ผู้ที่ชื่นชอบการลงทุนในทองคำนั้น นอกจากจะทำได้ทั้งซื้อทองแท่งและทองรูปพรรณโดยตรงแล้ว อีกรูปแบบหนึ่งที่นิยมไม่แพ้กันคือ การลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่อย่างแพร่หลาย แม้กองทุนทองคำในไทยจะลงทุนแบบเดียวกันคือซื้อหน่วยลงทุนของ SPDR Gold Trust แต่ไม่ใช่ว่าผลตอบแทนของทุกกองจะเหมือนกันเสียทีเดียว บทความนี้ขอเล่าถึงลักษณะที่สำคัญของกองทุนทองคำในไทย ที่ทำให้ผลตอบแทนออกมาแตกต่างกัน เพื่อผู้อ่านจะได้พิจารณาและเลือกลงทุนได้เหมาะสมกับความต้องการของตัวเองครับ
» เกริ่นนำ กองทุนทองคำในประเทศไทย
ปัจจุบัน ตลาดกองทุนรวมไทยมีกองทุนทองคำอยู่ 17 กองทุน บริหารจัดการโดยบริษัทจัดการลงทุน 12 แห่ง มีขนาดกองทุนรวมประมาณ 13,856 ล้านบาท (ข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2554) ส่วนใหญ่ประมาณ 85% เป็นกองทุนรวมทองคำแบบเพื่อการลงทุนทั่วไป ส่วนที่เหลืออีก 15% เป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรือ RMF ที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ประเภททองคำ
แม้ว่าจะเรียกกันโดยทั่วไปว่าเป็นกองทุนทองคำ แต่กองทุนเหล่านี้ไม่ได้นำเงินของผู้ลงทุนไปซื้อทองคำแท่งโดยตรงหรอกครับ จริงๆ แล้วเป็นการลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของ SPDR Gold Trust (อ่านว่า “สไปเดอร์โกลด์ทรัสต์”) ซึ่งเป็นกองทุนประเภท ETF (Exchange Traded Fund) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริหารจัดการโดย World Gold Trust Services, LLC ในเครือของสมาพันธ์ทองคำโลก (World Gold Council) โดยกองทุน SPDR Gold นี้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ 4 แห่ง คือ นิวยอร์ก ฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
www.spdrgoldshares.com » ผลตอบแทนกองทุนทองคำในไทยแตกต่างกัน
กองทุน SPDR Gold Trust นั้นลงทุนในทองคำแท่งจริง ซึ่งทำให้ราคาหน่วยลงทุนเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับราคาทองคำแท่งตลาดโลก แต่ผลตอบแทนกองทุนทองคำในไทยทั้งหลายนี้มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ผู้เขียนขอยกปัจจัยสำคัญ 2 ประการที่อยากจะแนะนำให้ผู้อ่านต้องคำนึงถึงเมื่อเวลาเลือกลงทุนในกองทุนทองคำครับ
ตลาดหลักทรัพย์ของโลกที่ใช้อ้างอิงราคาซื้อขาย
ทองคำถือเป็นสินทรัพย์เรียกได้ว่ามีการซื้อขายกันตลอด 24 ชั่วโมง หมุนเวียนไปตามตลาดต่างๆ หากตลาดไหนถึงเวลาปิดทำการ ผู้ลงทุนในตลาดโลกสามารถทำการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่นได้ ดังนั้น แม้กองทุนทองคำในไทยจะลงทุนใน SPDR Gold Trust เหมือนกัน แต่ในรายละเอียดแล้ว ราคาซื้อขายที่ใช้อ้างอิงจะแตกต่างกันไปตามตลาดหลักทรัพย์ที่เลือก (ดูได้จากหนังสือชี้ชวน) เช่น กองทุนทองคำของ บลจ.กสิกรไทย บลจ.แอสเซทพลัส บลจ.อยุธยา และ บลจ.บัวหลวง อ้างอิงราคาตลาดสิงคโปร์ ขณะที่ บลจ.ทหารไทย อ้างอิงตลาดนิวยอร์ก ส่วน บลจ.เอ็มเอฟซี อ้างอิงตลาดฮ่องกง เป็นต้น ดังนั้น หากราคาทองในตลาดโลกเปลี่ยนแปลงไปชั่วข้ามคืน ก็จะมีผลให้มูลค่าของแต่ละกองทุนในไทยต่างกันไปด้วย
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่ติดตามราคาทองคำในตลาดโลกสามารถดูคร่าวๆ ได้ว่า ถ้าลงทุนกองทุนทองคำที่อ้างอิงตลาดสิงคโปร์จะใช้ราคาปิดราว 5 โมงเย็นตามเวลาในประเทศไทย ตลาดฮ่องกงเร็วกว่าเล็กน้อยคือประมาณ 4 โมงเย็น ส่วนตลาดนิวยอร์กจะอยู่ประมาณตี 5 ของวันถัดไป
นโยบายป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ปัจจัยที่มีความสำคัญและมีต่อกำไรขาดทุนของกองทุนเป็นอย่างมากคือ นโยบายป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน กองทุนรวมบางกองแม้จะอ้างอิงราคาตลาดแห่งเดียวกัน แต่หากใช้นโยบายป้องกันความเสี่ยงคนละแบบ ก็จะทำให้ผลตอบแทนกองทุนรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญได้ ตัวอย่างเช่น กองทุน K-Gold และ Asset Plus Gold (ตลาดสิงคโปร์และป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวน) ให้ผลตอบแทนราว 18% ในปี 2553 ต่างจากองทุน AYF Gold และ Bualuang Gold (ตลาดสิงคโปร์และไม่ป้องกันความเสี่ยง) ซึ่งให้ผลตอบแทนราว 12%
