พื้นที่ของสตรีอังกฤษในสมัยวิกตอเรียน (ค.ศ. ๑๘๓๗-๑๙๐๑)
The Place of Woman in the Victorian Era (1837-1901)
บทนำ
สมัยวิกตอเรียนแห่งราชอาณาจักรอังกฤษเริ่มขึ้นตั้งแต่การขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย (Queen Victoria) ในปี ค.ศ. ๑๘๓๗ และสิ้นสุดลงในปีค.ศ. ๑๙๐๑ ซึ่งเป็นปีแห่งการเสด็จสวรรคตของพระนางวิกตอเรีย ตลอดระยะเวลาร่วม ๖๔ ปีที่พระนางวิกตอเรียทรงเสวยราชสมบัติ ประเทศอังกฤษได้กลายเป็นเป็นมหาอำนาจตะวันตกที่มีเสถียรภาพมั่นคงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการต่างประเทศ เนื่องจากในสมัยวิกตอเรียนนี้ อังกฤษได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดทางด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรม อีกทั้งการขยายแสนยานุภาพอันเกรียงไกรของจักรวรรดิอังกฤษ (British Empire) (François Grellet, Literature in English, 2002, P.106) อังกฤษในช่วงเวลาดังกล่าวนี้มีการเพิ่มมีอัตราการเพิ่มจำนวนประชากรที่สูงขึ้นอย่างมาก ทั้งจากปัจจัยด้านการอพยพของผู้คนจากดินแดนอาณานิคม หรือการอพยพของแรงงานจากชนบทสู่เมืองใหญ่หรือเมืองท่าเรือ (Rural Exodus) อีกทั้งความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เอื้ออำนวยต่อการเพิ่มจำนวนประชากร ดังจะเห็นได้จากตัวเลขของอัตราการเกิดในปี ค.ศ. ๑๘๗๖ เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ ๓.๖ จำนวนประชากรในปี ค.ศ. ๑๘๗๑ จำนวน ๒๖ ล้านคน เพิ่มสูงขึ้นเป็น ๓๓ ล้านคน ในปี ค.ศ. ๑๘๙๑ และในช่วงปลายของศตวรรษที่ ๑๙ ก็พบว่า จำนวนของเมืองขนาดใหญ่มากกว่า ๓๐ เมือง นอกเหนือจากกรุงลอนดอน มีประชากรอยู่อาศัยมากกว่า ๑ แสนคน (Laurent Bury, Civilisation Britannique Au XIXe Siècle, 2001, P.11)
ด้วยปัจจัยทางด้านการขยายตัวของจำนวนประชากร เศรษฐกิจ และสังคม สภาพของอังกฤษในสมัยวิกตอเรียน จึงมีความซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างทางสังคมเป็นยิ่งยวด แต่เดิมที่ระบบยศศักดิ์ (Rank) เป็นเครื่องกำกับการแบ่งแยกระดับของฐานะของบุคคล ระบบชนชั้น (Class) ก็เข้ามาแทนที่ โดยแบ่งฐานะของบุคคลออกเป็น ๓ ชนชั้น คือ ชนชั้นสูง (The Upper-Class) ชนชั้นกลาง (The Middle-Class) และชนชั้นล่าง (The Lower-Class) ในขณะที่สังคมวิกตอเรียนได้จำแนกชนิดบุคคลออกเป็น ๓ ชนชั้นที่ชัดเจนแล้ว ยังมีการแบ่งแยกทางด้านเพศอีกระดับหนึ่ง ซึ่งการแบ่งแยกในส่วนนี้ เป็นการบ่งชี้และสร้างความชอบธรรมให้แก่ความยิ่งใหญ่ของบุรุษเพศ และความต่ำต้อยของสตรีเพศ สังคมวิกตอเรียนได้กำหนดและแบ่งแยกบทบาท หน้าที่ ตลอดจนคุณลักษณะอันเป็นเฉพาะของเพศชาย และเพศหญิงไว้อย่างชัดเจน กล่าวคือ ผู้ชายเป็นผู้ปกป้อง ผู้กระทำ ผู้สร้าง และผู้บุกเบิกค้นพบ สติปัญญาของผู้ชายมีไว้เพื่อความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การผจญภัย การสงคราม และชัยชนะ แต่ในขณะที่ผู้หญิงมีความสามารถในการปกครองและจัดระเบียบ สติปัญญาของผู้หญิงไม่ได้มีไว้เพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ แต่มีไว้เพื่อการจัดระเบียบและวางแบบแผนที่งดงามเพียงเท่านั้น ดังนั้นบุรุษเพศจึงเหมาะที่จะทำงานหนักและเสี่ยงภัยกับโลกภายนอก (นอกบ้าน) อีกทั้งทำหน้าที่ปกป้องคุ้มภัยสตรีเพศให้รอดพ้นจากอันตรายคุกคามใดๆจากภายนอก (บ้าน) และในส่วนของสตรีเพศนั้นก็มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลกิจการภายในบ้าน บ้านจึงกลายเป็นพื้นที่ของสันติภาพ (Peace) สำหรับผู้หญิง โดยมีผู้ชายเป็นผู้ปกป้อง (John Ruskin, The Nature of Woman from Of Queen’s Gardens)
การที่บ้านถูกมองว่าเป็นพื้นที่แห่งสันติภาพ ผู้หญิงจึงมีบทบาทและหน้าที่ผูกติดกับบ้าน ในสมัยวิกตอเรียนนี้ผู้หญิงถูกเปรียบว่าเป็น “นางฟ้าในเรือน” (The Angel in the House) คำว่า นางฟ้า (Angel) ในที่นี้หมายถึง ผู้หญิงในฐานะของภรรยาและมารดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่ามารดานี้ ยังมีนัยยะที่บ่งบอกถึงภาพพจน์ของพระนางวิกตอเรีย ที่เปรียบเป็น พระมารดาของแผ่นดิน (The Mother of England) (Laurent Bury, Civilisation Britannique Au XIXe Siècle, 2001, P.100) พระนางวิกตอเรียทรงเป็นบุคคลหนึ่งที่ทรงอิทธิพลต่อรูปแบบและวิถีการดำรงชีวิตของสตรีอังกฤษสมัยวิกตอเรียน เพราะพระนางนั้นคือสัญลักษณ์และเป็นแบบอย่างของสตรีวิกตอเรียนในอุดมคติ (Lynn Abrams, Ideals of Womanhood in Victorian Britain,
http://www.bbc.co.uk/history/ ) เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการอภิเษกสมรสของพระนางวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ต (Prince Albert) คือสัญลักษณ์ของการครองคู่ที่สมดุล พระนางวิกตเรียทรงรักษาความผาสุกในครอบครัวไว้ได้เป็นอย่างดีเยี่ยมที่สุด ตราบเมื่อเจ้าชายอัลเบิร์ตทรงถึงแก่กาลสวรรคตในปี ค.ศ. ๑๘๖๑ พระนางวิกตอเรียก็ยิ่งหันพระราชหฤทัยไปสู่ด้านการดูแลครอบครัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และสิ่งนี้จึงสอดคล้องกับแนวความคิดของ จอนห์ รัสกินในข้างต้นที่กล่าวว่า พื้นที่ที่แท้จริงของสตรีคือบ้าน และวลี “นางฟ้าในเรือน” จึงกลายเป็นมายาคติที่ครอบงำความคิดและทัศนะของชาววิกตอเรียน จนเป็นเหตุให้สตรีชาววิกตอเรียนต้องดำเนินชีวิตตามระบอบแบบแผนที่จำกัดสิทธิ เสรีภาพ และบทบาท ตลอดจน “พื้นที่” (Place) ในสังคมเป็นเวลายาวนานร่วมศตวรรษ
