เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 09 กันยายน 2025, 08:39:30
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  นิทานขำขัน จาก "ธรรมชาติธรรม"
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน นิทานขำขัน จาก "ธรรมชาติธรรม"  (อ่าน 497 ครั้ง)
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 15:58:49 »

 

   1  
หมวกแหก        

     มีผู้ชายสามคนกลับจาการทำงาน แม้ช่วงเดินทางกลับบ้านเป็นเวลาพลบค่ำพอดี แต่ยังพอมองเห็นอะไรได้เลือนๆ เนื่องจากเป็นคืนเดือนหงาย การเดินทางสมัยก่อนต้องเดินตามหลังกันเป็นแถวกระดานเรียงหนึ่ง เพราะทางเดินแคบ สองข้างทางรก ทางใต้เขาเรียกทางประเภทนี้ว่า "ทางด่าน"

            ขณะกำลังเดินอยู่นั้น ชายคนแรกเหยียบกองขี้ควายกองหนึ่ง เมื่อรู้ว่าตนเองเหยียบขี้ควาย ก็เกิดความคิดขึ้นว่า ต้องหลอกให้เพื่อนเหยียบกองขี้คายนั้นด้วย โดยใช้วีธีไม่บอกความจริง

                       ชายคนแรก : เหยียบหมวกแล้ว
            ชายคนที่สองก้มลงหยิบหมวกทันที เมื่อมือไปสัมผัสขี้ควายก็รู้ว่าหลงกลเสียแล้ว ดังนั้นก็เกิดความคิดที่จะแก้เผ็ดคนอื่นบ้าง (ชายคนที่สาม) จึงพุดว่า

                       ชายคนที่สอง : หมวกแหก (แหก = ขาด)
            ชายคนที่สามเป็นคนมีนิสัยตลกคะนอง สนุกสนาน อารมณ์ดี และที่สำคัญเป็นคนที่มีไหวพริบ มีปฏิภาณ เขาคิดว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดกับชายทั้งสอง ตามลำดับ เป็นการโกหก แถบนี้มีวัวมีควายมาก น่าจะเป็นขี้วัว ขี้ควายมากกว่าหมวก จมูกเขาก็ยังได้รับกลิ่นขี้ควายโชยมา เมื่อสันนิษฐานออกมาเช่นนั้น ก็คิดแก้เผ็ดบ้าง

                      ชายคนที่สาม : หมวกแหก..ไว้ทำไม
            เมื่อเขาพูดจบก็ก้มลงดูภาพที่เลือน ๆ และเขารู้ว่ามันเป็นกองขี้ควายจริง ๆ จึงเตะมันอย่างแรง

                                              “ท่านลองนึกภาพดู กองขี้ควายเปียก กระเด็น กระจาย ด้วยแรงเตะที่หนักหน่วง และตั้งใจ”

 http://www.nature-dhrama.com/kan1.htm

                                                                                                                      
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 16:04:47 โดย watthanasit » IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 16:01:23 »

2

ไม่ใช่กูจริง ๆ

          "บ่าวเคว็ด" คนใต้สมัยก่อน (เมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา) มักจะเรียกชื่อผู้ชายที่มีอายุแก่กว่า โดยใช้คำว่าบ่าวนำหน้าชื่อ บ่าวเทียบกับภาษากลางคือพี่ และเรียกผู้หญิงที่แก่กว่า โดยใช้ "สาว"นำหน้าชื่อ สาวตรงกับความหมายในภาษากลางว่าพี่เช่นกัน บ่าวเคว็ด ก็หมายถึงพี่เคว็ด โดยรวม ๆ มักจะใช้คำว่าบ่าว และสาว นำหน้าการเรียกคนที่เราไม่สนิท เช่น บ่าวนั่น สาวนี้เป็นต้น เด็กใต้ปัจจุบันนี้ไม่รู้จักใช้คำว่า บ่าว,สาว เสียแล้ว

