4. มนุษย์เอื้อเฟื้อเผื่อคิว
มนุษย์ประเภทนี้ถึงขนาดทำให้ผมวีนแตกได้เลยนะครับ
ผมเคยยืนด่าอีป้าท่านหนึ่งในห้องบุฟเฟ่ต์โรงแรมแห่งหนึ่งมาแล้วละ
เพราะขณะกำลังยืนต่อแถวรอตักซีฟู้ดสุดอลังการอันมีปริมาณจำกัด
ปรากฏว่าอีป้านี่อยู่ดีๆก็ให้ลุงกับหลานและญาติและอื่นๆอีกมากมาย
เข้ามาแทรกคิวหลังหล่อน ...ประมาณว่า ก็รู้จักกันอะ ก็ต่อคิวด้วยกันได้ดิ
...วันนั้นไลน์บุฟเฟ่ต์แทบระเบิดครับ ผมแทบจะหยิบกั้งขึ้นมาฟาดปากแกเลยทีเดียว
(เหตุการณ์จบที่นังป้ายอมแพ้ ให้ลุงและอื่นๆไปต่อแถวแต่โดยดี )
นึกภาพนะครับ ว่าเรากำลังเข้าแถวต่อคิวซื้ออะไรสักอย่างนึง
สมมติว่ากำลังต่อคิวซื้อตั๋วหนังในคืนวันเสาร์ที่มาบุญครองละกันนะครับ
(ต้องให้สมมติด้วยมั้ยครับว่า จะไปดูเรื่องเบเวอลี่ฮิลล์ ชิวาว่า...)
ขณะที่กำลังยืนต่อแถวอย่างตั้งใจนั้นเอง อยู่ดีๆนังนักศึกษาข้างหน้า
ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “ฮะโหล ...เออ แก ... ว่าไง ชั้นต่อคิวอยู่
อะไรนะ แกจะดูองค์บาก 2 เหรอ มาสิๆ นี่ชั้นชูมืออยู่ เห็นมั้ยๆ มาๆ
แกจะเลือกที่นั่งเองใช่มะ มาต่อคิวกับชั้นเลย เนี่ย ใกล้จะได้ซื้อแล้ว ”
แล้วอยู่ดีๆก็จะมนุษย์คนหนึ่งเดินแทรกคิวเข้ามาเกาะกับนักศึกษาคนนั้น
แล้วก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร ยืนหัวเราะกิ๊กกั๊กกันสองคนท่ามกลางสายตา
ประณามหยามเหยียด ปนกับความงงๆว่า “อีนี่ใคร ...มึงมาจากไหน”
คือ... ก็เข้าใจนะครับว่ารักเพื่อนและมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
แต่มึงเล่นเผื่อแผ่แต่เบียดเบียนสัตว์โลกแบบนี้ กูนับว่าเป็นบาปครับ
อย่าให้เห็นนะครับ อย่าให้เห็น จะด่าทั้งผู้รับและผู้ให้เลยละ...
