เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 21:21:07
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง
| | |-+  อยากรู้เรื่องตำนานกาแล เนื่องจากได้ยินมาว่าเป็นสิ่งที่พม่าตัดไม้ข่มนาม คนล้านนาไว้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน อยากรู้เรื่องตำนานกาแล เนื่องจากได้ยินมาว่าเป็นสิ่งที่พม่าตัดไม้ข่มนาม คนล้านนาไว้  (อ่าน 11247 ครั้ง)
GaZiips
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 16



« เมื่อ: วันที่ 16 มกราคม 2012, 23:57:24 »

เคยได้อ่านหนังสือแจกฟรี ที่วัดๆ หนึ่งชื่อตำนานกาแล เป็นเครื่องหมายที่ใช้ข่ม ไม่ให้คนมีบุญมาเกิดในเมืองเชียงใหม่ มีอยู่ยุคหนึ่งที่พม่ายึดเมืองเชียงใหม่ได้กลัวคนเชียงใหม่มาตีคืนจึงได้ทำให้เชียงใหม่ตกขึด(อาถรรพ์ 7 อย่าง)ในที่นี้จะเล่าแค่สามอย่างเท่านั่น คือ พม่าหลอกให้คนล้านนาเอาศพหรือผีออกประตูเชียงใหม่ ปกติจะออกที่ประตูหายา อันที่สองคนล้านนาที่เกิดลูกให้เอารกของเด็กไปฝังไว้ที่ใต้บันไดเพื่อข่มไม่ให้คนมีบุญมาเกิด สามให้ทำกาแลใส่ไว้หน้าบ้านทุกบ้านเพื่อข่มไม่ให้คนมีบุญมาเกิดกลัวจะกู้เมืองเชียงใหม่และเมืองล้านนาอีกหลายเมืองคืน
และก็ เรื่องหลอกหรือข่มให้สร้างหงส์บนหลังคาวัด เพื่อประกาศว่าเมืองนี้เป็นเมืองขึ้นของพระพม่า เนื่องจาก สัญลักษณ์ หงส์ เป็นพม่านั่นเอง
 ++จริงเท็จเพียงใด รบกวนผู้รู้ช่วยบอกช่วยกล่าว คนเหนือตวยกั๋น ตวยเน้ออ++
IP : บันทึกการเข้า
GaZiips
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 16



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 17 มกราคม 2012, 14:39:11 »

เพิ่ม Web ข้อมูลของกาแล
 "กาแล" สวยงาม สิริมงคล หรือ อัปมงคล
เข้าไปอ่านกันได้ที่  http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=noonrinz&date=04-06-2010&group=2&gblog=27

IP : บันทึกการเข้า
GaZiips
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 16



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 17 มกราคม 2012, 14:42:27 »

**หำยนต์กับกาแล ไม่ใช่ของล้านนา ***


บางที่สิ่งที่เราภูมิใจว่าเป็นของเรา มันอาจไม่ใช่ของเราก็ได้

รอยเท้าบนรอยทาง : หำยนต์กับกาแล

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริงที่น้อยคนนักจะรู้ หากว่าวันก่อนไม่มีโอกาสได้แวะไปเที่ยว ชมหอวัฒนธรรมนิทัศน์ วัดศรีโคมคำ จ.พะเยา

เพราะที่นี่ไม่เพียงแต่จะมีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่มีการขุดค้นพบและได้รับการบริจาคมาจากภายในจังหวัด โดยจัดเรียงไว้ตามลำดับการเกิดของยุคสมัยได้อย่างน่าชื่นชมเท่านั้น

แต่ที่หอวัฒนธรรมนิทัศน์แห่งนี้ยังมีคำอธิบายโบราณวัตถุบางชิ้นที่อ่านจบแล้วถึงกับอึ้งไปกับที่มาที่ไป

หนึ่งในนั้นคือ "หำยนต์" หรือ "หำโยน" หนึ่งในสัญลักษณ์การเป็นเมืองขึ้นของพม่า ที่ถูกนำมาใช้เพื่อข่มชาวเชียงใหม่ไม่ให้มีโอกาสได้ดิ้นรนต่อสู้กับพวกพม่าต่อไป

ไม่น่าเชื่อว่าไม้กระดานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ด้านหนึ่งเรียบ ขณะที่อีกด้านหนึ่งฉลุเป็นรูปเสี้ยววงกลมสองรูปมาชนกัน ตรงกลางทำเป็นส่วนย้อยแหลมออกมาทางช่องประตู จะกลายเป็นเครื่องมือทางไสยศาสตร์ไปได้

