เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 05 สิงหาคม 2025, 04:27:27
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ตลาดกลางซื้อขายสินค้าออนไลน์
| |-+  พระเครื่อง-วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ความเชื่อ ลี้ลับ (ผู้ดูแล: NOtis, micky13)
| | |-+  ***ปิดกระทู้ครับ***
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ***ปิดกระทู้ครับ***  (อ่าน 17467 ครั้ง)
lllaunlll
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 0



« เมื่อ: วันที่ 06 พฤษภาคม 2013, 13:19:53 »

สอบถาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 กรกฎาคม 2016, 10:35:59 โดย lllaunlll » IP : บันทึกการเข้า
chelsea_cr
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 166


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 06 พฤษภาคม 2013, 16:00:58 »

มีอยู่จริงครับ คนสมัยก่อน การสร้างพระ ทำด้วยจิตศรัทธา โดยจะนำพระเครื่องไว้บนหลังคาโบสถ์บ้าง บรรจุไว้ในกรุบ้าง เพื่อความเป็นศิริมงคล เมื่อมีการบูรณะวัด ผู้ไปทำการบูรณะอาจพบเจอ พระแท้หรือไม่ อยู่ที่สถานที่พบ หรือที่มาของพระ ตัวผู้เป็นเจ้าของเท่านั้นที่รู้ ไม่ต้องเชื่อใคร โดยเฉพาะผู้อ้างตัวเป็นเซืยนหย่าย การตรวจเช็กพระเป็นเรื่องปกติของคนที่ไม่แน่ใจ แห่ได้ทั่วไทย ยกเว้น พวกจัดงานประกวดหาเงิน ที่เชียงรายมีตัวอย่างครับที่ผ่านมา จัดประกวด บัตร 300 บาท หยิบพระมาไว้บนฝ่ามือพลิก 3 ครั้ง บอกพระเก๊ ไม่รับพระประกวด แถมไม่คืนเงิน หากถามจะได้รับคำตอบถ้าคืนเงินคนจัดได้อะไร ยังงี้จัดงานหาเงินคับ ต่อให้คุณยกไปทั้งหลังคาโบสถ์วัดระฆังพวกก็ตีเก๊หมดคับ เสียเวลาเปล่า ขอบอก
IP : บันทึกการเข้า
lllaunlll
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 0



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 06 พฤษภาคม 2013, 17:21:03 »

มีอยู่จริงครับ คนสมัยก่อน การสร้างพระ ทำด้วยจิตศรัทธา โดยจะนำพระเครื่องไว้บนหลังคาโบสถ์บ้าง บรรจุไว้ในกรุบ้าง เพื่อความเป็นศิริมงคล เมื่อมีการบูรณะวัด ผู้ไปทำการบูรณะอาจพบเจอ พระแท้หรือไม่ อยู่ที่สถานที่พบ หรือที่มาของพระ ตัวผู้เป็นเจ้าของเท่านั้นที่รู้ ไม่ต้องเชื่อใคร โดยเฉพาะผู้อ้างตัวเป็นเซืยนหย่าย การตรวจเช็กพระเป็นเรื่องปกติของคนที่ไม่แน่ใจ แห่ได้ทั่วไทย ยกเว้น พวกจัดงานประกวดหาเงิน ที่เชียงรายมีตัวอย่างครับที่ผ่านมา จัดประกวด บัตร 300 บาท หยิบพระมาไว้บนฝ่ามือพลิก 3 ครั้ง บอกพระเก๊ ไม่รับพระประกวด แถมไม่คืนเงิน หากถามจะได้รับคำตอบถ้าคืนเงินคนจัดได้อะไร ยังงี้จัดงานหาเงินคับ ต่อให้คุณยกไปทั้งหลังคาโบสถ์วัดระฆังพวกก็ตีเก๊หมดคับ เสียเวลาเปล่า ขอบอก


ยิ้ม  ยิ้ม ขอบคุณครับ..ที่ช่วยแสดงความคิดเห็น เพื่อเป็นความรู้ต่อไป  ยิ้ม  ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
lllaunlll
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 0



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 06 พฤษภาคม 2013, 17:38:30 »

สอบถามต่อ...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 กรกฎาคม 2016, 10:32:57 โดย lllaunlll » IP : บันทึกการเข้า
jompezad
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 06 พฤษภาคม 2013, 23:18:08 »

