เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 27 กรกฎาคม 2025, 07:01:22
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  ไม่ดูไม่รู้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ไม่ดูไม่รู้  (อ่าน 1344 ครั้ง)
ohio888
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 782



« เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 09:41:21 »

ไปเห็นมา เลยเอามาฝาก

IP : บันทึกการเข้า

อย่าคลั่งชาติจนมากไป
ประเทศไทยยังมีขอทาน
(อย่าโลกสวย)
9D
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,467


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 12:13:33 »

เคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ที่นี่ ผมว่ามันมีสาระความรู้ดีครับ ได้แง่คิดหลายๆมุมมอง
IP : บันทึกการเข้า
kooboori
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,270



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 13:11:27 »

ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
IP : บันทึกการเข้า

" นกกระจอก ย่อมไม่เข้าใจ วิถีแห่ง อินทรี "
AU9821
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 175



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 14:20:59 »

ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 15:31:51 »

เอามาแจมครับ...เผื่อใครต้องการการทำนายก็ต้องศึกษาจากอดีต



การปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชน
 ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2150 ถึง พ.ศ. 2300 (ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา) เป็นช่วงที่ประเทศทุนนิยม (ในทวีปยุโรปที่เจริญแล้วในปัจจุบัน) กำลังเฟื่องฟูและได้เกิดการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนประเทศแล้วประเทศเล่าอย่างต่อเนื่อง เป็นการปฏิวัติที่คัดค้านระบอบทาสกสิกรของชนชั้นศักดินา และกวาดล้างอุปสรรคในการพัฒนาของ “ระบอบทุนนิยม” 

 พลังขับดันในเวลานั้นมีทั้งชนชั้นนายทุน ชาวนา และชนชั้นกรรมาชีพ ทั้งนี้เพราะขณะนั้นชนชั้นกรรมาชีพยังมิได้ก่อตัวขึ้นเป็นพลังทางการเมืองที่เป็นอิสระจากการครอบงำของชนชั้นอื่น ๆ อย่างแท้จริง  จึงจำเป็นต้องทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยของชนชั้นนายทุน ส่วนชาวนาก็เป็นเพียงกองทัพสำรองของชนชั้นนายทุนเท่านั้น ชนชั้นนายทุนมีอำนาจนำในการปฏิวัติ ด้วยเหตุนี้ผลของการปฏิวัติ ชนชั้นนายทุนจึงได้อำนาจรัฐไปครอง และกลายเป็นชนชั้นผู้ปกครองในประเทศเหล่านั้นแทนผู้ปกครองจากชนชั้นศักดินาแต่ดั้งเดิม

 ต่อมาเมื่อระบอบทุนนิยมในทวีปยุโรปได้ก้าวเข้าสู่ขั้นทุนนิยมผูกขาด กลายเป็นจักรพรรดินิยมหรือทุนนิยมข้ามชาติไปไม่น้อยแล้ว แต่ยังมีบางประเทศที่ระบอบการปกครองยังล้าหลัง ชนชั้นเจ้าที่ดินศักดินายังครอบงำการปกครองอยู่ โดยมิได้พัฒนาให้สอดคล้องกับพลังการผลิตที่เจริญรุดหน้าไปมากแล้ว ความขัดแย้งภายในของประเทศเหล่านี้ทำให้เกิดการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนขึ้นภายหลัง เช่น การปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนของรัสเซีย ในปี พ.ศ. 2448 - 2450 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 )

 เลนินชี้ว่า “การปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อชนชั้นนายทุนเท่านั้น ต่อชนชั้นกรรมาชีพก็มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งเช่นกัน เพราะว่า “การปฏิวัติของชนชั้นนายทุนยิ่งดำเนินไปอย่างเต็มที่ เด็ดเดี่ยว และถึงที่สุดเท่าไหร่ การต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพเพื่อคัดค้านชนชั้นนายทุน ช่วงชิงระบอบสังคมนิยมก็ยิ่งมีหลักประกัน” (จาก “สองยุทธวิธีของพรรคสังคมประชาธิปไตยในการปฏิวัติประชาธิปไตย”)

 ดังนั้น ในระยะประวัติศาสตร์เช่นนี้ ชนชั้นกรรมาชีพทั้งสามารถและควรจะกลายเป็นผู้นำการปฏิวัตินี้ การปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนภายใต้การนำของชนชั้นกรรมาชีพย่อมจะต้องเกิดขึ้นในรูปแบบที่เป็นผลดีต่อชาวนาและกรรมกร ย่อมจะต้องสถาปนา “เผด็จการประชาธิปไตยประชาชนที่ปฏิวัติ” ของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนา ทั้งย่อมจะต้องแปรเปลี่ยนเป็นการ “ปฏิวัติสังคมนิยม” ต่อไปด้วย  ความคิดเหล่านี้ของเลนิน มีความหมายในการชี้นำอย่างใหญ่หลวงต่อการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนในยุคจักรพรรดินิยม

