จบลงไปเรียบร้อยแล้วสำหรับหนังสือเล่มข้างบน หลังจากตื่นขึ้นมา ดื่มน้ำแล้วซดกาแฟ ไปเปลี่ยนหลังคา (ตัดผม) แล้วอาบน้ำ
ก็มาตั้งใจอ่าน 2 บทกว่าๆ ให้จบหลังอ่านมาหลายสัปดาห์ (ตั้งแต่ สตีฟ จ๊อบส์ ยังมีชีวิตอยู่

) ซึ่งอ่านเสร็จผมก็จะเปรียบเทียบเลยแล้วกัน
"ถ้า สตีฟ จ๊อบส์ ได้มาเกิดอยู่เมืองไทย โดยที่เงื่อนไขต่างๆ ยังเป็นเหมือนเดิม ผมไม่อยากคิด ว่าเค้าอาจจะเป็นเด็กที่โชคร้าย 1 ใน 2 พันกว่าศพก็เป็นได้
หรือถ้ารอด อาจจะมาเดินขายพวงมาลัยตาม 4 แยกที่มีการสัมปทานไว้ หรือไม่ก็ติดยาเสพติด ฯลฯ (ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไปหนา อิอิ)
หรือถ้าเค้ารอดจากด่านต่างๆ มาได้ (ไม่ใช่ด่านข้างทางนะ

) และความเป็น
"นวัตกร"ของเค้าฉายแววคิดนวัตกรรมเปลี่ยนโลกได้
แต่กฎหมายในรัฐนี้ไม่ได้คุ้มครอง เพราะไม่มีเงินไปจดสิทธิบัตร (เพราะค่าแรงก็ถูกยังไม่ 300/วันเลย) และเข้าถึงยาก และถ้าจดได้
แต่ไม่มีเงินไปฟ้องฯ หรือถ้าฟ้องคนที่ละเมิด แต่ต่อสู้กันยาวหลายปีกระทั่งหมดเงินรวมทั้งอายุความขาด ฟังดูไม่ดีเลยใช่มั้ยครับ...

เพราะรัฐนี้ไม่ใช่
"นิติรัฐ" แต่เป็น
"นิติราษฎร์" ที่ไม่ได้ออกกฎหมายมาเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไม่ให้ถูกละเมิด
ผมว่ามันเป็นอะไรที่เกิดได้ยากจริงๆ เพราะที่นี่ "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" จะมีมั้ยผู้มีบารมีในบ้านเมืองนี้ที่จะตั้งใจ
เปลี่ยนแปลง และทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้น อย่างที่ สตีฟ จ๊อบส์ ทำกับโลกใบนี้ เพราะผมเห็นคนที่จบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงต่างๆ
เป็นคนที่เรียน "สหวิทยาการ" มากกว่า สตีฟ จ๊อบส์ เสียอีก มานั่งเป็นผู้บริหารบ้านเมือง ไอ้พวกอย่างผมก็ได้แต่
เฝ้าดูแหละครับ ว่าปลาดุกจะมีเขา หมาจะมีงวง สิทธิเสรีภาพผู้คนถูกล่วงละเมิด ตายเป็นร้อยเป็นพัน แต่ก็แจกยาทัมใจให้ปรองดอง.. 55+"