เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 24 เมษายน 2024, 16:58:37
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  งานบ้านงานครัว คลีนิค ถามหมอ เรื่องสุขภาพ (ผู้ดูแล: แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-., ©®*)
| | |-+  เรื่องดีๆ เกี่ยวกับ สุขภาพ update 3/11/54
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน เรื่องดีๆ เกี่ยวกับ สุขภาพ update 3/11/54  (อ่าน 3192 ครั้ง)
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2011, 13:19:37 »

 
พิชิตท้องผูกแบบบ้าน ๆ (E-Magazine)

          เรื่องท้องเรื่องไส้ใครว่าเป็นเรื่องเล็ก กินมากก็อืดท้อง กินน้อยก็โหยหิว วันดีคืนดีเกิดกินไม่ถูกหลัก สารพันปัญหายังแอบตามมาเคาะประตูถึงหน้าบ้าน โอ้ยยย...แค่คิดก็เริ่มเครียดแล้ว

 คุณคิดว่า ตัวเองกินให้ห่างโรคแล้วหรือยัง?

          "ท้องผูก" เป็นหนึ่งในอาการน่าเป็นห่วงที่มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารกากใยน้อย ซึ่งเจ้าอาการที่ว่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศโลกตะวันตก ที่ประชากรเกือบทุกคนประสบปัญหาท้องผูกอย่างถ้วนหน้า แต่ยังไม่มีใครให้ความสนใจกับอาการนี้กันอย่างจริงจัง ซึ่งหากมีอาการท้องผูกบ่อย ๆ ก็จัดได้ว่าเป็นโรคภัยชนิดหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามไป เพราะบางท่านอาจคิดว่าการขับถ่ายอุจจาระเป็นประจำไม่ใช่สิ่งจำเป็น คิดว่าการไม่ได้ถ่ายนาน ๆ 3-4 วัน ก็ไม่มีอันตรายใด ๆ แต่ความจริงแล้วการรับประทานอาหารทุกวัน ร่างกายก็จะมีการย่อยอยู่ทุกวัน ดังนั้นเราก็ควรขับถ่ายให้ได้ทุกวันด้วยเช่นกัน

 ท้องผูกเกิดจากอะไร?

อาการท้องผูกสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

           การอั้นอุจจาระเป็นประจำ ทำให้นิสัยการขับถ่ายเสียไป เพราะตามปกติเมื่อมีอุจจาระไปรอที่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายจะทำให้มีกระแสประสาทกระตุ้นเตือนให้เกิดการถ่าย แต่ถ้าอั้นไว้บ่อย ๆ ระบบนี้ก็จะเสียไป ทำให้อุจจาระสะสมในลำไส้ใหญ่นานเกินไป น้ำในอุจจาระจะถูกดูดกลับมากเกินไป ทำให้อุจจาระแห้งแข็ง

           การใช้ชีวิตแบบเฉื่อยแฉะ ขาดการออกกำลังกาย

           รับประทานน้ำน้อยเกินไปในแต่ละวัน

           ความเครียด ข้อนี้ค่อนข้างแปลก เนื่องจากในบางคนความเครียดทำให้ท้องเสียได้เช่นกัน

           รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารน้อยเกินไป

          ลำไส้ใหญ่ของเราเป็นอวัยวะส่วนที่จะเก็บอุจจาระไว้ซึ่งจะดูดซับสารเคมีหลายชนิดที่ปะปนอยู่ในอุจจาระ ซึ่งบางชนิดอาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ ยิ่งปล่อยให้อุจจาระหมักหมมในลำไส้ใหญ่นานเท่าใด โอกาสที่จะเกิดเป็นอันตรายก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

          อีกทั้งอุจจาระของเสียเหล่านี้ยังเป็นอาหารชั้นดีของเชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่อาศัยอยู่ในลำไส้ทำให้มีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นหมายถึงการเพิ่มปริมาณของสารพิษ ของเสีย รวมทั้งแก๊สกลิ่นเหม็น อันจะทำให้เกิดอาการอึดอัด แน่นท้อง อ่อนแอ เจ็บป่วย หรือเกิดโรคริดสีดวงทวาร และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

 รักษาอย่างไรดี

          การรักษาโรคท้องผูกส่วนใหญ่แล้วคนที่มีปัญหาก็มักจะรักษาอาการด้วยตัวเองเป็นหลัก โดยเริ่มจากการใช้ยาระบาย หรือยาถ่ายในรูปต่าง ๆ ซึ่งยาพวกนี้มีตั้งแต่ที่ไม่เป็นอันตรายอะไรไปจนถึงอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย หากใช้เป็นประจำ และเป็นระยะเวลานานก็อาจมีการเพิ่มปริมาณมากขึ้น จนตัวยาเข้าไปทำลายระบบประสาทที่อยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้การบีบตัวของลำไส้ใหญ่เสียไปต้องพึ่งการใช้ยาตลอดชีวิต

          นอกจากการใช้ยาแล้วบางคนก็จะใช้กลุ่มของไฟเบอร์ชนิดเม็ด แคปซูล หรือผง เช่น เมล็ดแมงลัก ใยอาหารจากหัวบุกซึ่งเป็น ใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ เพื่อเพิ่มปริมาณกากอาหารที่เป็นอุจจาระให้มีปริมาณมากขึ้น โดยวิธีนี้จะเป็นการกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อของลำไส้ใหญ่เร่งการขับถ่ายให้เร็วขึ้น

          สำหรับยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก วิทยาการใหม่ ๆ ได้มีการพัฒนาเส้นใยอาหารบริสุทธิ์ "อินนูลิน" ซึ่งเป็นใยอาหารที่ละลายน้ำ นอกจากจะช่วยรักษาอาการท้องผูก และยังทำให้อุจจาระนุ่มขึ้นสามารถขับถ่ายได้ง่าย ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพลำไส้ และช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ โดยใยอาหารอินนูลินถือเป็นพรีไบโอติกที่มีคุณสมบัติละลายในน้ำไม่ถูกย่อยและดูดซึมในทางเดินอาหารของร่างกาย แต่จะถูกหมักเป็นอาหารของจุลินทรีย์สุขภาพ ซึ่งอาศัยอยู่ในลำไส้ของเรา

          โดยจุลินทรีย์สุขภาพ โดยเฉพาะชนิดปิฟิโดแบคทีเรียจะมีความสำคัญต่อเรื่องภูมิต้านทานของร่างกายช่วยส่งเสริมการสร้างวิตามินบี และการสังเคราะห์สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อตับ จึงถือว่าเป็นจุลินทรีย์ที่มีความสำคัญตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้ใหญ่ เพราะในช่วงเด็กแรกเกิด ลำไส้จะไม่มีจุลินทรีย์ชนิดนี้ จะได้รับจากน้ำนมแม่

          ส่วนผู้ใหญ่เมื่ออายุมากขึ้นปิฟิโดแบคทีเรียในร่างกายจะลดจำนวนลง ดังนั้นจึงพบว่าผู้ที่มีปัญหาท้องผูก หรือร่างกายอ่อนแอ มักพบปิฟิโดแบคทีเรียน้อยกว่าคนทั่วไปใยอาหารชนิดอินนูลินได้นำมาใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อลดอาการท้องผูก

          และจากงานวิจัยยังพบด้วยว่า อินนูลินมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ส่งเสริมให้จุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้เจริญเติบโต ป้องกันการติดเชื้อและสภาพจุลินทรีย์ในลำไส้ให้อยู่ในภาวะสมดุล เพิ่มการดูดซึมของแร่ธาตุบางชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และธาตุเหล็ก

          อย่างไรก็ตาม การทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมาก ๆ จำพวกผักผลไม้ ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาท้องผูกแล้ว ยังมีผลดีต่อการลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และช่วยควบคุมโรคเบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดสูง ซึ่งในกรณีที่ไม่สามารถทานได้ การมองหาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอย่างที่เราแนะนำในข้างต้น ออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ฝึกการถ่ายให้เป็นนิสัยก็ช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้

 นั่งดี ๆ เวลา...

          นอกจากเลือกทานให้ถูกหลักแล้ว การจัดท่านั่งเวลาข้าศึกบุกก็ควรทำให้ถูกต้อง คือ กรณีที่เป็นส้วมชักโครก ควรโค้งตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อให้มีแรงเบ่งมากขึ้น เปลี่ยนทัศนคติเรื่องการถ่ายอุจจาระทุกวัน เพราะท้องผูกขึ้นกับสภาพอุจจาระ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2011, 10:16:39 โดย K.Tanakorn » IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 09 ตุลาคม 2011, 09:28:49 »

 
โรคภูมิแพ้ กับฝุ่นที่ทำงานและห้องนอน (เดลินิวส์)
 
          โรคภูมิแพ้ เป็นโรคหนึ่งที่พบบ่อย ในที่นี้หมายถึงภูมิแพ้จากฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศเรามองไม่เห็น ทำให้เกิดอาการแพ้ คันจมูก น้ำมูกไหล เป็นไม่มากแต่เรื้อรังก่อความรำคาญให้ไม่สะดวกในการทำงาน สาเหตุป่วยเป็น โรคภูมิแพ้ ก็รู้ๆ อยู่แต่ไม่สามารถแก้ไขให้หายขาดได้ เพราะฝุ่นมีอยู่ทั่วไป ทำให้เป็นโรคเรื้อรังประจำตัวกันมาก
 
          โรคภูมิแพ้ เรื่องแพ้ฝุ่นละอองบางคนโชคดีไม่แพ้ ผู้ที่แพ้จะมีอาการมากน้อยต่างกัน ตั้งแต่คันจมูก คันตา น้ำมูกใส จามบ่อย แน่นจมูก เจ็บคอ ไปจนถึงอาการมากแน่นหอบหายใจไม่ค่อยออกแบบหอบหืด จะเห็นมาโรงพยาบาลกันบ่อยตอนเช้ามืด มาสูดดมออกซิเจน กันสักพัก พอค่อยดีขึ้นจึงค่อยกลับไป
 
          สารทำให้เป็น โรคภูมิแพ้ ที่พบบ่อยมี ฝุ่น นุ่น ละอองเกสรพืช ไรฝุ่น ขนสัตว์จากสุนัขและแมวไปจนถึงเชื้อราในอากาศ รวมทั้งอุณหภูมิของอากาศเป็นตัวช่วย บางครั้งอากาศหนาวเย็นจะมีอาการแพ้ง่ายขึ้น ภาวะมลพิษ บางคนอยู่ในบ้านหรือในตัวเมืองแพ้ พอออกไปอยู่ริมทะเลได้สัมผัสอากาศที่เย็นสบาย หรืออยู่บนที่สูงภาวะมลพิษน้อย อาการอาจทุเลาลงหรือหายไป รู้สึก สดชื่นสบายขึ้น หรือบางท่านว่าอาจเกิดจากพันธุกรรมได้ถึง 75%
 
          โรคภูมิแพ้ ระบบทางเดินหายใจได้แก่ หืด จมูกอักเสบ คาดว่ามีถึง 18 ล้านคน แพ้จากไรฝุ่นราว 30% ในฝุ่น จะมีตัวไรฝุ่นแฝงอยู่ เรามองไม่เห็น ชอบอากาศชื้น ในบ้านเรือนจะเกาะอยู่ทั่วไปและ บนโต๊ะทำงาน บนหนังสือที่วางอยู่ข้างหน้าเรา
 
          นอกจากนี้ยังอยู่ทั่วไปในบ้าน ห้องนอน ได้แก่ ที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม พรมปูพื้น ผ้าม่าน ตุ๊กตา และเครื่องเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งวัตถุสะสมต่าง ๆ ชอบอุณหภูมิราว 25 องศา ความชื้น 70-80 หน่วย ออกไข่มาก ขยายพันธุ์รวดเร็ว ทั้งตัวและมูลมีโปรตีนก่อภูมิแพ้สูง เรียงลำดับแพ้จากมากไปน้อย คือมูล ตัวแก่ ตัวอ่อน และไข่
 
          การหลีกเลี่ยงไรฝุ่น จะทำให้อาการแพ้ลดลง โดยปกติถ้ามีไรฝุ่นมากกว่า 2 ไมโครกรัมต่อฝุ่น 1 กรัม จะทำให้เกิดการแพ้ ถ้ามากถึง 10 ไมโครกรัม จะทำให้จับหอบหืดเฉียบพลันได้ การป้องกัน ทั้งๆ ที่รู้แต่การป้องกันยาก จะไปทางไหนก็มีแต่ฝุ่นทั้งนั้น ดีที่สุด ก็คือ การทำความสะอาด เอาวัตถุที่ไม่จำเป็นออกจากห้องทำงานและห้องนอนให้มากที่สุด ปัดกวาด เอาผ้าคลุมไว้ ซักผ้าคลุม ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน มุ้ง บ่อยหน่อย หรือไม่ก็เอาไปตากแดด คงพอช่วยผ่อนคลายได้
 
