ล้วงลึก....เรื่องโซ่เอามาฝากครับ...
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.2strokeclub.com/smf/index.php?topic=34939.0เริ่มแรกทีเดียว ไอเดียเกิดในยุค Renaissance genius โดย Leonardo da Vinci (1452-1519)
เป็นผู้ที่เขียนภาพสเก็ตลงบนสมุดโน้ตของท่าน (ในศตรวรรษที่ 16)
ต่อมาชาวฝรั่งเศษชื่อ media Durr Gull นำมาสร้างเป็นโซ่สำหรับจักรยานในปี 1832
ถัดมาก็ชาวชาวสวิส ชื่อ Hans Renold มาสร้างต่อในปี 1880 เป็นโซ่ของจักรยานยนต์

REAR CHAIN & SPROCKETS
โซ่และสเตอร์
มอเตอร์ไซค์ใช้โซ่ในการส่งกำลังไปที่ล้อหลังมานานมาก เหตุเพราะทำได้ง่ายไม่ยุ่งยาก มีประสิทธิภาพสูญเสียต่ำ ดูแลรักษาง่าย และ ราคาถูก ในยุคแรกเริ่มโซ่จะถูกห้อหุ้มเป็นอย่างดี (ดูรูป) ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน...มาก...ถึงมาก มาก มาก มากๆๆๆๆๆๆๆ อาจมากถึง 64,000 กิโลเมตรเลยทีเดียว
แต่ในปัจจุบันเหมือนโดนต้องมนต์วิเศษของผู้ผลิต ที่ทำออกมาแบบเปิด ซึ่งก็โทษบริษัทเหล่านั้นไม่ได้ก็พวกเราขาโจ๋ ขาซิ่ง ชอบแบบเปลือยกันเอง จะมีก็มอไซค์ผู้หญิงที่ยังเป็นแบบปิดอยู่ อาทิเช่น Honda Wave...เป็นต้น การทำแบบเปลื่อยนอกจากจะได้ในเรื่องของสมัยนิยมแล้ว ยังได้ความสวยงามและสามารถขายอะไหล่ได้มากๆๆอีกด้วย
โซ่แบบเปลือย เราต้องดูแลหยอดน้ำมันหล่อลืนหรือทำความสะอาดบ่อยมากยิ่งขึ้น ถ้าถามว่าบ่อยเท่าไรถ้าเป็นโซ่ปรกติก็ควรดูแลทุกครั้งที่เติมน้ำมันเต็มถัง หรือทุกๆๆชั่วโมงของการใช้งานก็ยิ่งดีมากขึ้น
มีบางท่านหยอดน้ำมันโซ่ปีละครั้งก็เคยพบเห็น ถ้าขาดการดูแลขาดน้ำมันหล่อลืน ทั้งโซ่และสเตอร์จะเริ่มสึกหรอสูงมากหลังผ่านการใช้งานมาไม่กี่พันกิโลเมตรโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะโซ่จะไม่แนบกับฟันสเตอร์เมื่อข้อต่อต่างๆๆเริ่มสึกหรอและมีการยืด ทำให้ฟันของสเตอร์หน้าและหลังสึกหรอตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว

การสึกหรอทำให้ P (Pitch) ยืดยาวกว่าเดิม ไปสร้างความสึกหรอให้ฟันสเตอร์ต่อไป
มีบางท่านใช้โซ่ 630 ที่ดูแลเป็นอย่างดี มีการหล่อลืนโซ่สม่ำเสมอ เมื่อตัวโซ่ครบกำหนดเปลียนก็ยังอยู่ในสภาพพอใช้งานได้ ฟันสเตอร์ก็ยังไม่สึกหรอมากนัก ซึ่งไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยเท่าไร
Chain TIP.... ที่สำคัญที่สุดของโซ่ก็คือการหล่อลืนที่ดีตลอดเวลา ทำความสะอาดสม่ำเสมอ
ในสมัยก่อนๆๆโน้น....เราอาจยังคงคุ้นเคยกับการถอดโซ่ออกมาล้างทำความสะอาด
จะด้วยน้ำยาล้างเครื่อง ล้างด้วยเบนซิน ดีเซลก็สุดแต่ปรารถนา เสร็จแล้วก็นำไปใส่ในถาด
พร้อมด้วยจารบี นำไปตั้งเตาเผาไฟ ให้จารบีละลายเป็นของเหลวจะได้ซึมเข้าไปถึงแกนกลางข้อต่อ

