เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 กรกฎาคม 2025, 10:34:26
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  อยากรู้ว่าชาวชรฟก ใครเป็นลื้อ ยอง จีนแต้จิ๋วและชนเผ่าอื่นๆผ่องเจ้า มาแชร์กั๋น
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 4 5 พิมพ์
ผู้เขียน อยากรู้ว่าชาวชรฟก ใครเป็นลื้อ ยอง จีนแต้จิ๋วและชนเผ่าอื่นๆผ่องเจ้า มาแชร์กั๋น  (อ่าน 6001 ครั้ง)
☺ (ต้นฟ้า1 อิดเหนื่อย) ☺
มีเงินล้นฟ้า ไม่เท่าค่าของคน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,192


** ความสุขเล็กๆ **


« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 15:41:25 »

                                             ยอง

    ยอง หรือไทยอง ชาวล้านนาจะออกเสียงเป็น "ญอง" แต่กลุ่มชาวไทยองมักออกเสียงเป็น "ยอง" ชื่อ ยอง หรือ ไทยองนี้ ใช้เรียกกลุ่มคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองยอง และกระจายอยู่ทั่วไปในแถบเมืองต่างๆ ในรัฐฉานด้านตะวันออกของพม่า เขตสิบสองพันนา ในมณฑลยูนนานของจีน เมื่อ พ.ศ.๒๓๔๘ กลุ่มชาวเมืองยองได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูนเป็นส่วนใหญ่ ด้วยสาเหตุของสงครามการรวบรวมกำลังคน ต่อมาก็ได้กระจายไปอยู่ในหัวเมืองต่าง ๆ ในล้านนา

    คำว่ายองหรือ "ญอง"อันเป็นชื่อเมืองนั้น ตำนานเมืองยองอธิบายว่าเป็นชื่อหญ้าชนิดหนึ่งที่เคยขึ้นในบริเวณเมืองยอง ครั้งหนึ่งมีนายพรานมาจากอาฬวีนคร ได้จุดไฟเผาป่าทำให้หญ้ายองปลิวไปทั่ว
    เมืองยองมีชื่อเป็นภาษาบาลีว่า "มหิยังคนคร"(ตำนานเมืองยอง) ตัวเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเชียงตุง ห่างกันประมาณ ๘๐ กม. ห่างจากแม่สายประมาณ ๑๕๗ กม. บริเวณเมืองยองเป็นแอ่งที่ราบกลางหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบ ภูมิประเทศด้านตะวันตกสูงกว่าด้านตะวันออก แม่น้ำสายสำคัญคือน้ำลาบ น้ำวัง และน้ำยอง จึงไหลไปทางทิศตะวันออก
    เมืองยองมีประตูเวียง ๗ ประตูคือประตูเสื้อเมือง ประตูน้อย ประตูดินแดง ประตูม่อนแสน ประตูปางหิ้ง ประตูหูหูด และประตูผาบ่อง บริเวณใจกลางเมืองมีต้นสรี หรือต้นโพธิมีไม้ค้ำโดยรอบซึ่งแสดงถึงความเชื่อเรื่องไม้ค้ำสรีเช่นเดียวกับคนเมืองในล้านนา
    เมืองยอง เป็นเมืองที่มีตำนานกล่าวถึงพัฒนาการของบ้านเมืองที่เริ่มขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ โดยเริ่มจากการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนพื้นเมือง ซึ่งได้แก่พวกลัวะหรือทมิฬ

