เช้านี้อากาศสดชื่นแจ่มใสมาก..
แต่ต้องต๊กกาใจเมื่อได้ฟังข่าวรายงานสภาพอากาศเมื่อเช้า
25 - 27 กค. ภาคเหนือฝนอาจตกเยอะเพราะอิทธิพลพายุ
ฝนเจ้ากรรมก็พึ่งห่างหายจะเอาอีกแระ....
นี่คือที่มาของคำว่า..แจ๊ะ ๆ แม๊ะ ๆ..
ภาษาอีสานว่า..จื้น
ภาษาภาคกลางว่า ชื้นแฉะ

..................
วันนี้นำเกร็ดความรู้มาฝากนะจ้ะ
ศาสนา พราหมณ์-ฮินดู นับถือวัวเพราะถือว่า วัวเป็นพาหนะของพระอิศวร เมื่อวัวตาย จะเอาไขจากวัวมาทำเป็นน้ำมันเพื่อจุดบูชาพระผู้เป็นเจ้าที่ตนเคารพ
แต่ชาวพุทธซึ่ง นับถือศาสนาพุทธจะทำเทียนเพื่อจุดบูชาพระรัตนตรัย โดยการเอารังผึ้ง ร้างมาต้มเอาขี้ผึ้ง แล้วฟั่นเป็นเทียนเล่มเล็ก ๆ มีความยาวตามต้องการ เช่น ยาวเป็นคืบ หรือเป็น ศอกแล้วใช้จุดบูชาพระ
เทียนพรรษา เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ชาวพุทธจะยึดถือเป็นประเพณีนำเทียนไป ถวายพระภิกษุในเทศกาลเข้าพรรษา เพื่อปรารถนาให้ตนเองเป็นผู้เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ ประดุจ แสงสว่างของดวงเทียน
การทำและแห่เทียนพรรษา เป็นประเพณีวันเข้าพรรษา ของชาวพุทธ ที่ได้กระทำต่อเนื่องกันมาแต่พุทธกาล โดยมี
วัตถุประสงค์ เพื่อ ถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา
มีเรื่องเล่าว่า ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้า ได้เสด็จจำ พรรษา อยู่ที่วัดป่าเลไลย์ เพื่อหาความสงบในป่าแห่งหนึ่ง ได้มี พญาช้างสาร และพญาวานรแสนรู้ สืบทราบว่า พระพุทธเจ้า ได้เสด็จมาประทับแรม จึงชวนกันไปเป็นผู้อุปัฏฐาก โดยพญาช้าง เป็นผู้หาน้ำดื่ม น้ำใช้ ส่วนพญาวานร เป็นผู้หารังผึ้งมาถวาย ต่อมา พญาวานรเกิด พลาดพลั้งพลัด ตกต้นไม้ตาย แต่ด้วย อานิสงส์ ที่ได้ทำไว้กับ พระพุทธเจ้า จึงได้เกิดเป็นพระพรหม อยู่บนสวรรค์
อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พระอนุรุทธสาวกของ พระพุทธเจ้า ที่มีสติปัญญา เฉลียวฉลาดหลักแหลม
รู้พระธรรม วินัยอย่างแตกฉาน ก็เพราะในชาติปางก่อน เคยถวายแสงประทีป เป็นทาน ดังนั้น พุทธศาสนิกชน ผู้ใฝ่บุญกุศล จึงได้ยึดถือ เป็น ประเพณีนำเทียน ไปถวายแด่พระภิกษุในเทศกาลเข้าพรรษา เพื่อปรารถนาให้ตนเอง เป็นผู้เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ ประดุจ ขี้ผึ้ง ที่ใช้ทำเทียนซึ่งได้จากรังผึ้ง (อีสานเรียกว่า เรียงผึ้ง) โดย นำมาต้มเป็นงบคล้ายน้ำอ้อย บางที ดัดแปลงเป็นเลา (เหมือน ต้นอ้อย หรือลำไม้ไผ่) หรือรูปเหลี่ยม ส่วนการตกแต่ง ใช้วัสดุ จำพวกเชือกย้อมสี กระดาษที่ตัดเจาะ เป็นรูปตามถนัด พันรอบ ต้นเป็นเปลาะๆ
ประวัติความเป็นมา
ก่อนสมัยของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิ ประสงค์ ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองอุบลในสมัยนั้น ในการ ทำเทียนพรรษา และการแห่เทียนของชาวเมืองอุบลยังไม่มี ซึ่งเมื่อสมัยนั้น เมื่อถึง วันเทศกาลเข้าพรรษา ชาวบ้านจะฟั่นเทียน พันรอบศรีษะนำไป ถวายพระ เพื่อจุดบูชาจำพรรษา พร้อมทั้งหา น้ำมัน เครืองไทยทาน และผ้าอาบน้ำฝน ไปถวายพระ
