เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 22 กรกฎาคม 2025, 05:07:28
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ธุรกิจเครือข่าย MLM งานออนไลน์
| |-+  ธุรกิจเครือข่าย MLM - ขายประกัน
| | |-+  ความรู้ดีๆ เพื่อสุขภาพของเรา update
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ความรู้ดีๆ เพื่อสุขภาพของเรา update  (อ่าน 1270 ครั้ง)
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: วันที่ 24 กันยายน 2011, 09:24:24 »

รับประทานไขมันให้ได้ประโยชน์ (ไทยโพสต์)

          ไขมันถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่หากบริโภคในปริมาณที่มากจนเกินไป อาจส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน และส่งผลให้เกิดโรคหัวใจตามมาได้ ดังนั้นการรับประทานไขมันให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกาย ในปริมาณที่เหมาะสมนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

          ผศ.ดร.อริสร์ เทียนประเสริฐ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร แนะนำถึงวิธีการรับประทานไขมันให้ได้ประโยชน์ว่า ไขมันนั้นเป็นสารอาหารตัวหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย และร่างกายจำเป็นต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากไขมันจะเป็นตัวที่ไปช่วยละลายวิตามินซีในร่างกาย ถ้าร่างกายไม่มีไขมันก็จะทำให้ร่างกายขาดวิตามินไปด้วย และที่สำคัญร่างกายสามารถสร้างไขมันได้เอง โดยการรับประทานอาหารประเภทแป้ง และกระบวนการในร่างกาย จะเป็นตัวที่เปลี่ยนพลังงานจากแป้งเป็นกรดไขมัน ที่เรียกกันว่า "ไตรกลีเซอไรด์" ได้ด้วย

          อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.อริสร์กล่าวว่า ถึงแม้ว่าไขมันจะจำเป็นต่อร่างกาย แต่ต้องได้รับไม่ต่ำกว่า 15% ของพลังงานที่ได้รับทั้งหมดในแต่ละวัน สำหรับไขมันที่แนะนำให้รับประทานคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัว หรือเป็นไขมันตัวที่ดีและมีความจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจะพบได้ในน้ำมันพืช น้ำมันปลา (ซึ่งอาจจะเป็นคนละชนิดแต่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน) เนื่องจากกรดไขมันไม่อิ่มตัวนั้น แบ่งเป็น

           1.เป็นส่วนประกอบของเซลล์ หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นโครงสร้างของเซลล์ และสามารถย่อยสลายได้ง่าย จึงช่วยป้องกันการเกิดการอุดตันของหลอดเลือดต่าง ๆ ได้ ดังนั้นโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจก็จะลดลงเช่นกัน

           2.กรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นส่วนประกอบ หรือสารตั้งต้นในการสร้างสารที่สำคัญต่อร่างกาย จำพวกสารในกลุ่มไอโคสนอยด์ ที่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมน แต่สารตัวนี้จะทำงานเฉพาะที่ หรือคล้ายกับเป็นตัวคำสั่งให้แก่เซลล์ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการจับตัวกันของเกล็ดเลือด เพื่อช่วยให้เลือดหยุดไหลในกรณีที่โดนมีดบาด หกล้ม หรือเป็นแผล เป็นต้น

          ผศ.ดร.อริศร์กล่าวต่อว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่แนะนำให้รับประทานน้ำมันมะกอก เนื่องจากเป็นน้ำมันที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และมีราคาที่ค่อนข้างแพง ดังนั้นจึงไม่คุ้มค่าในการนำมาปรุงอาหาร ขณะเดียวกันการรับประทานน้ำมันถั่วเหลืองนั้นสามารถทำได้ แต่ต้องรับประทานให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป เพราะหากรับประทานในปริมาณที่มาก จะทำให้ได้รับกรดไขมันอิ่มตัวอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ร่างกายสร้างการอุดตันให้กับเกล็ดเลือด ดังนั้นการเลือกรับประทานไขมันจากน้ำมันปลาที่มีโอเมกา 3 ซึ่งพบในปลาทะเลและปลาน้ำจืดนั้น น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเลือกรับประทานกรดไขมัน ที่ไม่อิ่มตัว แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรักษากรดไขมัน โดยการหลีกเลี่ยงการทอด เพราะการทอดจะทำให้สูญเสียสารอาหารบางตัวไป แต่ควรปรุงอาหารโดยการต้ม นึ่ง หรือปิ้งปลา โดยใช้บรรจุภัณฑ์ห่ออาหารแทนก็จะดี