    ต่อ มาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ มีกลุ่มคนไทจากเมืองเชียงรุ่ง นำโดยเจ้าสุนันทะโอรสของเจ้าเมืองเชียงรุ่ง ได้พาบริวารเข้ามามีอำนาจปกครองเมืองยองเหนือคนพื้นเมือง โดยมีทั้งปัจจัยภายในเป็นสิ่งสนับสนุน ได้แก่การผสมผสานระบบความเชื่อและพิธีกรรมที่มีอยู่แต่เดิมกับพุทธศาสนาที่ เข้ามาภายหลัง กับได้สร้างความสัมพันธ์กับคนพื้นเมือง ส่วนปัจจัยภายนอกได้แก่ความสัมพันธ์ทางเครือญาติและระบบบรรณาการกับเมือง เชียงรุ่ง เชียงตุงและการสร้างพันธมิตรทางการเมืองกับกลุ่มเมืองในที่ราบเชียงราย บนฝั่งแม่น้ำโขงตอนกลาง เช่น เชียงแสน เชียงของ เป็นต้น เมืองยองในยุคต้นของตำนาน จึงมีความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมกับเมืองเชียงรุ่งอย่างใกล้ชิด
    จากความสัมพันธ์ดังกล่าว คนเมืองยองจึงสืบเชื้อสายมาจากผู้คนที่อพยพมาจากเมืองเชียงรุ่งและเมืองอื่น ๆ ในสิบสองพันนา ซึ่งเป็นคนลื้อหรือไทลื้อ และเมื่ออพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานครั้งใหญ่ในเมืองลำพูนในปี พ.ศ.๒๓๔๘ คนทั่วไปจึงเรียกว่า ฅนเมืองยอง เพราะในสมัยนั้นรัฐประชาชาติหรือรัฐชาติ (Nation State) แบบตะวันตกยังไม่เกิดขึ้น ในสมัยนั้นผู้คนต่างบ้านหลายเมืองที่มาอยู่ร่วมกัน จึงเรียนขานกันตามชื่อบ้านเมืองเดิม เช่น คนเมืองเชียงใหม่ คนเมืองลำปาง คนเมืองแพร่ คนเมืองน่าน คนเมืองเชียงตุง เป็นต้น ในกรณีของคนเมืองยองต่อมาคำว่าเมืองได้หายไป คงเหลืออยู่คำว่า "ฅนยอง" ดังนั้น ยอง จึงมิใช่เป็นชาติพันธุ์ เมื่อวิเคราะห์จากพัฒนาการและภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของเมืองยองแล้ว คนยองก็คือคนเผ่าไทลื้อนั่นเอง
    เมืองยอง ตั้งอยู่ในแอ่งที่ราบไม่กว้างใหญ่นัก มีภูเขาล้อมรอบ มีความอุดมสมบูรณ์ เพราะมีแหล่งน้ำที่ดี นับเป็นเขตเกษตรกรรมที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ตั้งแต่อดีตจึงมีผู้คนอพยพจากที่ต่าง ๆ เข้ามาตั้งถิ่นฐานตลอดเวลา เขตกำแพงเมืองลักษณะกลมรีตั้งอยู่บนเนินสูง มีคูน้ำคันดิน ที่ตั้งประกอบด้วยประตูเมืองทั้ง ๔ ด้าน ดังนี้
    ด้านเหนือ ติดกับดอยปางหนาว มีประตูม่อนแสน
    ด้านตะวันตก ติดเทือกเขา มีประตูปางหิ่ง
    ด้านตะวันออก ติดที่ราบ มีประตูป่าแดง และประตูน้อย
    ด้านใต้ ติดที่ราบ โดยมีแม่น้ำยองไหลผ่าน มีประตูเสื้อเมือง

    ใน ยุคที่อาณาจักรล้านนาสมัยราชวงศ์มังรายเจริญรุ่งเรืองและมีอำนาจ เมื่อกองทัพมองโกลหรือพวกฮ่อยกกองทัพเข้ายึดเมืองยองได้และเลยมาตีถึงเชียง แสน สมัยพญาสามฝั่งแก่น (พ.ศ.๑๙๔๗-๑๙๔๘) กองทัพเชียงใหม่ สามารถขับไล่พวกฮ่อออกจากเชียงแสนและเมืองยองได้ เมืองยองจึงได้หันมาส่งบรรณาการให้กับเชียงใหม่ ในสมัยที่ที่ล้านนามีอำนาจสูงสุด พระญาติโลกราช (พ.ศ.๑๙๘๔-๒๙๓๙) ได้ขึ้นไปปกครองเมืองยองอยู่ระยะหนึ่งในราว พ.ศ.๑๙๘๕ เพราะตำนานเมืองยอง และตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ได้กล่าวถึงถึงการขยายอำนาจของล้านนาไปจนถึงดินแดนสิบสองพันนา พญาติโลกราช ซึ่งในตำนานได้ระบุว่า "พระเจ้าอโศก" ได้บูรณะพระธาตุจอมยอง และทรงทะนุบำรุงพุทธศาสนาในเมืองยองให้เจริญมั่นคง สันนิษฐานว่าพุทธศาสนาแบบลังกาได้ขึ้นไปเผยแผ่ถึงหัวเมืองต่าง ๆ ทางตอนบนระยะเวลานี้ด้วย เหตุการณ์ดังกล่าวได้บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองยองกับเชียงใหม่ที่ มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังราย
    ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๙-๒๒ ในยุคที่อาณาขนาดจักรใหญ่ได้ขยายตัวออกไปโดยการทำสงคราม เช่น พม่า จีนหรือสิบสองพันนา ดังนั้น ล้านนาและล้านช้างจึงให้ความสำคัญต่อการเพิ่มกำลังคนซึ่งเป็นส่วนประกอบ สำคัญในการขยายอำนาจและสร้างอาณาจักร และยังใช้เป็นสิ่งที่แสดงอิทธิพลเหนือดินแดนต่าง ๆ ในปริมณฑลแห่งอำนาจหรือเมืองชายขอบ

    จากสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เมืองยอง จึงอยู่ท่ามกลางการขยายอำนาจ และการแสดงอิทธิพลของศูนย์อำนาจต่างๆ ตลอดเวลา การอยู่ในฐานะรัฐกันกระทบหรือรัฐกันชน (Buffer State) ระหว่างอาณาจักรใหญ่ ต้องปรับตัวโดยการสร้างความสัมพันธ์ในหลายรูปแบบ เพื่อให้เกิดความสมดุลของอำนาจจากฝ่ายต่างๆ ที่อยู่รายรอบ ทำให้เมืองยองมีลักษณะเป็นเมืองที่เรียกกันว่า "เมืองสามฝ่ายฟ้า" เพราะมีความสัมพันธ์ในเชิงบรรณาการ (tribute) และเชิงอำนาจกับจีน พม่าและเชียงใหม่ในเวลาเดียวกัน ในยามทำสงคราม เมืองยองจึงถูกดึงเข้าสู่การสู้รบ โดยถูกเกณฑ์ทั้งเสบียงอาหารและผู้คน ตลอดจนการกวาดต้อนผู้คนไปตั้งถิ่นฐานในที่ต่าง ๆ ครั้งที่มีความสำคัญมากที่สุดคือ เมื่อกองทัพเชียงใหม่สมัยพระเจ้ากาวิละ นำโดยเจ้าอุปราชธัมมลังกา และเจ้าฅำฝั้น ได้ยกกองทัพขึ้นไปกวาดต้อนผู้คนจากเมืองยองและเมืองใกล้เคียง โดยเฉพาะหัวเมืองต่าง ๆ ทางตอนบนที่เคยมีความสัมพันธ์กันในด้านสังคมและวัฒนธรรมมาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูนและเชียงใหม่ในปี พ.ศ.๒๓๔๘ ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายสำคัญของพระเจ้ากาวิละโดยการสนับสนุนของกรุงเทพฯ เพื่อฟื้นฟูบ้านเมืองต่าง ๆ ในล้านนา เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามและการยึดครองของพม่า
    เมืองเชียงแสนซึ่งเป็นที่มั่นแห่งสุดท้ายที่พม่าได้ใช้เป็นฐานกำลังสำคัญในการควบคุมหัวเมืองต่าง ๆ ในดินแดนทางตะวันออกบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลางได้ถูกกองทัพของเจ้ากาวิละตีแตกในปี พ.ศ.๒๓๔๗

