
เนื้อหาอาจยาวไปหน่อย แต่อ่านแล้ว รู้สึกดีจริงๆ
บะหมี่น้ำหนึ่งชาม... 
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง 
เราให้ชื่อเรื่องนี้ว่า"บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" 
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 25 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม 2528 
ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 
ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร 
การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น 
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี 
" ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน 
ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง 
โดยปกติแล้วบน ถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่ 
แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน 
ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้าน เร็วกว่าปกติ 
เถ้าแก่ของร้าน " ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี 
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน 
ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบาๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน 
คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน 
เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน 
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ท ลายสก๊อตเก่าๆ เชยๆ 
" เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา 
หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า 
" ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมคะ" 
เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก 
" ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง 
แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า 
" บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน 
เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่ เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน 
ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม 
ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง 
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย 
กินพลางพูดพลาง   " ทานเถอะครับ" 
ลูกคนพี่พูด " แม่ทานหน่อยสิครับ" 
ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน 
ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน 
แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า 
" ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)" 
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป 
" ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" 
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ 
*********

ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น 
และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคม 
ก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า 
ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา 
สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย 
และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง 
22.00 น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น 
ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ 
ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน 
พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย 
เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง 
" ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ" 
" ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ" 
เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว 
โต๊ะเบอร์สอง ตะโกนไปพลางว่า 
" บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลาง 
จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง 
" ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" 
เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า 
" นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ" 
" ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย" 
สามีตอบพลางแล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน 
เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม 
ภรรยาก็พูดขึ้นว่า " เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ" 
ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก 
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง 
เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย 
" หอมจังเลย … ยอดไปเลย … อร่อยจริงๆ " 
" ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว" 
" ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ" 
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน 
แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป 
" ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" 
มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป 

********
สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง 
ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก 
สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00 น.ไปแล้ว 
สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00 น. 
พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป 
พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียน 
ไว้ว่า " บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง 
แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า " บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน" 
30 นาทีก่อน เถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย " จองแล้ว" 
ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง 
เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ 
22.30 น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฏตัวขึ้น 
พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง 
น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว 
เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก 
ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม 
" เชิญค่ะ เชิญค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ 
มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย 
ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงก เงิ่นเงิ่นว่า 
" รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ" 
" ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ" 
เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง 
แล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า 
" บะหมี่น้ำสองชาม" " ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ" 
เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน 
สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก 
สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ 
ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน 
ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย 
" ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก" 
" ขอบคุณ ?"  " ทำไมครับ" 
" เรื่องเป็นอย่างนี้ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ 
และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน" 
" เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ 
ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร 
" แต่เดิมนั้นเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม 
แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว" 
" จริงๆ หรือครับ แม่" 
" จริงสิจ๊ะ  นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ 
ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร 
ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ 
ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก 
จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด" 
" ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ 
แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ" 
" ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชายเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ" 
" ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริงๆ " 
" แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ 
คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง 
ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง 
คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า 
เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด 
เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ 
นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อนๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ 
ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ 
ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง" 
" จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ" 
" หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า" 
น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ 
แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย" 
" เรียงความเขียนว่า … หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว 
ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ 
คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหาม รุ่งหามค่ำทุกวัน 
แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ 
น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย …" 
" ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 
พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ อร่อยมาก … 
สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว 
คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก 
แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก 
เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป 
พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อ ให้หมดให้เร็วที่สุด …" 
" ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ 
แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยม อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย 
แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน … ขอให้มีความสุขครับ … ขอบคุณครับ …" 
สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป 
พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ 
ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง 
พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ 
" พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า 
" วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ 
ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ" 
" จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรล่ะ" 
" ก็มันกะทันหันเกินไป ตอนแรกๆ 
ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี 
ผมจึงพูดว่า … ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี 
น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน 
ดังนั้นในเวลาที่เพื่อนๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะ 
อยู่ร่วมกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน 
เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร" 
" เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม 
ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่ 
น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อ 
สักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ " 
" หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกิน 
กันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด 
ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี 
และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ" 
สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ 
กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุกๆ ปี 
จ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณ 
ค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป 
มองตามหลังสามแม่ลูกไป 
เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริงๆ 
พร้อมกับกล่าวว่า " ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" 
และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง 

********
พอถึงเวลา 21.00 น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย 
" โต๊ะจอง"  ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอย 
การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย 
แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย 
ปีที่สอง ปีที่สาม โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม 
สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย 
กิจการของร้านฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว 
ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ 
จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม 
" นี่มันเรื่องอะไรกัน" ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา 
เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง 
โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง 
และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก 
พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา 
โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า " โต๊ะแห่งความสุข" 
ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป 
มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากิน บะหมี่ 
และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้ 
ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลายๆ ปี 
พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว 
เจ้าของร้านค้าในละแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก 
ก็มักจะมารวมตัวฉลอง โดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก 
กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง 
แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน 
เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว 
ในวันนี้พอเลย 21.30 น.ไปแล้ว 
เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย 
ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ 
บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา 
ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน 
ต่างก็คึกคักกันมาก 
ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง 
ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า 
วันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง 
มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม พวกเขาบ้างก็กินเหล้า 
บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้าๆ ออกๆ 
พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป 
พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ 
แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ 
ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุกๆ เรื่อง 
จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน 
เวลาผ่านไปจนถึง 22.30 น. 
ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบาๆ 
ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน 
ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน 
พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง 
และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก 
ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า " ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ" 
เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น 
ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโน เดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน 
ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า 
" เอ้อ … รบกวน … รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ" 
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที 
เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ 
กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน 
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก 
" พวกคุณ .. พวกคุณ" เขาพูดได้เพียงแค่นั้น 
คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ 
เถ้าแก่เนี้ยว่า " พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มา 
สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ 
และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น 
พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้" 
" หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ 
ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว 
ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต 
ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว" 
" วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว 
แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ 
และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น 
ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต 
ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ 
ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า 
พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร 
และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย" 
สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า 
เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู 
พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ 
แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า " อ้าว … เถ้าแก่ … เป็นอะไรไปล่ะ 
อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ " โต๊ะจอง" 
ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง 
รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า" 
ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก 
แล้วพูดว่า " ยินดีต้อนรับค่ะ … เชิญนั่งข้างในค่ะ … นี่ตาเฒ่า … บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง" 
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า 
" ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม" 
หากดูกันตามจริงแล้ว 
สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย 
มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ 
รวมทั้งคำอวยพรว่า " ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเอง 
แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์ 
คับขันได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง 
******** 
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า 
อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง 
ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้ 
บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจ 
ของคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 
ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้ 
ด้วยเหตุนี้ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเรา … 
เพื่อนพ้องทั้งหลาย … 
อย่ามัวเห็นแก่ตัวกันหรือเสียดายมันอยู่เลย 
หวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป 
พวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บ 
ไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ 
จุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก …. 
ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น 
แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว 
มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริงๆ 
ไงจ๊ะ … อ่านบทความนี้จบแล้วรู้สึกเมื่อยตาบ้างหรือเปล่า 
บริหารสายตาหน่อย 
กรอกตาซ้ายไปมา 
เสร็จแล้วก็หันมากรอกตาขวา 
หลังจากนั้นก็กรอกตาทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน 
หากทำแล้วลูกตากระเด็นออกมานอกเบ้าแล้วล่ะก้อไม่ต้องมาหาฉันนะจ๊ะ 
ไปหาหมอเถอะ … 

เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว 
ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า
 " ใครที่อ่านเรื่องแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้" 
ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง 
แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกประทับใจจริงๆ 
จนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น 
มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจ 
แต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจ 
และน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ..