่องยุ่งยากเล็กน้อยเกี่ยวกับตะเกียงส่องที่ใช้ที่ใช้ในการรังวัดอาซิมุท ในเมื่อข้าพเจ้าสามารถวางระยะห่างสูงสุดได้เพียง ๓๐๐ หลาเท่านั้น  มีเสือตัวหนึ่งเที่ยวมาวนเวียนอยู่พลางก็คำรามทำให้คนถือตะเกียงหวาดหวั่น  และข้าพเจ้าต้องทำการรังวัดอย่างรีบร้อน
    ต่อจากนั้น เราต้องเดินทางไปยังภูเขาชื่อ บ้านแสนป้อม ( Ban Sen Pom ) ซึ่งมีหมู่บ้านมูเซออยู่บนยอด  คราวนี้คนครัวชาวจีนของข้าพเจ้าเป็นคนก่อเรื่อง  เขาบอกว่าตัวเองถูกผีสิง  แล้วก็หลงป่าไปเที่ยวละนานๆ  ครั้งหนึ่งหายไปตลอดคืน  ข้าพเจ้าจึงหาทางส่งเขากลับไปเชียงราย
    ระยะนี้  ข้าพเจ้าเองเกิดมีอาการที่น่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง  คือทั้งอาเจียนและปวดร้าวจนต้องลงนอนพักข้างทางเป็นระยะๆ  ทำให้การเดินทางยิ่งลำบากมากขึ้น
    บนเนินเขามีต้นไม้ตระกูลปาล์มอยู่มาก  ดูเหมือนจะเป็นชนิดที่ฮัมโบลท์ ( Hum-boldt ) เคยพรรณนาไว้  มันออกผลเป็นช่อ  ช่อหนึ่งหลายร้อยผล  ชาวบ้านใช้เป็นอาหาร  โดยไม่เคยรู้ว่ามันมีน้ำคั้นรสอร่อยดังที่ฮัมโบลท์  ได้เคยยกย่องไว้
    ชาวบ้านถือโชคลางห้ามเราห้ามไม่ให้ขึ้นไปถึงยอดเขาซึ่งถือว่ามีผีสิง และทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีแอ่งลึก ๑๒ ฟุต วัดรอบได้ ๔๐ ฟุต กล่าวกันว่าเป็นเหมืองเงินที่เลิกใช้แล้วต้นไม้ที่งอกคลุมอยู่อายุไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี
    ที่นี่ก็เช่นเดียวกับหมู่บ้านมูเซอแห่งอื่นๆ ที่มีเด็กมากมายเหลือนับ เปลือยกายวิ่งเล่นอยู่ทั่วไปจนตัวมอมเพราะผงถ่านไม้ที่ถูกเผา ข้าพเจ้าแลเห็นชายคนหนึ่งกำลังส่องดูเงาของตัวเองด้วยกระจกเงาที่ติดฝากล่องยาสูบ จึงขอยืมกระจกนั้นมาให้เด็กคนหนึ่งส่องดูบ้าง เจ้าหนูนั้นเห็นหน้าตัวเองเข้าก็วิ่งอ้าวราวกับกระต่ายป่า ไปล้างหน้าที่พุน้ำประจำหมู่บ้าน พวกเด้กๆ เหล่านี้เป็นนักสะสมแมลงเต่าทองชั้นหนึ่งที่เดียว วิธีจะซื้อของที่พวกเขาเอามาอวดก็คือแลกด้วยเหรียญโคโลนีฝรั่งเศสที่ข้าพเจ้าติดกระเป๋าอยู่นั่นเอง หมู่บ้านนั้นแสนที่จะรกรุงรังดีแต่ว่าตั้งอยู่บนยอดเขาและมีลมพัดแรงตลอดเขตทุ่งราบเตริง(Tering)พะเยา (Pao Yao) และเชียงราย จึงทำให้พิษต่ออนามัยน้อยกว่าที่น่าจะเป็น
    พวกมูเซอปลูกฝ้าย ข้าวโพด ปอ และข้าวพันธ์ที่เรียกว่า "ข้าวเจ้า" แตกต่างหากจากข้าวเหนียว ซึ่งอันที่จริงก็เป็นอาหารของทั้งเจ้าและไพร่ ชื่อของข้าพเจ้าทำให้คนของเรางงงวยพอดู โดยเฉพาะพวกที่มาจากเชียงแสนยิ่งรู้สึกน้อยใจว่าตนเป็นชาวลาว ได้กินข้าวเจ้าแต่อย่างที่ไม่ดี ในป่ามีมะม่วงป่าอยู่มาก ทั้งผลไม้อื่นๆอีกด้วย เป็นประโยชน์แก่เรามากในระหว่างเดินทางไปนางแล (Nangle) เพราะตอนนั้นเสบียงชักจะขาดแคลนเข้าแล้ว