    ในปีถัดมา พ.ศ.๒๓๔๘กองทัพจากหัวเมืองต่าง ๆ นำโดยกองทัพเมืองเชียงใหม่ได้ยกขึ้นไปถึงเมืองยองและได้ "เทครัว" คือนำผู้คนในเมืองยองและหัวเมืองใกล้เคียง เป็นจำนวนมากให้มาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูนและเชียงใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้คนเบาบาง การ "เทครัว"จากเมืองยองครั้งนี้ เป็นการอพยพผู้คนครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง ที่มีการนำมาทั้งระบบของเมืองอันประกอบด้วยเจ้าเมืองยอง บุตร ภรรยา ญาติพี่น้อง ขุนนาง พระสงฆ์ และผู้นำท้องถิ่นระดับต่าง ๆ ตลอดจนไพร่พลจำนวนมากเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูน
    ระหว่างปี พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๓๙ พระเจ้ากาวิละและญาติ ได้ตั้งมั่นและรวบรวมผู้คนอยู่ที่เวียงป่าซางเขตเมืองลำพูน จนมีกำลังคนเพียงพอแล้วจึงได้เข้ามาตั้งมั่นและฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ ใน ปี พ.ศ.๒๓๓๙ พระเจ้ากาวิละยังได้ดำเนินการรวบรวม และกวาดต้อนผู้คนต่อมาอีกหลายครั้งและได้ขยายขอบเขตการกวาดต้อนผู้คนออกไป ยังบริเวณอื่นโดยเฉพาะในแถบตะวันออกของแม่น้ำฅง ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้ากาวิละ ดำรงตำแหน่งเจ้าประเทศราช ในปี พ.ศ.๒๓๔๕ ทำให้พระเจ้ากาวิละเป็นที่ยอมรับของหัวเมืองต่าง ๆ ในล้านนาและหัวเมืองทางตอนบน อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากกรุงเทพฯ มากขึ้นกว่าเดิม ดังจะเห็นได้จากในคราวที่พระเจ้ากาวิละยกกองทัพไปตีเชียงแสน ในปี พ.ศ.๒๓๔๕-๒๓๔๗ ก็ได้รับการสนับสนุนกำลังทหารจากกรุงเทพฯ เวียงจันทน์ เมืองลำปาง เมืองน่าน และครั้งที่ยกไปตีและกวาดต้อนผู้คนจากเมืองยองครั้งใหญ่ ในปี พ.ศ.๒๓๔๘ นั้นก็ได้รับการสนับสนุนกองทัพจากเมืองลำปาง เมืองแพร่ เมืองน่านและเชียงตุง ที่มีกำลังคนนับ ๑๙,๙๙๙ คน นับเป็นการยกทัพครั้งใหญ่ที่สุดในสมัยพระเจ้ากาวิละ
    หลังจากทัพพม่าที่เชียงแสนถูกทัพจากเชียงใหม่ตีแตกในปี พ.ศ.๒๓๔๗ แล้ว ทัพเชียงใหม่ได้ยกขึ้นไปตีเมืองยองก่อนเมืองอื่น ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานะของเมืองยองในปี พ.ศ.๒๓๔๘ ว่าเป็นศูนย์อำนาจย่อยของหัวเมืองบริเวณใกล้เคียง ดังเช่นในสมัยพระเจ้าสุทโธธรรมราชา(พ.ศ.๒๑๔๘-๒๑๙๑) พม่าได้มอบหมายให้เมืองยองดูแลหัวเมืองต่าง ๆ ถึง ๑๒ หัวเมืองมาก่อน การที่ทัพเชียงใหม่ยกมาครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่เมืองยอง โดยเห็นได้จากภายหลังที่เมืองยองยอมสวามิภักดิ์แล้ว มีผลทำให้หัวเมืองอื่น ๆ ในบริเวณแถบนี้ยอมสวามิภักดิ์ต่อเชียงใหม่เช่นเดียวกัน ทำให้กองทัพเชียงใหม่สามารถขยายอิทธิพลเข้าไปถึงสิบสองพันนาและหัวเมืองอื่น ๆ ที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจและอิทธิพลของพม่าได้สะดวก

    ตำนาน พื้นเมืองเชียงใหม่เป็นเอกสารพื้นเมืองเพียงฉบับเดียวที่ให้รายละเอียดถึง เหตุการณ์ที่กองทัพเชียงใหม่ยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนจากเมืองยองในปี พ.ศ.๒๓๔๘ ในการที่พระเจ้ากาวิละยกทัพไปตีเมืองยองครั้งนี้ ก็อ้างว่าเป็นการกระทำดังที่กษัตริย์ในราชวงศ์มังรายได้ปฏิบัติมาก่อน แต่จากการที่เมืองยองได้ยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี และยังได้ถวายสิ่งของต่าง ๆ รวมไปถึงนางหน่อแก้วเกี๋ยงคำ น้องต่างมารดาของเจ้าฟ้าหลวงเมืองยองให้กับเจ้าอุปราชธรรมลังกาด้วยพร้อมกับ ผู้คนอีก ๑๙,๙๙๙ คน และอาวุธต่าง ๆ เช่น ปืนใหญ่ถึง ๑,๙๙๙ กระบอกกับช้างม้าเป็นอันมาก แสดงให้เห็นว่าทางเมืองยองก็ได้มีกำลังไพร่พลและอาวุธอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
    เป็นที่น่าสังเกตว่า ตำนานเมืองยองไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด แต่ในทางตรงกันข้าม กลับกล่าวถึงการสู้รบอย่างหนักติดต่อกันนานถึง ๓ วัน กองทัพของเชียงใหม่ที่ยกมา ยังประกอบด้วยกองทัพของเจ้าเชียงตุงและเจ้าจอมหง(เจ้าเชื้อสายเชียงตุง) การรบครั้งนี้ทำให้จอมหงแม่ทัพคนสำคัญคนหนึ่งของฝ่ายเชียงใหม่เสียชีวิต แต่เมืองยองก็แพ้ต่อกองทัพเมืองเชียงใหม่ ดังที่ตำนานเมืองยองกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า "..แต่นั้นครั้นรบกัน ได้แพ้(ชนะ)เมืองยองแล้ว ก็เอากันไปหาบ้านเมืองแห่งเขาหั้นและ.." ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมืองยองไม่ได้ยอมสวามิภักดิ์ตามที่ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวไว้ และในขณะที่เอกสารที่เขียนโดยชาวอังกฤษชื่อ เจ ยอร์จ สกอตต์ (J.George Scott) ได้กล่าวถึงสงครามครั้งนี้ว่า คนเมืองยองได้ตื่นตระหนกตกใจหนีเข้าป่าไปจำนวนหนึ่ง และอีกจำนวนหนึ่งถูกบังคับและกวาดต้อนไป บ้านเมืองถูกทำลายและได้รับความเสียหายจากกองทัพสยาม