พระสมเด็จวัดระฆังปิดทองล่องชาด (ปิดทองทึบ) กรุเพดานวิหารวัดระฆัง

โดย อาจารย์ไพรพนา ศรีเสน

การสร้างพระสมเด็จชุดลงรักปิดทองล่องชาดนี้ จากการสืบค้นทางประวัติศาสตร์และจากประสบการณ์ตรงของครูอาจารย์และท่านผู้รู้อีกหลายท่าน มีความคิดเห็นคล้ายคลึงกันว่าพระสมเด็จชุดนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๐๘ พร้อมๆ กับการสร้างพระสมเด็จวัดพระแก้ว (พระสมเด็จวัดพระแก้วเริ่มสร้างครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๐๘ ? พ.ศ. ๒๔๒๕) มูลเหตุในการการสร้างพระสมเด็จชุดนี้เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา เพื่อมอบให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นเบื้องต้น นอกจากนั้นก็มอบให้แก่คหบดี และประชาชนโดยทั่วไป การสร้างจึงจัดเป็นวิจิตรศิลป์ โดยใช้พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังซึ่งปัจจุบันเป็นพิมพ์นิยม และพิมพ์อื่นๆ ที่มีความหมายในทางพระพุทธศาสนาเป็นต้น มวลสารที่นำมาเป็นส่วนผสมในการสร้างนั้นจัดได้ว่าเป็นมงคลวัตถุยิ่ง กล่าวคือมีความเป็นมงคลในตัวเองส่วนหนึ่งและผสมกับผงวิเศษอันทรงไว้ด้วยพุทธคุณ และอิทธิคุณอย่างอเนกอนันต์ ส่วนการลงรักปิดทองล่องชาดนั้นถือได้ว่าเป็นประณีตศิลป์จากฝีมือช่างหลวง (ช่างสิบหมู่) ที่หาชมได้ยากมากในปัจจุบัน แต่น่าเสียดายมากที่พระสมเด็จวัดระฆังชุดนี้ไม่ถูกเปิดเผยออกมาสู่สาธารณชน ผู้เขียนได้พยายามศึกษาสืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่งดังที่กล่าวมาแล้ว และได้เขียนเพื่อเป็นข้อมูลแก่ผู้ที่เคารพกราบไหว้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เพื่อเป็นแนวทางในการสืบค้นข้อมูลให้มากขึ้นต่อไป
จากข้อเขียนของ พ.ต.ต. จำลอง มัลลิกะนาวิน (ซึ่งตรงกับเรื่องเล่าของ พระภิกษุวงศ์ สุธรรมโม หรือ พระอาจารย์จิ้ม กันภัย วัดดงมูลเหล็ก) เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า พระสมเด็จชุดนี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๘ จำนวนหลายพันองค์ เป็นเนื้อผงลงรักปิดทองล่องชาดทั้งสิ้น และเมื่อท่านได้ถึงชีพิตักษัยพระชุดนี้ได้ถูกนำมาเก็บไว้บนเพดานวิหารวัดระฆัง และมิได้มีผู้ใดพบเห็นจนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๕ จึงมีผู้ค้นพบพระชุดนี้ และในปีนี้เองเป็นปีที่ครบ ๑๐๐ ปี ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านสิ้นชีพิตักษัย ได้มีการค้นพบพระสมเด็จบนเพดานวิหารวัดระฆังเป็นจำนวนมาก มีหลายพิมพ์แต่จะด้วยเหตุใดไม่ปรากฏชัด ทราบแต่เพียงว่าทางวัดไม่ได้มีการบอกกล่าวให้ประชาชนได้ทราบเลย คงรู้กันเฉพาะในหมู่พระภิกษุไม่กี่รูป ช่างที่เข้าไปบูรณะ กรรมการวัดและบุคคลใกล้ชิดเท่านั้น ประจวบกับในขณะนั้นทางวัดได้จัดสร้างพระสมเด็จขึ้นมาใหม่มีพิธีและงานฉลองอย่างมโหฬาร เนื่องเป็นปีที่ครบรอบท่านสิ้นครบ ๑๐๐ ปี (อันจะด้วยเหตุผลนี้ก็เป็นได้)
พระสมเด็จที่พบนี้กล่าวกันว่าวางสุมกองไว้บนเพดานวิหารมิได้มีการใส่ภาชนะใดปกปิดไว้ จำนวนมากถึงหลายพันองค์ แต่ที่แปลกและสำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือพระสมเด็จที่พบนั้นปิดทองล่องชาดทั้งสิ้น ( พระสมเด็จที่ปิดทองล่องชาด จัดเป็นพระสมเด็จที่มีการจัดทำเป็นพิเศษเพื่อมอบให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ในสมัยนั้น) พิมพ์งดงามชัดเจนสมกับเป็นพระสมเด็จที่สร้างในยุคท้ายๆ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นพิมพ์ที่ช่างหลวง ( ช่างสิบหมู่ )ได้แกะถวาย รักชาดทองยังไม่หลุดลอก พบเพียงความแห้ง แกร่ง มีฝุ่นเกาะอยู่ทั่วไป บางองค์พบรอยทางเดินปลวก ขี้มอด เกาะติดแต่มีจำนวนไม่มากนัก ส่วนแบบพิมพ์มีมากมายนับได้เป็นร้อยกว่าพิมพ์ และมีลักษณะเป็นพิมพ์แปลกๆที่มีความหมายทางพระพุทธศาสนาหลายอย่างหลายประการ ส่วนพิมพ์พระหลักที่มีความสำคัญคือพิมพ์วัดระฆัง พิมพ์วัดบางขุนพรหม ซึ่งส่วนมากเป็นพิมพ์ใหญ่มีเป็นจำนวนมากกว่าพิมพ์อื่นๆ (เป็นพิมพ์นิยมในปัจจุบัน)
พระสมเด็จเนื้อผงปิดทองล่องชาดเพดานวิหารวัดระฆังรุ่นนี้เมื่อได้นำมาลบทองและชาดออก ปรากฏว่าลบยากเพราะเป็นของโบราณทำด้วยความประณีตและฝีมืออย่างแท้จริง ทองคำเปลวที่นำมาติดนั้นจะสุกอร่ามไม่หมองค้ำเลย เมื่อลบออกแล้วเนื้อในขององค์พระจะงามมาก ขาวดังงาช้าง มีแตกลายงา แต่ละพิมพ์เนื้อจะคล้ายคลึงกันมาก

จากหนังสือประวัติวัดระฆังโฆสิตารามและประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) พรหมรังสี ที่พบหลายสิบเล่มต่างมีข้อความคล้ายคลึงกันว่า
กล่าวกันว่า ภายหลังเจ้าคุณสมเด็จฯ ถึงมรณภาพ พระสมเด็จที่ใส่บาตร สัต และกระบุง ตั้งไว้ที่หอสวดมนต์นั้น ได้ขนย้ายเอาไปไว้ที่ในพระวิหารวัดระฆัง (ว่าเอาไว้ที่บนเพดานวิหารก็มี) โดยมิได้มีการพิทักษ์รักษากันอย่างไร เป็นต้นว่าประตูวิหารก็ไม่ได้ใส่กุญแจ ในปีหนึ่งเป็นเทศกาลตรุษสงกรานต์มีทหารเรือหลายคนมาเล่นการพนันที่หน้าวัด เช่น หยอดหลุม ทอยกอง เป็นต้น จะเนื่องด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ ทหารเรือเหล่านั้นได้วิวาทชกกัน ทหารเรือคนหนึ่งได้เข้าไปเอาพระสมเด็จในวิหารมาอมได้ ๑ องค์ แล้วกลับมาชกต่อยตีรันประหัตประหารกันต่อไป ที่สุดปรากฏว่าทหารเรือคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างไร แม้รอยฟกช้ำก็ไม่มี ส่วนทหารเรือคนอื่นๆ ต่างได้รับบาดเจ็บที่ร่างกาย มีบาดแผลมากบ้างน้อยบ้างทุกคน
อีกเรื่องหนึ่งว่า คราวหนึ่งมีชายคนหนึ่งอยู่บ้านตำบลไชโย จังหวัดอ่างทอง ป่วยเป็นโรคอหิวา คืนวันหนึ่งฝันว่า เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มาบอกว่า ? ยังไม่ตาย ให้ไปเอาพระสมเด็จที่บนเพดานวิหารวัดระฆังมาทำน้ำมนต์กินเถิดพวกญาติได้พยายามแจวเรือกันมาเอาพระสมเด็จไป อธิษฐานทำน้ำมนต์ให้กินก็หายจากโรคนั้น ทั้งสองเรื่องที่เล่ามานี้ ว่าเป็นมูลให้เกิดคำเล่าลือถึงอภินิหารพระสมเด็จเป็นประถม?
ข้อสรุปในการศึกษาการสร้างพระสมเด็จ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
๑. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านได้เริ่มสร้างพระตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๕๑ ถึง ๒๔๑๕ อันเป็นช่วงเวลาที่ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ส่วนการสร้างพระเมื่อครั้งยังเป็นสามเณรนั้นคงยังนับไม่ได้ว่าเป็นพระสมเด็จ
๒. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี การสร้างพระของท่านมิได้ยึดถือกำหนดว่า กดพิมพ์เป็นองค์พระแต่เมื่อใดแต่ท่านยึดถือว่าพระเครื่องรุ่นนั้น ๆ สำเร็จตั้งแต่เป็นผงวิเศษแล้ว
๓. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้สร้างพระสมเด็จจำนวน ๘๔?,๐๐๐ องค์เท่ากับพระธรรมขันธ์ อันเปรียบได้ถึงการระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า และการสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปในภายภาคหน้า
๔. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้สร้างแบบพิมพ์มากกว่า ๒๐๐ พิมพ์ โดยแบ่งเป็น
- พิมพ์ที่จัดทำเป็นแม่แบบโดยช่างหลวง (ช่างสิบหมู่)
- พิมพ์ที่จัดทำเป็นแม่แบบตามความต้องการของท่าน
- พิมพ์ที่มีความหมายในทางพุทธศาสนา เรื่องราวพุทธประวัติ และ เหตุการณ์ต่าง ๆ
- พิมพ์ที่ล้อจากพิมพ์พระที่กำลังมีความนิยมในยุคนั้น ๆ
-พิมพ์ที่จัดทำเป็นแม่แบบโดยฝีมือช่างชาวบ้านมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ
๕. พระสมเด็จวัดระฆังมีทั้งสร้างแล้วแจก กับสร้างแล้วนำบรรจุกรุ เชื่อได้ว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี สร้างถาวรวัตถุอันเป็นมงคลวัตถุ หรือจะเรียกว่าปูชนียสถานในทางพุทธศาสนาที่ใด ท่านจะนำพระพิมพ์ที่สร้างที่วัดระฆังบรรจุกรุ ณ ที่นั้น
พระสมเด็จ (Phrasomdej) ขอสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งหมด ห้ามทำสำเนาโดยวิธีการใดๆ ห้ามตัด ต่อเติมข้อเขียนนี้ ห้ามนำไปลง Website และส่งทาง E-mail การทำสำเนาเพื่อการศึกษา และเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต นายกวินทร์ ศรีเสน เป็นผู้ดูแลสิทธิ์
E-mail : phrasomdejthai@hotmail.com
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม www.phrasomdej.in.th
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 06 พฤษภาคม 2013, 23:23:16 โดย jompezad » IP : บันทึกการเข้า

ประวัติชื้อขายครับ เอกสารยืนยันแสดงตนพร้อมครับยืนทางเวป
http://www.cm-club.com/forum/member.php?u=82472


http://www.siambbgun.com/board/index.php?action=profile;u=77926;sa=statPanel
jompezad
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 06 พฤษภาคม 2013, 23:23:52 »

หลักการพิจารณาพระสมเด็จวัดระฆังปิดทองล่องชาด (ปิดทองทึบ)

