1.
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมไปงานแต่งงานมาครับ ...
ไม่รู้ว่าจะนับเป็นโชคดีหรือเปล่า ที่ในช่วงฤดูหนาว(เก๊ๆ)ที่ผ่านมา
อันเป็นช่วงไพรม์ไทม์ พีคไทม์ และไฮซีซั่นในรอบปีของการแต่งงาน
คนรอบข้างผมเอาแต่บ่นกันว่า ได้การ์ดเชิญไปงานแต่งเยอะมาก
แค่เงินใส่ซองทุกงานรวมกัน แทบจะถอยไอพอดได้เครื่องนึงแล้ว ...
ในขณะที่ผมนั้นมีการ์ดแค่งานนี้งานเดียวครับ เย้ ...
(มาคิดอีกแง่นึง ก็น่าสงสัยนะครับ ว่าจริงๆกูไม่มีคนคบใช่มั้ยเนี่ย)
2.
ผมไม่ค่อยชอบไปงานแต่งงานเท่าไรครับ ...
โดยเฉพาะงานแต่งงานอันใหญ่โตหรูหรา ในโรงแรมใหญ่ใจกลางเมือง
เพราะทุกอย่างในงานแต่งงาน มันไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยครับ ...
ที่ไปร่วมงานมาสามสี่งาน ขอบอกว่าเหมือนกันหยั่งกะแก๊ะ (แกะ+แพะ)
ที่ต่างกันก็แค่สถานที่ เจ้าบ่าว เจ้าสาว แค่นั้นเองครับ ...
จนบางทีผมก็สงสัยเหมือนกันนะว่าพวก wedding organizer สมัยนี้เนี่ย
เค้าไม่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆในการแต่งงานกันเลยเหรอวะเนี่ย
ทำหยั่งกะงานแต่งงานเป็นมาม่าคัพ แดกดื่มกันแบบสำเร็จรูป...
เพียงเติมน้ำร้อนสามนาที บรู้ม!! กลายเป็นโกโกครันช์อะไรแบบนั้นไป
หากใครไม่เคยไปงานแต่งงานใหญ่ๆ หรือไปแล้วทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะอยู่ตรงไหน
ไม่รู้ว่าเข้างานแล้วต้องทำอะไร ไม่ต้องกลัวครับ ใจเย็นๆ ไม่ยากเลย
เพราะงานสมัยนี้คาดเดาได้ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้างานแล้วละครับ
เอาล่ะครับ ... ถ้าพร้อมแล้ว ผมจะพาไปเที่ยวงานแต่งงานสำเร็จรูปกันครับ
3.
ด่านแรกที่เราจะเจอหน้างาน ก็คือโต๊ะลงทะเบียนครับ
สังเกตไม่ยาก เพราะจะเป็นโต๊ะยาวๆคล้ายกับโต๊ะในโรงอาหารโรงเรียนน่ะครับ
หลังโต๊ะก็จะมีหน่วยลงทะเบียนประมาณ 10 ชีวิต ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้หญิงครับ
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ณ จุดนี้ทำไมผู้ชายถึงไม่ค่อยทำหน้าที่ลงทะเบียนกัน
ซึ่งสาวๆพวกนี้ก็ไม่ใช่ไหนไกลครับ ส่วนมากก็เกณฑ์มาจากที่ออฟฟิศ หรือเพื่อนๆกันนี่แหละ
สิ่งที่เราต้องทำก็คือ เอาเงินใส่ซอง (ใส่ซองที่มากับบัตรเชิญนี่แหละครับ ดีสุด)
หยอดใส่กล่อง แล้วก็เขียนสมุดอวยพรครับ ...
การเขียนสมุดอวยพร ไม่ยากครับ ไม่ต้องคิดมาก เพราะมันมีไม่กี่มุข
มุขพื้นบ้านก็เขียนอวยให้มีความสุข รักกันนานๆ มีลูกเยอะๆเร็วๆ แค่นี้จบ
ไม่ต้องเว่อร์แต่งร้อยกรองทำนองเสนาะ ไม่ต้องวาดรูปวิจิตรบรรจงอะไรมากมาย
เขียนเสร็จแล้ว ท่านก็จะได้รับของที่ระลึกเป็นของตอบแทนครับ ...