เหตุการณ์สำคัญในปี 2553 คือเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ทำให้กองทุนทองคำซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ หรือ Foreign Investment Fund (FIF) ประเภทหนึ่งได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ถ้าไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงไว้ก่อนจะทำให้เมื่อแปลงมูลค่าต่างประเทศกลับมาเป็นเงินบาทก็จะได้ในจำนวนที่น้อยลง และสะท้อนเป็นผลตอบแทนที่ต่ำลง
แต่การป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวนนี้จะส่งผลตรงข้ามเมื่อค่าเงินบาทอ่อนตัว อย่างเช่นในเดือนแรกของปี 2554 ที่ค่าเงินบาทอ่อนลง ทำให้กองทุนรวมที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจะให้ผลตอบแทนสูงกว่ากองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวน (เพราะสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อแปลงเป็นเงินบาทแล้วจะได้จำนวนที่มากขึ้น)
กสิกรไทย แอสเซทพลัส เอ็มเอฟซี อยุธยา ทหารไทย บัวหลวง
ตลาดหลักทรัพย์ สิงคโปร์ สิงคโปร์ ฮ่องกง สิงคโปร์ นิวยอร์ก สิงคโปร์
นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งจำนวน ทั้งจำนวน บางส่วน ไม่ป้องกัน บางส่วน ไม่ป้องกัน
ผลตอบแทน % K Gold Asset Plus Gold MFC Intl Gold AYF Gold TMB Gold Bualuang Gold
ขนาดกองทุน (ล้านบาท) 7,627 334 246 420 1,871 452
ปี 2553 18.95% 17.27% 17.25% 11.75% 11.74% N/A
ปี 2554 ตั้งแต่ต้นปี -4.87% -5.49% -5.20% -3.18% -2.21% -2.99%
หมายเหตุ: ข้อมูล ณ 2 กุมภาพันธ์ 2554
จากตารางนี้ น่าสังเกตว่า ผลตอบแทนกองทุนทองคำสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน คือ กลุ่มที่มีนโยบายป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน (หรือดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น) กองทุนเหล่านี้ให้ผลตอบแทนประมาณ 18% ในปี 2553 และ -5% ในเดือนแรกของปี 2554 ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่มีนโยบายไม่ป้องกันความเสี่ยง ให้ผลตอบแทนราว 12% ในปี 2553 และ -3% ในเดือนแรกของปี 2554 ทั้งนี้ เราดูคร่าวๆ จะเห็นว่าไม่ว่าตลาดไหนก็จะให้ผลตอบแทนใกล้ๆ กัน
แม้การเลือกลงทุนในกองทุนทองคำมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงหลายประการ ไม่ว่าจะปัจจัยภาพรวมระดับโลกคือ ทิศทางเศรษฐกิจโลก อัตราแลกเปลี่ยน ราคาทองคำในตลาดโลก แต่ปัจจัยเหล่านี้กระทบต่อกองทุนทองคำในไทยในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น ถ้าจะเลือกกองทุนทองคำซักกอง แนะนำให้ดูที่ปัจจัยระดับกองทุน เช่น ตลาดหลักทรัพย์ที่ใช้อ้างอิงราคา นโยบายป้องความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายจ่ายเงินปันผล และค่าธรรมเนียมการจัดการ เป็นต้น
จากที่ได้วิเคราะห์เบื้องต้น สรุปได้ว่าการเลือกตลาดหลักทรัพย์ที่ใช้อ้างอิงอาจมีผลบ้างแต่ไม่ได้ดูเด่นชัดเท่าไรนัก การเลือกนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมีความสำคัญมากกว่า เป็นตัวสำคัญที่บอกว่าทำไมกองทุนทองคำในไทยแต่ละกองให้ผลตอบแทนแตกต่างกัน โดยสรุป ถ้ามองว่าเงินบาทจะแข็งค่าก็ให้เลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน แต่ถ้ามองว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าก็ให้เลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายไม่ป้องกันความเสี่ยงครับ
เนื้อหาในบทความนี้เป็นทัศนะส่วนตัวของผู้เขียน มิได้สะท้อนความเห็นของเครือธนาคารกสิกรไทยแต่อย่างใด การใช้ข้อมูลในบทความขอให้อยู่ในดุลยพินิจและการตัดสินใจของท่าน โดยธนาคารไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายอันเกิดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว และไม่ถือว่าธนาคารได้ชี้นำหรือชักจูงให้ท่านเข้าทำธุรกรรมใดๆ
ที่มา : ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย
โดย วสุ ศรีธิมาสถาพร และฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์
*หมายเหตุ ข้อมูล ณ วันที่ 12 มกราคม 2554