          เคว็ด บางที่ออกสำเนียงเป็น แคว็ด มีความหมายว่า คด,งอ,ไม่ตรง ยังมีความหมายว่า แตก,ผลิ,งอก เช่น เคว็ดยอด มีความหมายว่า แตกใบอ่อน ซึ่งใช้กับพืชอีกด้วย

          บ่าวเคว็ดเป็นคนชอบหาของป่า เที่ยวไปเกือบทั่วทุกขุนเขาที่พอจะไปได้ตามอรรถภาพ มีเรื่องแปลก ๆอยู่เรื่องหนึ่ง แกไปป่าที่ไรจะต้องพกพายาเส้นไปทุกครั้งทั้ง ๆที่ไม่เคยสูบยาเส้น สูบบุหรี่ มีคนเคยถามว่าเอาไปทำอะไร แกอมยิ้ม แล้วตอบว่า "จะนอนให้หลับสนิทมือต้องจับยาเส้น...มันเคยชิน" ถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครเข้าใจในคำตอบของแก

          ครั้งหนึ่งบ่าวเคว็ดขึ้นไปหาของป่านานถึงประมาณเกือบหนึ่งปีเต็ม ๆ จนใคร ๆคิดว่าสาบสูญเสียแล้ว แต่แล้วทำความแปลกใจให้กับทุกคนในหมู่บ้าน เนื่องจากแกกลับมาบ้านอย่างปกติ ทุกคนเกือบจะจำบ่าวเคว็ดไม่ได้ เพราะผมยาว และหนวดเครารุงรัง ขณะที่บ่าวเคว็ดเดินมาใกล้บ้าน เมีย และลูกเห็นก็ยังตกใจคิดว่าเป็นคนบ้า

          กลับถึงบ้านก็นั่งคุยกับลูก เมียอยู่พักหนึ่ง พอคลายความเหนื่อยล้า แกก็ไปตัดผมที่ตลาดเล็ก ๆใกล้บ้าน ช่างประจำตัดให้ทันทีโดยไม่ต้องถามว่าจะตัดทรงผมแบบไหน ด้วยความเหนื่อย และง่วงนอน อีกทั้งยังใช้เวลานานในการตัดผมครั้งนี้ ทำให้บ่าวเคว็ดนอนหลับสนิทเป็นเวลานานพอสมควร เมื่อตื่นขึ้นเห็นตัวเองในกระจกถึงกับอุทานจนช่างตัดผมอดนึกขำไม่ได้

          "กูว่าไม่ใช่กู" บ่าวเคว็ดอุทาน

          "จะใช่.. ไม่ใช่ก็ไม่ว่า .. แต่หล่อจนจำเกือบไม่ได้จริง ๆ" ช่าง ตัดผมพูดแล้วก็หัวเราะจนเต็มที่เพราะยังนึกขำไม่หายในคำพูดว่า "กูว่า..ไม่ใช่กู"

          บ่าวเคว็ดกลับบ้านอย่างรู้สึกตัวเบา ขณะเดินใกล้ริมรั้วบ้าน ลูกคนเห็นพ่อเดินมา ก็ หันไปถามแม่ว่า

          "นั่นใคร"

          "ไม่รู้ใคร" แม่ตอบด้วยทำสีหน้างง ๆ

บ่าวเคว็ดได้ยินชัดเจนที่เมียของตนตอบคำถามลูก จึงพูดด้วยความมั่นใจว่า

          " ออ.. ไม่ใช่กูจริงแหละ"[/color]

http://www.nature-dhrama.com/kan2.htm

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 16:08:52 โดย watthanasit » IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 16:03:26 »

ผู้ใหญ่เต่า
                 เรื่องผู้ใหญ่เต่าเป็นเรื่องเล่ามายาวนานของชาวนครศรีธรรมราช ผู้ใหญ่เต่าเป็นชาวปากพนัง ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่สมัยนั้นน่าจะเลือกเอาผู้ที่ตั้งทำงาน เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีก็ใช้ได้ ที่คิดเช่นนี้เพราะผู้ใหญ่เต่าเขียนหนังสือไทยตกหล่นและผิดพลาดมาก