อันนี้ก็แล้วแต่ทุนทรัพย์ และไอเดียของเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้วละครับ
เพราะมันเป็นไปได้ตั้งแต่ของเล็กๆน้อยๆ อย่างที่หนีบกระดาน ที่รองแก้ว พวงกุญแจ
ในขณะที่บางงานก็อาจจะเว่อร์อลังการได้ตามทุนทรัพย์ด้วยล่ะครับ ...
ผมเคยไปงานนึง เค้าอิมพอร์ตช๊อคโกแลตแบรนด์ดังจากปารีสมาแจก เว่อร์มาก!
จากนั้นสาวๆบนโต๊ะลงทะเบียนก็จะไล่ท่านเข้างาน ไม่ให้เกะกะหน้าโต๊ะลงทะเบียน
ระหว่างทางก็จะได้เห็นบรรดา wedding photo ที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวไปถ่ายกันมา
ลักษณะการพรีเซนต์รูปภาพสมัยนี้ก็มีหลายรูปแบบนะครับ มีทั้งเป็นรูปเปลือยๆ
เอามาแขวนมาห้อยติดตามต้นไม้ใบหญ้า แลดูคล้ายสอยดาวงานกาชาดจังหวัดลำปาง
บางที่ก็ใส่กรอบแขวนผนังเต็มพรืดประหนึ่งอยู่ในแกลเลอรี่ บางที่ก็มาง่ายๆมาเป็นเล่มให้เปิดดูเอง
ซึ่งรูปพวกนี้ ไม่ต้องดูมากก็ได้ เพราะเอากลับบ้านก็ไม่ได้ เค้าไม่ได้เอาไว้แจกนะเธอว์
ที่สำคัญคือ เดี๋ยวในงานมันก็จะมีให้ดูในพรีเซนเตชั่นอยู่ดีนั่นแหละ ฮ่าๆ
เมื่อผ่านด่าน showcase รูปแต่งงานมาได้แล้ว เราก็จะได้เจอเจ้าบ่าวเจ้าสาวครับ
มันคือด่านถ่ายรูปกับซุ้มดอกไม้ ซึ่งเราจะมีโอกาสถ่ายแค่ 2 ช๊อตเท่านั้นครับ
คือช๊อตปกติ กับช๊อตกันพลาดเผื่อใครในรูปหลับตาเท่านั้นเอง ...
ณ จุดนี้ก็ทักทายกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวแบบพอหอมปากหอมคอก็พอนะครับ
ไม่ต้องขุดเรื่องละครหลังข่าวตอนเมื่อวาน หรือชวนบริจาคเงินช่วยชาวเฮติกันตรงนี้
เพราะเจ้าบ่าวเจ้าสาวเค้าเหนื่อย แล้วแขกมันก็เยอะอ่ะค่ะ .. รีบเข้างานได้แล้วค่ะ ...
4.
เมื่อเรามาถึงในงานแล้ว ตอนนี้ก็นับว่าเป็นเวลากินแล้วครับ
ซึ่งก็แล้วแต่นะครับ ว่าจะกินแบบไหน มีทั้งแบบโต๊ะจีน บุฟเฟ่ต์ แล้วก็ค๊อกเทล
ถ้าโต๊ะจีนก็ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไร เข้างานแล้วจะมีหน่วยต้อนรับเข้ามาหาเรา
ถามเราว่า “มึงเป็นใครคะ” ซึ่งเราจะต้อง identify ว่าชั้นมีรากเหง้าความสัมพันธ์ยังไง
เช่น เป็นเพื่อนโรงเรียนของเจ้าสาว เป็นเพื่อนที่ออฟฟิศของเจ้ายบ่าว เป็นญาติพี่น้อง
แล้วหน่วยต้อนรับก็จะพาเราไปที่โต๊ะที่จัดไว้ครับ อย่าหนีนอกคอกไปนั่งโต๊ะอื่นล่ะ
ถ้าเป็นค๊อกเทล ตรงนี้คือจังหวะทองครับ รีบกินตั้งแต่ช่วงคนยังไม่เยอะจะดีที่สุด
เพราะช่วงที่แขกล้นหลาม บรรยากาศในงานอาจจะคล้ายสภาพปัจจุบันของเฮติ
คืออาหารและเครื่องดื่มไม่พอครับ ยกอะไรออกมาก็หมด แขกหลายคนต้องเหนื่อย
กลายเป็นสัมพเวสีแย่งตบตีอาหารกันในงาน เหนื่อยครับเหนื่อย ที่นั่งก็ไม่ค่อยมี
งานค๊อกเทลจะเหมาะกับหนุ่มๆสาวๆครับ เพราะยังมีแรงยืนเม้าธ์กันได้
และเคลื่อนที่คล่องตัว จะเดินไปคุยกับใครก็ได้ แต่ถ้าเป็นโต๊ะจีนจะเหมาะกับแปะๆอึ้มๆ
เน้นง่าย สะดวก แต่ถ้าเราโดนจับไปนั่งกับใครก็ไม่รู้ก็อาจจะกร่อยนิดนึง...