ครั้นในสมัยกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้เป็นผู้ สำเร็จราชการ ที่เมืองอุบล ซึ่งในครั้งนั้น ได้มีการจัดขบวนแห่ บั้งไฟขึ้นที่วัดกลาง โดยมีชาวบ้านเข้าร่วมขบวนแห่ เป็นจำนวน มาก ซึ่งในการจัดขบวน แห่ในครั้งนั้น ได้มีการทำร้ายร่างกายกัน จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ ความตาย ดังนั้นเมื่อทราบถึงเสด็จในกรม จึงทรงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี จึงขอให้เลิกการแห่บั้งไฟ ตั้งแต่ บัดนั้น โดยให้เปลี่ยนมาเป็น การแห่เทียนแทน
การแห่เทียนแต่เดิมไม่ได้ใหญ่โตเช่นปัจจุบัน เพียงแต่ ชาวบ้าน ร่วมกัน บริจาคเทียนแล้วนำเทียน มาติดกับลำไม้ไผ่ ที่เตรียมไว้ ตามรอยต่อ หากระดาษจังโก (กระดาษสีเงินสีทอง) ตัดเป็นลายฟันปลาติดปิด รอยต่อ เสร็จแล้วนำต้นเทียน ไปมัดติด กับปี๊บ น้ำมันก๊าด
ฐานของต้นเทียนใช้ไม้ตีเป็นแผ่นเรียบ หรือทำสูงขึ้นเป็น ชั้นๆ ติดกระดาษ เสร็จแล้วมีการ แห่นำไปถวายวัด ซึ่งพาหนะ ที่ใช้ ในสมัยนั้น นิยมใช้เกวียนหรือล้อเลื่อนที่ใช้วัวหรือคน ลากจูง
ประวัติประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี
ถ้าเป็นวัวก็มักจะมีการตกแต่งบริเวณรอบเขา รอบคอ และข้อเท้าด้วยกระดาษสี เกราะ หรือกระพรวน ส่วนขบวนแห่ ของชาวบ้าน ก็จะมีฆ้อง กลอง กรับ และการฟ้อนรำเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ต่อมา การทำเทียนได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ ถึงขั้นใช้การหล่อดอกจากผ้าพิมพ์ที่เป็นลายง่ายๆ เช่น ประจำยาม กระจัง ตาอ้อย บัวคว่ำ บัวหงาย ก้ามปู กรุยเชิง หน้าขบ ฯลฯ โดยนำไปติดที่ลำต้นเทียน ซึ่งช่างฝีมือคนแรกที่เป็นผู้เริ่ม คือ นายโพธิ์ ส่งศรี ต่อมา นายสงวน คูณผล ช่างฝีมืออีกผู้หนึ่ง ได้นำวิธีการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ และประดับฐานต้นเทียนด้วยรูปปั้นสัตว์ และลายไม้ฉลุ ทำให้ดูสวยงามมากขึ้น ในช่วงปี พ.ศ.2495 ประชาชนเริ่มให้ความสนใจและเห็นความสำคัญในการทำ และแห่เทียนพรรษามากขึ้น เมื่อทางจังหวัด ได้ส่งเสริมให้งานเข้าพรรษาเป็นงานประเพณีประจำปีแล้วก็ตาม แต่ต้นเทียนในขณะนั้นก็ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ยังมีการ จัดทำประเภทของเทียนพรรษาอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ ประเภทมัดเทียนรวมกันแล้วติดกระดาษสี และประเภท พิมพ์ลาย ติดลำต้น ครั้นในปี พ.ศ.2497 ช่างฝีมือรุ่นเยาว์ อันได้แก่ นายอารี สินสวัสดิ์ นายประดับ ก้อนแก้ว เป็นอาทิ ได้พัฒนาวิธิทำ ขึ้นมาใหม่ โดยใช้ปูนพลาสเตอร์แกะแม่พิมพ์เป็นลายต่างๆ แล้วหล่อด้วยเทียนออกมาเป็นดอก ซึ่งขี้ผึ้งที่ใช้หล่อดอก จะใช้คนละสีกับลำต้น จึงทำให้มองเห็นส่วนลึกของลายได้อย่างชัดเจน ต่อมาในปี พ.