 ในยุคจักรพรรดินิยม นอกจากในทวีปยุโรป ยังมีประเทศด้อยพัฒนาล้าหลังอยู่ทั่วโลกเป็นอันมากที่ยังมิได้ทำการปฏิวัติประชาธิปไตยให้ลุล่วงไป พวกจักรพรรดินิยมหรือกลุ่มทุนข้ามชาติขนาดยักษ์นั้น ด้านหนึ่งก็ร่วมสมคบกับอิทธิพลศักดินาภายในประเทศด้อยพัฒนาล้าหลัง รักษารากเหง้าระบอบขูดรีดของศักดินาไว้ และทำให้ชนชั้นเจ้าที่ดินกลายเป็นหลักค้ำจุนการรุกรานและการปกครองประเทศเหล่านี้ของตน อีกด้านหนึ่งก็ชุบเลี้ยงชนชั้นนายทุนใหญ่ที่มีลักษณะเป็นนายหน้าในประเทศด้อยพัฒนาล้าหลัง เพื่อให้เป็นตัวแทนการปกครองประชาชนเหล่านี้ของตนโดยตรง

 ในหลายประเทศ ชนชั้นนายทุนนายหน้าได้พัฒนากลายเป็นชนชั้นนายทุนขุนนาง ใช้อำนาจรัฐของประเทศผูกขาดเส้นเลือดทางเศรษฐกิจของทั้งประเทศเพื่อรับใช้พวกจักรพรรดินิยม ความขัดแย้งระหว่างจักรพรรดินิยมกับประชาชาติที่ถูกกดขี่ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นศักดินาและนายทุนนายหน้าฝ่ายหนึ่งกับมวลมหาประชาชน เป็นความขัดแย้งพื้นฐานของประเทศเหล่านี้ และนำไปสู่การเคลื่อนไหวปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ

 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังการปฏิวัติเดือนตุลาคมของรัสเซีย การต่อสู้ปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนาล้าหลังได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง และชนชั้นนายทุนมิได้เป็นชนชั้นนำการปฏิวัติแต่เพียงชนชั้นเดียวอีกต่อไป ขณะเดียวกันก็เป็นการเริ่มต้นยุคแห่งการปฏิวัติที่นำโดยชนชั้นกรรมาชีพเพื่อก้าวไปสู่สังคมนิยม

 เลนินชี้ว่า “ถ้าหากการต่อสู้เพื่อคัดค้านทุนของกรรมกรในทวีปยุโรปและอเมริกาไม่สามัคคีกับทาสในเมืองขึ้น เรือนแสนเรือนล้านที่ถูกทุนกดขี่อยู่ทั้งหมดอย่างแน่นแฟ้นที่สุดแล้ว  การเคลื่อนไหวปฏิวัติของประเทศที่ก้าวหน้า โดยความเป็นจริงแล้วก็เป็นแค่เพียงกลลวงอย่างหนึ่งเท่านั้น” (จาก “การประชุมสมัชชาผู้แทนครั้งที่ 2 ของคอมมิวนิสต์สากล”)

 เหมาเจ๋อตุงชี้ว่า “การปฏิวัติของประเทศเมืองขึ้น กึ่งเมืองขึ้น เป็นการโจมตีลัทธิจักรพรรดินิยมอย่างถึงที่สุด มันทำให้แนวหลังของลัทธิจักรพรรดินิยมกลายเป็นแนวหน้าที่คุกคามชีวิตของลัทธิจักรพรรดินิยม สั่นคลอนระบอบลัทธิจักรพรรดินิยมอย่างถึงราก และเป็นประโยชน์แก่การพัฒนาของการเคลื่อนไหวปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ  ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นสิ่งที่ลัทธิจักรพรรดินิยมไม่ยินยอมและคัดค้าน แต่มันกลับเป็นที่ยอมรับของลัทธิสังคมนิยม และเป็นสิ่งที่ลัทธิสังคมนิยมและชนชั้นกรรมาชีพสากลให้การสนับสนุน”

 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยประชาชาติในประเทศด้อยพัฒนาล้าหลังได้พัฒนาขยายตัวไปอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น หลังจากการต่อสู้กับจักรพรรดินิยมมาเป็นเวลายาวนาน บางส่วนได้ก้าวไปสู่หนทางสังคมนิยม บ้างก็ได้รับเอกราชทางการเมือง แต่จักรพรรดินิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดินิยมอเมริกา ยังคงดิ้นรนและหมายมุ่งที่จะใช้นโนบาย “ล่าอาณานิคมแบบใหม่” ที่มีเล่ห์เหลี่ยมกลลวงมากกว่าเดิม มากดขี่ขูดรีดประเทศด้อยพัฒนาล้าหลังต่อไป รวมทั้งแทรกตัวเข้าแทนที่ลัทธิล่าอาณานิคมแบบเก่าที่เสื่อมอิทธิพลลง

