ต่อจากกระทู้ที่ 1 ค่ะ
V
V
V
V
V
11. อาชญากรรมและความรุนแรง : คนอเมริกันมีเหตุผลน้อยที่สุดที่จะก่ออาชญากรรม (รายได้สูง) แต่สหรัฐฯ กลับมีสถิติอาชญากรรมสูงที่สุดในโลก
หมายเหตุ :
* ระหว่างปี 2503-2538 อาชญากรรมรุนแรงในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 560%
* เฉพาะระหว่างปี 2544-2548 บริษัทข้ามชาติสัญชาติสหรัฐฯ ที่ติดอันดับ 1-30 ของโลกได้ถูกฟ้องและต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือเสียค่าปรับเป็นเงิน 10-1,000 ล้านดอลลาร์มีจำนวนเป็นสิบๆ บริษัท ด้วยข้อหาจงใจสร้างรายได้หรือรายจ่ายเท็จ ให้ข้อมูลเท็จแก่ผู้ถือหุ้นและลูกค้า เลี่ยงภาษี ตกแต่งบัญชี ทำลายหลักฐาน ฯลฯ การฉ้อฉลกลโกงดังกล่าวก่อความเสียหายให้ผู้ถือหุ้น สาธารณชนและพนักงานเป็นเงินจำนวนล้านล้านดอลลาร์ และผู้บริหารจอมโกงของบริษัทเหล่านั้นต่างจบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เช่น ฮาร์วาร์ด และเคลล็อก นอกจากนี้ระหว่างปี 2543-2549 บริษัทใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ ซึ่งคนไทยรู้จักดียังถูกจัดอันดับให้เป็น “บริษัทเลว” โดยองค์กรเอกชนที่คอยเฝ้าติดตามพฤติกรรมของบริษัท (Corporate Watch) อีก 70 บริษัท ข้อหาคือทำลายสิ่งแวดล้อม โป้ปดมดเท็จ หลอกลวงลูกค้า เอาเปรียบและทำร้ายพนักงาน ค้าทาส ผลิตยาไม่มีคุณภาพ ไม่มีมาตรการเพื่อความปลอดภัยให้พนักงานและชุมชน คอร์รัปชัน ตั้งราคาสูงเกินจริง ฯลฯ อาชญากรรมของบริษัทข้างต้นเกิดขึ้นทั้งในสหรัฐฯ และนอกประเทศ
12. ยาเสพติด : แม้คนที่ไม่ฉลาดก็รู้ดีว่ายาเสพติดจะทำให้สูญเสียงาน เสียครอบครัว กลายเป็นโจรและอาจติดคุก แต่ปัญหานี้ก็ระบาดไปทุกระดับของสังคม ไม่มีครอบครัวใดหนีปัญหานี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของแพทย์ วิศวกร นักกฎหมายหรืออื่นๆ แทบทุกอพาร์ตเมนต์ในเมืองใหญ่มีทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ในขณะที่สมาคมแพทย์ระบุข้อเสียของบุหรี่และรัฐบาลก็รณรงค์ให้คนเลิกสูบบุหรี่ ยาเสพติดกลับระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง
หมายเหตุ : งบประมาณต่อต้านยาเสพติดของสหรัฐฯ สูงขึ้นจาก 65 ล้านดอลลาร์ในปี 2512 (ยุคริชาร์ด นิกสัน) เป็น 17,700 ล้านดอลลาร์ในยุคของนายบิลล์ คลินตัน การตายจากยาเสพติดสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคายาถูกลงแต่ความบริสุทธิ์สูงขึ้น ร้อยละ 75 ของผู้เสพยาเป็นคนผิวขาว และร้อยละ 11 เป็นคนผิวดำ ปัญหาในเรื่องนี้ทำให้สหรัฐฯ ต้องเก็บข้อมูลอาชญากรรมเพิ่มขึ้นกว่า 50 ล้านคน