          นอกจากนี้ ดอกไม้ วัชพืช ล้วนมีละออง ขนของสัตว์เลี้ยง ได้แก่ สุนัข แมว ก็เช่นกัน อาจทำให้แพ้ได้
 
          โรคภูมิแพ้ เป็นเรื่องที่ต้องหาสาเหตุว่ามาจากอะไร ภูมิแพ้จากทางเดินหายใจถ้ารู้ว่ามาจากฝุ่นละออง ที่ทำงานและที่นอนเป็นที่ที่เราสัมผัสมากที่สุดในชีวิตประจำวันหากได้มีการปรับปรุงแก้ไขคงจะช่วยให้ทุเลาลงได้
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 10 ตุลาคม 2011, 10:31:24 »


รู้จักเลือก...รู้จักเลี่ยง ไม่เสี่ยงเป็น"ความดันโลหิตสูง"(เดลินิวส์)

           ชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้ ต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต สร้างความบั่นทอนร่างกายและจิตใจให้ถดถอยลง ส่งผลให้ ความดันโลหิต ในร่างกายสูงตามไปด้วย

           โรคความดันโลหิตสูง นับเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่กำลังคุกคามโลก โดยในปัจจุบันมีประชากรหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเป็น โรคความดันโลหิตสูง และมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2568 ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านคน

           สำหรับประเทศไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขคาดว่า จะมีผู้มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือเป็น โรคความดันโลหิตสูง ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่ง 70% ของคนกลุ่มนี้ไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะดังกล่าว ทำให้ไม่ได้รับการรักษาหรือการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม อันจะนำไปสู่การเกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย อาทิ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ด้วย

           นพ.ธวัชชัย ภาสุรกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวาน ไทรอยด์และต่อมไร้ท่อ ให้ความรู้ว่า ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันเลือดที่เกิดจากการ ที่หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ซึ่งหัวใจคนเราจะเต้น 60-80 ครั้ง ความดันก็จะเพิ่มขณะที่หัวใจบีบตัวและลดลงขณะที่หัวใจคลายตัว ความดันโลหิตของคนเราไม่เท่ากันตลอดเวลาขึ้นอยู่กับท่าของผู้ถูกวัดด้วย โดยท่านอนความดันโลหิตมักจะสูงกว่าท่ายืน นอกจากนั้นแล้ว ยังขึ้นกับสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น การออกกำลังกาย การทานอาหาร การนอนหลับ กิจกรรมที่ทำอยู่ รวมทั้งสภาพจิตใจด้วย

           โดยปกติคนจะมีระดับความดันโลหิต 120/80-139/89 มิลลิเมตรปรอท หากมีค่าความดันมากกว่านี้จัดว่าเป็นผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือเป็น โรคความดันโลหิตสูง ส่วนสาเหตุของ โรคความดันโลหิตสูง 90% ของผู้ที่มีภาวะดังกล่าวไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน พบมากในกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป นอกจากนั้น เกิดจากอาการป่วยบางอย่าง เช่น อาการป่วยเกี่ยวกับสมอง ต่อมหมวกไต และต่อมไร้ท่อบางประเภท

           "ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักจะไม่ปรากฏอาการใดๆ จึงไม่ได้เข้ารับการรักษาและไม่มีการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งในรายที่มีภาวะความดันโลหิตสูงมากๆ อาจนำไปสู่การเสียชีวิตแบบเฉียบพลันได้ ดังนั้นความดันโลหิตสูงจึงเปรียบเสมือนเพชฌฆาตเงียบที่คร่าชีวิตคนจำนวนมากไปแบบไม่รู้ตัว"

           โรคความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของโรคอัมพาตและยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โดยผู้ที่ไม่ได้รักษา โรคความดันโลหิตสูง จะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น 3 เท่า มีโอกาสเกิดโรคหัวใจวายเพิ่มขึ้น 6 เท่า และมีโอกาสเกิดโรคอัมพาตเพิ่มขึ้น 7 เท่า

           "ภาวะความดันโลหิตสูงจะค่อยๆ ทำให้หลอดเลือดภายในร่างกายค่อยๆ เสื่อมไป โดยเฉพาะ 3 อวัยวะสำคัญ คือ หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจ รวมทั้งไต ซึ่งเมื่อมีการตีบหรือแตกของหลอดเลือดในอวัยวะสำคัญเหล่านี้จะทำให้เสียชีวิตได้แบบเฉียบพลัน หรือทำให้เป็นอัมพาตได้ ดังนั้นแม้ในคนปกติ หรือผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจวัดความดันโลหิตสูงอยู่ อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากหากได้รับการรักษาหรือปรับการปฏิบัติตัวแต่เนิ่นๆ จะทำให้หลอดเลือดไม่ผิดปกติเร็วเกินไปนัก สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้วนั้น หากมิได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้"

           ปัจจัยเสี่ยงต่อ โรคความดันโลหิตสูง นพ.ธวัชชัย กล่าวว่า ได้แก่ กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม โดยมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ ได้ประมาณ 30- 40% รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่เคร่งเครียด รีบเร่งมีผลต่อการก่อ โรคความดันโลหิตสูง ได้เร็วขึ้น ด้าน อายุ มักพบในอายุตั้งแต่ 40-50 ปี ขึ้นไป เพศซึ่งมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวัยหมดประจำเดือน รูปร่างพบมากในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนมากกว่าคนผอม ส่วนเชื้อชาติ พบมากที่สุดในคนอเมริกันเชื้อสายคนดำแอฟริกัน รวมไปถึงผู้ที่ทานเกลือสูงหรือชอบกินเค็มมีโอกาสเกิด โรคความดันโลหิตสูง ได้

           สำหรับการรักษา โรคความดันโลหิตสูง มี 2 ทางเลือกด้วยกัน คือ การใช้ยา และไม่ใช้ยา ในผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็น แพทย์จะสามารถรักษา โรคความดันโลหิตสูง  ได้โดยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน แต่สำหรับผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนร่วมด้วย แพทย์จะต้องให้ยาและพยายามควบคุมระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ

           ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถตรวจวัดความดันโลหิตได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ได้ที่บ้าน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ทราบระดับความดันโลหิตของตนเองตลอดเวลา หากมีระดับสูงผิดปกติก็สามารถรีบไปพบแพทย์หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม อันจะนำไปสู่การควบคุมระดับความดันโลหิตที่ดีขึ้น ตลอดจนลดปัญหาจากการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ความดันโลหิตสูงเป็นเพชฌฆาตเงียบ เป็นแล้วไม่หายขาด ต้องดูแลรักษาตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นจึงคุ้มที่จะป้องกันและรักษาก่อนที่จะสายเกินแก้

           ทุกคนสามารถป้องกันการเกิดภาวะ ความดันโลหิตสูง ได้ โดยการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยง อาหารเค็มจัด เพราะเกลือทำให้ความตึงตัวของผนังหลอดโลหิตแดงเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาหารกลุ่มไขมัน ควรให้อยู่ในระดับกลางค่อนข้างต่ำ ควรหลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์และจำพวกกะทิ อีกทั้ง อาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาลขัดขาวทุกชนิด เพราะจะทำให้น้ำหนักตัวและระดับไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น

           นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยง การสูบบุหรี่ และ แอลกอฮอล์ หรือดื่มได้ในปริมาณที่พอเหมาะ (วิสกี้ 2 ออนซ์หรือ ไวน์ 8 ออนซ์) รวมทั้งพยายามควบคุมน้ำหนักตัว เพราะความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิด โรคความดันโลหิตสูง  และออกกำลังกายให้พอควรและสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และมีการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ

           "อยากให้ทุกคนตระหนักและเข้าใจถึงความสำคัญของ โรคความดันโลหิตสูง ถ้าสามารถรักษาควบคุมให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม อย่าละเลย อย่าประมาท ก็จะมีโอกาสลดการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ต่อหัวใจ สมอง และไตได้ แล้วคุณจะห่างไกลจาก โรคความดันโลหิตสูง " นพ. ธวัชชัย กล่าวทิ้งท้าย
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 12 ตุลาคม 2011, 13:10:46 »


ยาแก้ไข้หวัด (หมอชาวบ้าน)
คอลัมน์ ฉลาด...ใช้ยา โดย ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

          พอย่างเข้าฤดูฝน เมฆฝนก็คลุมท้องฟ้า ฝนฟ้าคะนอง ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ลมแรง ดังที่เรียกกันว่า ฝนตกทั่วฟ้า สำหรับชาวประชาที่อยู่ใต้ฟ้าก็คงต้องปรับตัว เตรียมรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศให้ดี

          เรื่องสุขภาพร่างกายก็ได้รับผลกระทบจากฤดูฝนเช่นกัน มีหลายโรคที่มากับฤดูฝน ที่พบบ่อยที่สุดคือ โรคไข้หวัด ที่จริงแล้วอาจพบหรือเป็นกันได้ทั้งปี แต่จะเป็นได้บ่อยหรือชุกชุมมากในช่วงที่มีฝนตก ซึ่งก็เกิดได้บ่อยในฤดูฝน จึงพบคนเป็นไข้หวัดจำนวนมาก

 ยารักษาไข้หวัด...มีอะไรบ้าง

          ไข้หวัด มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส ที่มีมากกว่า 200 ชนิด และทุกครั้งที่เราเป็นไข้หวัด เราจะติดเชื้อไวรัสครั้งละ 1 ชนิด และก็มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสชนิดนั้น ๆ เราจึงเป็นไข้หวัดได้บ่อย ๆ บางคนเป็นปีละครั้ง บางคนเป็นปีละ 2 ครั้ง แต่ในเด็กเล็กจะพบได้บ่อย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่เริ่มไปอยู่รวมกันในสถานรับเลี้ยงเด็ก ชั้นเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล หรือโรงเรียนประถม เพราะเด็กเหล่านี้เพิ่งมาจากบ้านซึ่งเคยได้รับเชื้อไวรัสหวัดเพียงไม่กี่ชนิด ต้องมาพบกับเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ ประกอบกับมีภูมิต้านทานไม่กี่ชนิด จึงเป็นไข้หวัดได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันต่อไข้หวัดมากกว่าเด็ก

          เวลาเป็นไข้หวัด มักจะมีอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ พร้อม ๆ กับมีน้ำมูกไหล จึงเรียกโรคนี้ว่า ไข้หวัด ซึ่งมาจากคำไทย 2 คำ คือ "ไข้" และ "หวัด" เพราะโรคนี้ประกอบด้วย 2 กลุ่มอาการ คือ

          "ไข้" คืออาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ในบางคนอาจมีอาการมึนหัว งง ๆ เวียนหัวร่วมด้วย

          "หวัด" ซึ่งจะมีอาการน้ำมูกไหล คัดจมูก เป็นต้น

 เป็นไข้หวัด...ใช้ยารักษาตามอาการ

          เนื่องจากโรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส และยังไม่มียาที่จะออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคไข้หวัดได้โดยตรง กรณีที่ป่วยเป็นไข้หวัด เราจึงแนะนำให้ผู้ป่วยรักษาตามอาการของแต่ละคน

          ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีอาการไข้ ตัวร้อน ปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว ก็จะแนะนำให้ใช้ยาแก้ปวดลดไข้ ซึ่งจะมีฤทธิ์ครอบคลุมอาการตัวร้อน และครั่นเนื้อครั่นตัวได้อย่างดีอีกด้วย คือ ยาพาราเซตามอล (paracetamol) หรืออะซีตามิโนเฟน (acetaminophen)





 มีไข้ ปวดหัว ตัวร้อน จากไข้หวัด ใช้ยาพาราเซตามอล

          พาราเซตามอล เป็นยาสามัญประจำบ้าน เวลาสมาชิกในครอบครัวมีอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ก็จะนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ ซึ่งโดยทั่วไปผู้ใหญ่นิยมกินครั้งละ 2 เม็ด (ขนาดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม) ทุก 4-6 ชั่วโมง เวลาที่มีอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ และเมื่อหายดีแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาอีก ใช้หยุดยาได้เลย เมื่อไหร่ที่เป็นอีก ก็หยิบใช้เป็นครั้งคราวไป

 ใช้พาราเซตามอล...อย่างฉลาด

          จากการที่เราคุ้นเคยกับยาพาราเซตามอล มีการหยิบใช้กันบ่อย ๆ ไม่ว่าจะปวดหัว ตัวร้อน ปวดประจำเดือน ปวดฟัน ปวดหลัง ปวดเอว ปวดข้อ เป็นต้น เรียกว่ารู้จัก และใช้กันอย่างแพร่หลาย จนขนานนามว่า เพื่อนที่แสนดี เพราะไม่ว่าจะปวดอะไรก็นึกถึงพาราเซตามอล ยาก็คือยา ยาไม่ใช่ขนม หรืออาหาร เวลาใช้ก็ต้องระมัดระวังใช้อย่างมีเหตุผล ใช้ยาอย่างฉลาด ไม่ใช้อย่างพร่ำเพรื่อ เพราะคงเคยได้ยินคำขวัญว่า "ยามีคุณอนันต์ มีโทษมหันต์" และขอเติมต่อท้ายอีกนิดว่า "ควรใช้อย่างฉลาด"

          ยาที่แสนดีอย่างพาราเซตามอล ก็เป็นยาที่มีคุณอนันต์ และมีโทษมหันต์เช่นกัน ในเรื่องคุณอนันต์คงได้ประจักษ์กันแล้ว เพราะมีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ

 ถ้าใช้ยาพาราเซตามอลติดต่อกันนาน...จะมีพิษต่อตับได้

          การใช้ยาพาราเซตามอลครั้งละ 2 ชนิด วันละ 3 ครั้ง ใช้ติดต่อกัน 2-3 วัน หรืออย่างมากก็ติดต่อกัน 5 วันหรือประมาณ 1 สัปดาห์ ถือว่าปลอดภัย

          ถ้ามีการใช้ยาเกิน 5-7 วัน และ/หรือใช้ติดต่อกันนานกว่านี้ ก็อาจเกิดอันตรายต่อผู้ที่ใช้ได้ โดยอันตรายที่เกิดจากการใช้ยาพาราเซตามอลติดต่อกันนาน ๆ เช่น ใช้วันละ 4 ครั้งและนานติดต่อกันเป็นเดือน ๆ ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของตับได้ จึงควรระมัดระวัง เพราะยาตัวนี้จะถูกเปลี่ยนแปลงโดยตับ เมื่อใช้ติดต่อกันนาน ๆ ก็อาจส่งผลต่อตับ ตัวเหลือง ตาเหลือง ที่เรียกกันว่า "ดีซ่าน" ได้ จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง

          โทษอีกอย่างหนึ่งที่เกิดจากการใช้ยาพาราเซตามอลก็คือ ยานี้จะมีพิษต่อไตด้วย โดยจะเกิดพิษก็ต่อเมื่อมีการใช้ยาปริมาณมาก ๆ เช่น ครั้งละ 20 เม็ด ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดพิษต่อไตได้





 มีน้ำมูกไหล คัดจมูก ใช้ยาแก้แพ้...คลอร์เฟนิรามีน

          เวลาเป็นไข้หวัดมักมีน้ำมูกไหลด้วย ยาที่ช่วยได้ดีก็คือยาแก้แพ้ (antihistamines) ในท้องตลาดมีหลายยี่ห้อ แต่ที่จะขอแนะนำได้แก่ ยาคลอร์เฟนิรามีน (chlorpheniramine) ยาเม็ดเล็กๆ สีเหลือง เป็นยาแก้แพ้ ที่มีฤทธิ์ลดน้ำมูกไหลได้อย่างดี และราคาไม่แพง

          ขนาดของยาคลอร์เฟนิรามีนที่ใช้สำหรับลดน้ำมูก คือครั้งละ 1 เม็ด (ขนาดเม็ดละ 4 มิลลิกรัม) วันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน

          ยาคลอร์เฟนิรามีนเป็นยาที่ดีมีประโยชน์ และก็มีโทษแฝงอยู่เช่นกัน ที่พบได้บ่อย คือ ทำให้ง่วงนอน ซึม มึน ๆ ไม่สดชื่น ทั้งนี้เพราะยาชนิดนี้จะผ่านจากเลือดเข้าสู่สมอง และทำให้เกิดอาการดังกล่าว ดังนั้น ผู้ที่กินยาคลอร์เฟนิรามีนจึงควรหลีกเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักร หรือการขับขี่ยานพาหนะต่าง ๆ เพราะหลังการกินยาแล้ว อาจทำให้ง่วงนอน และเกิดอุบัติเหตุได้ หรือบางครั้งจะแนะนำให้ผู้ป่วยเลือกใช้ยาชนิดนี้เฉพาะตอนเข้านอนเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย

          ปัจจุบันมียาแก้แพ้ชนิดใหม่ที่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงเรื่องง่วงนอนได้น้อยลง และสามารถใช้ตอนกลางวันหรือช่วงเวลาทำงานได้ เช่น ยาเซทีริซีน (cetirizine) ยาแอลเซทีริซีน (L-cetirizine) ยาเฟกโซฟีนาดรีน (fexofenadrine) ยาลอร่าทาดีน (loratadine) หรือยาเดสลอร่าทาดีน (desloratadine) ยาทั้ง 5 ชนิดนี้ เป็นกลุ่มยาแก้แพ้ที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้น้อยจนถึงไม่ง่วงนอนเลย สามารถใช้ตอนกลางวันหรือตอนทำงานได้

          อย่างไรก็ตาม ถ้าใช้ยาแล้วก็ควรสังเกตผลของยาด้วยว่า มีอาการง่วงนอนหรือไม่ เพราะยังมีอยู่บ้างเป็นบางคนที่จะง่วงนอน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ง่วงนอน และก็เช่นเดียวกันกับยาแก้ปวด ลดไข้ เมื่อใดที่อาการดีขึ้นหรือหายดีแล้วก็หยุดยาได้เลย

 เจ็บคอจากไข้หวัด ควรใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่

          อีกอาการหนึ่งที่อาจเกิดได้ระหว่างเป็นไข้หวัด ได้แก่ อาการเจ็บคอ ซึ่งมักจะไม่ค่อยเจ็บคอมาก แต่จะมีอาการคล้าย ๆ คอแห้ง คอแห้งผาก โดยอาการนี้จะเป็นมากตอนเช้า ๆ และจะดีขึ้นตอนสาย ๆ

          ถ้ามีอาการอย่างนี้ก็จัดเป็นอาการเจ็บคอจากโรคไข้หวัด ที่เกิดจากเชื้อไวรัส และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยาปฏิชีวนะ หรือที่นิยมเรียกกันว่ายาแก้อักเสบ เพราะยาแก้อักเสบหรือยาปฏิชีวนะนั้นมีฤทธิ์ต่อเชื้อแบคทีเรียใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย และไม่ได้ผลต่อโรคติดเชื้อไวรัสหวัด ในกรณีนี้จึงไม่มีประโยชน์ที่จะใช้ยาแก้อักเสบ

          ถ้ามีอาการเจ็บคอมาก ๆ เหมือนเป็นแผลในคอ หรือมีอาการต่อมทอนซิลอักเสบ โต แดง มีหนอง หรือเสมหะมีสีเขียวข้น ก็อาจจะแสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย และแนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือพยาบาล เพื่อช่วยวินิจฉัยอาการเจ็บคออย่างแท้จริงก่อนการใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ควรจัดหายาปฏิชีวนะมาใช้เอง เพราะอาจเกิดการสูญเปล่า

          การใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น และไม่ถูกต้อง และอาจส่งผลต่อการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียที่นับวันจะเป็นปัญหาสำคัญระดับโลก จนคาดว่า ในอนาคตเราอาจเป็นผู้โชคร้ายที่เกิดการติดเชื้อแล้วไม่มียาปฏิชีวนะที่ดีไว้ต่อสู้กับเชื้อที่ดื้อยาเหล่านี้ได้

          การรักษาโรคไข้หวัด เน้นการรักษาตามอาการของผู้ป่วย ถ้ามีไข้ ตัวร้อน ปวดหัว ก็ให้ใช้ยาพาราเซตามอล และถ้ามีน้ำมูกไหล คัดจมูก ก็แนะนำให้ใช้ยาคลอร์เฟนิรามีน ซึ่งต้องใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสม ไม่ใช้ยามากเกินจำเป็น ควรใช้เมื่อมีอาการเท่านั้น

          การดูแลตนเองในโรคไข้หวัด ก็คือ การรักษาสุขอนามัยที่ดี อันได้แก่ อาการที่ถูกสุขลักษณะ มีผักและผลไม้ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การรักษาอารมณ์ให้สดชื่น แจ่มใส การดื่มน้ำบ่อย ๆ และการพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ซึ่งช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคไข้หวัดได้เป็นอย่างดี ช่วยให้หายจากไข้หวัดได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 13 ตุลาคม 2011, 15:28:17 »

25 วิธี กำจัด และ จำกัด เบาหวาน (Twenty-Four Seven)

         อาการเริ่มแรกของเบาหวานไม่ได้น่าหนักใจ แต่ความอันตรายจะค่อยๆเพิ่มมากขึ้นแบบสะสมตามวัน เวลา ที่ทอดยาวออกไป ความน่ากลัวคืออาการของมันจะเป็นเหมือนโดมิโน่ชิ้นแรกที่ส่งผลลุกลามไปสู่อาการผิดปกติขั้นร้ายแรงในอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้เหนือความคาดคิด หลายคนตายก่อนวัย และหลายคนทุกข์ทรมานนานกว่าจะสิ้นลม

         สิ่งที่ดีที่สุดในการจำกัด หรือกำจัดจุดเริ่มต้นของโรคคือการสร้างพฤติกรรมใหม่ในการกิน อยู่ และนี่คือทิปส์ง่ายๆ ที่ทำเองได้ในทันทีที่อ่านบทความจบ ที่เรานำมาแบ่งปัน

YOU DON’T KNOW

         แปลกใจกับข้อมูลใหม่ของเบาหวานที่คุณไม่เคยรู้

         • ประชากรกว่า 300 ล้านคนทั่วโลกเป็นโรคเบาหวาน ในเอเชียมีจำนวนถึง 50 ล้านคน

         • ผู้ที่มีญาติสายตรงไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคเบาหวานทุกราย ขึ้นอยู่กับการดูแลปัจจัยต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย ทั้งในเรื่องของอาหาร และการออกกำลังกาย

         • เบาหวานมี 2 ประเภท คือประเภทที่เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ในตับอ่อนที่ทำหน้าที่สร้างอินซูลินในร่างกาย ทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลิน หรือสร้างน้อยมาก เบาหวานประเภทนี้มักพบได้กับคนทุกวัย และแก้ไขได้โดยการฉีดอินซูลินเข้าร่างกายเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ประเภทที่ 2 นั้นยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของพันธุกรรม

         • เบาหวานพบได้มากในบุคคลที่มีอายุมากกว่า 40 ปี

         • ในประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวาน ประมาณ 4.2 ล้านคน และจะถึง 5.4ล้านคน ในปี 2553

         • ในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว มีผู้ป่วยเบาหวานทั้งสิ้น 5.9% ประมาณ 16 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน ปีละ 200,000 คน

         • ขอแนะนำว่าบุคคลที่มีอายุเกิน 40 ปี ควรไปตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อหาความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานทุก 3 ปี

         • อัตราเสี่ยงของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะมีโอกาสเป็นอัมพาตได้สูงกว่าผู้ป่วยปกติ 2-4 เท่า

         • โรคเบาหวานเป็นสาเหตุให้คนเสียชีวิตเป็นอันดับ 3 ของโรค

CHECK LIST

         เช็กด่วน...หายก่อน! คุณกำลังเป็นเบาหวานอยู่หรือเปล่า

         • อารมณ์แปรปรวนง่าย กระหายน้ำเกินปกติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขับปัสสาวะบ่อย หิวรุนแรง และอ่อนเพลีย

         • ขับปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะกลางดึก เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นจนผ่านระดับปกติไปแล้วไตก็จะขับส่วนเกินออกมาในรูปปัสสาวะ

         • ทัศนวิสัยพร่ามัว เมื่อระดับน้ำตาลสูงขึ้น น้ำนั้นจะขับออกมาจากเลนส์ตา รูปร่างเลนส์จะพองขึ้น ดังนั้นวิธีการที่ดวงตาจะรับแสงนั้นจึงเปลี่ยนไปด้วย

         • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้เต็มที่ จึงต้องนำไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ทดแทน

         • ติดเชื้อง่าย และเมื่อเป็นแผลแล้วจะหายยาก

DO IT BEFORE & AFTER

         รักษาด้วยตัวเอง และ 3 นวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ของปี 2010

         • หลีกเลี่ยงความเค็มและความหวานที่มากจนเกินไป อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต อาหารที่มีคอเลสเตอรอลและไขมันสูง เนื่องจากจะส่งผลต่อการลด เพิ่มปริมาณน้ำตาลอย่างรวดเร็ว ป้องกันการก่อสาเหตุ หรือเพิ่มอาการเบาหวานให้รุนแรง

         • ปากกาฉีดอินซูลิน (NovoPen) เป็นทางเลือกเข้ามาแทนกระบอกฉีดยา เพื่อใช้ในการฉีดอินซูลินที่ง่ายสะดวก และแม่นยำมากยิ่งขึ้น ข้อดีอีกอย่างของนวัตกรรมนี้คือ เจ็บน้อยมากขณะฉีดยา และยังสามารถพกพาอินซูลินไปตามสถานที่ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องแช่เย็น เป็นการลดปัญหาสำหรับผู้ป่วยได้มากยิ่งขึ้น

         • อินซูลินปั๊ม เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ค่อยๆ ปล่อยอินซูลินเข้าร่างกาย ลักษณะคล้ายเพจเจอร์ สามารถพกติดตัวได้ เครื่องนี้ทำงานโดยมีสายและพอร์ทที่ติดตัวกับตัวผู้ป่วย และจะเดินยาอินซูลินเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังสามารถกำหนดปริมาณอินซูลินเพื่อให้สมดุลกับระดับน้ำตาลในเลือด โดยไม่ต้องพึ่งการฉีดยาซ้ำๆ

         • ควบคุมน้ำตาลด้วยอาหารสูตรกินเนื้อกินผัก สูตรอาหารดังกล่าวเป็นหนึ่งวิธีของบัลวี ศูนย์บำบัดธรรมชาติที่ใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวาน ด้วยวิธีการควบคุมทั้งในเรื่องของอาหาร และพฤติกรรมให้เกิดประโยชน์และเหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ป่วยเรียนรู้การควบคุมพฤติกรรมของตัวเองด้วยการเช็กและวิเคราะห์ตัวเอง เช่น จดตารางอาหารทุกวัน ฝึกสมาธิ ฝึกจิต เจาะเลือด เป็นต้น

         โดยวิธีการควบคุมหรือดูแลดังกล่าวเป็นการดูแลควบคู่ไปกับวิธีบำบัดจากธรรมชาติ มีวิธีการง่ายๆ โดยในแต่ละมื้อนั้น หากรับประทานจำพวกผักหรือเนื้อสัตว์ก็สามารถอิ่มท้องและอยู่ท้องได้ ไม่จำเป็นต้องรับประทานข้าว แต่ที่สำคัญต้องรับประทานผักมากเป็น 2 เท่าของปริมาณเนื้อ

6 สมุนไพร บำบัดเบาหวาน

         การรักษาด้วยสมุนไพรเป็นอีกวิธีที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน และนี่คือ 6 สมุนไพรประจำวันลดเบาหวาน การรับประทานควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ประกอบกับการออกกำลังกายและรับประทานอาหารให้เหมาะสม

         • เตยหอม นำใบเตยหอมมาคั่วให้เหลือง และนำรากมาทุบให้แตก นำมาต้มรวมกันดื่มแทนน้ำทุกวัน

         • ว่านหางจระเข้ ปอกเปลือกและรับประทานเนื้อวุ้นใสสดๆ ประมาณวันละ 14 กรัม

         • อบเชย มีสารสำคัญ รับประทานวันละอย่างน้อย 1 กรัม เป็นประจำ

         • เห็ดหลินจือ นำมาปรุงอาหารรับประทานทุกวัน

         • บอระเพ็ด วิธีการบริโภคนั้นควรรับประทานคู่กับลูกใต้ใบเพื่อลดพิษในตับ

         • มะระขี้นก หั่นเนื้อมะระตากแห้งชงน้ำดื่ม ข้อควรระวังคือ ห้ามรับประทานเมล็ดเพราะมีสารพิษ
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 15 ตุลาคม 2011, 10:44:03 »


ไตวายเรื้อรัง (หมอชาวบ้าน)
คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค โดย นพ.สุรเกียรติ อาซานานุภาพ

          ภาวะไตวาย หมายถึง ภาวะที่เนื้อไตทั้ง 2 ข้างถูกทำลายจนทำงานไม่ได้ หรือได้น้อยกว่าปกติ ทำให้น้ำและของเสียไม่ถูกขับออกมา จึงเกิดการคั่งจนเป็นพิษต่อร่างกาย นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดผลกระทบต่อดุลของสารเกลือแร่ (อิเล็กโทรไลต์) และความเป็นกรดด่างในเลือด รวมทั้งเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนบางชนิดที่ไตสร้าง การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้นำไปสู่ความผิดปกติของอวัยวะแทบทุกส่วนของร่างกาย

          ภาวะไตวายสามารถแบ่งเป็น "ไตวายเฉียบพลัน" (ซึ่งมีอาการเกิดขึ้นฉับพลัน และเป็นอยู่นานเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์) กับ "ไตวายเรื้อรัง" (ค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อย นานเป็นแรมเดือนแรมปี)

          ในที่นี้ขอกล่าวถึง "ไตวายเรื้อรัง" เป็นการเฉพาะ

ชื่อภาษาไทย : ไตวายเรื้อรัง
ชื่อภาษาอังกฤษ : Chronic renal failure (CRF)

สาเหตุ

          ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน และความดันโลหิตสูงที่ขาดการรักษาอย่างจริงจัง อาจเกิดจากโรคไตเรื้อรัง ที่สำคัญได้แก่ กรวยไตอักเสบเรื้อรัง (ซึ่งมักไม่แสดงอาการ) นิ่วในไต โรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุง (polycystic kidney ซึ่งมีความผิดปกติมาแต่กำเนิด และถ่ายทอดทางพันธุกรรม)

          ผู้ที่ใช้ยาแก้ปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พาราเซตามอล และกลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟนไดโคลฟีแนก) ที่ใช้รักษาอาการปวดข้อ โดยใช้ติดต่อกันทุกวันนานเป็นแรมปี ก็อาจเกิดภาวะไตวายเรื้อรังตามมาได้

          นอกจากนี้ ยังอาจพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่น ๆ เช่น โรคเกาต์ โรคเอสแอลอี ต่อมลูกหมากโต ภาวะยูริกในเลือดสูง ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง พิษจากสารตะกั่วหรือแคดเมียม เป็นต้น

การแยกโรค

          เนื่องจากภาวะไตวายเรื้อรังมีอาการได้ต่าง ๆ ซึ่งไม่มีความจำเพาะเจาะจง อาการเหล่านี้อาจเกิดจากโรคอื่น ๆ ซึ่งแพทย์จะต้องทำการตรวจวินิจฉัยแยกแยะให้แน่ชัด ตัวอย่างเช่น

           อาการบวม ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในโรคนี้ ก็ต้องแยกจากโรคไตชนิดอื่น (เช่น โรคหน่วยไตอักเสบ โรคไตเนโฟรติก) โรคตับเรื้อรัง (เช่น ตับแข็ง) ภาวะหัวใจวาย (ซึ่งอาจเกิดจากความดันโลหิตสูง โรคหัวใจต่าง ๆ)

           อาการซีด ก็ต้องแยกจากโรคเลือดบางชนิด (เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว โลหิตจางจากภาวะไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น ซึ่งมักจะมีไข้ จุดแดงจ้ำเขียว ร่วมด้วย) โรคโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก (ซึ่งจะตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาธาตุเหล็กบำรุงเลือด)

อาการ

          อาการขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โดยในระยะแรกอาจไม่มีอาการให้สังเกตได้ชัดเจน และมักจะตรวจพบจากการตรวจเลือด (พบว่ามีระดับครีอะทินีนและบียูเอ็นสูง) ในขณะตรวจเช็กสุขภาพหรือมาพบแพทย์ด้วยโรคอื่น

          ผู้ป่วยจะมีอาการชัดเจนเมื่อเนื้อไตทั้ง 2 ข้างถูกทำลายจนทำหน้าที่ได้น้อยกว่าร้อยละ 15 ของไตปกติ โดยจะสังเกตว่ามีปัสสาวะออกมาก และปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดินบ่อย นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ขาดสมาธิ ตามัว ผิวหนังแห้งและมีสีคล้ำ คันตามผิวหนัง ชาตามปลายมือปลายเท้า

          บางรายอาจมีอาการหอบเหนื่อย สะอึก เป็นตะคริว ใจหวิว ใจสั่ง เจ็บหน้าอก บวม หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรืออาจเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด

          เมื่อเป็นมากขึ้น จะมีอาการปัสสาวะออกน้อย

          เมื่อเป็นถึงขั้นสุดท้าย ผู้ป่วยจะมีอาการซึม ชัก หมดสติ

การวินิจฉัย

          ในรายที่มีอาการที่น่าสงสัย แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น

           ตรวจเลือด พบสารบียูเอ็น (BUN) และครีอะทินีน (creatinine) ในเลือดสูง รวมทั้งอาจพบการเปลี่ยนแปลงของระดับเกลือแร่ (อิเล็กโทรไลต์) ในเลือดผิดจากดุลปกติ

           ตรวจปัสสาวะ พบสารไข่ขาว และน้ำตาลในปัสสาวะรวมทั้งอาจพบเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และสารเคมีต่าง ๆ ที่ผิดปกติ ขึ้นกับสาเหตุของโรค

           ถ่ายภาพไตด้วยการเอกซเรย์ หรืออัลตราซาวนด์ อาจพบความผิดปกติของไต เช่น นิ่วในไต ไตทั้ง 2 ข้างฝ่อตัว เป็นต้น

           เจาะเนื้อไตออกพิสูจน์ (renal biopsy) แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการตรวจด้วยวิธีนี้สำหรับผู้ป่วยบางราย ที่ยังไม่พบสาเหตุแน่ชัดจากการตรวจโดยวิธีอื่นมาก่อน

การรักษา

          แพทย์จะให้การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุของไตวาย เช่น ให้ยาควบคุมเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ ผ่าตัด นิ่วในไต เป็นต้น

          นอกจากนี้ก็ให้การแก้ไขตามอาการ หรือภาวะแทรกซ้อนที่พบร่วม เช่น

           ให้ยาควบคุมความดันโลหิตและไขมันในเลือด (ที่สูงจากโรคนี้) และภาวะหัวใจวายที่เป็นโรคแทรกซ้อน

           ถ้าบวม ให้ยาขับปัสสาวะ

           ถ้าซีด อาจต้องให้เลือด บางรายแพทย์อาจฉีดฮอร์โมน อีริโทรพอยเอทิน (erythropoietin) เพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (ฮอร์โมนชนิดนี้สร้างที่ไต เมื่อไตวายก็จะขาดฮอร์โมนชนิดนี้)

การดูแลตนเอง

          ผู้ป่วยที่เป็นไตวายเรื้อรัง ควรติดตามการรักษากับแพทย์อย่าได้ขาด ควรกินยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรปรับขนาดยาเอง หรือซื้อยากินเอง เพราะยาบางอย่างอาจมีพิษต่อไตได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัว ดังต่อไปนี้

           จำกัดปริมาณโปรตีนที่กินไม่เกินวันละ 40 กรัม โดยลดปริมาณของ ไข่ นม และเนื้อสัตว์ลง (ไข่ไก่ 1 ฟอง มีโปรตีน 6-8 กรัม นมสด 1 ถ้วยมีโปรตีน 8 กรัม เนื้อสัตว์ 1 ขีด มีโปรตีน 23 กรัม) และกินข้าวเมล็ดธัญพืช ผักและผลไม้ให้มากขึ้น

           จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม โดยคำนวณจากปริมาณปัสสาวะต่อวันบวกกับน้ำที่เสียไปทางอื่น (ประมาณ 800 มล./วัน) เช่น ถ้าผู้ป่วยมีปัสสาวะ 600 มล./วัน น้ำที่ควรได้รับเท่ากับ 600 มล. + 800 มล. (รวมเป็น 1,400 มล./วัน)

           จำกัดปริมาณโซเดียมที่กิน ถ้ามีอาการบวมหรือมีปัสสาวะน้อยกว่า 800 มล./วัน ควรงดอาหารเค็ม งดใช้เครื่องปรุง (เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสทุกชนิด) ผงชูรส สารกันบูด อาหารที่ใส่ผงฟู (เช่น ขนมปังสาลี) อาหารกระป๋อง น้ำพริก กะปิ ปลาร้า ของดอง หนำเลี๊ยบ)

           จำกัดปริมาณโพแทสเซียมที่กิน ถ้ามีปัสสาวะน้อยกว่า 800 มล./วัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ผลไม้แห้ง กล้วย ส้ม มะละกอ มะขาม มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว ถั่ว สะตอ มันทอด หอย เครื่องในสัตว์ เป็นต้น

           ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ได้รับการรักษาด้วยการล้างไตโดยการฟอกเลือด (hemodialysis) การล้างไตทางช่องท้อง (continuous ambulatory peritoneal dialysis/CAPD) หรือการปลูกถ่ายไต ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

          สำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะท้าย (มักมีระดับครีอะทินีน และบียูเอ็นในเลือดสูงเกิน 10 และ 100 มก./ดล. ตามลำดับ ซึ่งไตจะทำหน้าที่ได้ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของไตปกติ) แพทย์จะทำการรักษาด้วยการล้างไต (dialysis) ซึ่งมีอยู่ 2 วิธี ได้แก่ การล้างไตโดยการฟอกเลือด (กระทำที่สถานพยาบาลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง) และการล้างไตทางช่องท้อง (ซึ่งผู้ป่วยจะทำเองที่บ้านทุกวัน) ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถทำงานออกกำลังกายได้ และมีชีวิตยืนยาวขึ้น

          ในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดปลูกถ่ายไตหรือเปลี่ยนไต (renal transplantation) โดยใช้ไตบริจาคจากญาติสายตรง หรือผู้บริจาคที่มีไตเข้ากันได้กับเนื้อเยื่อของผู้ป่วย หลังจากปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น ไซโคลสปอริน) ทุกวันตลอดไป เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านไตใหม่ วิธีนี้ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนหน้าที่ของไตจนเป็นปกติ สามารถมีชีวิตเช่นคนปกติได้

ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้มีผลกระทบต่อร่างกายแทบทุกส่วนที่สำคัญ ได้แก่

           เนื่องจากไตขับน้ำไม่ได้ ทำให้มีอาการบวมทั่วตัว และทำให้มีน้ำคั่งในกระแสเลือด เป็นผลทำให้ความดันโลหิต และภาวะหัวใจวายตามมา

           ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง เนื่องจากไตขับสารนี้ได้น้อยลง อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหยุดเต้นได้

           ภาวะกระดูกอ่อน ทำให้แตกหักง่าย

           ภาวะซีด (โลหิตจาง) เนื่องจากขาดฮอร์โมนอีริโทรพอยเอทิน

           ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือองคชาตไม่แข็งตัว

           ภูมิต้านทานโรคต่ำ ทำให้เป็นโรคติดเชื้อง่าย และรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ

           เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

           ภาวะแทรกซ้อนทางสมอง เช่น ซึม ชัก หมดสติ

การดำเนินโรค

         ถ้าหากไม่ได้รับการรักษา ก็มักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ รวมทั้งจะค่อย ๆ ลุกลามกลายเป็นไตวายระยะท้าย ซึ่งสร้างความยุ่งยากในการรักษามากขึ้น ถึงขั้นล้างไต หรือเปลี่ยนไต

          ในรายที่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง และต่อเนื่องก็จะช่วยชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนออกไปได้

          ส่วนผู้ทีได้รับการรักษาด้วยการล้างไต หรือเปลี่ยนไตก็มักจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีชีวิตยืนยาวนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป

การป้องกัน

           1.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด

           2.รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

           3.ถ้าเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ หรือนิ่วในไต ควรรักษาอย่างจริงจัง จนสามารถควบคุมโรคได้เป็นอย่างดีอย่างต่อเนื่อง

           4.เมื่อเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (เช่นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ) หรือมีภาวะอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ (เช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต) จะต้องได้รับการรักษาให้หายขาด อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรัง

           5.หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อไต ที่สำคัญคือ อย่ากินยาแก้ปวดหรือยาแก้ปวดข้อติดต่อกันนาน ๆ

ความชุก

          โรคนี้พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปี คนอ้วน ผู้ที่สูบบุหรี่ และผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดหรือยาแก้ปวดข้อ ติดต่อกันนาน ๆ
IP : บันทึกการเข้า
kwannaruk
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 230


pet lover


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 16 ตุลาคม 2011, 10:51:04 »

ขอบคุณสาระดี ดี ที่มาให้กันนะค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 17 ตุลาคม 2011, 08:45:54 »


มะเร็งตับอ่อน โรคร้ายที่ใครก็ไม่อยากเจอ (Momypedia)

          ข่าวการเสียชีวิตของ Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple และผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะแห่งโลกยุคใหม่ด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนทำให้คนทั้งโลกตกใจไม่น้อยค่ะ เพราะเราได้สูญเสียคนเก่ง ๆ ไปอีกคน และเมื่อมองย้อนกลับมาที่โรคซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเขา ก็น่าตกใจไม่น้อยเช่นกัน เพราะในปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตเพราะมะเร็งตับอ่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ

          ก่อนหน้านี้มีคนดังที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับมะเร็งตับอ่อนไปแล้ว อย่าง Patrick Swayze พระเอกจากหนังเรื่อง Ghost รวมถึง Randy Pausch อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ Carnegie Mellon University เจ้าของเรื่องราวในหนังสือชื่อดัง The Last Lecture ที่ทำให้หลายคนร้องไห้มาแล้ว วันนี้เรามาทำความรู้จักกับมะเร็งตับอ่อนกันค่ะว่าร้ายแรงอย่างไร

ตับอ่อนคืออะไร

          ตับอ่อนเป็นอวัยวะภายในที่อยู่บริเวณท้องส่วนบนและอยู่หลังกระเพาะอาหาร ตับอ่อนประกอบไปด้วย 2 ต่อมหลักคือ

           1. ต่อมมีท่อ ทำหน้าที่สร้างเอ็นไซม์ เพื่อย่อยไขมันและโปรตีนในอาหาร

           2. ต่อมไร้ท่อ ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน เช่น อินซูลิน กลูคากอน เป็นต้น

มะเร็งตับอ่อนเกิดได้อย่างไร

          มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic cancer) เป็นมะเร็งที่ยังหาสาเหตุแน่ชัดไม่ได้ แต่ก็มีหลายปัจจัยที่กระตุ้น ได้แก่

           1. ในคนที่สูบบุหรี่จัด มีปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งตับอ่อน

           2. ในคนที่มีครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน มีโอกาสเป็นมะเร็งตับอ่อนได้สูง

           3. ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน มีปัจจัยเสี่ยงสูง

           4. โรคตับอ่อน อักเสบเรื้อรัง หรือกินอาหารไขมันสูงเป็นประจำ โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์

           5. เนื้องอกที่เกิดจากต่อมมีท่อและไร้ท่อ



 
 อาการ

          มะเร็งตับอ่อนมักเกิดขึ้นกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึง 4 เท่า และจะพบมากในกลุ่มผู้มีอายุตั้งแต่ 40-70 ปี ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งตับอ่อน และมักจะตรวจพบเมื่อมะเร็งลุกลามหรือรุนแรงมากแล้ว แต่อาการสังเกตเบื้องต้นมีดังนี้

           ดีซ่าน ตัวเหลืองตาเหลือง

           อาการปวดบริเวณส่วนบนของช่องท้องและร้าวไปหลัง ปวดท้องรวมกับปวดหลัง

           เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

           อ่อนเพลียกว่าปกติ

           ผู้ป่วยบางคนอุจจาระลักษณะมีไขมันปนมาก

การตรวจและระยะของมะเร็ง

          การตรวจหามะเร็งตับอ่อนค่อนข้างยาก ซึ่งมักจะพบเมื่อมะเร็งเริ่มลุกลามมากแล้ว วิธีที่สามารถตรวจได้ดีที่สุดคือ การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจหามะเร็ง แต่นั้นก็ต้องอยู่ในการพิจารณาของแพทย์และอาการที่เกิดขึ้น มะเร็งตับอ่อนแบ่งออกเป็น 4 ระยะ

           ระยะที่ 1  ก้อนมะเร็งจำกัดอยู่เฉพาะในตับอ่อน

           ระยะที่ 2  ก้อนมะเร็งลุกลามออกนอกตับอ่อน หรือลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ติดกับตับอ่อน

           ระยะที่ 3  ก้อนมะเร็งลุกลามเข้าเส้นเลือดใหญ่ในส่วนของตับอ่อน

           ระยะที่ 4  โรคมะเร็งแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด (มักแพร่กระจายเข้าตับ ปอด และกระดูก) หรือเข้าต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง นอกช่องท้องซึ่งอยู่ไกลจากตัวตับอ่อน
 
การรักษา

          อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า ผู้ป่วยโดยส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งตับอ่อนจนกว่าจะได้รับการวินิจฉัยที่ชัดเจน และก็มักจะพบเมื่อลุกลามมากเกินกว่าจะป้องกันหรือรักษาให้หายได้ แต่สำหรับผู้ที่สามารถตรวจพบได้ไวก็สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด วิธีรักษามะเร็งตับอ่อนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
 
           1. กลุ่มที่ผ่าตัด ใช้ได้ในกรณีที่ตรวจพบในระยะแรกของโรค และแพทย์ลงความเห็นว่าสามารถผ่าตัดได้ ซึ่งนอกจากตัดตับอ่อนบางส่วนออก หรือตัดออกทิ้งทั้งหมดแล้ว อาจจะต้องตัดอวัยวะส่วนอื่นออกด้วย เพื่อป้องกันเชื้อที่อาจจะยังมีและลุมลาม เช่น ลำไส้เล็กส่วนต้น ท่อน้ำดี กระเพาะอาหารบางส่วน

           2. กลุ่มที่ผ่าตัดไม่ได้ ใช้ในกรณีที่มะเร็งลุกลามมากแล้วซึ่งจะเป็นการรักษาและประคองอาการเท่านั้น เช่น การให้เคมีบำบัด และการฉายรังสีเพื่อยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง หรือการผ่าตัดเพื่อทำทางเบี่ยงน้ำดีเพื่อ ลดอาการดีซ่าน หรือทางเบี่ยงให้กระเพาะอาหารเพื่อลดการอุดตันของทางเดินอาหารยังเป็น วิธีการที่บรรเทาอาการผู้ป่วยได้ดีที่สุด
 
          มะเร็งตับอ่อนเป็นโรคที่พบได้น้อยค่ะ แต่เมื่อพบแล้วก็มักจะรุนแรงมากและเสียชีวิตแทบทุกราย ปัจจุบันยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพให้พบโรคมะเร็งตับอ่อนตั้งแต่ระยะเริ่มเป็นโรค ซึ่งเราเองนี่ล่ะค่ะที่ต้องสำรวจอาการเริ่มแรกที่เกิดกับตัวเอง และเมื่อสงสัยว่าอยู่ในกลุ่มอาการดังกล่าวควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิฉัย จะได้ป้องกันและเตรียมตัวรักษากันได้ทันนะคะ 
 
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 17 ตุลาคม 2011, 08:55:22 »


แพทย์เตือน "จิตตก" เสี่ยงมะเร็งถามหา (ไทยโพสต์)

          ความผิดปกติของเซลล์ในร่างกายคนเรานั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ร่างกายจะมีกระบวนการจัดการความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่ถ้าวันใดเกิดจิตตก เครียด วิตกกังวล ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้กลไกทางภูมิคุ้มกันลดลง เซลล์ที่ผิดปกติก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

          ศ.นพ.สุรพล อิสรไกรศีล ผู้อำนวยการอาวุโสศูนย์โลหิตวิทยากรุงเทพ โรงพยาบาลวัฒโนสถ กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะไม่ได้มีการสำรวจอุบัติการณ์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองไว้ชัดเจน แต่ข้อมูลจากโรงพยาบาลศิริราชชี้ให้เห็นว่า มีคนไข้ใหม่โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ราว 200-300 รายต่อปี ประมาณการว่าทั้งประเทศน่าจะมีประมาณ 1,000-1,500 รายต่อปี

          สาเหตุของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยังไม่ทราบแน่ชัด แต่แพทย์สันนิษฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น Epstein-Barr virus ซึ่งได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่า เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

          คุณหมอบอกว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีกำเนิดมาจากเซลล์ในต่อมน้ำเหลือง โรคนี้แบ่งได้เป็น 2 ชนิดตามลักษณะของชิ้นเนื้อ ได้แก่ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Non-Hodgkin lymphoma (NHL) และชนิด Hodgkin disease (HD) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งสองชนิดจะมีอาการคล้ายกัน คือ มีต่อมน้ำเหลืองโตเป็นหลัก แต่ NHL อาจมีก้อนโตที่อวัยวะอื่น ๆ พบได้บ่อยกว่า เช่น ที่ลำไส้ ปอด สมอง เป็นต้น

          "มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดรุนแรง (High Grade) ที่มีอาการปรากฏชัดเจน ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโตเร็วร่วมกับมีอาการอื่น เช่น มีไข้ น้ำหนักลด และมีเหงื่อออกตอนกลางคืน ในขณะที่มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดค่อยเป็นค่อยไป (Low Grade) อาการของต่อมน้ำเหลืองจะโตขึ้นอย่างช้า ๆ และอาจไม่มีอาการอื่นเลย" คุณหมอ บอก
 
          สำหรับในประเทศไทย มะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่พบส่วนใหญ่จะเป็นชนิด NHL ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นชนิดย่อย ๆ อีกหลายชนิด แต่ละชนิดจะใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกันบ้าง จึงมีความจำเป็นต้องตรวจชิ้นเนื้อและตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบถึงชนิดที่แท้จริงของมะเร็ง อันจะนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
 
          ทั้งนี้ อาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ อาการที่เกิดขึ้นจากต่อมน้ำเหลืองโต สามารถเห็นและคลำได้ชัดเจน โดยตำแหน่งที่พบบ่อยได้แก่ ต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้ และขาหนีบ ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นกับต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ภายในร่างกาย เช่น ช่องทรวงอก ช่องท้อง ความรุนแรงของโรคมีความแตกต่างกัน โดยต่อมน้ำเหลืองที่เป็นมะเร็งจะโตเร็วมาก อาจแตกเป็นแผลและมีเลือดออกได้ และหากไม่ได้รับการรักษาแต่ต้น มะเร็งอาจแพร่กระจายไปสู่ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย และมีผลทำให้การทำงานของร่างกายล้มเหลวถึงแก่ชีวิต