5.
เอาล่ะครับ พอเริ่มท้องอิ่มแล้ว เราก็จะเริ่มเข้าพิธีการแล้วครับ
เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จะมาปรากฏตัวบนเวที ซึ่งก็มีวิธีปรากฏตัวได้ไม่กี่แบบครับ
สามัญที่สุด ก็คือ พิธีกรเชิญขึ้นมาบนเวที ไม่ต้องมีพิธีกงการอะไรทั้งนั้นครับ
หรือถ้าแอดวานซ์มากกว่านี้ ก็อาจจะมีพิธีส่งตัวเดินมาทางพรมแดงจากทางเข้าไรงี้
แต่ผมยังไม่เคยเห็นวิธีปรากฏตัวแบบประหลาดๆ แบบโรยตัวลงมาจากเพดาน
หรือขี่ม้าข้ามเครื่องกีดขวาง หรือโชว์สเตปแดนซ์เข้างานนะ (ถ้าจะให้เจ๋งนะ...
เจ้าบ่าวเต้นบีบอย ส่วนเจ้าสาวเต้นลีลาศ ประมาณว่าเจ้าสาวเรียนจบเซนต์โยฯ
แล้วตอนเย็นต้องนั่ง BTS ไปเรียนพิเศษที่สยาม เลยไปเจอเจ้าบ่าวเจ้นบีบอย
อยู่ที่หน้าลาน MBK ไรงี้ ... ดูเก๋ดี และมีที่มาที่ไป...)
จากนั้นพิธีกรก็จะทำการแนะนำตัวเจ้าบ่าว เจ้าสาวแบบพอเป็นพิธีครับ
ไม่ต้องพูดเยอะ เพราะเค้าเตรียม presentation เอาไว้แล้ว ไม่ต้องห่วง
ซึ่ง presentation ก็จะเริ่มจากวัยเด็กครับ คือตั้งแต่เป็นทารกกันเลยทีเดียว
แล้วก็ไม่รู้เป็นอะไรกันนะครับ อีรูปตอนเด็กนี่ รูปเจ้าบ่าวต้องเห็นเจี๊ยวครับ
ตลอดชีวิตนี้ ผมเห็นเจี๊ยวเจ้าบ่าวใน presentation บ่อยมากครับ ไม่ต้องวี้ดว้ายกันไป
แล้วเรื่องก็ดำเนินมาจนถึงวัยประถม มัธยม มหาลัย วัยทำงาน จนมาจบที่วันแต่งงาน
ตรงนี้แหละครับ ที่เราจะได้เห็นแกลเลอรี่รูป wedding photo ที่เค้าไปถ่ายกันมา
มันจะคล้ายๆกับเอาชีวิตของคนสองคนมาสรุปรวมกันภายใน 5 นาทีน่ะครับ
ส่วนดนตรีประกอบ ก็จะมีอยู่ไม่กี่เพลง ซึ่งเพลงที่ฮิตโคตรพ่อโคตรแม่ ได้แก่
เพลงหากันจนเจอ และเพลงหัวใจผูกกัน ไปทุกงานต้องมีหนึ่งในสองเพลงนี้แน่นอน
พอพรีเซนต์จบปั๊บ ก็จะกลับมาที่ห้องส่ง พิธีกรก็จะเริ่มถามคำถามครับ ...