         ก่อนจะเล่าเรื่องต่อก็ขอพูดเรื่องเลือกผู้ใหญ่กันสักนิด จะได้เป็นข้อคิดเผื่อมีประโยชน์ต่อสังคมบ้าง สมัยผู้ใหญ่เต่าน่าจะมาจากการแต่งตั้งโดยกำนัน หรือนายอำเภอ สมัยปัจจุบันนี้มีการเลือกตั้งกัน การเลือกตั้งสมัยนี้ไม่ค่อยจะมีความโปร่งใสมากนักมีการติดสินบน คือซื้อเสียงกัน ซื้อกันในราคาแพง ๆ ด้วย ไม่มีคำว่าเพื่อนฝูง ไม่มีคำว่าญาติ ไม่มีคำว่าดูผลงาน มีคำเดียวคือเงิน คนในหมู่บ้านจะเกิดกินแหนงแคลงใจกันหลายคน ทั้งที่เป็นเพื่อนฝูง ญาติมิตรหลังจากเลือกตั้งเสร็จไปแต่ละครั้ง เมื่อสังคมในหมู่บ้านเกิดความแตกแยกเช่นนี้ แล้วจะปกครอง จะดูแลกันให้มีสุขอย่างไร คนรุ่นใหม่ควรคิด และหาวิธีแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป

         ยังมีอีกนิดเป็นข้อคิดเรื่องนี้ กระผมมีความประทับใจเรื่องเลือกผู้ใหญ่ที่หมู่บ้านของผม (ตอนนั้นกระผมอายุประมาณ 9 ปี (พ.ศ. 2503) ) สมาชิกในครอบครัวที่มีสิทธิเลือกตั้งก็ไปใช้สิทธิ์กัน กระผมเองยังไม่มีสิทธิ์แต่ก็ไป ไม่ใช่ไปสังเกตการณ์อะไรแต่ไปเที่ยวตามประสาเด็ก ครั้งนั้นมีผู้สมัคร 2 คน เมื่อทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายอำเภอตรวจสอบว่าทุกฝ่ายพร้อมก็ให้ผู้สมัคร ทั้งสองไปยืนที่กลางสนามเคียงคู่กัน จากนั้นประกาศด้วยปากเปล่าดัง ๆ ว่า ผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งจะใช้สิทธิ์เลือกใครก็ให้ไปยืนเข้าแถวหลังผู้สมัครคนนั้น พอพูดขาดคำทุกคนก็แยกย้ายไปยืนแถวหลังผู้สมัครเพื่อสนับสนุน หลังจากยืนเสร็จเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ก็นับผู้สนับสนุนเพื่อเอาผลคะแนน

          ผู้สมัครทั้งสองมีใบหน้ายิ้มแย้ม คนที่เลือกก็มีใบหน้ายิ้มแย้ม กระผมมาคิดตอนนี้เองว่า คนสมัยนั้นเขาเปิดใจกว้าง มีน้ำใจนักเลง นี่แหละประชาธิปไตยที่แท้จริง แม้เวลาผ่านไปหลายประมาณ 40 กว่าปี แม้ตอนนั้นกระผมเองเป็นเด็กก็ยังจำเหตุการณ์ที่ชวนประทับใจเช่นนี้ได้อย่างไม่มีวันลืม

          เอาล่ะเข้าเรื่องเสียที กระผมบอกไว้ตอนแรกว่าผู้ใหญ่เต่าเป็นชาวปากพนัง สภาพพื้นที่ของอำเภอปากพนังส่วนใหญ่เป็นทุ่งนา พื้นที่บางส่วนติดชายทะเล การสัญจรไปมาสมัยนั้นใช้คลองเป็นหลัก