๑. พิมพ์ทรงพระสมเด็จวัดระฆังปิดทองทึบ พิมพ์นิยมในปัจจุบัน พิมพ์คมชัดสมส่วนสวยงาม จัดเป็นประณีตศิลป์ มีทั้งตัดขอบ (พิมพ์แบบเดิมเป็นพิมพ์ชิ้นเดียวตัดขอบข้างและปาดหลัง) และไม่ตัดขอบ (พิมพ์สองชิ้นประกบกัน จัดเป็นพิมพ์แบบใหม่ เป็นฝีมือช่างในตระกูลช่างสิบหมู่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ให้จดจำพิมพ์ทรงให้แม่นยำ
๒. พิมพ์ทรงพระสมเด็จวัดระฆังปิดทองทึบพิมพ์พิเศษอื่นๆ มีจำนวนมากหลายสิบพิมพ์โดยมากจะเป็นพิมพ์รูปเหมือนหรือพิมพ์ที่มีความหมายถึงวัฏปฏิบัติของสมเด็จพระพุฒาจ ารย์ (โต) พรหมรังสี เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา เป็นฝีมือการแกะพิมพ์ของช่างยุคเก่าที่มีลักษณะสวยงามตามแบบฉบับช่างในยุคนั้น (การพบพระชุดนี้ปะปนกับพระชุดปิดทองทึบ สันนิษฐานว่าเป็นการเจตนานำมาเก็บไว้ในกรุเดียวกัน แต่นำมาลง รัก ชาด ทองใหม่ให้เหมือนกัน)
๓. พิจารณาจาก รัก ชาด ทอง (รักสมุกสีดำ ชาดจอแสสีแดงจัด ทองคำเปลวสีดอกบวบ)
- ลักษณะการปิดทองแบบปิดทองล่องชาดทึบทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
- ลักษณะการปิดทองแบบปิดทองล่องชาดทึบทางด้านหน้า และด้านหลังลงชาด
- ลักษณะการปิดทองแบบปิดทองล่องชาดทึบทางด้านหน้า และด้านหลังลงรัก
ลักษณะของรัก ชาด ทอง จะติดกับองค์พระแน่นมากไม่หลุดลอกออกง่ายตามกาลเวลา (ประมาณ๑๔๔ปี) ให้สังเกตจากการที่เราได้ดูสิ่งก่อสร้างโบราณในพิพิธภัณฑสถานที่มีการลงรักปิดทองล่องชาด มีความงดงาม และมีความคงทนอย่างไร การลงรักปิดทองล่องชาดของพระสมเด็จชุดนี้จะเป็นอย่างนั้น
๔. พิจารณาจากเนื้อในขององค์พระ ถ้าลอก รัก ชาด ทองออกเนื้อในจะเป็นสีขาวเหมือนกับปูนขาว จึงมีน้ำหนักเบา และถ้าแช่ไว้ในน้ำนานเป็นสัปดาห์จะละลาย (พระชุดนี้ทำจากปูนขาว) พบทั้งมีการแตกลายงา และไม่แตกลายงา สิ่งที่แปลกและน่าอัศจรรย์ยิ่งก็คือถ้านำพระชุดนี้มาขึ้นคอบูชายิ่งนานวันเนื้อขององค์พระจะขาวมันวาวมีน้ ำหนัก แกร่งขึ้น และไม่ละลายน้ำ (จากการทดลองปฏิบัติ) นี่คือลักษณะแห่งอัจฉริยะภาพของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี และวิธีการอันชาญฉลาดของทีมช่างสิบหมู่ที่สร้างพระสมเด็จชุดนี้
๕. คุณลักษณะด้านอื่น ๆ ให้ศึกษาได้จากหลักการพิจารณาพระสมเด็จวัดระฆัง
บรรจุกรุ ณ ที่นั้น