          คุณหมอย้ำว่า คนเรามีเซลล์ผิดปกติที่พร้อมจะกลายเป็นมะเร็งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยร่างกายมีกระบวนการในการจัดการเซลล์ที่ผิดปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดมีจิตตก อาการเครียด กลไกทางภูมิคุ้มกันที่มีอยู่จะลดลง จนทำให้เซลล์ที่ผิดปกติเพิ่มจำนวนมากขึ้นและกลายเป็นก้อนมะเร็งในที่สุด

          ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการป้องกันโรคมะเร็ง คือ พยายามปรับอารมณ์ไม่ให้เครียด วิตกกังวลจนเกินไป และหมั่นตรวจร่างกายสม่ำเสมอเป็นประจำ เพราะหากพบความผิดปกติแต่เนิ่น ๆ การรักษาจะทำได้ดี แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ การรักษาอาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

          สำหรับเป้าหมายในการรักษาโรคมะเร็งที่ดีที่สุดก็คือ การรักษาให้หายขาด แต่ถ้ารักษาให้หายขาดไม่ได้ก็พยายามรักษาไม่ให้โรคลุกลามต่อไป

          ความเข้าใจผิดที่ว่าคนที่เป็นโรคมะเร็งควรงดอาหารประเภทโปรตีน เนื่องจากโปรตีนมีส่วนทำให้เซลล์มะเร็งให้โตนั้น คุณหมอยืนยันว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะร่างกายมีความจำเป็นต้องได้รับอาหารครบทั้ง 5 หมู่ อีกทั้งร่างกายจำเป็นต้องใช้โปรตีนในการซ่อมแซมความสึกหรอต่าง ๆ ของร่างกาย คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าเซลล์ปกติจะต้องขาดโปรตีนไปด้วย

          ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีความซับซ้อนและแบ่งเป็นหลายชนิด รวมทั้งมีอาการหลายลักษณะ ซึ่งต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป จึงจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องแม่นยำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 19 ตุลาคม 2011, 09:00:13 »

แครนเบอร์รี่ ผลไม้ลูกจิ๋ว...แต่สรรพคุณแจ๋ว




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          หลายคนเห็นเจ้าผลไม้สีแดงลูกเล็ก ๆ นี้แล้วไม่รู้จักว่า มันคือ "แครนเบอร์รี่" ที่มีสรรพคุณทางยาหลายประการที่ดีต่อสุขภาพเอามาก ๆ จึงไม่แปลกที่ช่วงนี้ เราจะได้ยินชื่อของ "แครนเบอร์รี่" ถูกผสมลงไปในอาหารเพื่อสุขภาพหลาย ๆ ชนิด ที่โฆษณาให้เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ นั่นเอง

          ว่าแต่...แครนเบอร์รี่มีประโยชน์อย่างไรต่อสุขภาพ ถ้าอยากรู้แล้วล่ะก็ ตามมารู้จักเจ้าผลไม้สีแดงลูกเล็ก ๆ น่าชิมลูกนี้กันดีกว่าจ้า

          แครนเบอร์รี่ (Cranberries) เป็นหนึ่งในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีผลเล็ก ๆ สีแดงสด รสชาติหวานอมเปรี้ยว มักจะปลูกในแถบประเทศอเมริกา และแคนาดา แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ทานเจ้าผลไม้นี้แบบสด ๆ กันสักเท่าไหร่ มักจะได้ทานแครนเบอร์รี่ในรูปแบบที่ผสมมากับอาหารชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำผลไม้ ซอส แยม โยเกิร์ต รวมทั้งแครนเบอร์รี่อบแห้ง





          ส่วนใครที่เห็นว่า แครนเบอร์รี่ ลูกเล็ก ๆ นี้ ไม่น่าจะมีฤทธิ์อะไรต่อสุขภาพมากนัก ขอบอกว่า คิดผิดถนัดค่ะ เพราะเจ้าลูกเล็ก ๆ นี้แหละที่มีสารอาหารมากมาย โดย แครนเบอร์รี่สด ๆ 100 กรัม จะให้สารอาหารดังนี้

           พลังงาน 46 กิโลแคลอรี
           ไฟเบอร์ 4.6 กรัม
           น้ำตาล 4.04 กรัม
           แคลเซียม 8 มิลลิกรัม
           แมกนีเซียม 6 มิลลิกรัม
           แมงกานีส 0.15 มิลลิกรัม
           ฟอสฟอรัส 13 มิลลิกรัม
           โพแทสเซียม 85 มิลลิกรัม
           โซเดียม 2 มิลลิกรัม
           วิตามินซี 13.3 มิลลิกรัม
           วิตามินเอ 60 IU
           วิตามินเค 5.1 ไมโครกรัม
           แคโรทีน 36 ไมโครกรัม
           ลูทีน และซีแซนทีน 91 ไมโครกรัม






แครนเบอร์รี่อบแห้ง


          เห็นสารอาหารเต็มเปี่ยมอย่างนี้แล้ว คงอยากรู้แล้วใช่ไหมว่า แครนเบอร์รี่ มีประโยชน์อย่างไรต่อสุขภาพบ้าง เรามาดูพร้อม ๆ กันเลย

 แก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

          แครนเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย จึงมีสรรพคุณต่อกรกับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เนื่องจากในแครนเบอร์รี่มีสารหลายชนิด โดยเฉพาะสารแทนนิน ที่ช่วยหยุดการเกาะตัวของแบคทีเรียอี โคไล ที่บริเวณผนังทางเดินปัสสาวะ คนที่เป็นโรคนี้ให้ดื่มน้ำแครนเบอร์รี่เข้มข้น ไม่มีน้ำตาลแก้วละ 250 มิลลิลิตรทุกวัน วันละ 3 แก้ว ถ้าจิบวันละ 1 แก้วจะช่วยป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นโรคนี้ได้อีก หรือรับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดจากแครนเบอร์รี่วันละ 800 มิลลิกรัมก็จะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายแข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยขจัดกลิ่นในปัสสาวะได้ด้วย

ช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากอากาศหนาว

          แครนเบอร์รี่มีวิตามินซีสูง จึงช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่มากับอากาศหนาวได้ และยังเหมาะที่จะนำไปทำเครื่องดื่มประเภทสมูธตี้ผลไม้ นำส้มคั้นลูกขนาดกลางหนึ่งลูก เกรปฟรุตครึ่งลูกคั้นเอาแต่น้ำใส่ในเครื่องปั่น เติมแครนเบอร์รี่ 2 กำมือและกล้วย 1 ผลลงไป ปั่นให้เข้ากัน ดื่มเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน และช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนอยู่ในฤดูร้อนที่แสนสดใส

 ผิวพรรณและริมฝีปากเนียนนุ่มชุ่มชื่น

          แครนเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซี และแอนตี้ออกซิเดนท์จำนวนมากที่ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่น จึงเหมาะที่จะนำไปทำเป็นลิปมัน เพื่อป้องกันริมฝีปากแห้งแตกในช่วงหน้าหนาว โดยนำแครนเบอร์รี่ 10 ผลผสมกับน้ำมันสวีทอัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมันวิตามินอี 1 หยด ไปต้มจนเดือด นำส่วนผสมที่ได้ไปบดให้ละเอียดผ่านกระชอน เสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น นำมาทาเวลาปากแห้ง

          นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยพบว่า ในแครนเบอร์รี่มีสารโปรแอนโธไซยานิดีน (Proanthocyanidine) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสีกลุ่มสีม่วงที่ดีกับสุขภาพเส้นเลือดอีกด้วย แถมยังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้อีกต่างหาก

          เห็นประโยชน์ดี ๆ ของผลไม้จิ๋วลูกนี้แล้ว คงต้องรีบไปหาแครนเบอร์รี่มาลิ้มชิมรสกันแล้วล่ะ ^^
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 20 ตุลาคม 2011, 13:42:16 »


สบายทั้งหลัง & ไหล่  (รักลูก)
โดย: ขวัญเจ้าเอย

          ใครที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์คงมีเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกันบ้างล่ะ วันนี้เรามีท่าสลายความเมื่อยให้ไหล่และหลังมาฝากค่ะ

คลายล้าหัวไหล่

ท่าที่ 1

          1. นั่งบนเก้าอี้ที่มั่นคงแบบไม่มีพนัก ตัวตรง ตามองตรงไปข้างหน้า

          2. ประสานมือไว้ด้านหลังแล้วเหยียดแขนตรงออกไป ค้างไว้ นับ 1-10 ในใจ คุณจะรู้สึกว่าแผ่นหลังบริเวณหัวไหล่ถูกดึงเข้าหากัน ทำซ้ำ 5 ครั้ง จะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นค่ะ

ท่าที่ 2

          1. ยืนหรือนั่งในท่าที่ถนัด ตัวตรง กางแขนทั้งสองให้ขนานกับแนวบ่า งอข้อศอก มือทั้งสองแตะบ่า แล้วดึงข้อศอกไปด้านหลังให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค้างไว้สักครู่แล้วกลับสู่ท่าเริ่มต้น

          2. หมุนหัวไหล่ไปด้านหน้าช้า ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นหมุนไปด้านหลัง เหมือนท่ากายบริหาร ทำซ้ำ 5 ครั้ง หรือจนกว่าจะรู้สึกผ่อนคลาย

กระเป๋าหนักเกิน ระวัง!

          คุณสาว ๆ ท่านใดที่ชอบสะพายกระเป๋าแบบบิ๊กไซส์ มีอะไรก็ใส่เข้าไปทั้งจำเป็นและเกินจำเป็นจนกระเป๋าหนักอึ้ง ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด่วน เพราะกระเป๋าที่หนักเกินไปนั้นเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ เวลาสะพายก็ควรตั้งตัวให้ตรงและหมั่นสลับข้างด้วยนะคะ


คลายเมื่อยหลัง

ท่าที่ 1

          1. นั่งหลังตรง ประสานมือทั้งสองข้าง โดยหันฝ่ามือออกด้านนอก

          2. เหยียดแขนตรงออกไปด้านหน้าในระดับเดียวกับหัวไหล่ แล้วค่อย ๆ บิดแขนไปทางซ้าย ค้างไว้ 5 วินาที ค่อย ๆ กลับมาตรงกลาง แล้วบิดไปทางขวา ค้างไว้ 5 วินาที กลับมายังท่าเริ่มต้น ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

ท่าที่ 2

          1. นั่งหลังตรง ถอดรองเท้าแล้ววางเท้าราบกับพื้น มือแต่ละข้างจับที่เท้าแขนของเก้าอี้ไว้ มองตรงไปข้างหน้า

          2. ค่อย ๆ บิดตัวไปทางซ้าย ค้างไว้ 5 วินาที หันกลับมาในท่าเริ่มต้น แล้วบิดตัวไปทางขวา สลับกันช้า ๆ ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

หมอนรองหลังคลายเมื่อย

          คุณสาว ๆ ควรหาหมอนรองหลังนุ่ม ๆ มาไว้ที่เก้าอี้ทำงานด้วยนะคะ เพื่อช่วยรองรับช่องว่างระหว่างเก้าอี้และหลังช่วงล่าง หมอนรองหลังจะช่วยลดแรงกดทับของกล้ามเนื้อ ทำให้อาการปวดหลังและเอวลดลง ที่สำคัญ อย่าลืมผ่อนคลายด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถอยู่เสมอด้วยค่ะ

          ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ สำหรับท่าคลายเมื่อยไหล่และหลังที่นำมาฝาก ขอให้ทุกท่าน มีความสุขกับการทำงานค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 24 ตุลาคม 2011, 08:59:00 »


เรื่องของคนนอนกรน (คู่หูเดินทาง)

          เสียงกรนที่ดังผิดปกตินั้นอาจเป็นอาการของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายอื่น ๆ ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามอาการดังกล่าว เราจึงมีวิธีแก้อาการนอนกรนมาบอกกัน

           แนะนำให้นอนตะแคง หรือหนุนหมอนให้สูงขึ้นกว่าเดิม 2-3 นิ้ว อาการกรนจะดีขึ้นและน้อยลง

           แผ่นแปะรั้งจมูกจะช่วยรั้งให้รูจมูกที่เล็กกว่าปกติห รือรูจมูกที่ตีบตันกว้างขึ้น จึงแก้ไขอาการกรนที่เกิดจากการหายใจทางปากได้

           ลองไปพบทันตแพทย์ เพราะที่ครอบฟันจะช่วยรั้งขากรรไกรล่างและลิ้นมาด้านหน้าทำให้หายใจได้คล่องขึ้น