5. มนุษย์ไม่เตรียมบัตรจอดรถก่อนออกจากห้าง
การจอดรถในห้างนับวันเป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่งของชีวิต
โดยเฉพาะห้างในวันสุดสัปดาห์ หรือคืนวันศุกร์ หรือวันนักขัตฤกษ์ทั้งหลาย
เพราะลำพังแค่การวนหาที่จอดรถในวันที่ทุกคนแห่กันมาห้างก็เหนื่อยพอแล้ว
ก็ยังจะมีมนุษย์บางคนที่สามารถเพิ่มความเหนื่อยได้อีกหลายดีกรี
นั่นคือ มนุษย์ที่ไม่เตรียมบัตรจอดรถก่อนออกจากห้างครับ
นึกภาพออกใช่มั้ยครับ ว่าก่อนเราออกจากห้าง มันจะมีป้อมยามให้คืนบัตร
ถ้าห้างไหนเก็บตังค์ค่าที่จอด ก็ต้องยื่นบัตร และตามด้วยยื่นเงินอีกที
นังมนุษย์จำพวกนี้เป็นพวกความรู้สึกช้าครับ กว่าจะรู้ตัวว่าต้องคืนบัตร จ่ายตังค์
ก็คือประมาณ 5 วินาทีก่อนที่จะต้องไขกระจกยื่นบัตรให้พนักงานนั่นแหละครับ
ถ้าบัตรมันอยู่ในที่ที่หยิบง่าย ก็ยังพอหยวนๆให้อภัย เพราะไม่เดือดร้อนอะไรมาก
แต่บางคนนี่สิครับ นอกจากจะลืมยื่นบัตรคืนแล้ว ยังลืมอีกว่าเอาบัตรไปไว้ไหน
หรือบางคนที่เอาบัตรใส่ไว้ในที่ซับซ้อนมากครับ เช่นในกระเป๋าตังค์
ซึ่งใส่ไว้ในถุงผ้า ซึ่งยัดอยู่ในกระเป๋าถือที่เต็มไปด้วยสิ่งของราวป่าอเมซอน
(ถ้ากลัวหายมาก ทำไมพี่ไม่ทำตู้เซฟใส่รหัสล๊อกบนรถซะเลยล่ะครับพี่)
เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง เจอมากับตัว ... เจอแล้วรู้สึกเหนื่อยมาก ...
เป็นสุภาพสตรี ขับรถโตโยต้า แคมรี่ เหตุเกิดที่สยามพารากอน คืนวันศุกร์
ใครไปพารากอนช่วงห้างปิดจะพอรู้ว่า ในลานจอดรถจะแถวยาวมากกกก
ปรากฏว่าเจ๊นี่ก็ลืมบัตรครับ หาไม่เจอ!!! เธอคือคันที่อยู่ด้านหน้ารถผมนี่แหละ
ผมถึงเหตุการณ์ทั้งหมด ด้วยการมองทะลุกระจกหลังของรถเธอเข้าไป...
ผมก็ร้อรอว่าเมื่อไหรมันจะเสร็จ กูจะได้กลับบ้านซะที ติดในลานจอดรถมานาน
ปรากฏว่า สุดท้ายแล้วเธอก็หาบัตรไม่เจอ พนักงานก็ไม่ให้เอารถออก ...
แล้วไงต่อ

...
เธอต้องถอยรถครับ ถอยไปจอดข้างๆเพื่อค้นหาบัตรจอดรถต่อไป
แล้วคิดดูว่ามีรถประมาณ 200 คันกำลังต่อแถวรออก หางแถวคงอยู่ๆราวชั้น 3 นู่น
เลยเกิดจลาจลเล็กในพารากอน คุณยามต้องมาช่วยโบกรถกันหลายคน
เพื่อให้พื้นที่สำหรับเจ๊เค้าถอยรถออกมาได้ ...
อย่าลืมนะครับ ก่อนเจ๊จะออกรถทุกครั้ง นอกจากจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัย
เปิดมือถือเข้าโหมดบลูทูธ แต่งหน้าเติมแป้งแล้ว เจ๊ต้องเตรียมบัตรจอดรถอีกอย่าง!!!
6. มนุษย์ที่ขึ้นราคาสินค้าตามราคาน้ำมันแล้วไม่ยอมลง
มนุษย์ประเภทนี้มีเยอะครับ จึงขอสร้างบทบาทสมมติบุคคลขึ้นมาท่านหนึ่ง
เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจและเห็นภาพตามได้ชัดเจนมากขึ้น...