 ลัทธิล่าอาณานิคมแบบใหม่มิได้ใช้วิธีการล่าเมืองขึ้นโดยตรงอย่างโจ่งแจ้ง หากได้ใช้สิ่งที่เรียกว่า ”การช่วยเหลือ” เป็นเหยื่อล่อ ใช้วิธีการ “ผูกมัด-ควบคุมทางเศรษฐกิจ การกว้านซื้อทางการเมือง และสนธิสัญญาทางทารทหาร” เป็นเครื่องมือบรรลุจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกับลัทธิล่าอาณานิยมแบบเก่า ซึ่งโดยผิวเผินแล้ว ได้ยอมให้ประเทศที่ถูกรุกรานยังคงมี “ความเป็นเอกราชในทางรูปแบบ” เพราะมันแสดงบทบาทหลอกลวงได้แนบเนียนกว่า

 สิ่งที่เรียกว่า ”การช่วยเหลือ” แท้จริงก็คือการส่งออกของทุนอย่างหนึ่ง  การช่วยเหลือเหล่านี้ก็เพื่อที่จะเสริมการรุกราน การขูดรีด และการควบคุมที่มั่นคงแน่นหนายิ่งขึ้นต่อประเทศที่คอยรับความช่วยเหลือ แล้วคอยฉกชิงผลกำไรสูงสุด และสร้างอิทธิพลครอบงำทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองต่อประเทศที่รับความช่วยเหลือตลอดไป

 หลายสิบปีหลังการปฏิวัติเดือนตุลาคมของรัสเซีย การต่อสู้ปฏิวัติตามแนวทางสังคมนิยมได้ท้าทายการครอบงำโลกของ “ทุนนิยม” อย่างทั่วด้าน กลายเป็นสงครามเย็นที่เผชิญหน้ากันในทุกแนวรบระหว่างค่ายสังคมนิยมกับค่ายทุนนิยม

 แม้ว่าในเวลาต่อมา สงครามเย็นได้ยุติลงโดยฝ่ายค่ายสังคมนิยมจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำและถอยร่น เพราะความอ่อนหัดและขาดบทเรียนในการนำลัทธิมาร์กซ-เลนินไปชี้นำการปฏิวัติให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางภาววิสัย ทำให้ต้องหันกลับมาสรุปบทเรียนและความจัดเจนครั้งใหญ่ท่ามกลางการต่อสู้นี้ เหมือนดังตอนหนึ่งของเพลง “วีรชนปฏิวัติ” ที่ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้ประพันธ์ไว้ว่า

 “สู้   พ่ายแพ้สู้ใหม่ พ่ายแพ้สู้ใหม่ จนชัยได้มา”

 การเพลี่ยงพล้ำและถอยร่นดังกล่าว ทำให้ค่ายทุนนิยมรุกเข้าครอบครองโลกไว้ได้อย่างเด็ดขาด การขยายอิทธิพลของจักรพรรดินิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดินิยมอเมริกาจึงเป็นไปอย่างเต็มที่ ทั้งด้วยรูปแบบทางเศรษฐกิจและทางการทหาร ทั้งบนบก ในทะเล และแม้แต่ในอวกาศ โดยไม่คำนึงถึงข้อตกลงหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศใด ๆ ไม่ว่าในกรณีรุกรานประเทศอาฟกานิสถาน ประเทศอิรัก การข่มขู่ว่าจะใช้กำลังทหารรุกรานประเทศต่าง ๆ หรือแม้แต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมและคุกคามความปลอดภัยของประชาชนทั่วทั้งโลก ทำให้วิกฤติการณ์ต่าง ๆ ขยายตัวไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งวิกฤติทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ

 ทฤษฎีการปฏิวัติตั้งแต่ในอดีต ได้ให้ความสำคัญต่อ “ปัญหาอำนาจการนำ” ไว้อย่างมาก เหมาเจ๋อตุงเคยกล่าวไว้ว่า “ปัญหาอำนาจการนำของการเคลื่อนไหวปฏิวัติในประเทศเมืองขึ้น กึ่งเมืองขึ้น เป็นปัญหามูลฐานปัญหาหนึ่ง เป็นปัญหาปมเงื่อนแห่งการที่จะบรรลุชัยชนะอย่างถึงที่สุดหรือไม่ของการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย”
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 15:32:37 »