          ส่วนไขมันที่ควรเลี่ยงนั้น ผศ.ดร.อริศร์กล่าวว่า เป็นไขมันจำพวกอิ่มตัว โดยเฉพาะไขมันที่มีการอิ่มตัวมาก ๆ ซึ่งสามารถพบได้ในสัตว์บก เช่น เนื้อหมูหรือมันหมู ที่มีลักษณะเป็นก้อนสีขาว เนื้อวัว และไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นไขมันที่ได้มาจากกระบวนการผลิตอาหาร ที่เปลี่ยนแปลงน้ำมันให้มีการแข็งตัวมากขึ้น เช่น มาการีนที่ใช้ทาขนมปัง เป็นต้น เพราะการรับประทานไขมันอิ่มตัวเข้าไปเป็นจำนวนมากนั้น จะส่งผลทำให้น้ำหนักเกิน หลอดเลือดอุดตัน และเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ เนื่องจากกรดไขมันอิ่มตัวนั้นจะมีการเผาผลาญในลักษณะคงที่ ทำให้เกิดการสะสมในร่างกายได้ง่าย จึงส่งผลทำให้เกิดโรคที่กล่าวมาข้างต้นได้ ดังนั้นจึงควรได้รับในปริมาณที่น้อยกว่า 1%
 
          ท้ายนี้ ผศ.ดร.อริสร์ แนะนำว่า การเลือกรับประทานไขมันให้เหมาะสมกับร่างกายนั้น ในแต่ละวันควรได้รับไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 10% ของไขมันโดยรวมในร่างกาย ส่วนการรับประทานไขมันไม่อิ่มตัวนั้น ควรได้รับไม่เกิน 11% เนื่องจากการที่กรดไขมันไม่อิ่มตัวนั้นจะมีลักษณะไม่คงที่ จึงทำให้เกิดการย่อยสลายได้ง่าย และเมื่อย่อยสลายได้ง่าย ก็จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ง่ายเช่นกัน ดังนั้นไม่ควรได้รับเกิน 11% ของพลังงานโดยรวมในร่างกายนั่นเอง

จาก  คลับสุขภาพ 081-8504943
เราจะหาอะไรดีๆมาแบ่งปันให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 24 ตุลาคม 2011, 09:24:28 โดย K.Tanakorn » IP : บันทึกการเข้า
tung 7737
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,801



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 24 กันยายน 2011, 13:24:07 »

ดีๆๆครับ เอาสาระดีๆมาบอกกัน ดีมากๆ
IP : บันทึกการเข้า

ทำดี ขยัน อดทน ความจนอยู่ได้ไม่นาน
คนขาย น่ะ ..ไม่รีบ แต่คนชื้อ น่ะ..รีบๆหน่อยนะ
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 26 กันยายน 2011, 09:14:12 »


กระเจี๊ยบมอญ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ (Woman Plus)

          กระเจี๊ยบมอญ หรือกระเจี๊ยบเขียวที่มีลักษณะเป็นฝักทรงกระบอกห้าเหลี่ยม มีปลายเรียว นิยมนำมากินแกล้มกับน้ำพริก อาหารหลักของคนไทย ซึ่งนอกจากความอร่อยแล้ว กระเจี๊ยบมอญฝักเล็ก ๆ นั้นยังเป็นสมุนไพรที่แฝงไปด้วยประโยชน์ในการช่วยบำรุงดูแลสุขภาพของเราด้วย

          เนื่องจากฝักของกระเจี๊ยบมอญนั้นมีเส้นใยจำนวนมากที่มีประโยชน์ช่วยในการรักษาระดับการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

          นอกจากนี้ หากนำฝักของกระเจี๊ยบมอญไปตากแห้ง แล้วนำมาบดให้ละเอียด กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ หลังอาหารแล้วดื่มน้ำตาม ก็จะช่วยลดอาการของแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย

จาก  คลับสุขภาพ 081-8504943
เราจะหาอะไรดีๆมาแบ่งปันให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี

อยากรู้เรื่องอะไร บอกได้นะครับจะได้ช่วยหาคำตอบมาบอกกัน
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 26 กันยายน 2011, 15:39:55 »


หุ่นสวยด้วยพลังไฟเบอร์ (Lisa)

           Dietary Fiber หรือเส้นใยอาหาร คือตัวช่วยสำคัญในการลดน้ำหนักเลยล่ะ เพราะมันช่วยในการย่อยอาหารและการขับถ่าย ลดระดับคอเลสเตอรอล เสริมสร้างการควบคุมน้ำหนักและคุมระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งต้านการก่อตัวของมะเร็งและลดโอกาสเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ เพื่อการควบคุมน้ำหนักอย่างได้ผล และทำให้เรามีสุขภาพดี มาลองกินอาหารที่มีไฟเบอร์ให้เป็นนิสัยกันดีกว่าค่ะ

อาหารที่มีไฟเบอร์ขั้นเทพ

            ผลไม้ ได้แก่ แอปเปิ้ล อะโวคาโด มะละกอ ส้ม แคนตาลูป ฝรั่ง มะม่วง กีวี กล้วย รวมทั้งเบอร์รี่บางชนิด เช่น สตรอวเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ (กำลังอินเทรนด์เชียว)

            ผัก ได้แก่ บร็อกโคลี่ แครอต ผิวมะเขือเทศ ผิวมันฝรั่ง ผักโขม และข้าวโพด

            ธัญพืช ได้แก่ ข้าวโอ๊ต คอร์นเฟล็ก ขนมปังโฮลวีท ขนมปังขาว (มีบ้างแต่น้อยกว่าโฮลวีท) พาสต้า มักกะโรนีโฮลวีต และตัวแม่เลยก็คือข้าวกล้องที่มีถึง 5.5 กรัม ซึ่งข้าวขาวก็มีไฟเบอร์แต่เทียบไม่ติด เพราะมีแค่ 2 กรัมเท่านั้น

            ถั่ว ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วลิสง อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เฮเซลนัต พิสตาชโอ เป็นต้น


กินอย่างไรให้ได้ไฟเบอร์

            กินซีเรียล หากกินเป็นอาหารเช้าทุกวันได้ยิ่งดี และถ้าเป็นรสธรรมชาติ ไม่หวาน ก็จะดีมากเพราะมีใยอาหารถึง 4 กรัม ผสมผลไม้ เช่น กล้วย หรือมะละกอลงไปด้วยก็ได้

            กินโยเกิร์ตมิกซ์ตอนเช้าสัปดาห์ละครั้ง ผสมโยเกิร์ตเข้ากับซีเรียลและสตรอวเบอร์รี่ช่วยเพิ่มพูนไฟเบอร์ได้อย่างดี

            กินแครอตหรือเบบี้แครอตและบร็อกโคลี่เป็นของว่าง ช่วยเติมเต็มท้องว่างในยามบ่ายก็ได้ แถมยังได้ไฟเบอร์มากถึง 15 กรัม

            แครกเกอร์โฮลวีตทาเนยถั่ว ก็ช่วยเสริมสร้างใยอาหารเช่นกัน แทนที่จะกินขนมปังหรือคุกกี้

            เปลี่ยนของว่างติดรถ หรือโต๊ะทำงานเป็นพวกของขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ เช่น ถั่วต่าง ๆ ลูกเกด หรือถั่วเคลือบช็อกโกแลตก็ยังได้

            แอปเปิ้ลคือขั้นเทพของไฟเบอร์ การกินแอปเปิ้ลวันละ 1-2 ผล ช่วยให้คุณแข็งแรงและห่างไกลหมอ นอกจากนี้ ในแอปเปิ้ลยังมีเพ็กตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มและการย่อยเป็นไปอย่างช้า ๆ คุณจะรู้สึกอิ่มท้องได้หลายชั่วโมงเชียวล่ะ