เนื่องเพราะคำว่า "หำ" แปลว่าอัณฑะ ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งของสัตว์หรือคนเพศผู้ ส่วนคำว่า "ยนต์" น่าจะมีความหมายถึงศาสตร์อันลี้ลับแขนงหนึ่ง เพราะคนโบราณมักจะมีคำคำนี้ปะปนอยู่ในเครื่องมือที่ทำไว้ในสถานที่ต้องห้ามอย่างในอุโมงค์เก็บสมบัติ เมื่อมีผู้บุกรุกยนต์ต่าง ๆ ก็จะทำหน้าที่ทันที

หำยนต์ที่ว่าถูกนำมาใช้เมื่อคราวที่นครเชียงใหม่เสียเอกราชให้กับพม่า เนื่องจากพม่ามีความเกรงกลัวว่าต่อไปจะมีผู้มีบุญญาธิการมาจุติเพื่อกอบกู้เอกราช การที่เอาของต่ำไปไว้ในที่สูงให้ผู้คนชาวเชียงใหม่ลอดผ่านไปนั้นก็เท่ากับเป็นการสะกดให้อยู่เป็นเบี้ยล่างตลอดไป

เช่นเดียวกับการที่บังคับให้ทุกบ้านมีการสร้าง "กาแล" ไม้รูร่างคล้ายกับตัววี (V) ยื่นออกมาจากจั่วของหลังคาบ้าน

ความหมายของกาแลก็คืออีกาชำเลือง ซึ่งบางแห่งอาจเรียกว่าก๋าแลซึ่งหมายถึงนกพิราบชำเลือง ซึ่งตามปกติการทำไม้ไขว้กันในลักษณะนี้จะพบ เห็นในการปักไขว้กันบนหลุมฝังศพเด็กที่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามขวบ โดยการกระทำเช่นนี้เป็นการสะกดวิญญาณเอาไว้

นอกจากกาแลและหำยนต์แล้วพม่ายังบังคับด้วยว่าหากมีทารกคนใดเกิดในนครเชียงใหม่ ให้นำรกไปฝังไว้ใต้บันไดทางขึ้นบ้าน ซึ่งมีผู้คนทั้งหญิงและชายเดินเหยียบย่ำผ่านไปผ่านมา เพื่อข่มบุญบารมีให้หมดสิ้นไป

คำอธิบายพิมพ์แบบง่าย ๆ ที่ติดไว้ที่หำยนต์ยังบอกด้วยว่า "คนรุ่นต่อ ๆ มาของเชียงใหม่ไม่รู้คิดว่านี่เป็นของดี เป็นเอกลักษณ์ของเชียงใหม่ ต่างหามาประดับบ้าน โดยหารู้ไม่ว่านี่คือ เครื่องหมายของความเป็นทาสของชนชาติต่างเผ่าพันธุ์ที่เข้ามากดขี่ข่มเหงมาก่อนนั่นเอง"

คนเชียงใหม่ที่ไปด้วยอ่านแล้วถึงกับอึ้งกับความจริงที่ได้รับรู้

นี่เป็นความลุ่มลึกของประเทศที่เคยมีอิทธิพลเหนือเชียงใหม่อย่างพม่า ซึ่งไม่ใช่ว่าจะมีเพียง 2 สิ่งนี้เท่านั้น เพราะหงส์ที่เห็นอยู่ตามวัดที่มีศิลปะแบบพม่าผสมผสานอยู่นั้น ก็เป็นความแยบยลของพม่าอีกอย่าง

เมื่อพระเจ้าหงสาวดีต้องการให้ไทยซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นในสมัยนั้นให้ความเคารพยำเกรง จึงสั่งให้คนในบัญชาไปคิดหากลวิธีมา ซึ่งในที่สุดพม่าซึ่งรู้ว่าเมืองพุทธอย่างไทยนั้น นิยมสร้างวัดไว้ตามทางสามแพร่ง จึงมีคำสั่งให้สร้างวัดโดยให้มีหงส์ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญรวมอยู่ด้วย

เวลาที่คนไทยไปวัดแล้วยกมือไหว้จึงเสมือนกับเป็นการกราบไหว้พระเจ้าหงสาวดีไปในตัวด้วยนั่นเอง

หอวัฒนธรรมนิทัศน์ วัดศรีโคมคำแห่งนี้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. นับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดำเนินการโดยท้องถิ่นขนาดย่อม ที่มีการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับ จ.พะเยา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจแห่งหนึ่งทีเดียว.