ต่อๆๆๆ...ยังไม่จบ


ในยุคสมัยแห่งการปฏิวัติโลกของลัทธิสังคมนิยมวิทยาศาสตร์แห่งชนชั้นกรรมาชีพ (ในกาลข้างหน้าอนาคตที่ยังมาไม่ถึง) มีแต่ชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้นจึงจะสามารถนำประชาชนทั้งมวลไปทำการปฏิวัติที่คัดค้านจักรพรรดินิยม คัดค้านศักดินา คัดค้านทุนนิยมได้อย่างถึงที่สุด ทำให้ประเทศเป็นเอกราชและประชาชนได้รับการปลดปล่อยอย่างถึงที่สุดได้อย่างแท้จริง นี่เป็นวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล และไม่อาจจะเข้าใจได้ด้วยการมองแค่ปรากฏการณ์ช่วงสั้น ๆ ในปัจจุบัน หรือด้วยทัศนะการมองปัญหาแบบหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนที่ ไม่เปลี่ยนแปลง หรือมิได้ทำความเข้าใจด้วยทัศนะของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ซึ่งก็เหมือนกับนักคิดโบราณในยุคทาสจำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมเชื่ออย่างเด็ดขาดว่า ชนชั้นทาสจะสามารถลุกขึ้นต่อสู้ปลดแอกตนเองจนระบอบทาสล่มสลาย  หรือเหมือนกับนักคิดโบราณในยุคศักดินาจำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมเชื่ออย่างเด็ดขาดว่า พ่อค้าวาณิชย์หรือเหล่ากระฏุมพีที่แสนต่ำต้อยในสังคมศักดินาจะเติบโตเข้มแข็งจนกลายเป็นชนชั้นผู้ขุดหลุมฝังศพให้กับชนชั้นศักดินา เช่นเดียวกัน ด้วยทัศนะอภิปรัชญาแบบนี้ พวกเขาจึงมองไม่เห็นพลังของชนชั้นกรรมาชีพในอนาคต และคิดเพียงว่า ชนชั้นกรรมาชีพที่ต่ำต้อยด้อยพลังในเวลานี้จะต้องสะดุดหยุดนิ่งและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ขณะเดียวกันก็ใช้หลักคิดพื้นฐานเช่นนี้ไปเข้าใจว่า ชนชั้นนายทุนชาติ ชนชั้นกลาง รวมทั้งปัญญาชนและชนชั้นนายทุนน้อย จะต้องมีพลังมากกว่าชนชั้นกรรมาชีพเช่นนี้ไปตลอดกาลเช่นเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่ปรากฏการณ์เฉพาะหน้านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่มีการพัฒนามาตลอดกาลอย่างยาวนานหลายพันปี และมิได้สิ้นสุดหยุดนิ่งแต่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน ที่สำคัญบางคนถึงกับเชื่อว่าชนชั้นนายทุนจะสามารถเสกสรร์เล่ห์อุบายกลลวงนานัปการมาหลอกลวงมึนชา ให้ชนชั้นกรรมาชีพยอมจำนนอยู่กับการกดขี่ขูดรีดเช่นนี้ได้ตลอดไป และฟันธงอย่างมั่นใจว่า การปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วตลอดกาล และแน่นอน ลัทธิมาร์กซก็ย่อมจะใช้ไม่ได้ไปตลอดกาลด้วย !

 นี่เป็นการต่อสู้ในปริมณฑลทางความคิดทฤษฎีที่แหลมคม เพราะความปรารถนาสูงสุดของชนชั้นนายทุนตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็คือ พยายามทำให้ทุกคนในโลก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นกรรมาชีพ) เชื่อว่า ทฤษฎีลัทธิมาร์กซใช้ไม่ได้หรอก เป็นความคิดโง่ ๆ เกิดขึ้นเป็นจริงไม่ได้ หลงเชื่อไปก็เสียเวลา หรือไม่ก็ตายเปล่า และอะไรอีกมากมายในทำนองนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังสงครามเย็นที่ค่ายสังคมนิยมเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำและถอยร่น ซึ่งถ้าหากพวกเขาทำได้สำเร็จเช่นนั้นจริง ๆ ก็ย่อมจะรักษาสถานะนำในสังคมและธำรงไว้ซึ่งการกดขี่ขูดรีดอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ได้ตลอดไป แต่มันง่ายเกินไปที่จะเพ้อฝันว่าชนชั้นกรรมาชีพที่ก้าวหน้าจะพากันละทิ้งการใช้ทฤษฎีลัทธิมาร์กซ-เลนินที่เป็นอาวุธทางความคิดของชนชั้นตนหลังจากการต่อสู้ทางชนชั้นกับชนชั้นนายทุนแล้วเกิดความเพลียงพล้ำขึ้นมาสักครั้งสองครั้ง เพราะหากละทิ้งหรือปราศจากอาวุธทางความคิดที่รับใช้ชนชั้นกรรมาชีพอย่างถึงที่สุดชนิดนี้แล้ว ชนชั้นกรรมาชีพก็ไม่สามารถจะต่อสู้โค่นล้มชนชั้นนายทุนและปลดปล่อยพลังการผลิตได้อย่างแท้จริงและตลอดไป   