13. โครงการสุขภาพ : การเจ็บป่วยในสหรัฐฯ โดยไม่มีการประกันสุขภาพสามารถนำไปสู่การล้มละลาย แพทย์ในสหรัฐฯ ต่างต้องการเป็นเศรษฐีเงินล้านภายใน 2 ปีหลังจากเรียนจบ และยาในสหรัฐฯ มีราคาสูงที่สุดในโลก เมื่อผมยังเป็นเด็กหมอยังมี “หัวใจ” แต่ในปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ข้อสำคัญก็คือเดี๋ยวนี้หมอทุกคนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่มีหมอรักษาโรคทั่วไปอีกแล้ว และนั่นทำให้ค่ารักษาแพงขึ้นไปอีก
รัฐบาลไทยชุดที่แล้ว (ชุดทักษิณ) ดูเหมือนจะนิยมว่าวิถีตะวันตกนั้นเยี่ยมยอดได้นำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมาใช้ โครงการนี้มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าโครงการเพื่อให้ได้รับเลือกตั้ง ผลก็คือรัฐบาลให้เงินแก่โรงพยาบาลต่างๆ ไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้หมอเครียดและหลบหลีกคนไข้...บางส่วนถึงกับลาออกและไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งรักษาคนมีเงิน และหมอที่จะรักษาคนยากจนมีน้อยลงไปกว่าเดิม
14. สังคมคนอ้วน : สหรัฐฯ เป็นสังคมที่มีคนน้ำหนักเกินมากที่สุดในโลกกว่าร้อยละ 60 เพราะคนส่วนใหญ่บริโภคอาหาร “จานด่วน”ทุกคนดูเหมือนจะสั่งแฮมเบอร์เกอร์ขนาดใหญ่ซึ่งชุ่มฉ่ำไปด้วยเนย มันฝรั่งทอดและน้ำดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยาวชนอเมริกันกำลังมุ่งไปสู่ความวิกฤต พ่อและแม่ต่างก็วิ่งหาความร่ำรวยและวัตถุ ขณะเดียวกันก็ปล่อยเขาให้อยู่กับ “อาหารขยะ” คนอเมริกันต่างมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น บางทีอาจจะเพราะเขาไม่ต้องการจะเห็นและรับรู้ว่าไขมันทำลายหัวใจได้เหมือนๆ กับบุหรี่
หมายเหตุ : ตั้งแต่ปี 1970 (2513) คนอเมริกันบริโภคแคลอรีเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ตั้งแต่ปี 1980 (2523) อัตราคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 60 ในผู้ใหญ่ 2 เท่าในเด็กและ 3 เท่าในวัยหนุ่มสาว...โรคนี้กำลังระบาดไปทั่วโลกโดยการครอบงำของอาหาร “จานด่วน”
15. หญิงอเมริกัน : หญิงสาวชาวอเมริกันเข้าสู่วงการหนังลามกกันมากขึ้น เพราะพวกเธอต่างก็ “ติดกับ” วิถีชีวิตที่สังคมตั้งความหวังไว้สูงเกินไป เธอเลือกเข้าสู่วงการเพราะมันจะทำให้เธอได้ทั้ง “เงิน” และ “ความสนอกสนใจ” หญิงอเมริกันต่างก็ทิ้งสิ่งต่างๆ ที่ “ธรรมชาติ” ได้ให้กับเธอ เช่น ความอ่อนโยน ความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตาปรานี ความอบอุ่น ความสามารถในการเลี้ยงดูเด็กและพวกเธอขาด “หัวใจ”และนั่นทำให้พวกเธอ “ไม่น่าสนใจ” อีกต่อไป