การลงรัก ปิดทอง (ลงรักปิดทองล่องชาด)
โดย อาจารย์ไพรพนา ศรีเสน
การลงรักและการปิดทองถือได้ว่าเป็นงานประเภทประณีตศิลป์ และประเภทวิจิตรศิลป์ จัดอยู่ในสกุลงานช่างสิบหมู่ แขนงหมู่ช่างรักซึ่งช่างรักอยู่ในหมู่ช่างเขียนอันเป็นช่างแม่บท ได้มีวิวัฒนาการสืบต่อกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีจนถึงปัจจุบัน ใช้ในการตกแต่งประดับสิ่งของเครื่องใช้ตามโบราณราชประเพณีสำหรับพระมหากษัตริย์ ราชนิกุล ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ชนชั้นสูง รวมทั้งประชาชนโดยทั่วไป นอกจากนั้นยังมีการลงรักปิดทองพระพุทธรูป และเครื่องใช้ในพระพุทธศาสนาหลายสิ่งหลายอย่าง ที่สำคัญสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านได้สร้างและจัดสร้างพระสมเด็จและได้ทำการลงรักปิดทองไว้มากมายหลายสิบพิมพ์ จึงอยากจะเขียนเรื่องนี้ให้ผู้ที่กำลังศึกษาในเรื่องพระสมเด็จได้มีความรู้ที่แท้จริงในการพิจารณาเพราะนั บวันความรู้ด้านนี้ได้ถูกลบเลือนและลดความสำคัญลงมากจะด้วยสาเหตุแห่งการเข้าใจที่ผิด ความไม่รู้ รู้แต่ไม่มีข้อมูล หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ จนเป็นสาเหตุให้ขาดองค์ความรู้ที่สำคัญทั้งๆที่องค์ความรู้ทางด้านนี้นักนิยมพระเครื่องสกุลพระสมเด็จในสม ัยโบราณให้ความสำคัญมากถึงขนาดพิจารณารัก และทองคำเปลวก็สามารถบ่งบอกว่าพระสมเด็จองค์นั้นแท้หรือเทียมเป็นต้น ก่อนที่เราจะศึกษาถึงการลงรักปิดทองในพระสมเด็จจะอธิบายถึงเรื่องของรักและทองให้เข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อน ดังนี้
รัก เป็นชื่อยางไม้ชนิดหนึ่งที่ได้มาจาก ต้นรัก (ชื่อพฤกษศาสตร์ Melanorrhoea Usitata) ทั่วไปเรียกว่า ?ต้นน้ำเกลี้ยง? เป็นไม้ป่ายืนต้นอายุยืนมากกว่า ๒๐๐ ปี ชอบขึ้นและเจริญเติบโตในที่มีอากาศค่อนข้างเย็น อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ ๑๔๐๐ ฟุต ขึ้นไป อายุประมาณ ๑๐ ปีจึงจะให้น้ำรัก และจะให้น้ำรักไปจนถึง ๒๐๐ ปี น้ำรักจะมีสีขาวและมีพิษ การได้น้ำรักจะใช้วิธีการกรีดหรือสับที่ลำต้นเช่นเดียวกับการกรีดยาง ยางรักมีคุณสมบัติในการสมุกกับวัสดุต่างๆหรือสีต่างๆเข้าด้วยกัน ใช้ลงหรือถมพื้นเคลือบผิววัสดุต่างๆในงานตกแต่ง คงทนต่อ ความร้อน ความชื้น กรดหรือด่างอ่อนๆได้ ในสมัยก่อนประเทศไทยจะมีการปลูกกันมากทางภาคเหนือ ภาคอิสาน และภาคใต้ ส่วนในต่างประเทศนิยมปลูกกันที่ จีน พม่า เขมร มาเลเซีย ฯลฯ
IP : บันทึกการเข้า

ประวัติชื้อขายครับ เอกสารยืนยันแสดงตนพร้อมครับยืนทางเวป
http://www.cm-club.com/forum/member.php?u=82472


http://www.siambbgun.com/board/index.php?action=profile;u=77926;sa=statPanel
jompezad
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 06 พฤษภาคม 2013, 23:24:40 »

การลงรักปิดทองล่องชาดพระสมเด็จ
การลงรักปิดทองล่องชาดในพระสมเด็จที่สร้างและจัดสร้างโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี สันนิษฐานว่าเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๗๘ อายุ ๔๗ ปี พรรษา ๒๘ พรรษา ในขณะที่ท่านเป็นพระครูปริยัติธรรม จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๐๗ ถือเป็นยุคแรก ส่วนยุคหลังปี พ.ศ. ๒๔๐๘ จนถึง ปี พ.ศ. ๒๔๑๒ มีมูลเหตุแห่งการสร้างที่สำคัญก็คือให้เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีนิยม เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา การรักษาพุทธศิลป์ เนื้อมวลสารให้มีความคงทนสวยงาม และแสดงความเป็นสิริมงคลสูงสุด
การลงรักปิดทองพระสมเด็จในยุคแรก (ปี พ.ศ. ๒๓๗๘ จนถึง ปี พ.ศ. ๒๔๐๗)
การเริ่มลงรักปิดทองพระสมเด็จในยุคแรกนี้ สมเด็จฯท่านเป็นผู้ริเริ่มจนถือได้ว่าเป็นต้นแบบที่ได้มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีจุดประสงค์หลักก็เพราะการสร้างพระสมเด็จในยุคแรกๆนั้น ยังมีปัญหาในเรื่องของการเกาะยึดตัวของมวลสาร การกะเทาะ บิ่น แตกหักได้ง่าย หรือพิจารณาให้ชัดก็คือการรักษาเนื้อมวลสารและพุทธศิลป์นั่นเอง การลงรักปิดทองในยุคแรกนี้บ่งบอกว่าเป็นไปตามอัธยาศัย ไม่กำหนดว่าเป็นพิมพ์ใด เนื้อมวลสารใด สมเด็จฯ และสานุศิษย์ได้ร่วมกันจัดทำขึ้น ในขณะนั้นลงรักเพียงชั้นเดียวหรือสองชั้นเท่านั้น เช่น การลงรักสมุกสีดำ หรือลงรักสมุกชาดจอแส หรือเป็นการลงรักสมุกสีดำ และทับด้วยการลงรักสมุกชาดจอแส ต่อมาจึงมีการปิดทองทับทั่วองค์บ้างไม่ทั่วองค์บ้างซึ่งก็ทำเป็นจำนวนน้อย ปัญหาก็คือฝีมือไม่ละเอียดและยังขาดความรู้ในทางช่าง การลงรักขณะพระไม่แห้ง ปิดทองไม่เรียบ ทำให้ขาดความสวยงาม เป็นต้น นอกจากนั้นก็จะเป็นฝีมือชาวบ้านที่นำพระสมเด็จมาลงรักปิดทองกันตามอำเภอใจด้วยความประสงค์ที่แตกต่างกันออ กไปตามความเชื่อของแต่ละคน จึงไม่สวยงาม และไม่ต้องใจ บางท่านถึงกับลอกรักทองออกจนเนื้อของพระเสียหายก็มาก จนมาถึงช่วงปลายของยุคแรกได้เริ่มมีการพัฒนาการลงรักปิดทองโดยฝีมือสกุลช่างมากขึ้น แต่ไม่ได้มีการสร้างอย่างเป็นทางการ และยังไม่เป็นที่นิยม