คำถามที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด ก็คือ ... พวกเธอว์สองคนไปเจอกันได้ยังไงครับ
ณ จุดนี้ เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้อง elaborate อธิบายกันละเอียดมากครับ อาทิเช่น...
ตอนนั้น เจ้าสาวจริงๆไป MBK เพราะอยากจะไปซื้อ BB มาใช้แทน iphone เครื่องปัจจุบัน
ปรากฏว่าเพื่อนที่นัดไว้ยังไม่มา เลยไปนั่งรอเพื่อนใน McDonald’s ชั้นล่าง
ก็เลยเห็นเจ้าบ่าวกำลังเต้นบีบอยอยู่กับเพื่อน พอเจ้าบ่าวป๊ะสายตามาเห็นก็เลยถูกใจ
แต่ไม่กล้า เลยให้เพื่อนมาขอเบอร์ ต้องเจออุปสรรคจากอีเพื่อนเจ้าสาวคอยบล๊อคสกัดกั้น
ต้องใช้ไม้ตายหยั่งงั้นหยังงี้ กว่าจะได้เบอร์ โทรนัดกัน ดูหนัง เป็นแฟนกัน
โอ้ย ... เล่ากันเป็นคุ้งเป็นแควมากครับ ...
คำถามต่อมาที่ขาดไม่ได้เช่นกัน ก็คือ ... ชอบกันที่ตรงไหนคะ ...
คำถามนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ... เพราะบางคู่แต่งก็ท้องก่อนแต่งตัดหน้าไปแล้ว
ครั้นจะบอกความจริงต่อหน้าธารกำนัลก็เกรงจะผิดครรลองของสังคมไทย
ส่วนมากก็เลยต้องแซ่ซ้องสรรเสริญคู่ชีวิตกันเท่าที่จะทำได้ เช่น พี่เอ็กซ์เค้ารู้ใจค่ะ
เค้ารู้ว่าหนูเป็นคนชอบสัตว์ เดทกันครั้งแรกเลยพาไปเที่ยวฟาร์มจระเข้สามพราน ประทับใจมาก!
ฝ่ายเจ้าบ่าวก็เช่นกัน จะบอกว่าชอบที่หน้าตาก็เกรงว่าจะฉาบฉวยไปนิดนึง
ก็ต้องปั้นแต่งกันไปว่า เธออ่อนหวาน คิกขุงุงิ เอาใจเก่ง สเปคผมเลย ก็ว่ากันไปครับ
ทั้งๆที่เพื่อนเจ้าบ่าวแม่งรู้กันทั้งงานว่า เจ้าบ่าวชอบตรงที่เจ้าสาวนมใหญ่ ก็แค่นั้น!
คำถามต่อไป ... เมื่อไรจะมีลูกคะ ...
คำถามนี้มีแพทเทิร์นการตอบชัดเจน เจ้าบ่าวเจ้าสาวมักไม่กระเหี้ยนกระหือรือกระตือรือล้น
อยากมีลูกกันโดยไว ประมาณว่า ถึงจะเป็นผัวเมียกันแล้ว ก็ยังต้องรักนวลสงวนตัวกันนิดนึง
หรือถ้าเป็นดารา ก็คงจะตอบประมาณว่า ณ จุดนี้ อยากให้โฟกัสที่เรื่องงานก่อนจริงๆ
ก็เลยจะตอบไปเลี่ยงๆว่า รอให้พร้อมก่อน ประมาณว่ามีเงินเก็บสัก 10 ล้าน ไรงี้
คงมีน้อยครั้งจริงๆ ที่เจ้าบ่าวจะบอกว่า “ก็กะไว้ว่า เสร็จงานคืนนี้จะเริ่มทำกันเลย...”
อนึ่ง, บางงานที่มีเพื่อนฝูงมาร่วมงานจำนวนมาก อาจจะมีพิธีกรภาคสนาม
เดินไปตามโต๊ะจีน หรือฝูงแขกเหรื่อ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ชมทางบ้านได้ถามมั่ง
เข้าใจส่วนใหญ่ก็คงเตี๊ยมกันไว้แล้ว ที่ทำไปก็เพื่อเป็นสีสันและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
เพราะขืนไม่เตี๊ยมกัน คนที่ถามอาจจะเป็นแฟนเก่าของฝ่ายชายที่จ้องมาดักตบเจ้าสาว
จึงอาจจะคำถามทะลุกลางปล้องเช่น “คิดว่าอะไรในตัวคุณที่ทำให้แย่งผัวชาวบ้านสำเร็จ”
ซึ่งอาจจะนำมาสู่ดราม่าและโศกนากฏกรรมอันไม่คาดฝันได้...
6.
หลังจากที่ตอบคำถามเกมเศรษฐีทั้งบนเวทีและผู้ชามทางบ้านแล้ว
ก็จะเป็นช่วงเชิญผู้ใหญ่มากล่าวอวยคม... เอ้ย ...อวยพรครับ
จากประสบการณ์ของผม, หลายคนพูดดีมาก แถมตลกอีกตะหาก...อันนี้ควรฟัง
แต่ไม่ต้องตั้งใจมากถึงขนาดเอาสมุดเลคเชอร์ขึ้นมาจด หรืออัดเทปกลับไปฟังที่บ้านนะ
แต่บางคนก็จะมึนๆนิดนึง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนอาจารย์ภาษาไทยสมัยประถม
ถ้าคิดว่าเหนื่อยเกินกว่าจะฟังรู้เรื่อง ระหว่างนี้ ขอให้แอบหนีไปเข้าห้องน้ำ หาของกิน
และที่สำคัญสุดคือ เตรียมแก้วเครื่องดื่มไว้ในมือ เพราะทุกครั้งที่กล่าวอวยพรเสร็จ
เค้าจะ make a toast หรือดื่มอวยพรคู่บ่าวสาวกันครับ ...
ลำดับพิธีต่อไป ก็จะเป็นไฮไลท์ภาพกีฬามันส์ๆของงานนี้แล้ว นั่นคือการจูบครับ
พิธีกรจะมีหน้าที่ขอร้องแกมบังคับให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวจูบกันต่อหน้าธารกำนัล
ซึ่งโดยปกติแล้ว ไม่มีคู่ไหนหรอกครับที่เค้าจะจูบกันดูดดื่มแลกลิ้นบดขยี้กันในงาน
เค้าก็ต้องจูบกันแบบหอมปากหอมคอ ซึ่งส่วนใหญ่เค้าจะหอมแก้มกันแทนครับ
นี่ขนาดหยวนๆให้หอมแก้มแล้ว บางคู่ยังอายม้วนต้วนขอใช้มุมกล้องช่วยด้วยซ้ำ
ประมาณว่าเอาจมูกชนแก้มก็พอ ไรงิ ... ไม่เข้าใจว่าพวกเธอว์จะอายไปทำไมกัน
เมื่อกี้ก็บอกอยู่หยกๆไม่ใช่เหรอว่าคืนนี้จะเริ่มทำลูกกันแล้ว ...อายอะร๊ายยยยยย
อ้อ ... ที่สำคัญคือ อีพิธีกรมักโรคจิตครับ เค้าหอมกันทีเดียวไม่พอ
จะต้องมีมุขบังคับ “ช่างภาพถ่ายภาพไม่ทัน ...ขออีกรอบนึง” ...จะขอทำไมอีกเนี่ย!
ถ้ากูเป็นเจ้าบ่าวในงาน จบงานกูจะเอามีดตัดเค้กแทงนมมึง ไอ้พิธีกร!!!
พอจูบเสร็จแล้วก็มาถึงพิธีสุดท้าย นั่นคือการตัดเค้กครับ ...
เค้กแต่งงานจะเป็นเค้กที่สูงใหญ่ประหนึ่งหอประภาคารสิบแปดชั้น
ซึ่งเอาเข้าจริง กินได้แค่ชั้นเดียวครับ ... ชั้นที่เหลือทำมาหลอกๆให้ดูยิ่งใหญ่ไปงั้น
เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็รวมพลังกันตัดเค้ก โดยเริ่มตัดจากชั้นบน(ที่กินไม่ได้)ลงมาชั้นล่าง
เขาว่ากันว่า ตรงนี้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจะต้องแย่งกันกุมมือกันครับ ถ้ามือใครอยู่เหนือกว่า
มันจะเป็นสัญญาณว่าฝ่ายนั้นจะเป็นคน dominate อีกฝ่ายหนึ่งในการใช้ชีวิตคู่ครับ
แต่ทั้งนี้ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีคู่ไหนที่จะแย่งกันกุมมืออีกฝ่ายกันแบบออกนอกหน้านะ
เพราะก็เกรงว่าเกิดทะเลาะกันขึ้นมากลางงาน อาจจะมีฝ่ายนึงเอามีดตัดเค้กจ้วงท้องกันได้
เมื่อตัดเค้กกันเรียบร้อยแล้ว บริกรเด็กเสิร์ฟของโรงแรมก็จะปรากฏตัวเอาเค้กมาแจกจ่าย
ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่เค้กก้อนเดียวกันกับที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเค้าตัดกันหรอกครับ ...