ในปัจจุบัน พวกเธอต่างต้องการทิ้งงานบ้าน ต้องการเก่งกล้าสามารถทั้งในสังคมและการงาน ผู้ชายต้องการ “คู่ครอง” แต่พวกเธอทำตัวเหมือนผู้ชาย พวกเธอเลยหาคู่ครองไม่ได้เพราะผู้ชายจำนวนมากหันไปหาหญิงวัยรุ่นซึ่งยังคงมีความเป็นผู้หญิงอยู่บ้าง และนั่นทำให้พวกเธอหันไปหาผู้ชายผิวดำซึ่งก็ปฏิเสธต่อพวกเธออย่างไม่เหมาะสม
16. ความบันเทิง : ในปัจจุบันภาพยนตร์ 7 ใน 10 ไม่คุ้มค่าตั๋ว ผู้แสดงไม่มีบุคลิกที่โดดเด่นและเนื้อเรื่องก็มีแต่เรื่องสยองขวัญ เต็มไปด้วยความรุนแรงและการทำลายล้าง โดยมีเพลงเร่งเร้า สิ่งเหล่านี้ปรากฏในกีฬา โทรทัศน์ ดนตรี และการเต้นรำด้วย คนอเมริกันได้รับการศึกษาดีขึ้นแต่ทุกอย่างกลับเลวร้ายลง เด็กๆ ถูกโหมกระหน่ำด้วยโฆษณาให้แข่งขันกันบริโภค แม่ไม่มีเวลาอ่านหนังสือให้ลูกฟังและสอนลูกในสิ่งที่ดีงามอีกต่อไป ส่วนกีฬาก็กลายเป็นการค้า นักกีฬาได้รับค่าตอบแทนมากเกินไป และทุกทีมกลายเป็นพันธุ์ผสมซึ่งทำให้หมดความน่าสนใจ ทุกอย่างมุ่งไปที่ “เงิน” การซื้อขายและชัยชนะเท่านั้น
เพลงในปัจจุบันไม่ต้องใช้ศิลปะและความสามารถส่วนตัว มีแต่การเร่งเร้ารุนแรง กรีดร้อง ระเบิดและไฟลุกท่วมและแข่งกันเปิดเผยร่างกาย พวกเขาได้ทำลายคุณค่าของดนตรีไปจนหมด
17. คริสตศาสนา : พระเยซูคริสต์และพระพุทธเจ้าต่างก็ไม่ได้สอนให้มุ่งหาความสุขทางวัตถุ แต่ชาวอเมริกันที่นับถือคริสตศาสนาต่างก็เพิกเฉยกับเรื่องที่พระเยซูทำลาย “ซุ้มแลกเงิน” ในโบสถ์ หรือทรงให้โอกาสคนรวยที่จะขึ้นสวรรค์ด้วยการทำความดี พวกเขาเพิกเฉยเพราะคำสอนดังกล่าวไม่ตรงกับความต้องการ (กิเลส) ของเขา คนอเมริกันตะเกียกตะกายอย่างหนักเพื่อเงินและพวกเขาไม่รู้จักคำว่า “พอ” และพวกเขาตีความว่าทรัพยากรทั้งหลายในโลกเป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้มนุษย์เพื่อสร้างความมั่งคั่ง สำหรับเรื่อง “โลกร้อน” ชาวอเมริกันเคร่งคัมภีร์หรือขวาจัดต่างกล่าวว่า “พระเจ้าจะทรงจัดการเอง”
18. คนกลุ่มน้อย :
* ชาวยิวคงประณามประเทศเยอรมนีทั้งๆ ที่สงครามโลกจบไปนานแล้ว และชาวเยอรมันในปัจจุบันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับการกระทำของปู่หรือย่าของเขาแม้แต่นิดเดียว
* ผู้นำคนดำและผู้สร้างภาพยนตร์ต่างยังคงย้ำคิดย้ำพูดเรื่องทาสผิวดำ และการแบ่งแยกทางสีผิว ทั้งๆ ที่การทำเช่นนั้นไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่กลับทำให้แย่ลง
* ผมรู้สึกขยะแขยงที่เห็นชายจูบชายในที่สาธารณะ
* ผมเบื่อกับการเดินขบวนแสดงพลังทุกๆ ปีของกลุ่มชายแท้ กลุ่มรักร่วมเพศ กลุ่มหญิงแท้ กลุ่มคนที่หย่าร้าง กลุ่มคนชรา ฯลฯ