    ใน ขณะที่กองทัพเชียงใหม่พักไพร่พลอยู่ที่เมืองยองในปี พ.ศ ๒๓๔๘ นั้น ก็ได้ถือโอกาสยกทัพออกไปปราบปรามและกวาดต้อนผู้คนจากหัวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับเมืองยองและดินแดนสิบสองพันนา ได้แก่ บ้านยู้ เมืองหลวย เมืองกาย เมืองขัน เชียงขาง เมืองวะ เมืองลวง เมืองหน(หุน) เมืองแช่ เมืองราย (ฮาย) เมืองเจื่อง ท่าล้อ เมืองพาน เมืองม้า เมืองของ เมืองวัง เมืองมาง เมืองขาง เมืองงาด เมืองออ เมืองงิม เมืองเสี้ยว เชียงรุ่ง ทำให้อำนาจของเชียงใหม่ขยายกว้างใหญ่ดังที่เป็นมาแล้วในสมัยราชวงศ์มังราย ครั้งนั้น พระเจ้ากาวิละน่าจะได้มอบหมายให้เจ้าเมืองยองและไพร่พลเข้ามาตั้งอยู่ที่เขต เมืองเชียงใหม่และลำพูน เพราะไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการแบ่งไพร่พลเมืองยองให้กับเมืองต่าง ๆ เพียงแต่ไม่ปรากฎหลักฐานว่าไพร่พลเหล่านั้นของตนไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณใดของ เมืองเชียงใหม่หรือลำพูน แต่น่าจะเป็นบริเวณรอบ ๆ ตัวเมืองเชียงใหม่เป็นส่วนใหญ่ เพราะในปัจจุบันมีชื่อหมู่บ้านและชุมชนกระจายตัวอยู่รอบ ๆ ตัวเมืองเชียงใหม่ เช่น บ้านเมืองวะ บ้านเมืองก๋าย บ้านเมืองเลน บ้านเมืองลวง บ้านวัวลาย บ้านตองกาย บ้านท่าสะต๋อย บ้านเชียงขาง วัดเชียงรุ่ง เป็นต้น จะมีเพียงเจ้าเมืองยองและญาติพี่น้องพร้อมกับไพร่พลเท่านั้นที่ได้รับมอบ หมายให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูนและมีบทบาทในการบริหารบ้านเมืองร่วม กับกลุ่มเจ้าเจ็ดตน
    การตั้งถิ่นฐานของชาวยองในเมืองลำพูน
    ในระหว่างปี พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๔๗ ก่อนการก่อตั้งเมืองลำพูน พระเจ้ากาวิละยังไม่ได้แต่งตั้งให้ผู้ใดเป็นเจ้าเมืองลำพูน ด้านการปกครองยังคงมีสภาพเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ จนถึงปี พ.ศ.๒๓๔๘ พระเจ้ากาวิละเห็นความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งและฟื้นฟูเมืองลำพูนอันเป็น นโยบายการเตรียมกำลังคนเพื่อสนับสนุนเชียงใหม่เมื่อมีการสงคราม นอกจากนี้กำลังคนในเมืองลำพูนก็ลดลงไปในครั้งที่พระเจ้ากาวิละพาไปตั้งที่ เมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ.๒๓๓๙ ครั้งหนึ่งแล้ว ยังสูญเสียไปกับความไม่สงบและสงครามหลายครั้ง เมืองลำพูนจึงอยู่ในสภาพที่จะรองรับผู้คนที่มาจากเมืองยองและเมืองต่าง ๆ นอกจากนี้ เมืองลำพูนยังอยู่ติดกับเชียงใหม่ ทำให้สามารถควบคุมดูแลได้ง่าย กับทั้งยังเป็นการปูนบำเหน็จความชอบแก่ญาติพี่น้องที่ได้ช่วยกันทำศึกสงคราม มาเป็นเวลานาน และเป็นการขยายตำแหน่งทางการเมืองเพื่อป้องกันการขัดแย้งในการขึ้นดำรง ตำแหน่งต่าง ๆ ในหมู่พี่น้องตระกูลเจ้าเจ็ดตนในอนาคตอีกด้วย