          เมื่อถึงวันเกิดเหตุการณ์

          วันนี้ผู้ใหญ่เต่าต้องไปประชุมที่อำเภอ แก่รอเรือโดยสารอยู่ที่ริมคลองใกล้บ้าน ที่พักสำหรับรอเรือสมัยนั้นทำง่าย ๆ มักจำทำขนาดเล็ก ๆ โดยใช้เสาสี่เสา ยื่นออกไปจากตลิ่งประมาณ 2 เมตร ใช้ไม้ไผ่ปูเป็นพื้น เนื้อที่ประมาณ 2-3 ตารางเมตร เรือสมัยนั้นเป็นเรือหางยาวขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ขนาดจุผู้โดยสารประมาณลำละ 10-15 คน

          ผู้ใหญ่เต่าแต่งชุดเครื่องแบบยืนรอเรืออยู่ประมาณ 10 นาที เรือเที่ยวแรกก็มาถึง
ประมาณ 20 เมตร ก่อนเรือจะถึงที่พักผู้โดยสาร เรือก็เริ่มชะลอความเร็ว ขณะเรือใกล้จะเทียบที่พักผู้โดยสาร ผู้ใหญ่เต่าก็รีบตะโกนทีนที

          "ไม่ต้องจอด เฉียด..น้อง.. เฉียด" หมายถึงไม่ต้องจอดเรือให้สนิท ขับไปช้า ๆให้พอเฉียดที่รอเรือก็พอ เจ้าของเรือก็ทำตามสั่ง ผู้ใหญ่เต่ารีบกระโดดลงเรือทันที สำหรับเที่ยวนี้เป็นที่โชคร้ายของผู้ใหญ่ ปรากฏว่าพลาดเป้าหมาย พอเรือพ้นไปประมาณ 4 เมตร ผู้ใหญ่เต่าก็โผล่จากน้ำพร้อมพูดว่า

          "ไปน้องไป" เรียกเสียงฮาจากผู้โดยสารทั้งลำ
          ผู้ใหญ่รีบกลับบ้านทันที เปลี่ยนผ้าเสร็จก็รีบเขียนใบลาต่อนายอำเภอ เพื่อฝากให้ทันเรือเที่ยวที่สอง เนื้อความในจดหมายดังนี้

 

 

เรียน ท่านนายอำเภอ

       ผมผู้ใหญ่เต่าไข่วันเว้นวัน เมือวานไข้หัวดใหญ่ ตกเมื่อคืนไข่ขึ้นมาก ไข่ขึ้นตลอดคืน เมียผมก็ไม่ได้นอน จับไข่ตะลอดคืนเชนกัน พอเมียจับไข่ผมก็ไข่ขึ้นกว่าเดิม ตอนเช้าไข่ผมไม่ขึ้นเทาไร วันนี้เมียต้องดผม ไข่ผมคงขึ้นอีก

       จึงขอลากานประชุม ท้านนี้สุดแล้วแต่นายอำเภอจะเปรต รือไม่เปรต

ผู้ใหญ่เต่า เขาเล่ากันมาอย่างนี้ ผมนำมาเล่าต่อ ขอบคุณครับ

http://www.nature-dhrama.com/kan3.htm


 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 16:10:55 โดย watthanasit » IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 12:26:56 »


 ยาหนุ่ม

     ครอบครัวตระกูล "จอ" เป็นครอบรัวที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่รียกว่าตระกูลจอเพราะสมาชิกของครอบครัวล้วนชื่อด้วยอักษร "จอ จาน" หัวหน้าครอบครัวชื่อจุล ภรรยาชื่อจาบ ลูกคนหัวปีซึ่งเป็นผู้ชายชื่อ โจ ลูกสุดท้องเป็นผู้หญิงน่ารักชื่อ แจน
     ครอบครัวนี้อยู่กันอย่างมีความสุขเพราะอยู่แบบพอเพียง มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณสี่ไร่เศษ ปลูกบ้านไว้ตรงบริเวณใจกลางเนื้อที่ เนื้อที่ทำนาประมาณสองไร่ ที่เหลือประมาณสองไร่ปลูกพืชผลแบบไร่นาสวนผสม