อธิชา ชื่นใจ
จาก http://www.dailynews.co.th/each.asp?newsid=30271
ที่มา : http://www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=6540
IP : บันทึกการเข้า
จงเชื่อมั่นในตัวเราเอง
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 706



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 18 มกราคม 2012, 11:16:29 »

ติดตามต่อค่ะ
IP : บันทึกการเข้า

คนเจริญชอบที่จะปีนขึ้นไปหาสิ่งที่อยู่สูงกว่าเพื่อเทียบเท่า
ไม่ใช่ดึงสิ่งที่สูงกว่าลงมาเพื่อให้เท่ากับ "ตัวเอง"
ตึงว่าแล้วว
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 112


คนเราเลือกเกิดไม่ได้..แต่เลือกที่จะเป็นได้


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 18 มกราคม 2012, 13:05:13 »

อาถรรพ์ อีก 4 อย่าง มีอะไรบ้าง ช่วยบอกให้ครบหน่อยครับ
IP : บันทึกการเข้า

>>ทำแล้วเสียใจ .. ยังดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ<<
chate
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,023


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 18 มกราคม 2012, 18:27:36 »

หาความหู้  +1  คับ
IP : บันทึกการเข้า
GaZiips
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 16



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 18 มกราคม 2012, 20:52:32 »

เรื่องนี้ควรใช้วิจารณาญาณมากๆเลยค่ะ เพราะอยู่คู่กับสังคมล้านนามานาน ขึ้นชื่อว่าเป็นตำนาน เราก็ไม่รู้ข้อมูลที่แน่ชัด และเราอย่าเพิ่งด่วนสรุปค่ะ ทั้งนี้ มีข้อมูลอีกในแง่ทางหนึ่งค่ะ

**กาแล-สรไน เล่าเรื่องเรือนล้านนา**
"กาแลเชียงใหม่ สรไนลำพูน" สถาปัตยกรรมบ้านเรือนเก่าแก่ของภาคเหนือ ที่ซุกซ่อนประวัติศาสตร์ การเมือง วิถีล้านนาไว้ในทุกๆชิ้นส่วนของเรือนคู่นี้
  หากความเชื่อที่คลาดเคลื่อนบางอย่างทำให้ความนิยมในการ "เรือนกาแล" ค่อยๆ เสื่อมลงไป เท่าๆ กับที่ "เรือนสรไน" ถูกท้าทายด้วยความนิยมรูปแบบบ้านเรือนสมัยใหม่ จนกระทั่งภาพของเรือนกาแล และเรือนสรไน ค่อยๆ เลือนหาย
แต่ก็ยังมีความพยายามจากคนบางกลุ่ม ที่หวังจะฟื้นชีวิตเรือนกาแล และเรือนสรไน ให้กลับมามีชีวาอยู่ในวิถีของคนล้านนาอีกครั้ง


"กาแล" ไม่ใช่ "กาลี"

 ภาพคุ้นตาของโครงไม้ขัดรูปกากบาทที่ติดเหนือหน้าจั่ว กลายเป็นภาพของ “เรือนล้านนา” ในมโนคติของหลายคน เป็นภาพที่มาพร้อมคำอธิบายที่ว่า “กาแล” เป็นสัญลักษณ์แห่งการตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า เลยไปถึงความเชื่อที่ว่า “กาแล”คือสื่อพลังเหนือธรรมชาติด้านลบที่มีจุดประสงค์เพื่อกดงำผู้ที่พำนักอาศัยด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์

 ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ อดีตหัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย จังหวัดลำพูน แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเชื่อมโยง “กาแล” เข้ากับความเชื่อทางไสยศาสตร์พม่าว่า  มีช่วงหนึ่งที่เทศบาลนครเชียงใหม่มีนโยบายการปรับปรุงภูมิทัศน์เมือง โดยมุ่งเน้นไปยังการให้รางวัลแก่อาคารบ้านเรือนที่ติดสัญลักษณ์รูป "กาแล" ตรงหน้าจั่วแต่แล้วกลับมีเสียงคัดค้านจากชาวล้านนาจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่า กาแลคือเครื่องหมาย "กากบาท" ที่ชาวพม่าจงใจประทับไว้ให้กับบ้านชาวไทโยน ในช่วงที่ล้านนาประเทศตกเป็นเมืองขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2101 ถึง 2317
 