19. การขับรถ : คนอเมริกันเป็นคนขับรถที่แย่ที่สุดในโลก พวกเขาทั้งหยาบคายและเพิกเฉยต่อสิ่งรอบตัว พวกเขาถูกสอนในห้องเรียนตั้งแต่เด็ก ถูกสอนตอนแข่งกีฬาและถูกสอนในโลกธุรกิจในเรื่องแข่งขัน เอาชนะ ต้องได้เปรียบ ต้องเป็นที่หนึ่ง ทำลายคู่แข่ง ฯลฯ และนั่นคือสิ่งที่เขาทำในท้องถนน
อย่างไรก็ตาม หลังจากอยู่ในประเทศไทยมา 9 ปี ผมต้องขอโทษชาวอเมริกัน และยกย่องว่าพวกเขาคือผู้ขับรถยนต์ที่ดีและเป็นมืออาชีพ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ขับรถยนต์ชาวไทย ความดีงามทั้งหมดของคนไทยที่ผมพูดถึงจะแตกกระจายหายไปหมดเมื่อพวกเขาอยู่หลังพวงมาลัย
ประเทศไทย
ผมไม่เคยพูดว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบ แต่ผมเห็นว่าประเทศไทยให้เสรีภาพในการดำเนินชีวิตเพราะไม่มีกฎหมายที่จำกัดสิทธิต่างๆ มากมายเหมือนสหรัฐฯ มีคุณค่าต่างๆ ที่ดีมากมาย มีอากาศดีและคนส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ดี ที่สำคัญที่สุดก็คือผมชื่นชมกับการที่ได้เห็นคนไทยปฏิบัติต่อกันอย่างมีอารยธรรม และเหตุผลนี้เหตุผลเดียวก็เพียงพอที่ผมจะอพยพจากสหรัฐฯ มาอยู่ประเทศไทยแล้ว
คนไทยชอบกันและกัน แม้พวกเขายากจนแต่เขาก็ช่วยคนอื่น พวกเขาเป็นเช่นนั้นเพราะเขาไม่แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นที่ต้องรวยกว่าคนอื่น ผมเชื่อว่าความเชื่อทางศาสนาและนิสัยชอบสนุกช่วยทำให้คนไทยเป็นคนดี พวกเขานับถือศาสนาพุทธซึ่งไม่มุ่งทางวัตถุ แม้บางพวกจะนิยมหาความสุขแต่ส่วนใหญ่พยายามปฏิบัติตนตามคำสอนของศาสนาที่พวกเขาศรัทธา ชาวพุทธเข้าใจในเรื่อง “การให้” และช่วยเหลือผู้อื่นดีกว่าคนในศาสนาอื่น พวกเขามีความสุขกว่าคนอเมริกัน
สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับคนไทยคือพวกเขารักเด็ก และเคารพผู้สูงอายุแม้จะไม่ใช่คนในครอบครัวของเขา และพวกเขาก็ให้ความเคารพแม้พวกเขาจะมีฐานะร่ำรวยกว่าก็ตาม นอกจากนี้ พวกเขายังไม่ค่อยฟ้องร้องกันยกเว้นเรื่องร้ายแรงจริงๆ คนไทยรู้จักรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดและมักตกลงกันได้ระหว่างคู่กรณี ไม่เหมือนคนอเมริกันที่ชอบฟ้องเรียกเงินก้อนใหญ่ เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ลูกสาวอายุ 6 ขวบ ของผมประสบอุบัติเหตุที่โรงเรียน เธอเล่นและตกเก้าอี้จนต้องให้แพทย์เย็บริมฝีปาก เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนตกใจกันมากเพราะเห็นผมเป็นคนอเมริกัน พวกเขาคิดว่าผมจะฟ้องเรียกค่าเสียหายขนาดต้องขายโรงเรียน และนี่คือสิ่งที่คนในประเทศอื่นรับรู้และคิดเกี่ยวกับคนอเมริกัน