ลงรักสมุกสีดำด้านหน้า หลัง ปิดทองทับเฉพาะด้านหน้า (ลงรักหนา)

ลงรักสมุกสีดำปิดทองทับเฉพาะด้านหน้า (ลงรักไม่หนาไม่บาง)


ลงรักสมุกสีดำด้านหน้า หลัง ปิดทองทับเฉพาะด้านหน้า (ลงรักบางมากขณะพระยังไม่แห้ง)

หลักการวิเคราะห์และการพิจารณา
๑. รักสมุกจะมีความแห้งมากแต่การเกาะยึดไม่ดีนัก จึงพบว่าการหลุดลอกของรักสมุก จะมีทั้งการร่อนออกเป็นแผ่นเล็กๆ หรือเป็นขุยจากการลงรักสมุกที่บาง และการกะเทาะอันเนื่องมาจากการลงรักสมุกที่หนา
๒. สีของรักสมุกส่วนใหญ่จะเป็นสีดำที่ผลิตขึ้นในประเทศไทยซึ่งเรามีชื่อเสียงมากแต่การลงรักสมุกที่ไม่มีกฎเก ณฑ์ที่แน่นอน และเงื่อนไขแห่งกาลเวลา จึงพบว่าถ้าบางมากจะเป็นสีน้ำตาล (คล้ายสีของตาของกุ้ง) ถ้าหนามากจะเป็นสีดำมันดูเหมือนรักใหม่
๓. พระสมเด็จบางองค์สีของรักสมุกจะซึมเข้าเนื้อพระอันเนื่องจากการลงรักเมื่อพระยังไม่แห้ง และน้ำรักใสอันเกิดจากการสมุกไม่ได้ส่วนทำให้ผิวของพระชั้นต้นจะเห็นเป็นสีเทาดำอ่อนๆแต่เนื้อมวลสารข้างใ นยังคงเป็นสีขาว ถ้าพิจารณาไม่ลึกซึ้งจะเข้าใจว่าเนื้อมวลสารมีความผิดเพี้ยนและหลายท่านที่ไม่ชำนาญจึงพิจารณาว่าเป็นพระส มเด็จไม่แท้
๔. ทองคำเปลวที่ปิดทับส่วนใหญ่จะเป็นทองนพคุณ ที่เรียกกันทั่วไปว่าทองเนื้อเก้าเป็นทองคำเปลวบริสุทธิ์แต่วิธีการลงไม่ใช่ฝีมือช่าง จึงไม่คงทนต่อการเกาะยึดหลุดลอกออกจนแทบหมดสิ้น หรือติดแน่นอยู่กับองค์พระแต่ไม่มีความสวยงาม สีทองแลดูคล้ำเรียกกันว่า ?ทองจม?

การลงรักปิดทองพระสมเด็จในยุคหลัง (ปี พ.ศ. ๒๔๐๘ จนถึง ปี พ.ศ. ๒๔๑๒)
เริ่มจัดสร้างอย่างเป็นทางการตามโบราณราชประเพณี จัดพิธีพุทธาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๘ และปี พ.ศ. ๒๔๑๒ เป็นฝีมือช่างในสกุลช่างสิบหมู่ ที่จัดเป็นประณีตศิลป์ และวิจิตรศิลป์ โดยจัดสร้างทั้งหมดสองรุ่นด้วยกันคือ พระสมเด็จวัดพระแก้ว และพระสมเด็จวัดระฆังปิดทองทึบ (ลงรักปิดทองล่องชาด)โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา เพื่อมอบให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นเบื้องต้น นอกจากนั้นก็มอบให้แก่คหบดี และประชาชนโดยทั่วไป
พระสมเด็จวัดพระแก้ว จัดสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๘ ปี พ.ศ. ๒๔๑๒ และปี พ.ศ.๒๔๒๕ ส่วนใหญ่ลงรักแทบทั้งสิ้นเป็นการลงรักทั้งองค์ (ยกเว้นในช่วงที่ เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) และ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถานมงคล (วังหน้า) จัดสร้างใน ปี พ.ศ. ๒๔๑๒ และปี พ.ศ. ๒๔๒๕ บางส่วนไม่ได้ลงรัก) พระชุดนี้ได้รับการพัฒนาแบบพิมพ์ พุทธศิลป์ และเนื้อมวลสาร ที่ทันสมัยขึ้นและทำการ ลงรักสมุกโดยไม่มีการปิดทอง มีขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนแรก จะเป็นการลงด้วยรักสมุกชาดจอแสเป็นการลงเพียงครั้งเดียว แล้วปล่อยให้แห้งสนิทโดยการตากผึ่งในที่แจ้งประมาณหนึ่งวัน ขั้นตอนที่สอง ลงทับด้วยรักสมุกสีดำ หรือรักสมุกสีน้ำเงิน หรือรักสมุกสีเหลือง (หรดาล) อีกหนึ่งครั้งแล้วปล่อยให้แห้งสนิทโดยการตากผึ่งในที่แจ้งประมาณหนึ่งวัน ตั้งแต่เริ่มจนจบสิ้นกระบวนการเป็นการลงรักสมุกเพียงสองครั้งเท่านั้นแต่การทำโดยฝีมือสกุลช่างสิบหมู่จึง มีความประณีตและสวยงามมาก หลังจากนั้นจึงนำบรรจุกรุที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และกรุวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) ในปัจจุบันพบว่าพระสมเด็จวัดพระแก้วทั้งหมดที่ลงรักหลุดลอกจนแทบจะหมดสิ้นแล้ว