และยังมีความเชื่อต่อไปว่าโครงไม้ไขว้รูปกากบาทของกาแลนั้น เป็นตัวแทน "หว่างขา” ของชาวพม่าที่มาพร้อมอำนาจคุณไสยสำหรับครอบงำชีวิตชาวล้านนา การมีกาแลติดอยู่บนจุดเหนือสุดของบ้านและต้องลอดเข้าออกอยู่ทุกวัน จึงเป็นการ “สะกด” ให้ยอมจำนน จนต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานกว่าสองศตวรรษ

 ผู้ที่เชื่อแนวคิดนี้ยังมองว่า รูปทรงบ้านที่มีไม้กาแลส่วนผนังจะไม่ได้ตั้งฉาก แต่มีลักษณะตอนล่างแคบ ตอนบนผายออกกว้างคล้ายกับรูปทรงของโลงศพในพม่าทำให้เกิดการเสริมความเชื่อต่อไปอีกว่าชาวล้านนาถูกพม่าบังคับให้อาศัยอยู่ในบ้านทรงหีบศพแล้วครอบซ้ำด้วยสัญลักษณ์กากบาทหรือหว่างขาสำทับเข้าไปอีก

 เมื่อความเชื่อนี้แพร่ออกไป ทำให้เจ้าของเรือนกาแลเกิดความไม่สบายใจจนต้องทำพิธีล้างอาถรรพณ์ บ้างก็แก้เคล็ดด้วยการถอดไม้กาแลออกมาลอดใต้หว่างขาแล้วฝังลงดินในป่าช้า หรือแม้แต่ถอดขายพ่อค้าของเก่าไป จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่กาแลขนานแท้และดั้งเดิมเหลืออยู่เพียงไม่กี่ชิ้น เท่าที่มีให้เห็นบ้างก็เป็นของทำขึ้นใหม่เป็นส่วนใหญ่
 
ขณะที่ปราชญ์ล้านนาหลายท่าน รวมทั้ง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.มณี พยอมยงค์ หรือ ศาสตราจารย์ไกรศรี นิมมานเหมินท์ ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า แนวคิดเรื่องไสยศาสตร์ดังกล่าวไม่มีข้อพิสูจน์ และน่าจะเป็นความหวาดกลัวไปเองของคนเหนือยุคหลังฟื้นฟูเมืองจากพม่า

“สรไน” วัฒนธรรมข้ามโลก

 “สรไน” (อ่านว่า สะ-ระ-ไน) หมายถึงแท่งเสากลึงที่ติดตรงปั้นลม หรือกึ่งกลางหน้าจั่วของบ้าน

 สรไน คำนี้ ชาวล้านนาโดยเฉพาะชาวยองในลำพูนได้นำมาใช้เป็นชื่อเฉพาะ เรียกบ้านเรือนที่มีการประดับบริเวณยอดแหลมที่ปลายหน้าจั่วหลังคาที่แพร่หลายในยุคมณฑลเทศาภิบาล ว่า “เรือนสรไน”

 ดร.เพ็ญสุภา เสนอว่า ที่มาของคำว่า “สรไน” นั้นมีการสันนิษฐานความเห็นไว้สองแนวทาง นัยแรก สถาปนิกล้านนาบางท่านเห็นว่าน่าจะมาจากคำว่า “เจียระไน” หมายถึงการเจียรเพชรพลอยให้เกิดมุมเหลี่ยมตามต้องการ ด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก รูปทรงของเสาสรไนนั้นมีการเจียรไม้เหลี่ยมมุมคล้ายการเจียระไนอัญมณี ประการที่สอง พบว่าคนเฒ่าคนแก่หลายท่านในลำพูนยังคงเรียกขานเรือนสรไนนี้ว่า “เฮือนจะละไน” อยู่ ซึ่งอาจเชื่อมโยงมาจากคำว่า “เจียระไน”

 ในขณะเดียวกัน ยังมีความเห็นอีกนัยหนึ่งจากปราชญ์ล้านนาจำนวนมาก ที่เชื่อว่า “สรไน” มาจากคำว่า “สุระหนี่” ในภาษาชวา หมายถึงเครื่องดนตรีประเภท "ปี่สรไน" หรือ "ปี่ไฉน" ศิลาจารึกวัดพระยืน ลำพูน เมื่อปีพ.ศ.1913 มีการกล่าวถึงเครื่องดนตรีชนิดนี้อยู่ในตอนที่พระญากือนาได้เตรียมการสมโภชต้อนรับการเดินทางมาของพระมหาสุมนเถระจากสุโขทัยสู่เมืองลำพูน สะท้อนว่า ชาวลำพูนรู้จักกับคำว่า “สรไน” แล้วอย่างน้อยก็ตั้งแต่ 650 ปีก่อน