นอกจากผู้หญิงจะมีพื้นที่ที่จำกัดในสังคมวิกตอเรียนแล้ว ผู้หญิงยังถูกมองว่าด้อยกว่าผู้ชายในแง่ของสติปัญญาและองค์ประกอบของร่างกาย ผู้หญิงไม่อาจที่จะเผชิญชีวิตอยู่เพียงลำพังได้โดยปราศจากการปกป้องคุ้มครองจากผู้ชาย ทั้งนี้เป็นเพราะสังคมวิกตอเรียนมีข้อจำกัดนานัปการ เกี่ยวกับการดำรงชีวิตสำหรับผู้หญิง ดังนั้นสตรีวิกตอเรียนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสตรีจากชนชั้นกลางและชนขั้นล่างจึงมักถูกประเมินว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของสามี หลังจากที่ได้แต่งงานกันไปแล้ว และหากเมื่อมีการหย่าร้างกันขึ้น ฝ่ายหญิงก็จะเป็นฝ่ายที่ได้รับความพินาศย่อยยับ จนนาวาชีวิตอับปางลงไปในที่สุด เพราะผู้หญิงที่ถูกหย่าร้างนั้นไม่อาจที่จะเลี้ยงชีพด้วยตนเองได้ อีกทั้งสังคมยังไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงยืนหยัดด้วยตนเองได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงก็มักถูกดูหมิ่น หยามเหยียดว่าเป็นคนไม่ดีอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงมุ่งหวังที่จะทำการศึกษาเกี่ยวกับ พื้นที่ของสตรีในสมัยวิกตอเรียน (ค.ศ. ๑๘๓๗-๑๙๐๑) โดยการศึกษาในครั้งนี้ ผู้วิจัยต้องการที่จะอธิบายสภาพของวิถีชีวิตที่แท้จริงของสตรีวิกตอเรียน และนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมชีวิตของสตรีวิกตอเรียน ที่ได้ตกเป็นเหยื่อของสังคมคมอังกฤษในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ผู้วิจัยได้จำแนกประเด็นการศึกษาออกเป็น ๓ ประเด็นคือ พื้นที่ทางสังคมของสตรี พื้นที่ทางเศรษฐกิจของสตรี และพื้นที่ทางการเมืองของสตรี ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๑.พื้นที่ทางสังคมของสตรี
จากข้อความที่ว่า ผู้หญิงคือนางฟ้าในเรือน (The Angel of the House) ทำให้ทราบถึงนัยยะสำคัญประการหนึ่งของพื้นที่อันเป็นอาณาจักรส่วนตัวของสตรี บ้านคือพื้นที่แห่งเดียวที่ผู้หญิงวิกตอเรียนสามารถมีบทบาทได้ ซึ่งบทบาทที่ว่านี้ก็คือ การเป็นภรรยาและมารดาที่ดี การหาสามีหรือคู่ครองที่เหมาะสมเพื่อความอยู่รอดของผู้หญิงในสมัยวิกตอเรียน ถือว่าเป็นหน้าที่หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นอาชีพหลักของผู้หญิงในวัยสาว แต่ในบางครั้ง พ่อแม่ก็มักเป็นผู้จัดการในการหาคู่สมรสที่เหมาะสมให้แก่บุตรสาวของตน ลักษณะเช่นนี้คล้ายคลึงกับการคลุมถุงชนในสังคมตะวันออก ความรักหนุ่มสาวไม่มีความสำคัญใดๆ เท่ากับความเหมาะสมและความเห็นชอบของพ่อแม่ ทั้งนี้ เรื่องราวของสตรีวิกตอเรียนมักถูกสะท้อนออกมาผ่านทางวรรณกรรมร่วมสมัยนั้นๆ อาทิ วรรณกรรมเรื่อง Pride and Prejudice ของ Jane Austen หรือ Jane Eyre ของ Charlotte Brontë สองนักเขียนสตรีชื่อก้องบรรณพิภพสากล ผู้ผลิตวรรณกรรมชิ้นเอกหลายเรื่องที่เปรียบเสมือนประจักษ์พยานชิ้นเอกต่อเรื่องราวของสตรีในสมัยวิกตอเรียน