รัฐบาลที่ถูกคว่ำโดยคณะทหารได้สั่งให้ธนาคารปล่อยเงินกู้และออกบัตรเครดิตได้ง่ายยิ่งขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดูเหมือนผู้นำรัฐบาลจะรับเอานโยบายบริโภคนิยมมาจากตะวันตก ผมคือการบริโภคเพิ่มขึ้นมากทั้งรถยนต์ จักรยานยนต์ไปจนโทรศัพท์มือถือ ผลคือการเป็นหนี้และความตึงเครียดในชนบท พ่อแม่ต้องออกทำงานหาเงินมากขึ้น ความเหลวไหลของเยาวชน การหย่าร้างและปัญหาทางจิต คนไทยในกรุงเทพฯ ต่างก็ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ได้ทำลายสังคมอเมริกัน ผมเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้สังคมไทยพินาศเหมือนสังคมอเมริกัน ที่สำคัญคือสิ่งที่คนไทยแข่งกันบริโภคนั้นเป็นสินค้าที่มาจากต่างประเทศ ผมหวังว่ารัฐบาลไทยจะแก้ไข
ผมอาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 9 ปีแล้ว และเห็น การเปลี่ยนแปลงซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเห็นได้ชัดในกรุงเทพฯ และพัทยา คนไทยในเมืองใหญ่กำลังกลายเป็นคนตะวันตก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย โดยเฉพาะการเปิดรับการลงทุนที่มากเกินไป รวมทั้งการให้ต่างชาติซื้อทรัพย์สินได้
เมื่อคนต่างชาติย้ายมาอยู่ในประเทศไทย ถ้าเขามีภรรยาและลูกก็ซื้ออพาร์ตเมนต์ได้อย่างถูกกฎหมายถ้าต้องการ และถ้าต้องการบ้านเดี่ยวและที่ดินก็ซื้อได้ในนามของภรรยาและถ้ามีลูกก็ใส่ชื่อลูก แม้เขาและภรรยาจะเลิกกันในภายหลัง ลูกของเขาก็ได้รับการคุ้มครอง ฉะนั้น ถ้าชาวต่างชาติยังกล่าวว่ากฎเกณฑ์ข้างต้นไม่ยุติธรรม นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องการหาประโยชน์จากการ “ปั่น” ตลาดทรัพย์สินในประเทศไทย ซึ่งปกติราคาจะไม่พุ่งสูงขึ้นมาและคนไทยยังมีกำลังซื้อได้
ถ้าให้สิทธิชาวต่างชาติซึ่งมีทุนมากมาย พวกเขาจะกว้านซื้อที่ดินทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ชาวต่างชาติดังกล่าวต้องการจะลงทุนก้อนใหญ่เพื่อทำกำไรในตลาดที่กำลังเติบโต ผมหวังว่ารัฐบาลไทยจะไม่โอนอ่อนต่อการเรียกร้องดังกล่าว
ผมต่อต้านการลงทุนซึ่งมักลงทุนในอุตสาหกรรมสกปรกซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย ผมต่อต้านเพราะผมเห็นความเลวร้ายต่างๆ ที่เกิดในสหรัฐฯ มาก่อน ประเทศไทยมีลักษณะใกล้เคียงกับฮาวายของสหรัฐฯ เศรษฐกิจของประเทศไทยควรจะตั้งอยู่บนฐานของเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว ไม่ใช่อุตสาหกรรมแบบตะวันตก
ผมหวังว่าคนตะวันตกจะไม่สนใจประเทศไทยมากนัก แต่ที่แย่ในขณะนี้คือ ธุรกิจแฟรนไชส์ขนาดใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ ได้เข้ามารุกรานประเทศไทยแล้ว นอกจากนั้น ขี้ยา (ยาเสพติด) ชาวอเมริกันและยุโรปยังพยายามกระตุ้นหญิงไทยทำงานในบาร์ต่างๆ ให้ลองยาเสพติดด้วย และหญิงที$