 และเป็นไปได้ว่าช่างพื้นบ้านชาวล้านนาได้นำคำว่าปี่ “สรไน”  ไปใช้เรียกองค์ประกอบสถาปัตยกรรมในส่วนของ “ปั้นลม” (ป้านลม) หรือ “ช่อฟ้า” ที่มีรูปทรงเป็นแท่งไม้กลมกลึงเสาสูงแถมส่วนปลายยอดยังจำหลักเป็นเม็ดน้ำค้างคล้ายปากปี่

 อย่างไรก็ตาม แท่งจั่ว "สรไน" มิได้คิดค้นโดยชาวยองลำพูนตามความเข้าใจเดิมๆ หากแต่มีความเป็นสากลเหมือนกับตัวกาแลที่พบการใช้ในหลายประเทศ ชาวตะวันตกรู้จักการใช้ปั้นลมแท่งเสาสูงปลายแหลมมาประดับหน้าจั่วมาก่อนแล้วหลายศตวรรษ ชาวอังกฤษเรียกบ้านไม้ประดับหน้าจั่วว่า “กระท่อมไม้ซุง” หรือ "English Cottage" ส่วนวัฒนธรรมของประเทศแถบเทือกเขาแอลป์รวมทั้งฝรั่งเศสเรียกบ้านที่ติดจั่วสรไนว่า "Chalet Suisse" (ชาเล่ต์สวิส) เนื่องจากมีต้นกำเนิดมาจากหุบเขาสูงในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

 เมื่อชาวตะวันตกได้พม่า ลาว จีนตอนใต้ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย มาไว้ในครอบครองแล้ว ก็วางรากฐานการนำองค์ประกอบสถาปัตยกรรมแบบ  "จั่วสรไน" (หรือสุดแท้แต่ละวัฒนธรรมจะเรียกชื่อนี้ว่าอะไร อาทิ ชาวมลายูเรียก "บลานอ") มาสถาปนาในดินแดนอุษาคเนย์ทั้งหมด แทนที่วัฒนธรรมดั้งเดิมที่เคยตกแต่งด้วย “กาแล” ของหลายๆ ประเทศ

การเมืองเรื่องสถาปัตยกรรม

 การเปลี่ยนแปลงความนิยมจากเรือนกาแล ไปสู่การสร้างเรือนสรไน ในดินแดนล้านนา อาจมองได้ว่าเป็นการเมืองเรื่องสถาปัตยกรรม ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเข้ามาของระบบมณฑลเทศาภิบาล

 เรือน “สรไน” ได้รับความนิยมขึ้นแทนที่ “เรือนกาแล” ในยุคที่มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินตั้งแต่ปี พ.ศ. 2427 เป็นต้นมา ตรงกับสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างช่วงที่ล้านนาเปลี่ยนสถานะจากประเทศราชของสยาม มาเป็นการปกครองในลักษณะมณฑลเทศาภิบาล ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอนเป็นส่วนหนึ่งของเชียงใหม่ ถูกเรียกโดยรวมว่า “มณฑลลาวเฉียง” และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “มณฑลพายัพ”

 ช่วงนี้สยามหรือรัฐบาลกลางได้ส่งข้าหลวงใหญ่มาประจำที่มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพเป็นจำนวนมาก รสนิยมในการติดจั่ว "สรไน" แบบตะวันตกที่กำลังระบาดอย่างแรงในบ้านคหบดีกรุงเทพและทั่วสยาม อินโดจีน ได้หลั่งไหลมาพร้อมกับกระแสการประโคมข่าวว่า "กาแล" เป็นเรื่องของการเล่นไสยศาสตร์ จนกระทั่งเรือนสรไนสามารถเบียดแซงแย่งชิงพื้นที่ความนิยมจากเรือนกาแล (หรือ "เฮือนก๋าแล" ตามสำเนียงแบบ "กำเมือง")