 กล่าวสำหรับในบางประเทศที่มีอิทธิพลของจักรพรรดินิยม และศักดินาดำรงอยู่อย่างแน่นหนา การดำรงอยู่ของชนชั้นที่ล้าหลังกว่าทางประวัติศาสตร์ เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาไปของสังคมในทุก ๆ ด้าน ในบริบทของความคิดทฤษฎี พวกเขาขัดขวางการขยายตัวเติบใหญ่ของระบอบทุนนิยมอย่างเห็นได้ชัด (แม้ว่าจะพลิกผันตัวเองให้มาขูดรีดแบบเดียวกับชนชั้นนายทุน และมีผลประโยชน์มหาศาลร่วมกับชนชั้นนายทุนอยู่แล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังคงใช้อิทธิพลของชนชั้นที่ล้าหลัง สร้างกฎเกณฑ์ทางสังคมที่เอาเปรียบและมิได้แข่งขันกันอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันกับชนชั้นนายทุนอื่น ๆ ) อีกทั้งระบอบการผลิตและวัฒนธรรมจิตสำนึกที่ล้าหลังของพวกเขา ก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมที่พัฒนาไปแล้วโดยการผลักดันของชนชั้นนายทุนได้ การมีอิทธิพลของชนชั้นที่ล้าหลังกว่าดำรงอยู่อย่างหนาแน่น จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งขั้นพื้นฐานในสังคมขึ้นอย่างกว้างขวาง และแน่นอนพวกเขาย่อมดิ้นรนเพื่อยืดลมหายใจมิให้ชนชั้นนายทุนขุดหลุมฝังพวกเขาได้โดยง่าย สังคมประเทศอื่น ๆ ที่เคยผ่านช่วงประวัติศาสตร์นี้มาก่อนก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาดที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด

 นักลัทธิมาร์กซที่ใช้หลักการพื้นฐานของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์มาศึกษา และทำความเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมเหลานี้ จะสามารถเข้าใจเรื่องราวได้โดยง่าย และคาดการณ์อนาคตได้ไม่ยากว่า ชนชั้นที่ขัดขวางกงล้อประวัติศาสตร์ ขัดขวางการพัฒนาก้าวรุดหน้าของพลังการผลิตในสังคม จะต้องเสื่อมทรุดและถูกแทนที่ด้วยชนชั้นที่ก้าวหน้ากว่าในช่วงประวัติศาสตร์นั้น ๆ นี่เป็นกฎที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้  ไม่ว่าใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าจะยอมรับลักษณะรูปธรรมที่กักขฬะของชนชั้นนายทุนหรือไม่ก็ตาม เพราะกฎที่ว่านี้ได้เคยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ปลายยุคชุมชนบรรพกาลเมื่อเกือบหมื่นปีมาแล้ว เพียงแต่ว่า ด็อกเตอร์ คาร์ล มาร์กซ เป็นผู้ค้นพบและถอดกฎเกณฑ์เหล่านี้ออกมาเป็นทฤษฎีได้สำเร็จ จนแม้แต่นักวิชาการและสถาบันชั้นนำในประเทศอเมริกายังต้องยกย่องให้ ดร. คาร์ล มาร์กซ เป็นนักคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหัสวรรษ (ในรอบ 1,000 ปีนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1001-2000 ) เหนือกว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบหลักการทำงานของระเบิดปรมาณูเสียอีก

 การปฏิวัติในสังคมที่เช่นนี้จะต้องผ่านขั้นตอนที่สำคัญขั้นตอนหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ 2 รูปแบบ คือ

 1. ปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน จะเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ

  1.1 ชนชั้นนายทุนมีความเข้มแข็งและตัดสินใจต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระของตน

  1.2 ชนชั้นกรรมาชีพยังอ่อนแอ กล่าวคือ
   1.2.1 ไม่สามารถแสดงพลังทางการเมืองที่เป็นอิสระจากชนชั้นอื่น ๆ
   1.2.2. ยังมิได้ติดอาวุธทางความคิดเพื่อปลดปล่อยชนชั้นเองอย่างกว้างขวาง   
   1.2.3 ยังมิได้มีการจัดตั้งที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งในรูปแบบสูงสุด (พรรคปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ)

 การปฏิวัติรูปแบบนี้จะนำโดยชนชั้นนายทุน เพื่อไปขุดหลุมฝังศพให้กับชนชั้นที่ล้าหลังกว่าทางประวัติศาสตร์ แต่ชนชั้นนายทุนจะต้องสำแดง “บทบาทการนำ” ที่เข้มแข็ง จริงจัง เอาการเอางานและทุ่มเทอย่างเต็มที่ และมีแนวร่วมอันกว้างใหญ่ไพศาลคอยสนับสนุน พวกเขาก็จะพบความสำเร็จพร้อมกับชัยชนะที่รออยู่ข้างหน้า