    ดังนั้นเมื่อเดือน ๗(ราวเดือนเมษายน)ขึ้น ๕ ค่ำ ตรงกับวันจันทร์ พ.ศ.๒๓๔๘ พระเจ้ากาวิละได้มอบหมายให้เจ้าฅำฝั้นและบริวารจากเมืองเชียงใหม่และเจ้าบุญมา น้องคนสุดท้องและบริวารจากเมืองลำปาง เจ้าเมืองยองพร้อมด้วยบุตรภรรยา น้องทั้ง ๔ ญาติพี่น้อง ขุนนาง พระสงฆ์และไพร่พลจากเมืองยองนับ ๑๙,๙๙๙ คน เข้ามาแผ้วถางเมืองลำพูนที่ร้างอยู่ จนถึงวันพุธขึ้น ๘ ค่ำ จึงเข้ามาตั้งเมืองลำพูนได้ พระสงฆ์จำนวน ๑๙๘ รูป สวดมงคลพระปริตในที่ไชยยะมงคล ๙ แห่งในเมืองลำพูน
    เจ้าเมืองยอง บุตรภรรยา ญาติพี่น้อง ขุนนางและพระสงฆ์ระดับสูงได้ตั้งเข้าอยู่บริเวณเวียงยองทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำกวง ส่วนไพร่พลอื่น ๆ ได้แยกย้ายกันออกไปตั้งในพื้นที่ต่าง ๆ ของลำพูน
    การที่ชาวยองเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองลำพูนอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นจำนวน มาก ในระยะแรก กลุ่มเจ้าเจ็ดตนที่ปกครองเมืองลำพูนได้ยินยอมให้เจ้าเมืองยองและญาติพั้น้อง มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมือง ซึ่งแตกต่างจากเจ้าเมืองอื่น ๆ ที่อพยพมาในคราวเดียวกัน
    ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในปี พ.ศ.๒๔๔๔-๒๔๔๕ ได้มีการสำมะโนประชากรในเมืองลำพูนเป็นครั้งแรกในสมัยของของเจ้าอินทยงยศ โชติ เจ้าผู้ครองนครลำพูนลำดับที่ ๙ พบว่ามีประชากรทั้งหมด ๑๙๙,๙๓๔ คน ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากผู้คนที่อพยพมาจากเมืองยองและเมืองอื่นที่อยู่ใกล้ เคียง ซึ่งสอดคล้องกับที่ ร้อยโท ดับเบิ้ลยู ซี แมคเคลาน์ (W.C. McCloed) ข้าราชการชาวอังกฤษ ได้รายงานไว้ในช่วงระยะเวลาที่เดินทางเข้ามาในเมืองลำพูนในปี พ.ศ.๒๓๘๙
    ฅนยอง หรือ ชาวยอง จึงเป็นประชากรส่วนใหญ่ของเมืองลำพูน ประชากรมากกว่าร้อยละ ๘๙ สืบเชื้อสายมาจากผู้คนที่อพยพมาจากเมืองยองและเมืองใกล้เคียง เช่น เมืองยู้ เมืองหลวย ในแถบหัวเมืองทางตอนบน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศพม่าและสิบสองพันนาของจีน องค์ประกอบด้านประชากรจึงแตกต่างไปจากหัวเมืองอื่น ๆ ในล้านนา การผสมผสานและการปรับตัวของฅนยองในเมืองลำพูนจึงไม่ใช่เป็นลักษณะของคนส่วน น้อยในสังคม (Minority Group) ดังเช่นกลุ่มชาวเขิน ลื้อ ลัวะ กะเหรี่ยง ยาง แดง ไทใหญ่หรือเงี้ยว จีน หรือฮ่อ ที่อพยพเข้ามาในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ ฅนยองในเมืองลำพูนจึงยังคงรักษาลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมบางอย่าง เช่นภาษาไว้ได้ค่อนข้างยาวนานจนถึงปัจจุบัน