ก็รู้ๆกันอยู่ว่ามันกินไม่ได้ เค้าก็จะมีอีกก้อนอยู่หลังฉากตัดเตรียมแจกจ่ายเรียบร้อยแล้ว
มาถึงจุดนี้ จะนับว่าจบพิธีก็จบแล้วครับ สามารถหนีกลับบ้านได้แล้วละ
เพราะนอกเหนือจากนี้ไป ก็จะเป็นมหกรรมเม้ามอย และถ่ายรูปแบบไม่ลืมหูลืมตา
คือเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จะเดินสายไปตามโต๊ะจีน ค่อยๆถ่ายรูปกันทีละโต๊ะ
พร้อมกล่าวคำขอบคุณแขกที่ร่วมงานในวันนี้ ไปเรื่อยๆๆๆๆ ทีละโต๊ะจนหมดงาน
หรือถ้าเป็นปาร์ตี้คอกเทล จังหวะนี้แขกเหรื่อก็จะไม่สนใจเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้ว
เพราะจะตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูป แล้วอัพโหลดขึ้น facebook กับ twitter กันอย่างเมามันส์
เพราะชั้นอุตส่าห์ลุกขึ้นมาทำผมแต่งหน้าตั้งแต่บ่ายสาม ขอใช้ความสวยให้คุ้มหน่อยเถอะ
ส่วนบนเวที จังหวะนี้ก็จะเป็นมหกรรมประกวดร้องเพลงแมคคาเดเมียชิมแปนซีครับ
ใครใคร่ร้องก็ร้องไป ก็เจอมาแล้วทั้งที่เป็นวัยรุ่นไปร้องเพลงเบาๆสนุกๆสบายๆ
ไปจนถึงอาซ้อใส่ชุดราตรีมาร้องเพลงจีนโชว์พลังให้สมกับที่ได้ร่ำเรียนมา ...
เมื่อท้องอิ่ม และถ่ายรูปเต็มที่แล้ว ก็ได้เวลากลับบ้านแล้วครับ
7.
จริงๆผมเองก็เข้าใจนะครับ ว่างานแต่งงานมันเป็นงานที่ชีวิตนึงมีแค่ครั้งเดียว(เหรอ?)
ใครๆก็อยากทำให้มันดีที่สุด ก็คงไม่มีใครอยากเสี่ยงทำอะไรประหลาดๆ
สุดท้ายมันก็เลยจบลงที่รูปแบบเดิมๆ อย่างที่บรรยายมาทั้งหมดในนี้
ซึ่งหลายๆงาน ผมพบว่ามันมีค่าใช้จ่ายหลักล้านเลยด้วยซ้ำ ผมก็อดสงสัยไม่ได้
ว่านี่จ่ายไปเป็นล้าน ได้งานจืดๆแห้งๆ มาแค่นี้เองเหรอวะเนี่ย ...
เอาไว้รอให้ถึงคิดผมแต่งงานก่อนนะครับ ...
ผมกะว่าจะเอาเกมชกมวยเครื่อง wii มาเล่นแข่งกับเจ้าสาวในงานครับ ใครแพ้โดนหอมแก้ม
ส่วนเค้กนี่กะว่าจะเปลี่ยนเอาขนกครกมาตั้งในงาน 30 เตาทุกมุมห้องเลยครับ อร่อยกันสดๆ
อ้อ ...ที่สำคัญ... ถ้าพิธีกรถามว่า ชอบเจ้าสาวที่ตรงไหน ... ผมจะตอบว่า
."""""""
ชอบที่เจ้าสาวนมใหญ่ครับ""'"""""...