            ท่องคำว่า "Whole" ไว้ เมื่อพบอาหารที่ระบุข้างกล่อง ว่า Whole Wheat หรือ Whole Grain นั่นย่อมมีไฟเบอร์ที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ

            เติมถั่วแดงลงในสลัดด้วย แค่ครึ่งถ้วยก็ได้ไฟเบอร์ถึง 5 กรัมแล้ง

            ผักโขมก็เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีไฟเบอร์ คุณอาจเสริมเส้นพาสต้าด้วยผักโขม เมื่อทำอาหารฝรั่งก็ได้

            และแน่นอนว่าสำหรับข้าวที่เรากินอยู่ทุกวัน เมื่อต้องหุงข้าวที่บ้าน ก็ลองเปลี่ยนมาหุงข้าวกล้องแทนสิค่ะ

          อาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์อาจไม่ใช่สิ่งแรกที่แล่นเข้ามาในหัวเมื่อถูกความหิวเข้าโจมตี แต่นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการเลือกรับประทานเพื่อสุขภาพที่ดีเลยล่ะ


ถ้าต้องการความสะดวกมากขึ้น โดยทาง คลับสุขภาพ มีจำหน่าย ไพเบอร์ อัดเม็ดจำหน่าย
รับประทาน ครั้งละ 2 เม็ด หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น
1 ขวด มี 180 เม็ด (เลขที่ อย.10-3-07839-1-0012)
ราคาขวดละ 500 บาท
สามารถติดต่อสั่งซื้อหรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

คลับสุขภาพ 081-8504943 ธนกร
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 27 กันยายน 2011, 09:13:02 »


ผักกาดหอม...หอมคุณค่า (สวยด้วยแพทย์)

          สาว ๆ ที่ควบคุมน้ำหนักตัว เชื่อว่าต้องมีสลัดผักอยู่ในเมนูหลักแน่ ๆ ซึ่งผักที่เลือกมาเป็นส่วนประกอบในจานสลัด อย่าหลงลืม "ผักกาดหอม" ไปเสียล่ะ

           ผักกาดหอมน่าจะเป็นผักพื้น ๆ ที่รู้จักกันดี หรือไม่ก็เคยทานกันบ่อย ๆ มักนิยมทานกันแบบสด ๆ มากกว่าปรุงให้สุก บางทีรองมาบนภาชนะเพื่อให้อาหารดูสวยงาม แต่ก็มักไม่ทานเหลือทิ้งไว้เสียอย่างนั้น น่าเสียดายคุณค่าที่มีอยู่ในผักค่ะ

           สำหรับคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในผักกาดหอม  เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินซี และมีเบต้า-แคโรทีน ที่เป็นเกราะป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง คุณค่าเพียบขนาดนี้ก็อย่าผลีผลามรับประทาน โดยเฉพาะหากทานสด ๆ ควรล้างให้สะอาดเสียก่อนจะได้ไม่รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายค่ะ

          คุณค่าในผักกาดหอมน่ะมีอยู่แน่ ส่วนจะหอมสมชื่อหรือเปล่า ต้องไปลองชิมกันเอาเองนะคะ...

คลับสุขภาพ
081-8504943
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2011, 08:51:27 »

ไม่ได้มาบอกกันตั้งหลายวันแล้ว เดี๋ยววันนี้หาอะไรดีๆมาฝากนะครับ
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 03 ตุลาคม 2011, 08:02:32 »


ภัยร้ายจากอาหารรสเผ็ด (Woman Plus)

          คุณรู้หรือไม่ว่า ยำ ส้มตำ และเมนูอาหารรสเผ็ดจัดจ้านจานอื่น ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของคุณผู้หญิงทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นเมนูที่จะทำให้คุณผู้หญิงต้องกลับมานั่งกลุ้มใจกับปัญหาขาใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว

          เนื่องจากอาหารรสเผ็ดมีทั้งรสเผ็ด เปรี้ยว หวานซึ่งช่วยกันกลบรสเค็มไว้ ทำให้ความเค็มที่มาจากโซเดียมซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำไว้ในเนื้อเยื่อไหลลงสู่ที่ต่ำ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สาว ๆ ที่ชอบกินอาหารรสเผ็ดต้องนั่งกลุ้มกุมขมับกับปัญหาขาใหญ่อย่างไม่รู้สาเหตุ

          ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาก็คือ ไม่ควรกินอาหารรสเค็มและเผ็ดบ่อยจนเกินไป แต่ควรเลือกกินอาหารที่มีผักและผลไม้ ทั้งยังต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรูปร่างที่สวยงามและสุขภาพที่แข็งแรง นอกจากนี้อาจแก้ปัญหาขาใหญ่ได้ด้วยการนวดกดจุด โดยการนวดเอาน้ำที่บวมคั่งในกล้ามเนื้อขาออกไปทางระบบน้ำเหลือง ซึ่งจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ แล้วขาของคุณผู้หญิงก็จะค่อย ๆ เล็กลง กลับมาเรียวสวยเหมือนเดิม

คลับสุขภาพ
081-8504943
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 03 ตุลาคม 2011, 08:04:17 »


กินแบบมือโปรยังไงก็ไม่อ้วน (E-magazine)

          สำหรับบางคนที่รักการกินแต่ไม่ชอบออกกำลังกาย บรรดาอาหารที่เข้าสู่ร่างกายก็อาจกลายร่างมาเป็นไขมัน ขณะเดียวกันก็ยังมีบางคนที่ชอบออกกำลังกายและชอบกิน ๆๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องลงเอยกับความอ้วน ซึ่งจะมีหนทางใดบ้าง ที่จะทำให้เราได้อิ่มเอมไปกับอาหารโดยไม่ต้องกลัวหุ่นพะโล้ถามหา

          วันนี้เรามีสูตรลดน้ำหนักที่ไม่ว่าจะคุณจะทานมากแค่ไหน แต่ก็ยังดูดีเพียวระหงอยู่เสมอกับ 3 วิธีไดเอท ด้วยอาหารที่ทั้งอิ่มแถมยังเฟิร์มได้ไม่ยาก

 ลดน้ำหนักด้วยอาหารไฟเบอร์สูง

          ไฟเบอร์ (Fiber) คือเส้นใยอาหาร ซึ่งมี 2 ชนิดคือ ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ และไฟเบอร์ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ภายใน 1 วัน ผู้หญิงควรได้รับไฟเบอร์ 25 กรัม ขณะที่ผู้ชายควรได้รับ 30 กรัม โดยไฟเบอร์ที่ปัจจุบันนี้หลายคนนำไปผสมกับเครื่องดื่มหรืออาหาร เป็นสิ่งที่ไม่ให้พลังงานแต่ช่วยให้อาหารเดินทางเร็วขึ้นจึงมีการดูดซึมน้อย อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณอาหารที่ต้องการรับประทาน จึงสามารถช่วยลดน้ำหนักได้

          นอกจากนี้ ไฟเบอร์สามารถช่วยขจัดสิ่งตกค้างในร่างกายและระบบทางเดินอาหาร แม้จะเห็นข้อดีมากมายขนาดนี้ เจ้าไฟเบอร์ก็มีข้อควรระวังคือ การทานไฟเบอร์ในปริมาณมาก จำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่าในปริมาณมาก ๆ อย่างน้อยวัน 6-8 แก้วขึ้นไป เนื่องจากไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำ จะดูดซึมน้ำในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้มีปัญหาท้องผูก ส่วนในระยะยาวอาจส่งผลให้เป็นโรคริดสีดวงทวารได้





 ลดน้ำหนักด้วยการทานอาหารที่มีน้ำตาลน้อย

          การบริโภคสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของผู้ชื่นชอบรับประทานรสหวานแต่ไม่อยากมีน้ำหนักเกิน สำหรับคนปกติควรได้น้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม ใน 1 วัน ซึ่งหมายถึงทานให้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อสุขภาพ เนื่องจากคนเราได้รับน้ำตาลทางอ้อมจากอาหารประเภท แป้ง ผักผลไม้ อยู่แล้ว การบริโภคน้ำตาลมาก ๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน เบาหวาน หัวใจ และความดัน