ที่มา http://www.lannaworld.com
IP : บันทึกการเข้า

รับซื้อ-ขายมือถือ มือ 2 ทุกรุ่น ราคามิตรภาพ Line id = spphone  อิดเหนื่อย
ap.41
ตอบแทนคุณแผ่นดิน
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19,009


ไม่มีเทพไม่มีโปร..มีแต่เราที่จะก้าวไปพร้อมกัน...


« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 17:39:52 »

ลูกครึ่งครับ ลาวเวียง-มอญ-ไทย-จีน


- หยังมานักแต๊นักว่า อิอิ  แลบลิ้น
ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม เยอะหน่อย แบบแบ่งตามพ่อแม่นะครับ ตระกูลแม่เป็นคนลาวสมัยลาอพยพ เข้ามาอยู่ไทย น่าจะสมัย ร.1 ที่นครปฐม +ไทย
ส่วนพ่อ เชื่อสาย มอญ ราชบุรี +จีน
สรุปแล้วผมก็เป็นคนไทยภาคกลางนั่นละครับ
IP : บันทึกการเข้า

conscious
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 17:41:55 »

ลูกครึ่งครับ ลาวเวียง-มอญ-ไทย-จีน


- หยังมานักแต๊นักว่า อิอิ  แลบลิ้น
ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม เยอะหน่อย แบบแบ่งตามพ่อแม่นะครับ ตระกูลแม่เป็นคนลาวสมัยลาอพยพ เข้ามาอยู่ไทย น่าจะสมัย ร.1 ที่นครปฐม +ไทย
ส่วนพ่อ เชื่อสาย มอญ ราชบุรี +จีน
สรุปแล้วผมก็เป็นคนไทยภาคกลางนั่นละครับ


- ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม มาส่งยิ้มหวานให้ครับ อิอิ
IP : บันทึกการเข้า
Twitty1239
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 133


เด็กดอยที่หลงรักน้ำทะเล~~


« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 17:44:16 »

ย่าบอกว่าท่านเป็นมอญ...ตา ยายเป็นคนพื้นเมืองพะเยาแต่กำเนิด (ก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนนะ)..สรุปคงมีเสี้ยวมอญนิดๆ แต่มอญนี่คือคนทางไหน ไม่รู้เหมือนกัน ใครรู้ก็ช่วยบอกหน่อยก็ดีค่ะ^^
IP : บันทึกการเข้า

สิ่งที่ดีที่สุด  คือ การลืมตาขึ้นมา แล้วพบว่า เรายังมีชีวิตอยู่ค่ะ
A1
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,949



« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 20:14:42 »

ผมแม่เป็นญอง พ่อเมืองครับ รวมกันแล้วก็ เมืองญอง ลูกครึ่งครับ
IP : บันทึกการเข้า
KCbest
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 20:46:14 »

ถามยายแล้วบอกว่าเจื้อจาดม่อนมาจากสิบสองปันนาเจ้า แต่รุ่นของยายนี้ย้ายมาจากบ้านทาสบเมย จังหวัดหละปูนปุ้นมาตั้งรกรากใหมตี่เมืองพานเจ้า
IP : บันทึกการเข้า
Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 21:54:30 »

อยากรู้จักไทลื้อ ลองถามแอดมิน Bm5996 ดูครับ
เปิ้นเชี่ยวชาญเรื่อง ไทลื้อขนาด ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
ส่วนผมมีเชื้อ ลัวะ มาจากเจียงใหม่ครับ
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
soonerorlater
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 160


« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 22:19:35 »

เจื้อคุนยองหละปูน หน่อเดวกะลื้อ
IP : บันทึกการเข้า
Karn99
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 23:44:03 »

ส่วนผมคนไทยวนผสมไทลื้อเจียงของ 555
IP : บันทึกการเข้า
ⒷⒼ*
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,368

นิพพานคือนิรันดร์


« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 23:51:13 »

ผ่มก็มี้เจื้อ ยอง   ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Beebie13
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 07:51:16 »