 ในรูปแบบนี้ สถานะ “การนำ” ของขบวนการต่อสู้จะเป็นของชนชั้นนายทุน และผลประโยชน์ของการปฏิวัติก็จะตกอยู่กับชนชั้นนายทุนเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาจะเป็นชนชั้นนำในสังคมทดแทนชนชั้นที่ล้าหลังกว่าทางประวัติศาสตร์ต่อไป และมีบทบาทในการควบคุมการพัฒนาของ “พลังการผลิตในสังคม” ให้ก้าวรุดหน้ายิ่ง ๆ ขึ้น

 ส่วนชนชั้นกรรมาชีพจะต้องช่วงชิงผลประโยชน์ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งนี้ มาทำให้ภายในขบวนแถวของชนชั้นกรรมาชีพเข้มแข็งและมีพลังอย่างเต็มที่ รวมทั้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้าของกรรมกรบางส่วนด้วย

  แต่ถ้าชนชั้นนายทุนยังอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอ ไม่กล้าแสดงบทบาทนำในการต่อสู้ครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือทรยศต่อประชาชน หันไปสมคบและประนีประนอมกับชนชั้นที่ล้าหลังทางประวัติศาสตร์ พวกเขาก็จะต้องถูกทำลายล้างและพบกับจุดจบที่น่าอัปยศอดสู ผลประโยชน์ทางชนชั้นอันมหาศาลของพวกเขาจะถูกทำลายและฉกฉวยช่วงชิงไป   

 อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่กล้าลุกขึ้นสู้ และอยู่ในช่วงเวลาที่ชนชั้นกรรมาชีพยังเติบโตเข้มแข็งไม่เพียงพอที่จะเข้าแบกรับภารกิจทางประวัติศาสตร์ของตน ในอนาคตก็จะต้องมีตัวแทนชนชั้นนายทุนกลุ่มใหม่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับชนชั้นที่ล้าหลังกว่าและจะต้องประสบชัยชนะในที่สุด นี่เป็นกฎทางประวัติศาสตร์ !

 2. การปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชน จะเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ
  2.1 ชนชั้นนายทุนอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงสังคม
   2.1.1 ไม่กล้าต่อสู้กับชนชั้นที่ล้าหลังกว่าทางประวัติศาสตร์
   2.1.2 ทรยศต่อประชาชน หรือหันไปสมคบและประนีประนอมกับชนชั้นที่ล้าหลังทางประวัติศาสตร์
   2.1.3 ถูกแยกสลายทำลายล้างและอ่อนแอกว่าชนชั้นอื่น ๆ โดยสัมพัทธ์

  2.2 ชนชั้นกรรมาชีพมีความเข้มแข็ง ได้ติดอาวุธทางความคิดอย่างกว้างขวาง มีการจัดตั้งที่ทรงพลังเข้มแข็งเพียงพอ

 การปฏิวัติรูปแบบนี้จะนำโดยชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) ที่ลุกขึ้นมาแบกรับภารกิจทางประวัติศาสตร์ของตนเอง โดยมีชนชั้นชาวนาเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็ง นำพาชนชั้นกลาง ชนชั้นนายทุนน้อย ชนชั้นนายทุนชาติและผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งมวลที่รวมตัวกันเป็น “แนวร่วมประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาล” เข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงปฏิวัติครั้งนี้

 ผลประโยชน์จากการปฏิวัติครั้งนี้ก็จะตกอยู่กับ “ประชาชนทุกชนชั้น” มิได้ตกอยู่กับชนชั้นกรรมกร-ชาวนา ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีบทบาทนำเท่านั้น หากแต่ชนชั้นอื่น ๆ ไม่ว่าชนชั้นกลาง ชนชั้นนายทุนน้อย ชนชั้นนายทุนชาติและผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทุกหมู่เหล่าเช่น ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ภิกษุ อาชีพอิสระ นักบริหาร ค้าขาย รับจ้างสาธารณะ ฯลฯ ต่างก็จะได้ประโยชน์กันโดยถ้วนหน้า

 “การปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชน” จึงเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมที่รวบรวมพลังทางการเมืองของคนทุกชนชั้น ไม่ว่ากรรมกร ชาวนา นายทุนน้อย ชนชั้นกลาง และรวมทั้งชนชั้นนายทุนชาติด้วย เพื่อ

 1. สร้าง “ระบอบประชาธิปไตยของประชาชน” ที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริงขึ้นมาในสังคม 
 2. ขจัดอิทธิพลล้าหลังที่ขัดขวางพลังการผลิต เอารัดเอาเปรียบและกดขี่ขูดรีดชนชั้นอื่น ๆ ทุกชนชั้น 
 3. จัดสรรผลประโยชน์ให้กับชนชั้นต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
 4. พัฒนาประเทศให้อยู่ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์อย่างเท่าเทียมและรู้เท่าทันเล่ห์กลของ จักรพรรดินิยม 
 5. ต่อสู้กับการรุกรานและขยายอิทธิพลครอบงำโลกของจักรพรรดินิยมอย่างเด็ดเดี่ยว
 6. ร่วมมือบางอย่างกับจักรพรรดินิยมบางส่วน ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนอย่างมีการจำแนกแยกแยะ