ลงรักสมุกชาดจอแสลงทับด้วยรักสมุกสีดำ ด้านหน้า ด้านหลัง และขอบทั้งสี่ด้าน

ลงรักสมุกชาดจอแสและลงทับด้วยรักสมุกสีน้ำเงินจากพม่า ด้านหน้า ด้านหลัง และขอบทั้งสี่ด้าน

หลักการวิเคราะห์และการพิจารณา
รักสมุกสีดำในประเทศไทย ส่วนที่นำเข้าจากประเทศจีน และพม่า จะมีทั้งหมด ๓ สี สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง โดยลงรัสมุกชาดจอแส (สีแดง) ลงทับด้วยรักสมุกสีดำ หรือ รักสมุกสีน้ำเงิน หรือ รักสมุกสีเหลือง (หรดาร) ทั้งด้านหน้า หลัง และด้านข้างทั้งสี่ด้าน เป็นการลงสองขั้นตอน บาง สม่ำเสมอ มีความละเอียด ปัจจุบันหลุดลอกแทบจะหมดทั้งองค์ (รักสมุกที่ลงในสมเด็จวัดพระแก้วจะไม่มีการกะเทาะโดยเด็ดขาด เพราะการกะเทาะจะเกิดได้เฉพาะการลงรักสมุกหลายชั้นจนเกิดความหนาและจับตัวแข็ง) และเป็นการลงรักสมุกโดยไม่มีการปิดทอง
*** การลงรักสมุกชาดจอแสและลงทับด้วยรักสมุกสีน้ำเงินจากพม่า ข้อพิจารณา สีที่มองเห็นจะเป็นสีแดงอมม่วงหม่นๆหรือน้ำเงินอมม่วงหม่นๆ ***
*** การลงรักสมุกชาดจอแสลงทับด้วยรักสมุกสีดำ ข้อพิจารณา สีที่มองเห็นสีแดง และสีดำจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ***

พระสมเด็จวัดระฆังปิดทองทึบ (ลงรักปิดทองล่องชาด) จัดสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๘
พระสมเด็จชุดนี้สมเด็จฯท่านได้จัดสร้างประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๐๘ ในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ (พร้อมการสร้างพระสมเด็จวัดพระแก้วในครั้งแรกคือ ปี พ.ศ. ๒๔๐๘ และเป็นในยุคปลายก่อนที่ท่านจะถึงแก่ชีพิตักษัย) หลังจากท่านได้สมณะศักดิ์เป็น "สมเด็จพระพุฒาจารย์" ด้วยอายุ ๗๖ ปี หรือพรรษาที่๕๘ และได้ถูกค้นพบบนเพดานวิหารวัดระฆังเมื่อคราวทำบุญแด่สมเด็จฯเนื่องในวันครบรอบร้อยปีที่สมเด็จสิ้นชีพิตั กษัย แต่น่าเสียดายที่พระชุดนี้ไม่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ พระสมเด็จชุดนี้ได้รับการพัฒนาแบบพิมพ์ พุทธศิลป์ และเนื้อมวลสารที่ทำจากปูนขาว(ปูนเปลือกหอยที่นำมาสตุ)ผสมกับดินสอพอง ถ้าลอกรักทองออกจะเห็นเป็นสีขาวมันวาวดั่งงาช้าง การลงรักและปิดทองโดยสกุลช่างสิบหมู่ จัดสร้างในลักษณะ ?งานลงรักปิดทองทึบ? อันเป็นหนึ่งในสี่หมวดของงานช่างรัก เน้นความหมายอันเป็นสิริมงคลสูงที่สุด คือ สีแดง ที่แสดงความสว่างไสว ความอบอุ่น ความรุ่งเรืองโชติช่วง และพลังอำนาจ สีทอง ที่หมายถึงความมั่งคั่ง มั่งมี และ ความเมตตา ส่วนวิธีการลงรักปิดทองนั้นมีการกระทำสามขั้นตอนคือ ขั้นตอนแรก นำพระสมเด็จที่ตากแห้งได้ตามเวลาแล้วลงรักสมุกชาดจอแสปล่อยให้แห้งสนิทโดยการตากผึ่งในที่แจ้งสามวัน หรือลงรักสมุกสีดำแล้วปล่อยให้แห้งสนิทโดยการตากผึ่งในที่แจ้งสามวัน (รักสมุกสีดำพบเป็นส่วนน้อยมาก) ขั้นตอนที่สอง นำพระสมเด็จที่ทำการลงรักตามขั้นตอนที่หนึ่งแล้วทำซ้ำ ขั้นตอนที่สาม นำพระสมเด็จที่ลงรักสองขั้นตอนแล้วทาด้วยน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าวบางๆทั่วทั้งองค์ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ หนึ่งวัน การลงน้ำมันนั้นเพื่อให้ทองที่ปิดมีความคงทนสวยงาม จากนั้นนำทองคำเปลวบริสุทธิ์ร้อยละ ๙๖.๕ หรือ ร้อยละ ๙๙.๙๙ ปิดทับหนึ่งครั้ง ทั้งด้านหน้า หลัง แต่ไม่ปิดขอบด้านข้างทั้งสี่ด้าน เรียกกันว่า ?ปิดทองทึบ? หรือบางองค์ปิดทองคำเปลวทับเฉพาะด้านหน้า ไม่ปิดด้านหลังก็มีปรากฏ พระชุดนี้จะสวยงามมากรักสมุกที่ลงมีความคงทน ทองคำเปลวที่นำมาปิดนั้นเมื่อทำความสะอาดจะเป็นประกายเหลืองอร่าม สมกับเป็นฝีมือช่างสิบหมู่ ปัจจุบันยังไม่พบการหลุดลอกพบเพียงการกระเทาะ และร่อนออกเป็นบางส่วนเท่านั้น