Pin Bushing Bearing Area
นั่นคือวิธีที่ดีที่สุดในยุคนั้นในการหล่อลืน แต่ในปจบไม่มีใครทำวิธีนี้กันแล้ว โดยมากก็เอาไปแช่ในน้ำมันเกียร์เบอร์ 90 ซึ่งก็สามารถซึมผ่านเข้าไปและหล่อลืนได้ดีพอๆๆกัน แต่ข้อเสียของนมเกียร์ก็คือมันสามารถกระเด็นออกมาเมื่อมีแรงหนีศูนย์กลางในขณะที่ใช้งาน
สเปร์ยพวกนี้ฉีดออกมาเป็นน้ำและแทรกซึมได้ดี สามารถซึมเข้าไปถึง Pin Bushing Bearing Areaก่อนที่สารระเหยจะระเหยออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แต่เนื้อจารบี

ส่วนประกอบหลักๆๆของโซ่

มีบางท่านที่ใช้โซ่เทพ พวก O-ring, X-ring, Thep-ring
ควรมีการปรับตั้งโซ่ให้ตึงตามคู่มือผู้ผลิตแนะนำ (หาอ่านหรือ DL จากหน้าคู่มือครับ)
สเตอร์หน้าและสเตอร์หลังต้องอยู่ในแนวตรงกัน หลังปรับตั้ง ไม่งั้นโซ่จะสึกหรอด้านข้างสูงมาก
การปรับให้สเตอร์อยู่ในแนวตรงกันก็ดูจากมาร์คที่สวิงอาร์มและปรับตั้งให้ถูกต้อง
รถบางคันสติกเกอร์มาร์คขีดสำหรับปรับหายไปแล้ว ก็สามารถดูได้ด้วยสายตาในเบื้องต้น
ว่าโซ่ขนาดไปกับสเตอร์หรือไม่ มีกระทู้ของท่าน Aum ใด้โพสท์เอาไว้โดยใช้ตลับเมตร
วัดจากหัวน็อตสวิงอาร์มทั้งสองข้าง เป็นต้น
นอกจากนี้ก็มีเครื่องมือปรับตั้งดังรูปนี้ ใช้สายตาเล็งให้แกนเหล็กขนานไปกับโซ่ตลอดแนวไปถึง
สเตอร์หน้า

การทดสอบดูว่าโซ่ยืดหรือไม่ด้วยการจับโซ่ดึงออกมาตรงๆๆๆทึ่จุดกึ่งกลางของโซ่ที่คล้องสเตอร์หลัง

ถ้าคุณสามารถดึงโซ่ออกมาจากสเตอร์เกิน 6mm ถือว่าโซ่ยืดจนหมดอายุการใช้งานแล้ว
หรืออีกวิธีด้วยการนำโซ่ออกมาวัดความยาว ถ้าโซ่ยืดยาวเกินกว่า 2.5% ของใหม่ก็ถือว่าเกินค่า
มาตรฐานแล้วสมควรเปลี่ยนใหม่ด้วยเช่นกัน
(เดี๋ยวกระทู้ท้ายๆๆ ผมจะนำสูตรการคำนวณความยาว ของโซ่ใหม่มาให้)
โซ่ที่สึกหรอหรือยืดเกินค่าที่กำหนด จะมีเสียงดังและปรับตั้งลำบาก ในกรณีจำเป็นที่ปรับตั้ง
แล้วจนสุดสวิงอาร์มแต่โซ่ก็ยังหย่อนเกินไป เราสามารถตัดโซ่ออกไปครั้งละ 2 ข้อได้
แต่ก็มีข้อต่อพิเศษบางชนิดที่สามารถให้เราตัดออกไปแค่ 1 ข้อได้ ดูรูปตัวอย่างครับ
การทำก็คือ เอาออก 2 ข้อ ใส่ข้อต่อพิเศษเข้าไป 1 ข้อ = ตัดออกไปแค่ 1 ข้อ