ศ. 2509 นายคำหมา แสงงาม ได้คิดวิธีทำเทียนขึ้นมาใหม่ โดยใช้วิธีแกะสลักลงบนต้นเทียน ซึ่งนับว่าเป็นวิธีทำเทียนที่ต้องใช้ฝีมือเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งช่าง แกะสลักเทียนยุคหลังที่มีชื่อเสียง ได้แก่ นายอุส่าห์ จันทรวิจิตร และนายสมัย จันทรวิจิตร เป็นต้น
อานิสงส์ถวายผ้าจำนำพรรษา
....เมื่อสมัยครั้งพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี มีอุบาสกคนหนึ่ง
เป็นผู้มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ชื่อว่าติสสะ ได้พร้อมใจกับภรรยาของตนเย็บและย้อม ซึ่งจีวรสบง
สังฆาฏิ ได้ถวายเสร็จแล้วก็ทูลลากลับไปสู่เคหาของตน
... ในกาลครั้งนั้นพระโมคคัลลานะ ผู้ประกอบ ด้วยฤทธานุภาพ
สามารถนำข่าวสารสวรรค์มาบอกมนุษย์นำข่าวมนุษย์ไปบอกสวรรค์ และนรกเป็นต้น
ครั้งแล้วพระโมคคัลลานะก็ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เห็นปราสาทมีความงามรุ่งเรืองกว่าปราสาทหลัง
อื่น ๆ และมีนางเทพกัญญา พันหนึ่งแวดล้อมปราสาทนั้น แต่ไม่มีเทพบุตรอยู่ในปราสาทหลังนั้น พระ
เถระเจ้าได้ไต่ถามกับนางเทพอัปสรนั้น ได้ทราบโดยตลอด จึงลงจากเทวโลกเข้าไปสู่สำนักพระบรม
ศาสดากำลังมีพุทธบริษัททั้ง ๔ แวดล้อมอยู่ พระเถระเข้าไปถวายอภิวาท แล้วก็ทูลถามถึงอานิสงส์
ถวายผ้าจำนำพรรษายังมีชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์ ว่าปราสาททิพย์ได้รอคอยอยู่ในเทวโลก เพราะเกิดจาก
ผลทานของการถวายผ้าจำนำพรรษา จะมีบ้างไหมพระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงตรัสว่า
ดูกรโมคคัลลานะ ผ้าจำนำพรรษาที่ติสสะอุบาสกได้กระทำไว้นั้น ก็ได้ปรากฏแก่เธอเองแล้วมิใช่หรือ
พระโมคคัลลานะ ทูลตอบว่าจริงแล้วพระเจ้าข้า
สมเด็จภวันต์ตรัสต่อไปว่า โมคคัลลานะบุคคลผู้ใดมี ศรัทธา ได้ถวายผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุสงฆ์
มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น บุคคลผู้นั้นเบื้องหน้าแต่แตกกายทำลายขันธ์ ไป
ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป “ทานสคฺคโสปาณํ” ผลทานเป็นบันไดนำไปสู่สวรรค์
ปิดกันเสีย ซึ่งอบายภูมิ บุคคลผู้มีมืออันชุ่มไปด้วยการให้ทาน หมู่ทวยเทพทั้งหลายย่อมมีความยินดี
สรรเสริญรอคอยบุคคลผู้ให้ทานนั้นอยู่เสมอ ดุจนางอัปสรเทพกัญญารอคอยติสสะอุบาสกฉะนั้น เมื่อ
จบพระสัทธรรมเทศนาลง บริษัททั้ง ๔ มีความรื่นเริง ยินดีในพุทธพจน์นัก กลับเป็นผู้ตั้งอยู่ในกุศล
สัมมาปฏิบัติเป็นจำนวนมาก ฝ่ายติสสะอุบาสกครั้นทำลายขันธ์ลงก็นำตนไปอุบัติขึ้นใน
สัตตรัตนปราสาท เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ มีนางอัปสรแวดล้อมเป็นยศบริวาร