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกจากเรือนกาแลสู่เรือนสรไน ทว่าการแบ่งพื้นที่ใช้สอยสำหรับวิถีชีวิตภายในเรือนสรไนไม่แตกต่างจากเรือนกาแลพื้นถิ่นดั้งเดิม บ้านแบบสรไนยังคงมี "ฮ้านน้ำ" (ที่วางหม้อน้ำดื่มหน้าบ้าน) "ต๊อมน้ำ" (ห้องน้ำ) "หลองเข้า" (ยุ้งข้าว) "เสาแหล่งหมา" (เสาผูกสุนัข) บนเรือนยังคงมี "เติ๋น" (ส่วนรับแขกที่ยกพื้นเล็กน้อย) "ฮางริน" (รางน้ำระหว่างชายหลังคา) การต่อเติมเรือนแฝด หรือ "ครัวไฟ" (ห้องครัว) เป็นต้น

 "การถอดหัวโขนจากกาแลเป็นสรไน ทำได้แค่เพียงเปลือกนอก ส่วนการดำรงชีพของคนเหนือยังคงพอใจใน function บ้านแบบเดิมๆ มิอาจเอาบ้านแบบภาคกลางหรือตะวันตกมาครอบงำ พื้นที่ภายในได้" ดร.เพ็ญสุภา สรุป


 แต่แล้วในที่สุด ความนิยมรูปแบบการสร้างบ้านเรือนสมัยใหม่ หรือแม้แต่ที่อยู่อาศัยในรูปแบบรังนกในตึกสูงก็เข้ามามีบทบาท จนทั้งเรือนกาแลและเรือนสรไนต่างก็ถูกเบียดหายไปจากวิถีชีวิตคนเมืองยุคนี้


ฟื้นชีวิตเรือนสรไนที่เวียงยอง

ไม่เพียงความพยายามของเทศบาลเมืองเชียงใหม่ที่จะรื้อฟื้น “เรือนกาแล” ที่ตำบลเวียงยอง จังหวัดลำพูน ก็มีความพยายามที่จะรื้อฟื้น “เรือนสรไน” เช่นกัน


รักษ์เกียรติ ศิริจันทรานนท์ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงยองเป็นคน “ยอง” ลำพูน โดยกำเนิดเขามองเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของลำพูน

 “อย่างกาแลบางคนก็บอกว่าพม่าเอากากบาทมาติดไว้เพื่อเป็นการข่ม หรือเป็นสัญลักษณ์ของการถ่างขาครอบไว้ ตอนหลังคนล้านนาเรามาคุยกันว่าน่าจะสลัดความคิดแบบนั้นออกไป น่าจะคิดใหม่ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการปลดแอกจากพม่า โดยเฉพาะอย่างเรือนสรไนก็เป็นเอกลักษณ์ของลำพูนเราอยู่แล้ว อย่างที่มีคำพูดว่า “กาแลเชียงใหม่-สรไนลำพูน” ก็ควรจะต้องรักษาตรงนี้ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดู“


นายกเทศมนตรีตำบลเวียงยอง จึงมีแนวคิดในการอนุรักษ์และรื้อฟื้นการสร้างบ้านโบราณล้านนานทั้งเรือนกาแลและเรือนสรไน โดยจัดกิจกรรมเพื่อให้คนในชุมชนหันมาสนใจเรื่องเรือนล้านนา โดยเฉพาะเรือนสรไน

“ถ้าเราไปสิบสองปันนาจะเห็นว่าทุกบ้านต้องมีรูปนกยูงอยู่เหนือสุด เป็นเอกลักษณ์ของคนที่นั่น เราก็จะเอาเรือนสรไนเป็นเอกลักษณ์ของเราเหมือนกัน ถ้าเป็นบ้านเก่าสมัยเมื่อ 70 ปีขึ้นไปจะเป็นเรือนสรไน แต่ตอนนี้ในตำบลเวียงยอง แทบจะไม่เห็นบ้านแบบเก่าเหลืออยู่เลยเพราะสร้างบ้านแบบสมัยใหม่กันหมด" นายกเทศมนตรีตำบลเวียงยอง ระบุ

ความพยายามในการอนุรักษ์และส่งเสริม "เรือนสรไน" ให้กลับมาอยู่ในวิถีชีวิตคนเวียงยองอีกครั้ง เริ่มจากแนวคิดในการระดมความคิดจากนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ฯลฯ เพื่อสร้างความเข้าใจในคุณค่าและความสำคัญ จัดทำแบบแปลนเรือนสรไนเพื่อให้ผู้ที่กำลังจะสร้างบ้านใหม่ใช้เป็นทางเลือก รวมถึงผลักดันการสร้างเรือนสรไนผ่านทางการกำหนดเทศบัญญัติ