 การวิเคราะห์สังคมอย่างถูกต้องและตามหลักวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ จะช่วยแยกแยะให้แจ่มชัดว่า การเปลี่ยนแปลงปฏิวัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ที่สุดนี้  เป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน หรือการปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชน

 กล่าว (ย้ำอีกที) สำหรับในบางประเทศที่มีอิทธิพลของจักรพรรดินิยมและศักดินาดำรงอยู่อย่างแน่นหนา

การเปลี่ยนแปลงสังคมในรูปแบบ “การปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน” นั้น หากจะเกิดขึ้นจริง ในทางยุทธวิธี (ของชนชั้นกรรมาชีพ) อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วมอยู่บ้าง แต่ปัจจัยชี้ขาดว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ ก็ยังคงอยู่ที่ชนชั้นนายทุนว่าจะกล้าต่อสู้จริง ๆ หรือไม่ กล่าวโดยทั่วไปก็มีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากชนชั้นที่ล้าหลังทางประวัติศาสตร์ก็รู้จักสรุปบทเรียน และต้องการประนีประนอมมากกว่า เพราะนอกจากด้านวัฒนธรรมจิตสำนึกแล้ว ก็มิได้มีอะไรที่เข้มแข็งกว่าชนชั้นนายทุน

 ส่วนในทางยุทธศาสตร์นั้น หากคิดจะหวังพึ่งให้ชนชั้นนายทุนชาตินำพาการปฏิวัติสังคมอย่างถึงที่สุดแล้ว กล่าวได้ว่านี่เป็นความคิดเพ้อฝันที่ผิดพลาดและล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น ส่วนในทางปฏิบัติจะทำแนวร่วมกับชนชั้นนายทุนได้หรือไม่ ยังต้องพิจารณาที่ชนชั้นกรรมาชีพมีพลังมากพอสมควรหรือยัง ที่สำคัญต้องมิใช่หลอมรวมกลายเป็นเครื่องมือรับใช้พวกเขา

 สำหรับรูปแบบการปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชน จะต้องเข้าใจอีกว่า  ระดับการเข้าร่วมการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนชาตินั้นขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของ “การเปรียบเทียบกำลังทางชนชั้น” และ “การเปลี่ยนแปลงความขัดแข้งทางชนชั้น” ซึ่งเหมาเจ๋อตุงชี้ว่า “ในยุคจักรพรรดินิยม ชนชั้นอื่น ๆ ของประเทศหนึ่งใด ล้วนไม่สามารถจะนำการปฏิวัติที่แท้จริงใด ๆ ไปสู่ชัยชนะได้” (จาก “ว่าด้วยเผด็จการประชาธิปไตยประชาชน”) นั่นคือต้องไม่ประเมินบทบาทของชนชั้นนายทุนชาติมากจนเกินจริง พวกเขาก่อบทบาทในขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมได้ในบางขั้นตอนเท่านั้น มิใช่เป็นบทบาทการนำตลอดไป

 ชนชั้นนายทุนชาติในบางประเทศ ในระยะเวลาและในเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ถึงแม้จะได้นำการเคลื่อนไหวประชาชาติและได้รับชัยชนะบ้างก็ตาม แต่ว่าในขั้นสุดท้ายก็ยังคงไม่สามารถจะแก้ภาระหน้าที่มูลฐานของการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยไปได้อย่างถึงที่สุด ซึ่งข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ก็ได้ยืนยันในข้อนี้อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากชนชั้นนายทุนชาติมีทั้ง

 1. ความเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วมการปฏิวัติ (แค่เข้าร่วม ไม่ใช่นำ)
 2. ลักษณะประนีประนอมต่อกลุ่มชนชั้นปกครองที่ล้าหลัง

 ชนชั้นกรรมาชีพจึงต้องใช้นโยบายแนวร่วมที่ทั้งร่วมมือและทั้งต่อสู้กับพวกเขา  ร่วมมือกับพวกเขาในการคัดค้านจักรพรรดินิยม ศักดินานิยม ตลอดจนกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ที่ขัดขวางการพัฒนาก้าวหน้าของพลังการผลิต และต่อสู้กับลักษณะโลเลประนีประนอมของพวกเขาอย่างเด็ดเดี่ยว  ขจัดแนวโน้มที่คัดค้านมวลชนกรรมกรชาวนา และคัดค้านพรรคปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพของชนชั้นนายทุนอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกัน

 ต่อชนชั้นเจ้าที่ดินหรือชนชั้นอื่น ๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ ชนชั้นกรรมาชีพก็สามารถยึดหลักการ “ใช้ความขัดแย้ง ช่วงชิงส่วนมาก คัดค้านส่วนน้อย ตีให้แตกทีละส่วน” สร้างแนวร่วมชั่วคราวกับอิทธิพลบางส่วนในหมู่พวกเขาเท่าที่มีความเป็นไปได้ และเมื่อมีความจำเป็น (จาก “ว่าด้วยนโยบาย” ของเหมาเจ๋อตุง)