ในกรณีที่เราต้องตัดข้อต่อออก นั้นหมายความว่าโซ่นั้นหมดอายุเกินกว่าค่ามาตรฐานแล้ว
ว่าแต่ว่า...เกินเท่าไรที่เรียกว่าเกินมากเกินไป หรือคุณอยากเรียกอะไรก็ตามแต่ปรารถนา......
มีข้อคิดแบบนี้ครับ...
- คุณวิ่งเร็วแค่ใหน
- รถคุณมีแรงม้ามากแค่ใหน
ยิ่งคุณใช้กำลังมาก ความเร็วมาก ความเสี่ยงก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ถ้าในกรณีที่โซ่ขาดขึ้นมา อาจทำให้ฝาครอบสเตอร์หน้าเสียหาย หรือเสื้อเครื่องแตกได้
หรือคุณอาจชอบแบบผาดโผนตื่นเต้นกว่านั้น โซ่ไปล้อคล้อหลังตายขึ้นมา ยิ่งตื่นเต้นเป็นทวีคูณ
ตามความเร็วที่คุณใช้ในขณะนั้น....
หรือบางท่านใช้จนกระทั้งสเตอร์ล้ม เปิดคันเร่งทีโซ่กระโดดข้ามร่องสเตอร์..

โซ่ที่ขายจำหน่ายบอกออกมาเป็นเบอร์ เช่น 415 420 428 430 520 525 530 630
โดยมีมิติง่ายๆๆดังนี้
P = Pitch
W = Width
R = Roller diam.
เครื่องยนต์ที่มีกำลังมากขึ้นก็ต้องการใช้โซ่ขนาดใหญ่ขึ้น
โช่ขนาด 428 และ 428H มีขนาด P W R ที่เท่ากัน แต่จะมีแผ่นปะกับนอก+ใน
(Inner Plate + Outer Plate) ที่แตกต่างกันในความหนา ทำให้สามารถรับแรงกระชากได้สูงกว่า
เช่นเดียวกับโซ่ขนาด 520, 525 and 530 ทีมีมิติที่เท่ากัน แตกต่างกันแค่ W ดังกล่าวข้างต้น
ดังนั้นโซ่ขนาด 520 525 530 สามารถไปใส่ในสเตอร์ของ 520 ได้ แต่สเตอร์ของ 530 ใส่ได้แต่
โซ่ 530 อย่างเดียวเป็นต้น
ในแนวทางทั่วๆๆไป ขนาดฟันสเตอร์หน้า 1 ฟัน = 3 - 3.5 ฟันของสเตอร์หลัง
ผมมีข้อแนะนำทีดีแบบนี้ครับ ควรใช้ขนาดสเตอร์หน้าที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะใส่ได้ โดยให้เหมาะสมกับสเตอร์หลังที่เล็กที่สุด เหตุผลเพราะขนาดของสเตอร์หน้าที่เล็ก จะทำให้มุมการเคลื่อนใหวหักงอของข้อต่อสูงทำให้เกิดการสึกหรอที่สูงตามไปด้วย และนอกจากนั้นยังทำให้โซ่หย่อยลงมาสีถูกับสวิงอาร์มได้ง่ายกว่าสเตอร์หน้าขนาดใหญ่ตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนสเตอร์หน้าให้เล็กหรือใหญ่ขึ้น มีค่าใช้จ่ายที่ถูกมากกว่า อาจไม่ต้องตัดต่อโซ่ซึ่งแตกต่างจากการเปลียนสเตอร์หลังเป็นอย่างมาก