     แม้จะเป็นครอบครัวที่สมาชิกทุกคนมีสุขภาพดี เนื่องจากรับประทานข้าว พืชผักที่ปลูกเอง ปลอดสารพิษ แต่ก็ไม่วายมีเรื่องวุ่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเกิดขึ้นจนได้ ด้วยลูกเจนต้องไปช่วยเลี้ยงดูลูกของคุณน้าถึงหนึ่งปีเต็ม และได้ส่งยาสมุนไพรไปให้คุณพ่อคุณแม่ ซึ่งเป็นสาเหตุของเรื่องนี้

     แจนพักอยู่บ้านญาติประมาณครึ่งเดือน ก็รู้เรื่องราวของยาขนานหนึ่ง เป็นยาที่ทำให้คนอายุมากเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ ด้วยความรักคุณพ่อ และคุณแม่ แจนได้ส่งยาขนาดนี้มให้ทางบ้าน พร้อมจดหมาย เนื้อความในจดหมายนอกจากพูดคุยเรื่องทุกข์สุข ก็จะเน้นย้ำเรื่องการรับประทานยาตามที่กำหนดในสลากอย่างเคร่งครัด

     ยาจากจังหวัดมหาสารคามดีเกินคาด ทั้งคุณพ่อ และคุณแม่เป็นหนุ่มเป็นสาวผิดตา พ่อของเจนดีอกดีใจในความเป็นหนุ่มอีกครั้ง และอยากจะให้หนุ่มมากกว่านี้ จึงดื่มยาที่เหลือจนหมด

     เวลาล่วงเลยไปหนึ่งปีเต็ม ถึงกำหนดที่แจนกลับบ้าน แจนพบแม่ก่อนใคร ๆ แจนแทบจำคุณแม่ไม่ได้ ดูผิดไปคนละคน แม่สาวขึ้น แม่สวยขึ้น

     "แม่ ลูกดีใจมากเลย แม่สาวขึ้น แม่สวยขึ้น"
หลังขาดคำพูดของลูก แม่ยิ้มด้วยความดีใจ ทันที่ที่แจนเหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายนอนแบเบาะในเปล ก็พูดขึ้นทันที

     "นี่แม่ แม่มีน้องคนเล็กด้วยรึ"

      แม่ตีสีหน้าแบบน้อยใจ และเชิงโกรธปะปนกัน เจนเห็นอาการของแม่ก็รู้สึกไม่สบายใจ คิดว่า ญาติคนไหนสักคนที่เอาเด็กมาให้แม่ดูแล แจนรู้เต็มอกว่าการเลี้ยงทารกนั้นเหนื่อยแค่ไหน แจนพิศดูเด็กชายที่น่ารัก หน้าตาคล้ายพ่อมาก จะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่างกับแม่ คุณแม่ก็สอดมาเสียก่อน

     "น้องอะไร ที่นอนบ้าอยู่ในเปล นั่นแหละพ่อของเอ็ง ยาที่เหลือครึ่งขวด อ้ายเด็กตัวนี้เองที่ดื่มรวดเดียวหมด ให้หลังเพียงวินาทีเดียวก็ต้องนอนเปลอย่างนี้แหละ"

     แจนรู้ดีว่าคุณพ่อไม่ทีโอกาสได้ช่วยงานของแม่เลย ซ้ำต้องรับภาระเลี้ยงอีก
แจนหันหน้าดูคุณพ่ออีกครั้ง พ่อส่งยิ้มให้แจน เหมือนจะบอกความรู้สึกอย่างที่แจนเข้าใจ

แจนได้แต่ปลอบพ่อ

     "โตเร็ว ๆ นะพ่อน่ะ"



* 52.jpg (8.75 KB, 180x144 - ดู 71 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!