 ในปัญหาแนวร่วมนี้ ต้องระวังทั้งแนวโน้มที่ “ร่วมมือทุกอย่าง ปฏิเสธการต่อสู้” และ “ต่อสู้ทุกอย่าง ปฏิเสธการร่วมมือ”

 แนวร่วมที่ครอบคลุมชนชั้นนายทุนและกลุ่มอิทธิพลล้าหลังในสังคมกลุ่มอื่น ๆ ด้วยนั้น พรรคปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพจะต้องรักษาฐานะความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเองเอาไว้ให้ได้ จะต้องพัฒนากำลังการปฏิวัติอย่างเอาการเอางาน “พันธมิตรระหว่างกรรมกรกับชาวนาภายใต้การนำของชนชั้นกรรมาชีพ เป็นเสาหลักของแนวร่วม” มีแต่การพัฒนากำลังหลักนี้อย่างเต็มที่เท่านั้น จึงจะสามารถสามัคคีกำลังที่สามารถจะสามัคคีได้ ยับยั้งความโลเลของกำลังที่เป็นกลาง และดึงดูดพวกเขาให้มาอยู่กับฝ่ายตน  จากนี้จึงขยายและสร้างความมั่นคงแก่แนวร่วมให้ใหญ่โตขึ้นอย่างไม่ขาดสาย และโดดเดี่ยวอิทธิพลล้าหลังให้มากที่สุด

 อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะสามัคคีกำลังที่สามารถสามัคคีได้ทั้งปวง เสริมอิทธิพลปฏิวัติให้เติบใหญ่เข้มแข็งขึ้นและโดดเดี่ยวอิทธิพลที่ล้าหลังทางประวัติศาสตร์ ชนชั้นกรรมาชีพยังจำเป็นจะต้องสร้างแนวร่วมปฏิวัติอย่างกว้างขวางกับชนชั้นนายทุนชาติ ชนชั้นนายทุนน้อยและชนชั้นกลางในเมือง ตลอดจนพลังที่รักชาติอื่น ๆ บนพื้นฐานของความเป็นพันธมิตรระหว่างกรรมกร-ชาวนา

 แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ในทางยุทธศาสตร์ นักลัทธิมาร์กซจะต้องทุ่มเทกำลัง นำหลักการพื้นฐานของทฤษฎีลัทธิมาร์กซ-เลนินเข้าไปสู่ชนชั้นกรรมกรและชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่และถูกกดขี่ขูดรีดอย่างหนักหน่วงที่สุด  นี่เป็นภารกิจหลักที่มีความหมายทางยุทธศาสตร์เหนือกว่าภารกิจอื่นใดทั้งปวง

 ปัจจุบัน พลังการผลิตที่พัฒนาขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง ได้สร้างชนชั้นกรรมกรขึ้นมาจำนวนมาก และก็มีทฤษฎีลัทธิมาร์กซ-เลนินเป็นอาวุธความคิดทางชนชั้นที่ทรงพลังที่สุดอยู่แล้ว เพียงแต่อาวุธทางความคิดเหล่านี้ ยังมิได้ซึมลึกเข้าไปสู่มวลหมู่กรรมกรและชาวนาอย่างเต็มที่ เมื่อมวลชนผู้ทุกข์ยากและถูกกดขี่ขูดรีดอันไพศาลได้ใช้อาวุธทางความคิดของตนอย่างมีพลังแล้ว การเปลี่ยนแปลงต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ยิ่งชนชั้นผู้ถูกกดขี่ตื่นตัวขึ้นมาเร็วเท่าไหร่ พวกเขาก็จะเข้ามาแบกรับภาระหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ได้เร็วขึ้นเท่านั้น

 อย่างไรก็ตาม การนำพาชนชั้นกรรมาชีพให้ลุกขึ้นต่อสู้ปฏิวัติได้อย่างเป็นจริง ก็ต่อเมื่อมีการนำที่ถูกต้องของพรรคการเมืองแห่งชนชั้นของตนเอง พรรคการเมืองที่ใช้ความคิดลัทธิมาร์กซ-เลนินชี้นำทางความคิด 

 ความสำเร็จในภารกิจในการจัดตั้งองค์กรนำสูงสุดของชนชั้นกรรมาชีพในปัจจุบัน จึงเป็นสิ่งชี้ขาดว่า นักลัทธิมาร์กซแห่งยุคโลกาภิวัฒน์ จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้หรือไม่ และก้าวไปอย่างไรในท่ามกลางวิกฤติการณ์ทุก ๆ ด้าน ?
IP : บันทึกการเข้า
~ Bullet for my Brother ~
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,630


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2012, 15:36:44 »

หูย มู้ว์คุณตะพาบ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!