สมมติว่า “เจ๊เกี๊ยว” เป็นบุคคลตัวแทนของมนุษย์ประเภทนี้แล้วกันครับ
เจ๊เกี๊ยว (นามสมมติ) เป็นนักธุรกิจหญิงท่านหนึ่งในประเทศไทยครับ
เธอมีภูมิลำเนาอยู่บริเวณภาคอีสาน ลักษณะการภาพอันโดดเด่นของเธอ
คือใบหน้าที่อวบอูม มาพร้อมกับผมเซ็ทฟูฟ่องฟาร่าอันเป็นเอกลักษณ์
เจ๊เกี๊ยว (นามสมมติ) ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถทัวร์ครับ
เธอเป็นเจ้าของกิจการบริษัทต่อรถทัวร์และเดินรถที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ถ้าพิมพ์ชื่อเธอลงไปในกูเกิ้ล ก็จะสามารถอ่านประวัติอันโชกโชนในอดีต
ประหนึ่งว่าเธอคือการฟิวชั่นของโอปร่า วินฟรี่ย์ + โอชิน + อองซานซูจี
กล่าวคือ เธอเป็นหญิงสู้ชีวิต และการสู้ชีวิตทำให้เธอเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวย
เจ๊เกี๊ยว (นามสมมติ) ปกติมีแหล่งพำนักถิ่นฐานอยู่พิกัดใด ผมไม่ทราบ
รู้แต่ว่าเธอจะออกมาจากแหล่งกบดานทุกครั้งที่ราคาน้ำมันแพงขึ้น
เธอจะเผยใบหน้าอวบอูมและผมฟาร่ามาออกสื่อ เป็นหัวหอกในการแหกปาก
และโวยวายขอขึ้นราคาค่าโดยสาร ประมาณว่าทุกวันนี้ไม่เหลือกำไรอะไรแล้ว
ถ้าไม่ขึ้น อิชั้นจะหยุดเดินรถประท้วง ...
ไม่รู้ว่าด้วยความเห็นใจ หรือเกรงกลัวจะโดนเจ๊อมหัวหรืออย่างไร
เธอมักจะได้ขึ้นราคาค่าโดยสารรถทัวร์ตามประสงค์แทบทุกครั้งไป
ซึ่งผมว่ามันก็เป็นวิสัยที่ถูกต้อง ในสถานการณ์ครึ่งปีแรกของปี 2551
ซึ่งราคาน้ำมันดิบแพงเป็นประวัติกาล ธุรกิจย่อมต้องขึ้นราคาหนีตาย
แต่ตอนนี้... ราคาน้ำมันกลับมาทำสถิติราคาถูกที่สุดในรอบหลายสิบปี
เจ๊เกี๊ยวกลับหายหัวฟูๆของเธอ ไม่รู้ไปอยู่ไหน สงสัยไปจำศีลอยู่ในรู
ไม่มีการออกมาโชว์หน้าบานๆว่าเธอจะลดราคาค่าโดยสารตามราคาน้ำมัน
ขนาดนักข่าวไปลากคอออกมาจากรู เธอก็ให้ข่าวว่า
“ไม่สามารถลดราคาได้ เนื่องจากราคาน้ำมันยังผันผวนอยู่...”
อืม... จากน้ำมันราคาลิตรละ 44 บาทลงมาเหลือลิตรละไม่ถึง 20 บาท
สุดท้ายเจ๊เกี๊ยวยอมลดราคาให้ 3 สต./กิโลเมตร เยอะมากกกกกกกกก
หลังจากที่ขึ้นไปหลายสิบสตางค์ในช่วงน้ำมันขึ้น ...
ไม่รู้ว่าถ้ามีใครคนหนึ่งกล้าไปตบกบาลเจ๊จริงๆขึ้นมา
เจ๊จะรู้สึกอะไรมั้ย ... เพราะนอกจากความด้านชาเต็มเปี่ยมในตัวเจ๊แกแล้ว
แรงตบอาจจะไม่สามารถฝ่าทรงผมฟูฟาร่าไปถึงผิวกะโหลกเจ๊ด้วย
อนึ่ง, เจ๊เกี๊ยวเป็นเพียงนามสมมติ ไม่มีตัวตนในจริงในโลกนี้
แม้ว่าชื่อจะคุ้นคล้ายกับ “เจ๊เกียว” ซึ่งเป็นเจ้าแม่ธุรกิจรถทัวร์
ซึ่งมีจิตใจดีงาม มีเมตตาต่อผู้บริโภคชาวไทยก็ตาม...
ยอดมนุษย์ น่าตบกาลที่สุดที่ประสบมา แบบที่ 1 - 3 ติดตามทางลิ้งค์ นี้ครับ
http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=151353.0