           หากกรนเสียงดังมาก ลองไปพบอายุรแพทย์หรือเข้ารับการตรวจจากคลินิกการนอนหลับดู

แต่ถ้าคนที่นอนข้าง ๆ คุณเป็นคนกรน แนะนำให้ปฏิบัติดังนี้

           เข้านอนเป็นคนแรกจะได้หลับสนิทก่อนที่เขาจะเข้านอน

           ที่อุดหูอาจช่วยให้ค่ำคืนของคุณเงียบลงได้ ลองหาซื้อที่อุดหูจากร้านยาใกล้บ้าน

           ทางออกสุดท้ายก็คือการแยกห้องนอนเสีย หากคุณทั้งสองคนเข้าใจกันดี การแยกห้องจะไม่ส่งผลร้ายต่อความสัมพันธ์ของคุณ
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 24 ตุลาคม 2011, 09:21:04 »

คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต
( ถ้า คุณมีคนที่รัก ควรอ่านอย่างยิ่ง ดีมาก ๆ)





หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง
ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล(1,000,000,000 เซล) เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้ รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของ มันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็น เนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหาร รวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลัง เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและ ทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูด เน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซล มะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอด จากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็น จำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจน ระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลาย เซลมะเร็ง

อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวานซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น   (คนที่เป็นเบาหวานอยู่ด้วย  ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ) เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน  (คนที่เป็นโรคไตและความดันโลหิตสูงอยู่ด้วย      ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน)

b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดีในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด  รองลงไปคือ   รับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมซาบสู่ระดับ เซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช้อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 27 ตุลาคม 2011, 10:31:28 »


ผิดปกติไหม? ปวดไมเกรนทุกครั้งก่อนประจำเดือนมา

 



สรุปข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          คุณสาว ๆ หลายคน อาจจะเคยมีอาการปวดศีรษะมาก ๆ หรือปวดไมเกรน ก่อนที่ประจำเดือนจะมาแทบทุกครั้ง เลยพาลกลัวว่านี่เป็นสัญญาณผิดปกติอะไรหรือไม่ ใครที่มีปัญหาเช่นนี้ ลองมาฟัง พญ.สิรนาถ นุชนาถ สูติ-นรีแพทย์ ร.พ.สมิติเวช สุขุมวิท ไขข้อข้องใจเรื่องนี้ในนิตยสาร Lisa กันเลยค่ะ

          โดยคุณหมอบอกว่า อาการนี้ถือเป็นเรื่องปกติมากค่ะ ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนของแต่ละคน บางคนอาจจะบ่นเลยว่าก่อนเมนส์จะมาเป็นไมเกรนทุกวัน นี่คือภาวะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ถ้าฮอร์โมนเยอะมากก็จะเป็นไมเกรนได้ หรือบางคนจะมีอาการท้องเสีย คัดตึงเต้านม หงุดหงิด อยากทานอาหารมากขึ้น

          บางคนตอนสาว ๆ ไม่เป็น มาเป็นตอนอายุมาก บางคนพออายุมากแล้วกลับหายก็มี แล้วแต่ว่าช่วงไหนร่างกายเราปรับกับฮอร์โมนไม่ได้ มีอาการก็มาปรับฮอร์โมนดีกว่าจะได้สบาย หรือหากเป็นเยอะมากก็ต้องมากินยาปรับฮอร์โมนค่ะ

          ไขข้อสงสัยกันไปแล้ว สาว ๆ ที่มีอาการเช่นนี้ ก็ไม่ต้องวิตกกังวลไปนะคะ
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 27 ตุลาคม 2011, 10:41:29 »


ออกจากห้องแอร์ เพื่อสุขภาพของคุณ (e-magazine)

          เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว จึงทำให้หลายคนเลือกที่จะติดตั้งเครื่องปรับอากาศไว้ในบ้านบ้าน ซึ่งรวมถึงบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ที่ทำให้ชีวิตของคนในสังคมเมืองต้องสูดลมหายใจและนั่งอุดอู้อยู่ในห้องแอร์ ที่ให้ความเย็นสบายกาย แต่ทว่าความเย็นที่ไม่ได้มาจากธรรมชาตินี้ สามารถทำคุณป่วยหนักได้เช่นกัน

          อากาศเย็นสบายจากห้องแอร์ทำให้สาว ๆ ออฟฟิศได้แต่งตัวกันเต็มที่ก็จริงอยู่ แต่ทว่าเจ้าลมเย็น ๆ ชวนให้สบายใจนี้ นอกจากจะทำให้ผิวพรรณต้องแห้ง ซึ่งเป็นที่มาของริ้วรอยแล้ว ยังทำให้เราได้ยินเสียงไอ จาม และเจ็บคอ บ่อยขึ้นอีกด้วย ซึ่งอาการที่ว่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโรคทางเดินหายใจ ที่มักมีต้นตอมาจากการทำงานอยู่ภายในห้องแอร์

คุณเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ?

          นอกจากเด็ก ๆ และผู้สูงอายุแล้ว หนุ่มสาวออฟฟิศก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะคนที่ทำงานอยู่ในห้องที่อากาศแห้ง เพราะปรับเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส และประตูหน้าต่างปิดมิดชิด ไม่มีอากาศถ่ายเท

          นพ.อิทธิชัย วัชรีคุปต์ แพทย์สาขาอายุรกรรมทั่วไป แผนกประกันสังคม โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 เปิดเผยว่า ด้านในโพรงจมูกของคนเรามีเส้นเลือดแดงขนาดเล็ก และผนังบางจำนวนมากทำหน้าที่ปรับอากาศที่เย็น หรือแห้งจากภายนอกให้มีความอบอุ่นและความชื้นเหมาะสมกับอุณหภูมิของร่างกาย  แต่ในสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็น เซลล์ต่าง ๆ เช่น เซลล์เยื่อบุโพรงจมูก คอ หลอดลม ฯลฯ จะแห้งลงกว่าเดิม ทำให้ไม่มีเมือกมาป้องกันเซลล์จากเชื้อโรค เชื้อโรคจึงสัมผัสกับเซลล์โดยตรง โดยเฉพาะอากาศเย็น เพราะเครื่องปรับอากาศและไม่มีการถ่ายเทภายในห้อง เชื้อไวรัสจึงเจริญเติบโตได้ดี

          ขณะเดียวกัน เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคในร่างกายทำงานได้ลดลง ส่งผลให้เมื่อต้องอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ๆ หลายคนอาจเจ็บป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ เช่น หวัด ภูมิแพ้ ฯลฯ นอกจากนี้ ถ้าใช้นิ้วแหย่เข้าไปในรูจมูก หรือถูแรง ๆ ก็อาจมีเลือดออก และถ้ามีอาการแสบคอร่วมด้วยก็อาจเป็นแผลและติดเชื้อได้

วิธีป้องกัน

          ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หรือหอบมักจะมีอาการบ่อยขึ้น และรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อต้องอยู่ในห้องแอร์ ดังนั้น คุณจึงควรป้องกันอย่างถูกวิธี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

           1.ระวังไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย อาจเป็นการล้างมือให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ ไม่แคะ แกะ จับ บริเวณใบหน้า จมูก และปาก โดยที่ยังไม่ได้ล้างมือ รวมทั้งพยายามอยู่ในที่มีอากาศถ่ายเท และควรอยู่ให้ห่างจากผู้ที่เป็นหวัด

           2.รักษาความอบอุ่นของร่างกาย

           3.สร้างภูมิต้านทาน

                    - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที

                    - นอนให้เต็มอิ่ม

                    - รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นทานผัก ผลไม้สด เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินเพียงพอ

           4.สำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้

           5.ระวังไม่ให้ทางเดินหายใจแห้ง

                    - ใส่ผ้าปิดปาก เพราะผ้าปิดปากจะช่วยเก็บความชื้นและความอุ่นของลมหายใจ ทำให้ทางเดินหายใจชื้นและชุ่มชื้น

                    - ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ

                    - วางแก้วน้ำไว้ใกล้ ๆ ตัว ในห้องนอน ห้องนั่งเล่น และโต๊ะทำงาน

                    - ใช้วาสลีนทาเล็กน้อยบริเวณโพรงจมูก

ดูแลตัวเอง เมื่อเริ่มป่วย

           1.นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

           2.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยให้เลือกทานอาหารย่อยง่าย และเลือกทานผักผลไม้สด

           3.ล้างจมูก เมื่อจามบ่อย ๆ หรือรู้สึกคัดจมูก เพื่อล้างสารคัดหลั่งออกจากจมูก โดยให้ใช้น้ำเกลือ 0.9 เปอร์เซ็นต์ หรือน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 750 ซีซี ผสมเกลือแกง 2 ช้อนชา ใส่ในหลอดฉีดยาขนาด 10 ซีซี (ไม่มีเข็ม) จากนั้นก้มหน้าอ้าปากและกลั้นหายใจ แล้วจึงฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูกข้างละ 2– 3ครั้ง ทำทั้งเช้าและเย็น จนอาการดีขึ้น

           4.ควรพบแพทย์ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ไข้ไม่ลด และรู้สึกปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากอาจเป็นไข้หวัดใหญ่ ส่วนไข้หวัดธรรมดามักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม และคันคอเป็นอาการเด่น แต่ไม่ค่อยมีไข้สูงมากนัก


          แม้ว่าการใช้เครื่องปรับอากาศจะดูเหมือนมากด้วยข้อเสียที่พร้อมบั่นทอนสุขภาพของคุณ แต่ถ้าเรารู้จักใช้อย่างถูกวิธีและมีการป้องกันตนเอง เช่น ออกไปสูญอากาศบริสุทธิ์ภายนอก หรือติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ ไม่ว่าอากาศจะร้อนจนต้องพึ่งแอร์สักกี่เครื่อง สุดท้ายแล้วสุขภาพที่ดีก็จะไม่หนีไปไหน
IP : บันทึกการเข้า
OneManShow
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 28 ตุลาคม 2011, 16:32:37 »

   ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลเกร็ดความรู้ที่เอามาให้อ่านครับ
IP : บันทึกการเข้า
Nick_Marine
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 31 ตุลาคม 2011, 03:34:26 »

โห... สุดยอดครับ.. ขอบคุณครับ..
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 01 พฤศจิกายน 2011, 13:54:47 »


ใบเตย...มีดีที่ไม่ใช่แค่กลิ่นหอม





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          "กลิ่นใบเตย หอมชื่นใจ" ...ก็แหมเวลาเราได้กลิ่นหอม ๆ ของใบเตย หรือ "เตยหอม" ผสมอยู่ในขนมไทยทีไร ก็ชวนให้เราอยากคว้าขนมไทยชิ้นนั้นขึ้นมาหม่ำไปซะที (ปกติก็ชอบหม่ำอยู่แล้ว อิอิ)

          สำหรับ "เตยหอม" นั้น ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีใช่ไหมล่ะจ๊ะ โดยเฉพาะ "ใบเตย" ที่มักถูกนำมาผสมในอาหาร เพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน แถมยังช่วยแต่งสีเขียวให้กับขนมไทยด้วย ซึ่งคนทั่วไปอาจจะรู้ว่าประโยชน์ของ "เตยหอม" มีเพียงเท่านี้ แต่จริง ๆ แล้ว นอกจาก "เตยหอม" จะมีดีที่ความหอมแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อสุขภาพแฝงอยู่ด้วยนะ





          โดย "ใบเตยหอม" 100 กรัม จะให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี และยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

           น้ำ 85.3 กรัม
           คาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม
           โปรตีน 1.9 กรัม
           ไขมัน 0.8 กรัม
           กาก 5.2 กรัม
           แคลเซียม 124 มิลลิกรัม
           ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม
           เหล็ก 0.1 มิลลิกรัม
           เบต้า-แคโรทีน 2.987 ไมโครกรัม
           วิตามินบี 2 0.20 มิลลิกรัม
           ไนอะซีน 1.2 มิลลิกรัม
           วิตามินซี 8 มิลลิกรัม





          มาที่สรรพคุณสุดแสนจะน่าอัศจรรย์ของเตยหอมกันบ้าง นอกจากจะนำ "ใบ" มาใช้ผสมอาหาร แต่งกลิ่น ให้สีเขียวแล้ว ผลการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ยังพบว่า "เตยหอม" มีฤทธิ์ทางยาด้วย ดังนี้

ใบ

           ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ เพราะใบเตยมีฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจ จึงช่วยบำรุงหัวใจได้อย่างดี วิธีรับประทานคือ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แล้วรับประทาน หรือนำใบสดมาคั้นน้ำรับประทาน ครั้งละ 2-4 ช้อนแกง

           ช่วยดับกระหาย เนื่องจากใบเตยมีกลิ่นหอมเย็น หากนำมาผสมน้ำรับประทาน จะช่วยดับกระหาย คลายร้อน ทานแล้วรู้สึกชื่นใจ และชุ่มคอได้เป็นอย่างดี วิธีรับประทานคือ นำใบเตยสดมาล้างให้สะอาด นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด แล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำดื่ม

           รักษาโรคหัด หรือ โรคผิวหนัง โดยนำใบเตยมาตำแล้วมาพอกบนผิว

รากและลำต้น

           ใช้รักษาโรคเบาหวาน เพราะรากและลำต้นของเตยหอมนั้น มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด วิธีรับประทานก็คือ ใช้ราก 1 กำมือนำไปต้มเป็นน้ำดื่ม ทุกเช้า-เย็น

           ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ โดยการนำต้นเตยหอม 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือ ไปต้มกับน้ำดื่ม

          นอกจากนี้ เตยหอม ยังช่วยแก้อ่อนเพลีย ดับพิษไข้ และชูกำลังได้อีกด้วย เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้ว ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ สำหรับเจ้าพืชสีเขียวใบเรียวชนิดนี้
 
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2011, 10:16:17 »

ปรับไลฟ์สไตล์ต้านมะเร็ง (Healthplus)

          ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเราแปรปรวน เปลี่ยนแปลง และแตกต่างไปจากคนสมัยก่อนมาก ไหนจะชั่วโมงทำงานที่ยาวนานจนดึกดื่น ความเครียด ความเร่งรีบ ทำให้กิน-นอนไม่เป็นเวลา อาหารหลักที่กินคืออาหารสำเร็จรูป การอยู่ท่ามกลางมลพิษ และสารเคมีต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเกือบทุกกิจกรรม ทั้งหมดนี้มีส่วนสำคัญทำให้สุขภาพเราย่ำแย่ โรคภัยพากันถามหามากมาย

          หนึ่งในนั้น คือ มะเร็งร้าย ที่เชื่อกันว่า รูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนป่วยเป็นโรคนี้มากขึ้น แม้วิทยาการทางการแพทย์จะสามารถช่วยให้สองในสามของผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกมี ชีวิตอยู่ต่ออย่างน้อยอีก 5 ปี แต่ขั้นตอนการรักษามะเร็งก็สร้างความเจ็บปวดไม่น้อยด้วยเหตุนี้ จึงมีคนจำนวนมากปฏิเสธการแพทย์สมัยใหม่ แล้วหันไปพึ่งการแพทย์ทางเลือกแทน

          โดยทั่วไปผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง จะต้องพบเจอกับปัญหาสุขภาพต่างจากคนทั่วไป มีภูมิต้านทานต่ำ หลังจากการรักษามะเร็งพวกเขามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีก มากพอ ๆ กับโอกาสเกิดโรคหัวใจ เบาหวาน กระดูกพรุนและโรคเรื้อรังอื่น ๆ จากผลการวิจัยทำให้ทราบว่าการกินดีอยู่ดีและมีชีวิตเรียบง่ายนั้นช่วยให้ ปลอดภัยจากมะเร็งได้ โดยวิถีสีเขียวช่วยป้องกันโรคเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นได้

          สมาคมมะเร็งแห่งอเมริกาและสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งอเมริกา ได้ออกคำแนะนำแก่ผู้ป่วยมะเร็งว่า ให้หมั่นสังเกตพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้เหมาะสมต่อสุขภาพในระยะยาว รวมทั้งปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม หากไม่อยากเจ็บปวดจากมะเร็ง ลองนำแนวทางการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตต่อไปนี้ไปปฏิบัติดู

โภชนาการ

           กินอาหารที่อุดมไปด้วยพืชผักหลากสี ทั้งผลไม้ ผัก ธัญพืชเต็มเมล็ด และถั่ว อาหารทุกมื้อจะต้องมีผักมากถึงสองในสาม และโปรตีนเพียงหนึ่งในสาม (จากทั้งเนื้อ สัตว์ปีก ปลา นม และไข่)

           เลือกอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและเกลือต่ำ เลือกใช้สมุนไพรและเครื่องเทศแทนเครื่องปรุงรส เช่น กระเทียม ขมิ้น และกระเพรา เลือกไขมันดีจากน้ำมันมะกอก น้ำมันดอกคาร์โนลา และกรดไขมันโอเมก้า 3 จากปลา วอลนัท และแฟล็กซ์สีด

           กินอาหารปลอดเนื้อสัตว์สองถึงสามมื้อต่อสัปดาห์ อาจเป็นผัดเต้าหู้ ลาซานญาเห็ด ผัดมะเขือยาว ซุปเห็ดหรือซุปถั่ว

           มะเขือเทศ มีไลโคปีนหรือสารต้านอนุมูลอิสระทรงพลังที่ช่วยต้านเซลล์มะเร็ง ไลโคปีนดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งจากมะเขือเทศดิบและสุกทั้งยังช่วย ป้องกันโรคหัวใจและลดระดับคอเลสเตอรอลได้

การควบคุมน้ำหนัก

           รักษาน้ำหนักให้คงที่เสมอ ถ้าน้ำหนักเพิ่มขึ้นหลังการรักษามะเร็ง ให้รีบลดน้ำหนักทันที แต่ต้องไม่เกินสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัม ควรกินเมื่อหิว และกินแค่พอใช้พลังงานทำกิจกรรม แต่ละวัน ถ้าเบื่อหรือเหงาก็จะหันไปทำกิจกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการกิน เช่น คุยกับเพื่อนหรือเดินเล่น ไม่อดอาหาร เพราะยิ่งจะทำให้กินจุมากขึ้นในมื้อถัดไป

การออกกำลังกาย

           ออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ก่อนจะเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายแต่ละครั้งต้องได้รับอนุญาตจากแพทย์ก่อน

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

           ดื่มแต่พอประมาณ นั่นหมายถึงตามมาตรฐานที่ว่า วันละแก้วสำหรับผู้หญิง สองแก้วสำหรับผู้ชาย





การเตรียมอาหารและความปลอดภัย

           หลีกเลี่ยงอาหารขยะเท่าที่จะเลี่ยงได้เพื่อป้องกันโรคภัยที่อาจมากับการกิน เพราะผู้ป่วยมะเร็งนั้นมีความเสี่ยงเกิดโรคแทรกซ้อนได้สูง

           แยกเขียงสำหรับเนื้อสด ปลา หรือสัตว์ปีก เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน

           ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิอาหารเพื่อดูว่ามันสุกดีหรือยัง

           ไม่กินอาหารที่ไหม้หรือเกรียม เมื่อจะปิ้งย่างให้นำเนื้อไปหมักกับซอสเสียก่อนและไม่ให้อาหารสัมผัสกับเปลวไฟโดยตรง

การพบแพทย์

           ตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อหาความเสี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำ รวมทั้งความเสี่ยงเกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ

           ปรึกษาแพทย์ถึงรูปแบบการดูแลตนเองที่เหมาะสม

           ข้อมูลเพิ่มเติมคลิก : สมาคมมะเร็งแห่งอเมริกา www.cancer.org
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2011, 10:20:26 »

 
เมื่อ ปวด มาป่วน ท้อง (She's smart)
โดย: อันดามัน
 
          ผู้หญิงเรากับอาการปวดท้องแทบจะเป็นของคู่กัน ปวดมาทีไรไม่เป็นอันทำอะไรทุกที ยิ่งถ้าเป็นคนเครียดหรือมีนิสัยการกินไม่เป็นมิตรกับท้องไส้ และระบบย่อยอาหารยิ่งแล้วใหญ่ เลยเก็บเรื่องราวเกี่ยวกับโรคและอาการป่วนท้องที่มักเป็นกันมาบอก เพื่อคุณ ๆ จะได้มีวิธีรับมือกับเรื่องป่วนท้องที่มากวนใจค่ะ
 
โรคกระเพาะ

          ถ้าคุณปวดหรือจุกแน่นท้องแถวใต้ลิ้นปี่หรือหน้าท้องช่วงบน ต้องสังเกตตัวเองหน่อยค่ะ ถ้ามีอาการนี้ในช่วงท้องว่าง ช่วงก่อนหรือหลังกินอาหารเป็นประจำก็เป็นไปได้ว่าเราเป็นแผลในกระเพาะหรือโรคกระเพาะเข้าให้แล้ว

          โรคนี้มักจะเป็น ๆ หาย ๆ ฉะนั้นอย่าทำชะล่าใจกินยาลดกรดเคลือบกระเพาะแก้อาการเฉพาะหน้าแบบขอไปที เพราะอาจทำให้โรคลุกลามจนกระเพาะทะลุได้ ทางที่ดีให้คุณหมอตรวจรักษา และดูแลป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะด้วยสูตรง่าย ๆ คือ กินอาหารตรงเวลา อย่ากินจนอิ่มมากเกินไป งดหรือลดอาหารรสเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด และเมื่อต้องกินยาอะไรก็ตามต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอ เพราะยาบางชนิดมีผลกับปริมาณกรดในกระเพาะของเราค่ะ
 
 ท้องเสีย

          อาการปวดท้องแบบที่มีข้าศึกโจมตีวันละหลาย ๆ หน แถมถ่ายออกมาเป็นน้ำจนร่างกายอ่อนเพลีย สิ่งที่ต้องระวังก็คือการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายมากเกินไป อาการนี้ไม่ต้องถึงขั้นพึ่งยา แค่ดื่มน้ำเกลือแร่ชดเชยน้ำที่เสียไป งดอาหารแข็ง ๆ อาหารที่มีกากใยเยอะ ๆ อาหารที่ย่อยยาก เช่น ผัก ผลไม้ นม อาหารมัน ๆ เปลี่ยนไปกินอาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ไปพลางก่อน แต่ถ้ามีอาการท้องเสียอยู่นานหรือเรื้อรัง มีไข้ร่วมด้วย มีมูกหรือเลือดปนออกมา หรือมีอาเจียนร่วมด้วย และดื่มน้ำได้น้อยแต่ปัสสาวะมาก อย่างนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ต้องพึ่งคุณหมอสถานเดียวค่ะ
 
 ท้องผูก

          ถ้าปกติคุณเป็นคนธาตุหนักถ่ายวันเว้นวันอยู่แล้วก็ไม่เป็นปัญหาค่ะ แต่ถ้าหลายวันผ่านไปยังไม่มีวี่แววว่าจะถ่าย (น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์) แถมถ่ายทีไรเป็นต้องใช้กำลังภายในเข้าช่วยจนหน้าบิดหน้าเบี้ยว

          อาการนี้ก็ไม่ต้องพึ่งยาแต่ต้องปฏิวัตินิสัยการกินและนิสัยการขับถ่ายของตัวเองค่ะ พยายามฝึกตัวเองให้ถ่ายเป็นเวลา และตามสูตรค่ะกินอาหารไฮไฟเบอร์อย่างผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ ข้าวกล้องให้มาก ดื่มน้ำเยอะ ๆ ส่วนสิ่งที่ไม่ควรทำคือใช้ยาระบายทุกครั้งที่มีปัญหานี้ เพราะจะทำให้ระบบขับถ่ายของคุณเคยชินกับการที่ต้องมียากระตุ้น
 
 ท้องผูกท้องเสีย

          อันนี้เป็นอาการกวนตัวที่สุดแสนจะกวนใจค่ะ เพราะบางคนท้องผูกเรื้อรัง บางคนก็ท้องเสียเรื้อรัง บางคนเดี๋ยวเสียเดี๋ยวผูกสลับกันให้วุ่น บางคนกลั้นอุจจาระไม่อยู่หรือถ่ายไม่สุด สรุปคือคนเป็นโรคนี้ IBS หรือลำไส้แปรปรวนจะมีอาการปวดท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ ระบบขับถ่ายผิดปกติ ที่น่าเศร้าคือโรคนี้ส่วนใหญ่เป็นในผู้หญิง แถมยังหาสาเหตุแน่ชัดไม่ได้และรักษาให้หายขาดก็ไม่ได้ แต่ข่าวดีคือคนส่วนใหญ่ที่เป็นจะมีอาการไม่รุนแรง

          ถ้าคุณมีอาการเข้าข่ายก็ต้องให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียด ส่วนวิธีรักษานั้นคุณหมอก็จะรักษาตามอาการ และที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยคือดูแลสุขภาพของระบบทางเดินอาหารด้วยการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ พยายามเครียดให้น้อยจะช่วยบรรเทาอาการของโรคได้ค่ะ

          ปัญหาปวดท้องที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่วิธีที่ช่วยป้องกันและรักษาโรคได้ดีก็อยู่ที่สุขนิสัยในการกินที่ดีของตัวเราเองแทบทั้งนั้น ฉะนั้นหันมาปรับเปลี่ยนนิสัยการกินอยู่ของตัวเองกันเถอะค่ะ นอกจากลดเรื่องกวนท้องที่มากวนใจได้แล้ว สุขภาพเรายังแข็งแรงด้วยนะคะ
 
สมุนไพรแก้ปวดท้อง

           ชา (ชง) : การชงชาดื่ม นอกจากสร้างความรื่นรมย์แล้ว ยังเป็นยาระบายอ่อน ๆ

           ขิง : จิบน้ำขิงหลังมื้ออาหารช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานดี และยังต่อต้านเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ด้วย

           ใบสะระแหน่ : ขับลมในกระเพาะลำไส้ แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ

           พริกไทยสด : เป็นยาขับลมช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืดเฟ้อ แถมยังกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทได้ดีอีกด้วยค่ะ
 
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!