
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2559 การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ จะเปลี่ยนจากเก็บภาษีตามความจุกระบอกสูบ มาเป็นการเก็บภาษีตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งจะส่งผลให้การเสียภาษีรถยนต์ใหม่มีทั้งลดลงเท่าเดิม และเพิ่มขึ้น โดยรถยนต์ที่จะต้องเสียภาษีเพิ่ม ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มรถกระบะและรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ เฉลี่ย 8,000-2 แสนบาทเศษ
นายสมชาย ชี้แจงว่า ถ้าหากคิดจากฐานราคารถยนต์ที่ซื้อขายกันในปัจจุบัน รถกระบะปิกอัพและสเปซแค็บถ้ามีการปล่อย CO2 เกิน 200 กรัม/กม. จะเสียภาษีเพิ่มจากเดิม 3% เป็น 5% หรือจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นเฉลี่ยคันละ8,000-1.5 หมื่นบาท เพราะส่วนใหญ่มีการปล่อย CO2 เกินกว่ากำหนดทั้งสิ้น.... อ่านต่อได้ที่
ขณะที่รถกระบะดับเบิ้ลแค็บนั้นน่าจะเสียภาษีเพิ่มจากเดิม 12% เป็น 15% หรือตกประมาณคันละ 2.5-3 หมื่นบาท เนื่องจากส่วนใหญ่ปล่อยก๊าซ CO2 เกินกว่ากำหนด
นอกจากนี้ กลุ่มรถยนต์กระบะดัดแปลงหรือพีพีวี ที่เคยเสียภาษีอัตรา 20% ได้มีการปรับภาษีขึ้นจากเดิมเพราะถือเป็นรถยนต์นั่งโดยสารไม่ใช่รถเพื่อใช้ในการพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะปล่อย CO2 เกินกว่ากำหนดเพราะเป็นเครื่องยนต์เดียวกับรถกระบะทำให้ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 25-30% หรือตกคันละ 7 หมื่น-1.9 แสนบาท
อย่างไรก็ตาม กลุ่มรถยนต์นั่งหรือรถเก๋งขนาดเล็กและขนาดกลางจะเสียภาษีเท่าเดิม เพราะเครื่องยนต์ต่ำกว่า 1800 ซีซี แต่รถที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1800 ซีซี จะปล่อย CO2 เกิน 150 กรัม/กม. ทำให้เสียภาษีเพิ่มเป็น 35-40%หรือเสียภาษีเพิ่มขึ้นคันละ 6 หมื่น-2.3 แสนบาท
สำหรับรถเก๋งเครื่องยนต์ผสมไฟฟ้า หรือรถไฮบริดหากปล่อยCO2 เกินกว่ากำหนดจะเสียภาษีเพิ่มเป็น 20-25% หรือเสียภาษีเพิ่มคันละ 7 หมื่น-4.8 แสนบาท
เครดิต
www.posttoday.com