ลงรักสมุกชาดจอแสและปิดทองคำเปลวทับด้านหน้า หลัง (ปิดทองทึบ)

ลงรักสมุกชาดจอแสและปิดทองคำเปลวทับเฉพาะด้านหน้า ไม่ปิดด้านหลัง


พระสมเด็จวัดระฆังปิดทองทึบที่ลอกรักและทองออก เนื้อมวลสารสีขาวดั่งงาช้าง
หลักการวิเคราะห์และการพิจารณา
การลงรักและปิดทองจัดทำโดยฝีมือสกุลช่างสิบหมู่ รักสมุกชาดจอแสที่ใช้ผลิตขึ้นและนำเข้าจากประเทศจีน จึงมีความสวยงาม คงทน การลอกรักและทองออกกระทำได้ยากมาก ให้สังเกตจากสีที่แดงเหมือนเลือดนก การหลุดลอกของรักโดยธรรมชาติจะเป็นการกะเทาะ ทองคำเปลวที่ปิดทับเป็นทองนพคุณ (คือทองคำเปลวบริสุทธิ์) มีความประณีตมาก สม่ำเสมอทั่วทั้งองค์ เหลืองอร่ามสวยงามเป็นที่สุด ทดสอบได้ด้วยการใช้สารเคมีกัดสีใดๆจะไม่สามารถทำลายเนื้อทองคำเปลวได้ การหลุดลอกของทองคำเปลวโดยธรรมชาติจะหลุดออกมาโดยการกะเทาะพร้อมรัก

การลงรักปิดทองพระสมเด็จนั้นจะแตกต่างกับการการลงรักปิดทองศิลปวัตถุตามแบบสถาปัตยกรรมประเพณีไทยอยู่มากก ล่าวคือ จะมีขั้นตอนการลงรักปิดทองถึงร้อยกว่าครั้งใช้เวลาเป็นปี หรือหลายปี จึงพบว่าศิลปวัตถุของไทยนั้นมีความคงทนและงดงามหลายร้อยปีทีเดียว
อ้างอิง
๑. การลงรักปิดทองล่องชาด จากวิกิพีเดียร สารานุกรมเสรี
๒. ประวัติช่างสิบหมู่ จากวิกิพีเดียร สารานุกรมเสรี

IP : บันทึกการเข้า

ประวัติชื้อขายครับ เอกสารยืนยันแสดงตนพร้อมครับยืนทางเวป
http://www.cm-club.com/forum/member.php?u=82472


http://www.siambbgun.com/board/index.php?action=profile;u=77926;sa=statPanel
jompezad
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 06 พฤษภาคม 2013, 23:27:56 »

 ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 07 พฤษภาคม 2013, 00:31:46 โดย jompezad » IP : บันทึกการเข้า

ประวัติชื้อขายครับ เอกสารยืนยันแสดงตนพร้อมครับยืนทางเวป
http://www.cm-club.com/forum/member.php?u=82472


http://www.siambbgun.com/board/index.php?action=profile;u=77926;sa=statPanel
jompezad
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 06 พฤษภาคม 2013, 23:32:38 »

 ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 07 พฤษภาคม 2013, 00:31:28 โดย jompezad » IP : บันทึกการเข้า

ประวัติชื้อขายครับ เอกสารยืนยันแสดงตนพร้อมครับยืนทางเวป
http://www.cm-club.com/forum/member.php?u=82472


http://www.siambbgun.com/board/index.php?action=profile;u=77926;sa=statPanel
pmorn
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 94


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 07 พฤษภาคม 2013, 02:06:44 »

นิยายขายพระปลอม
ของคนหากินกับเงินทำบุญบริจาค
IP : บันทึกการเข้า
lllaunlll
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 0



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 07 พฤษภาคม 2013, 14:10:52 »

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ขอบคุณมากครับ..ที่ช่วยบอกรายละเอียดต่างๆ เป็นความรู้ดีมากๆครับ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
jompezad
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 07 พฤษภาคม 2013, 14:32:23 »

http://www.phrasomdej.in.th/index.php/webboard-phrasomdej/7----/5518---


ลองดูลิ้งนี้ดูครับ
IP : บันทึกการเข้า

ประวัติชื้อขายครับ เอกสารยืนยันแสดงตนพร้อมครับยืนทางเวป
http://www.cm-club.com/forum/member.php?u=82472


http://www.siambbgun.com/board/index.php?action=profile;u=77926;sa=statPanel
lllaunlll
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 0



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 07 พฤษภาคม 2013, 20:26:51 »

http://www.phrasomdej.in.th/index.php/webboard-phrasomdej/7----/5518---


ลองดูลิ้งนี้ดูครับ

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ขอบคุณครับ... ยิ้ม ยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 กรกฎาคม 2016, 10:34:51 โดย lllaunlll » IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!