    นอกจากนางแลจะแลเห็นภูมิประเทศโดยรอบได้อย่างดี แต่ยอดเขานั้นเป็นที่ราบกว้างการตัดต้นไม้ใหญ่ให้หมดนั้นเป็นงานหนัก ข้าพเจ้าเหลือไว้สัญญาณ ๒ ต้น แล้วจึงลงทางเชียงรายเชื่อมกับดอยธาตุทอง (Doi That Thong)
    เชียงรายเป็นเมืองมีกำแพงอ้อม และเล่ากันมาว่าเก่าแก่มาก เจ้าเมืองผู้ชราป่วยอยู่ สภาพเมืองจึงดูแทบจะร้าง ต้นไม้ขึ้นแน่นเป็นป่า เราประสบอุปสรรคอย่างมาก เนื่องจากข้าราชการไม่ยอมให้คนมาช่วยงาน และไม่ขายข้าวให้เรา ทั้งยืนยันว่าไม่ยอมให้ตัดต้นไม้บนยอดเขา
     ยังมียอดเขาสูงอีกยอดหนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องขึ้นไปก่อนจะหยุดในฤดูนั้น รุ่งขึ้นข้าพเจ้าจึงออกจากเชียงรายข้ามช่องเขาซึ่งอยู่ต่ำจนแทบมองไม่เห็นไปตั้งค่ายแรมคืนที่บ้านแม่จัน ซึ่งสามารถมองเห็นดอยต่างๆ ได้ชัดเจน ดอยตุงเป็นภูเขาสูงซึ่งบนยอดมีพระเจดีย์ในสมัยก่อน ยอดสูงสุดของเทือกเขาที่เรากำลังจะขึ้นไปนั้นชื่อช้างหมอบ (Chang Mup) เราบุกปั่นผ่านหมู่บ้านหัวไล (Hue lai) ไปพักแรมที่เชิงเขา ได้พบคนจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นหญิงกำลังล้างทองอยู่ภูเขานี้สูงกว่า ๔,๐๐๐ ฟุต นับว่าเกินเขตมาเลเรีย มีต้นโอ๊กมากและมองลงมาเห็นภูมิแประเทศตลอดจนทุ่งราบเชียงแสน และเทือกเขาที่อยู่ถัดไป
    ข้าพเจ้ากลับมาถึงเชียงแสนในวันที่ ๗ มิถุนายน และรู้สึกโล่งอกที่ได้เข้าพักในบ้านที่น่าสบายหลังหนึ่ง ความยากลำบากที่ผ่านมานับว่าไม่น้อยนัก และถ้าขาดความช่วยเหลือจากพระสฤษดิ์ก็อาจจะยิ่งร้ายมากกว่านี้
    แม้จะยากลำบากเพียงใด การสามเหลี่ยมรอบดินแดนสยามก็ชื่อว่าได้เริ่มขึ้นแล้ว เพื่อมิให้การเริ่มงานสนามล่าช้า ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจว่าจะคงอยู่ ณ. เชียงแสนตลอดฤดูฝน
IP : บันทึกการเข้า
T Nakamura
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 347



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 14:57:28 »

สรียินดีจ้าดนักตี้เอามาปั๋นกั๋นครับ
ถ้าบอกตี้มา/ข้อมูลอ้างอิง จะดีแหมจ้าดนักเลยครับ
IP : บันทึกการเข้า
nip42
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 741



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 15:53:14 »

ฉบับเต็มครับ
Surveying and exploring in siam

http://resgat.net/explorings.html


* 535861_452207304789981_1987018613_n.jpg (7.26 KB, 218x320 - ดู 200 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!