คนยอง ครับญาติพี่น้องมาจาก อ.ป่าซาง จ.ลำปูน
แถวๆ ลำปูนนี่ก็มีลื้อ มียองนักเหมือนกั๋นเนาะ ตอนมาอยู่ที่เจียงฮายใหม่ๆ (ตอนแรกอยู่เจียงคำ) ตกใจ๋ว่าเจียงฮายก็มีคนลื้อ โดยเฉพาะอำเภอเวียงแก่น
IP : บันทึกการเข้า
Beebie13
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 07:52:27 »

- ผมแวะมาชมว่า จขกท สวยครับ  อิอิ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

วันนี้ท่าจะกิ๋นข้าวล้ำลำ อิอิ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
Beebie13
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #32 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 07:53:29 »

ส่วน จขกท เป๋นสาวลื้อเน้อ มีรากเหง้ามาจากสิบสองปันนา ทางตอนใต้ของจีน ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

เป๋นลื้อโตยคนครับ....จขกท.น่ารักดีครับ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

เป๋นลื้อตี่ไหนจ้าว
IP : บันทึกการเข้า
TG475
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 512



« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 09:34:37 »

ส่วน จขกท เป๋นสาวลื้อเน้อ มีรากเหง้ามาจากสิบสองปันนา ทางตอนใต้ของจีน ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

เป๋นลื้อโตยคนครับ....จขกท.น่ารักดีครับ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

เป๋นลื้อตี่ไหนจ้าว

ไคร้เป๋นลูกเขยลื้อแต้น้อ... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

ย่าของผมเป๋นลื้ออยู่บ้านกล้วยแม่คำ ปู่เป๋นคนเมืองจากลำปาง ..ผมก็มีเชื้อลื้อเหมือน จขกท.นั่นเน๊าะ.. ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Benzram
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 216


หนุ่มน้อย ไร้ร้อยตีนกา


« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 12:11:11 »

อยากรู้จักไทลื้อ ลองถามแอดมิน Bm5996 ดูครับ
เปิ้นเชี่ยวชาญเรื่อง ไทลื้อขนาด ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
ส่วนผมมีเชื้อ ลัวะ มาจากเจียงใหม่ครับ

เหมือนผมเลยครับ   ผมเป๋นคนเชียงรายโดยกำเนิดสอบถามคนเฒ่าที่บ้านแล้วเป๋นไทยวน100%ครับ แต่ส่วนตัวคิดว่าอาจจะมีเชื้อลัวะอยู่จากบรรพบุรุษครับเพราะตระกูลทางพ่อมาอพยพจาก อำเภอจอมทอง จ.เชียงใหม่ เพราะคนแถวนั้นเมื่อก่อนจะเป๋นลัวะมาหลายร้อยปีครับก่อนที่จะมีคนยวนมาอยู่แทนผสมจนเป็นคนยวนหมดแล้ว ส่วนทางแม่นี่เป๋นคนยวนอพยพมาจากพะเยาครับ 2ครอบครัวเปิ้นมาอยู่เชียงรายตั้งแต่รุ่นหม่อน รุ่นอุ๊ยแล้วครับ
IP : บันทึกการเข้า
Beebie13
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #35 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 12:47:39 »

คนเมืองกึ๊ดเติงหาสาวลื้อ ..อีนางตัวดี..
งามขนาดเนาะเจ้า
IP : บันทึกการเข้า
yongmankung
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 734


« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 13:02:12 »

ลูกครึ่ง

บ้านป่ออู้ยอง

บ้านแม่อู้เมือง

แต่ผมอู้เมือง ปนยองหน่อย

เจ็บแอวขนาด

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Yong Long Hair
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 470



« ตอบ #37 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 22:36:43 »

แวะมาแอ่ว มากอย ผ่อปี้น้องจาวยอง นั๊กเหมือนกัน เน๊อะ
ดีใจ๋ ตี้ได้ปิ๋นคนยอง
IP : บันทึกการเข้า

tourtom
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #38 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 23:11:32 »

บ่อได้ปะ ไกด์บีมาหลายปี กำลังฮู้ว่าจาวลื้อ เปิ่นน่าฮักน่อ อิอิ ว่างๆ ก็มาแอ่วป๋างจ้าง ผ่องเน้อ
IP : บันทึกการเข้า
YURI
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 737


我叫王艳平


« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 23:46:24 »

บ่าใจ้คนเหนือ  แต่เป็น จ ป ล   จ้าวววววว  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

หน้า: 1 [2] 3 4 5 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!