 "ต่อไปก็จะจัดให้มีการเสวนาให้นักวิชาการมาอธิบายว่าเอกลักษณ์ของเรือนกาแล เรือนสรไนเป็นอย่างไร แล้วก็จะเอาผลตรงนั้นไปออกประชาคม ทำความเข้าใจกับชาวบ้านว่าถ้าใครสร้างบ้านแบบเรือนสรไน หรือมีสรไนเป็นส่วนประกอบก็จะลดค่าธรรมเนียมการขออนุญาตก่อสร้าง ถ้าประชาคมเห็นด้วยก็จะผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นเทศบัญญัติต่อไป และจะมีการทำแบบแปลนบ้านแบบเรือนสรไนขึ้นมาเผยแพร่ ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของบ้านว่าจะสนในหรือเปล่า เราจะโน้มน้าวให้เห็นความสำคัญตรงนี้ได้แค่ไหน”


 นายกเทศมนตรีตำบลเวียงยอง ยังมองต่อไปถึงการนำรูปลักษณ์ของสรไนซึ่งเป็นองค์ประกอบของตัวอาคาร กลับมานำเสนอใหม่ในฐานะของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว ทั้งเพื่อเผยแพร่ความเข้าใจเกี่ยวกับสรไนและเรือนสรไน รวมถึงส่งเสริมอาชีพสล่า (ช่าง) แกะสลัก ซึ่งเป็นอาชีพที่กำลังจะสูญหายไปจากเวียงยอง

 “แต่ถ้าเราปล่อยให้เรื่องนี้หายไป ก็เหมือนทิ้งประวัติศาสตร์ไป ต้องพูดคุยกัน ต้องส่งเสริมการตระหนักความสำคัญของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ก่อนที่วันหนึ่งความรู้เรื่องรูปแบบเรือนล้านนาอาจจะหายไปหมด..."

 “เพราะนี่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่บอกว่าเราคือคนยองลำพูน” รักษ์เกียรติ ย้ำ


IP : บันทึกการเข้า
GaZiips
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 16



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 18 มกราคม 2012, 21:00:31 »

อาถรรพ์ อีก 4 อย่าง มีอะไรบ้าง ช่วยบอกให้ครบหน่อยครับ

ส่วนคำตอบนี้ กำลังศึกษาหาอยู่ค่ะยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด ส่วนข้อความที่ตอบกระทู้ในครั้งแรก เป็นการ Copy ข้อมูลจากคนอื่นมาอีกทีค่ะ  ณ ตอนนี้ใครพอจะมีความรู้ หรือทราบเรื่องราวในเรื่องนี้ช่วยแชร์ความรู้และข้อมูลด้วยค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
แมงคอลั่น
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,451



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 18 มกราคม 2012, 21:24:07 »

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=86144.0
 กระทู้เก่า ๆ ในเว็ปนี้
IP : บันทึกการเข้า
GaZiips
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 16



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 18 มกราคม 2012, 21:30:53 »

ขอบคุณจ๊ะสำหรับความรู้เพิ่มเติม มากยิ่งขึ้น ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
Taii Diiz
ได้ยินไหม หัวใจ ชั้น มันกำลังบอก รัก รัก เทอ อยู่ ?
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 33



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 21 มกราคม 2012, 23:40:42 »

ขอบคุนค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 22 มกราคม 2012, 16:33:43 »


  ขอบคุณความรู้ดีๆ ที่มีมาฝากครับ... ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
~pong03~
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 899



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 06:10:30 »