แต่สำหรับหญิงสาวที่ไม่ได้แต่งงานนั้นย่อมไม่อาจที่จะมีบทบาทของศรีภรรยาและมารดา การที่จะธำรงไว้ซึ่งสวัสดิ์ภาพและความมั่นคงของตนเองในภายบ้านที่เป็นพื้นที่แห่งเดียวของตนได้ก็คือ การเคารพและปฏิบัติตามคำสั่งของพี่ชาย ประหนึ่งว่าภรรยาเชื่อฟังต่อสามีอย่างเคร่งครัด เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะผู้หญิงไม่สามารถใช้ชีวิตและหาเลี้ยงตนเพียงลำพังได้ พื้นที่ทางสังคมของสตรีนั้นถูกจำกัดไว้แต่เพียงภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงจากชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง หรือชนชั้นล่าง ทั้งหมดนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ใดๆในการแสดงบทบาทนอกเหนืออาณาเขตพื้นที่ของตน นั่นก็คือ “บ้าน”
๒.พื้นที่ทางเศรษฐกิจของสตรี
ด้วยเหตุที่สตรีมีพื้นที่ทางสังคมที่จำกัดอยู่เพียงแต่ในบ้าน อีกทั้งสตรีวิกตอเรียนส่วนใหญ่ยังถูกกีดกันจากการศึกษาศาสตร์สำคัญๆ ดังนั้นผู้หญิงจึงเป็นผู้ที่ขาดความรู้ทางวิชาการที่จะนำไปประกอบอาชีพสำคัญๆ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงในสังคมวิกตอเรียนมักได้เรียนรู้แค่เพียงการเย็บปัก การจับจ่าย และการทำบัญชีรับ-จ่าย อย่างง่ายๆเพียงเท่านั้น การเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศส การเขียน-อ่าน วรรณกรรม และการวาดภาพอาจมีบ้างเล็กน้อยในกลุ่มของสตรีชั้นสูง ทั้งนี้เป็นเพราะสังคมวิกตอเรียนต้องการควบคุมสตรีไม่ให้มีความรู้มากเกินกว่าบุรุษ และอยู่ภายใต้การครอบงำและการนำพาของบุรุษเพียงอย่างเดียว เมื่อผู้หญิงถูกจำกัดพื้นที่กอรปกับมีขาดความรู้และทักษะสำคัญในการประกอบอาชีพ ผู้หญิงวิกตอเรียนจึงแทบจะไม่มีช่องทางในการทำงาน จำต้องอยู่ภายใต้การดูแลเลี้ยงดูของสามีหรือผู้นำครอบครัวที่เป็นชายในครอบครัวเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามยังปรากฏว่ามีการว่าจ้างให้ผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงชนชั้นล่างให้ทำงานเป็น หญิงรับใช้ภายในบ้าน หรือรับฝ้ายมาปั่นที่บ้านเพื่อแลกเอาค่าแรงเล็กๆน้อย หรือแลกกับอาหารเป็นสิ่งตอบแทนแลกเปลี่ยน สำหรับผู้หญิงชนชั้นกลางนั้น ส่วนใหญ่มักทำหน้าที่เป็นครูผู้เลี้ยงเด็ก (Governess) อยู่ประจำกับครอบครัวผู้มีอันจะกิน ในปี ค.ศ.๑๘๕๐ พบว่ามีครูผู้เลี้ยงเด็กทั่วทั้งอังกฤษ จำนวนถึง ๒๑๐๐๐ คน แต่อย่างไรก็ตามค่าจ้างของครูผู้เลี้ยงเด็กนั้นค่อนข้างน้อย และก็ไม่เพียงพอที่จะแยกตนมาอยู่เพียงลำพังได้ (Laurent Bury, Civilisation Britannique Au XIXe Siècle, 2001, P.106) ไม่ว่าผู้หญิงจะประกอบอาชีพใดๆในสังคมวิกตอเรียน ผู้หญิงก็ไม่อาจจะหลีกหนีการดูถูก เหยียดหยาม และความรุนแรงทั้งทางกายและทางใจจากผู้ชายและสังคมโดยรอบได้ ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้จึงสามารถอนุมานได้ว่าสตรีวิกตอเรียนถูกกีดกันจากการประกอบอาชีพ และจำกัดอยู่เพียงแต่ในกรอบพื้นที่ทางเศรษฐกิจแคบๆแม้ว่าสภาพโดยรวมของการปฏิวัติอุตสาหกรรมจะรุดหน้าเพียงใดก็ตามแต่ ผู้หญิงวิกตอเรียนเป็นผู้ที่ขาดเสถียรภาพทางการเงิน จำต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจเงินและอำนาจปกครองของผู้ชายอยู่เสมอๆ
๓.พื้นที่ทางการเมืองของสตรี
พื้นที่ทางการเมืองในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่สิทธิของสตรีในระบอบประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงกระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการเรียกร้องซึ่งสิทธิและเสรีภาพของสตรี เหตุที่ประเด็นเรื่องพื้นที่ทางการเมืองของสตรีเป็นที่น่าสนใจต่อการศึกษานั้นก็เพราะว่า ในสังคมวิกตอเรียน สตรีไม่มีสิทธิ์ที่จะออกเสียงทางการเมือง หรือลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทน มีเพียงแต่ผู้ชายเท่านั้นที่มีสิทธิ์ดังกล่าว และการที่ไม่มีผู้แทนของสตรีในกระบวนการออกกฎหมายของประเทศ ผู้หญิงจึงไม่ได้รับความยุติธรรมจากสังคม และถูกมองข้ามความสำคัญไปจากสายตาของผู้ปกครอง อีกทั้งยังขาดกฎหมายที่รับรองสวัสดิ์ภาพความเป็นอยู่ของสตรี ในสังคมวิกตอเรียนนั้น พื้นที่ทางการเมืองของสตรีนั้นอาจถือได้ว่าไม่เคยปรากฏมีมาก่อน แต่เมื่อสภาพสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง แนวคิดทางด้านสิทธิสตรีได้คืบคลานสู่อังกฤษผ่านทางการติดต่อสื่อสารจากนักคิด นักเขียน และอิทธิพลของชาวอเมริกัน สตรีอังกฤษในชนชั้นสูงและชนชั้นกลางจึงได้เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิสตรี และได้เข้ามามีบทบาทในการแสดงความสามารถของตนในกิจการด้านการสาธารณะกุศล การแพทย์และสาธารณสุข เพื่อสังคม ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วผู้หญิงก็มีความสามารถไม่น้อยกว่าชาย และผู้หญิงก็ควรได้รับสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมทางการเมือง นั้นคือการได้รับสิทธิ์ในการเลือกตั้งผู้แทนของตน ตามระบอบประชาธิปไตย
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดในข้างต้น ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งยวดว่า การศึกษาพื้นที่ของสตรีอังกฤษในสมัยวิกตอเรียน จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ปัญญาชนในยุคปัจจุบันได้เข้าใจถึงภาพชีวิตอย่างกระจ่างชัดของสตรีวิกตอเรียนในอดีต และตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างหญิง-ชาย ตลอดจนสามารถนำแนวคิดจากการศึกษามาประยุกต์ใช้ในสภาพสังคมปัจจุบันเพื่อที่จะแผ้วถางความอยุติธรรมต่อสตรีได้อย่างเหมาะสม