แต๊ๆ ประวัตินี้ แหล่งที่มา ผิดแล้วครับ
กาแล หรือ กระแลง แปลว่า ไข้วกันอยู่ ได้รับอิทธิผล มาจาก "ลัวะ"ละว้า
สร้าง ขึ้นมาเพื่อป้องกัน นกแสก หรือ ป้องกันไสยศาสตร์ คนที่จะมาตู้ (เสกหนังควายเข้าท้อง ) จะมีเฉพาะ ผู้ที่มีอันจะกินหรือ ท่าน ท้าวท่านขุน เท่านั้น เพราะจะต้องจ้าง
ช่างแกะสลัก ฝือมือชั้นสูง กาแลหรือกระแลง เป็นสิ่งที่เป็นมงคลครับ ไม่ใช่อัปมงคล
มีน้อยคนที่จะสร้างบ้านที่มีกาแลได้ เพราะราคามันแพง ผู้คนสมัยนั้น ไม่ได้ร่ำได้รวย
จึงสร้างได้แค่ บ้านมุงต๋องตึงหรือมุงหลังคา นอกจากจะสร้างเพื่อแสดงให้ถึงจุดร่ำรวยแล้วยังแสดงถึง ผู้คนที่มี ยศ บริวาน หากโจรป่า หรือ ใครที่คิด จะก่อการปล้น ก็ต้องคิดลึกๆ แล้วว่าจะไหวหรือเปล่า นอกจากจะแสดงให้เห็นทางใจแล้ว ยังป้องกัน มนต์ดำต่างๆ ในการปลุกเสกบ้านจะมีอาจารย์ ที่มีคาถาอาคม มาปลุกเสกอีกที และทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เป็นอันว่า เสร็จพิธีกรรม

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B8%AD
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 24 มกราคม 2012, 06:36:59 โดย ~pong03~ » IP : บันทึกการเข้า

Facebook -https://www.facebook.com/pin.manora
Line Pin manora
Jeekuk
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 16:58:21 »

กะแหล้ง -ไขว้
IP : บันทึกการเข้า
เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 23:16:24 »

เอาฮูปเฮือนของจาวเผ่าในรัฐซาบาห์ (บนเกาะบอร์เนียว) ประเทศมาเลเซีย มาฝากครับ
ผมว่าก๋าแลบ้านเฮางามกว่า แต่เปิ้นก็มีสไตล์ขอเปิ้นน่อ งามไปแหมอย่าง


ตี้มา
http://sabahwarriors.blogspot.com/2010/07/sabah-traditional-houses.html


* Bajau_Layang1.jpg (97.72 KB, 640x524 - ดู 1647 ครั้ง.)

* Tindal_Sinangau-sangau1.jpg (93.87 KB, 640x438 - ดู 2747 ครั้ง.)

* Iranun_Kampilan.jpg (111.56 KB, 640x474 - ดู 1579 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 23:18:46 »

อันนี้ ศาลเจ้าตี้ญี่ปุ่นครับ


* ศาลเจ้า Kasai Sumiyoshi.jpg (86.96 KB, 780x600 - ดู 1600 ครั้ง.)

* ศาลเจ้า Kamakura.jpg (100.79 KB, 800x568 - ดู 1667 ครั้ง.)

* ศาลเจ้า Ise.jpg (119.25 KB, 533x340 - ดู 1621 ครั้ง.)

* ศาลเจ้า Nishioka Hachiman.jpg (109.93 KB, 800x600 - ดู 1989 ครั้ง.)

* ศาลเจ้า Udamikumari.jpg (200.95 KB, 800x600 - ดู 1562 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 23:20:01 »

ศาลเจ้าตี้ญี่ปุ่นครับ


* ศาลเจ้า Kibitsu.jpg (88.65 KB, 800x531 - ดู 1583 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 23:20:56 »

บ้านบ่าเก่าของคนเยอรมัน แคว้นแซกโซนี ครับ
ไปตี้ป้านลมแกะเป๋นฮูปหัวม้า สัญลักษณ์ของเผ่าแซกซอนเน้อ


ตี้มา
http://en.wikipedia.org/wiki/Low_German_house


* Winsenmuseum Groode Hus.jpg (228.7 KB, 791x599 - ดู 1614 ครั้ง.)

* Walsrode Heidemuseum.jpg (204.03 KB, 638x517 - ดู 1550 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 23:22:29 »

เฮือนก๋าแลบ้านเฮา


* 001.jpg (216.93 KB, 819x618 - ดู 2458 ครั้ง.)

* 002.jpg (92.97 KB, 435x326 - ดู 2051 ครั้ง.)

* 003.jpg (68.02 KB, 486x359 - ดู 2453 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 23:33:37 »

ถ้าใจ้ตรรกะตี้ว่า ก๋าแล = คุณไสยม่าน
ประเทศอื่นๆตี้มีไม้อย่างก๋าแล สีท่าจะโดนคุณไสยไปโตยน่อ
ตองอูยิ่งใหญ่ตี๋ได้ไกล๋เถิงมาเลย์ อินโดฯ ญี่ปุ่น เยอรมัน
คนญี่ปุ่น มาเลย์ อินโดฯ เยอรมัน เลยโดนม่านใส่ตู้
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!