          ดังนั้นหลายคนจึงพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลแล้วหันมาทานอาหารที่ใส่สารให้ความหวานแทน ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี แต่คุณควรศึกษาส่วนประกอบแต่ละชนิด อย่างชนิดของสารให้ความหวานที่นิยมใช้ เช่น

           แซคคาริน ที่มีค่าปริมาณซึ่งได้รับต่อวันโดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ คือ 0-5 มก.ต่อน้ำหนักตัวต่อวัน

           ซูคราโลส ค่าปริมาณที่ได้รับกำหนดไว้ที่ 0-15 มก.ต่อกก.น้ำหนักตัวต่อวัน

           แอสพาร์เทม สำหรับสารให้ความหวานชนิดนี้มีข้อควรระวังของการใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารคือ ผู้ที่เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria) จะไม่สามารถบริโภคอาหารที่มีสารนี้ประกอบได้ จึงต้องระบุคำเตือนบนฉลาก ค่าปริมาณที่ได้รับต่อวันกำหนดไว้ที่ 0-40 มก.ต่อ กก.น้ำหนักตัวต่อวัน

          อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกต้อง ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก ซึ่งการค่อย ๆ ลดน้ำตาลโดยไม่ใช้ความหวานทดแทนในอาหาร จึงเป็นวิธีการบริโภคที่ถูกต้องที่สุด




 ลดน้ำหนักด้วยการกินผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

          สาว ๆ หลายคนมักมองข้ามถั่วเหลืองเพราะเวลากินจะรู้สึกอิ่ม จนทำให้คิดไปเองว่าตนเองจะอ้วนหากรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มาก แต่คุณรู้หรือไม่ว่า "ถั่วเหลือง" เป็นแหล่งรวมโปรตีนที่มีคุณภาพสูง มีไขมันไม่อิ่มตัว และไม่มีโคเลสเตอรอล

สารสำคัญในถั่วเหลืองประกอบด้วย

           สารไอโซฟลาโวนส์ ช่วยลดการสะสมไขมันในร่างกาย และเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ จากการทำกิจวัตรประจำวัน

           สารซาโพนินในถั่วเหลือง มีคุณสมบัติไม่ละลายในเลือด ไม่เป็นสารพิษต่อร่างกาย ช่วยป้องกันน้ำตาลที่ร่างกายดูดซึม ไม่ให้แปรสภาพเป็นไขมันทำให้เยื่อบุลำไส้ทำงานดีขึ้น และการดูดซึมอาหารสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

           เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ สามารถย่อยได้โดยจุลินทรีย์ในลำไส้ของคนเรา และเกิดเป็นพลังงานที่ไม่สามารถรวมตัวกับไขมัน ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว

           ในถั่วเหลืองมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน B1, B6, B12 วิตามิน C, D, E โพแทสเซียมและฟอสฟอรัสมาก ถั่ว 100 กรัม มีโปรตีน 38 กรัม ไขมัน 18 กรัม และให้พลังงาน 355 แคลอรี ในขณะที่เนื้อ 100 กรัม ให้โปรตีนเพียง 9 กรัม ไขมัน 13 กรัม และพลังงาน 195 แคลอรี

          ดังนั้นในกรณีที่น้ำหนักเท่ากัน เนื้อสัตว์ให้โปรตีนน้อยกว่าถั่วเหลืองมาก จึงให้แคลอรีที่น้อยกว่า การกินถั่วเหลืองจะทำให้ไม่อ้วน โดยเฉพาะนมถั่วเหลือง 200 มิลลิลิตร ให้โปรตีนเท่ากับนมวัว แต่ให้พลังงานประมาณ 80 แคลอรี ดังนั้นคนที่ต้องการลดน้ำหนักสามารถใช้วิธีดื่มนมถั่วเหลืองได้ แต่การดื่มแต่นมถั่วเหลืองอาจจะไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะแคลเซียมซึ่งพบน้อยกว่าในนมวัว ควรจะรับประทานกับอาหารที่เสริมกันอย่างผักคะน้า ที่ให้พลังงานต่ำเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก

          นอกจากนี้ ควรระวังในการเลือกทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองที่ให้รสหวานด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การควบคุมน้ำหนักที่ถูกต้อง ก็ควรรับประทานอาหารสลับกันบ้างเป็นบางมื้อ และให้ครบ 5 หมู่ ไม่ควรทานอาหารซ้ำ ๆ กันบ่อย ๆ เพราะจะได้รับสารอาหารเหมือนเดิม และมากเกินความต้องการของร่างกายสุดท้ายก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพอย่างอื่นตามมา

คลับสุขภาพ
081-8504943
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 03 ตุลาคม 2011, 08:09:58 »

ใครอยากรู้เรื่องอะไร ก็ลองบอกมานะครับ
จะหามาให้
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 05 ตุลาคม 2011, 10:32:40 »



หุ่นดีน้ำหนักคงที่...เดี๋ยวนี้เลย (สุขกายสบายใจ)

          สาว ๆ ที่กำลังกังวลกับน้ำหนักตัวที่คุมเท่าไหร่ก็ยัง "ฉุ" หยุดไม่อยู่ หรือแม้แต่สาว ๆ ที่ต้องการคุมน้ำหนักฉบับแอบโหด เพื่อให้หุ่นสวยทันโปรแกรมพิเศษสุดสัปดาห์นี้ต้องอ่านทางนี้ให้เข้าใจเลยเชียว

          เพราะหุ่นดีน้ำหนักคงที่ทำได้และเห็นผลไวทันใจแน่นอน เพียงแค่คุณต้องสังเกตอาการหิวของตัวเองให้มากขึ้น และต้องปรับพฤติกรรมการกินของคุณ จากเดิมที่ "ถึงเวลากินก็ต้องกิน" มาเป็น "หิวตอนไหนกินตอนนั้น"

          แต่ขอย้ำว่ากินให้อยู่ท้องแต่พอดี เพื่อให้กระเพาะอาหารได้มีอะไรย่อยบ้าง แต่ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองหิวมาก ๆ แล้วกินชดเชยด้วยการยัดอะไรต่อมิอะไรตามมาอีกเป็นชุดนะ

คลับสุขภาพ
081-8504943
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 05 ตุลาคม 2011, 10:35:12 »

ไม่รู้ว่าจะทันรึเปล่านะ

กินเจ กับ การออกกำลังกาย (สสส.)
ที่มา มติชน

          ช่วงนี้ผู้รักสุขภาพหลายคนคงกำลังอยู่ในฤดูกาล "ถือศีลกินเจ" โดยเทศกาลกินเจปีนี้ตรงกับวันที่ 18-26 ตุลาคม ซึ่งวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ถือเป็นวันล้างท้องก่อนที่จะหยุดกินเนื้อสัตว์ และอาหารบางชนิดอย่างจริงจังในวันที่ 18 ตุลาคมเป็นต้นมา

          ความหมายของการกินเจที่คนส่วนใหญ่รับรู้คือ การไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะหลักการกินเจที่ถูกต้องคือ การงดทั้งเนื้อสัตว์ ไข่ของสัตว์ รวมทั้งผักฉุนทั้ง 5 นั่นก็คือ กระเทียม (ทั้งหัวและต้น) หัวหอม (ต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง, หอมขาว, หอมหัวใหญ่) หลักเกียว (เป็นกระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม) กุยช่าย และใบยาสูบ, บุหรี่ รวมทั้งของมึนเมาต่าง ๆ เพราะเชื่อกันว่าผักทั้ง 5 ชนิด มีกลิ่นรุนแรงมีพิษเข้าไปทำลายธาตุทั้ง 5 ในร่างกายทำให้ระบบอวัยวะต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ

กินเจควรกินอะไรบ้าง?

          หลัก ๆ เลยต้องเป็นผักและผลไม้ ควรกินผลไม้หลายๆ สีทั้งดำ, แดง, เขียว, ขาว, เหลือง เพื่อให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุหลากหลาย ที่สำคัญกว่านั้นคือ ไฟเบอร์ ที่จะช่วยขับถ่ายของเสียและสารพิษตกค้างออกจากร่างกาย ต่อมาก็คือ พืชตระกูลถั่ว เพราะเป็นแหล่งโปรตีน มีธาตุเหล็กสูง ช่วยสลายคอเลสเตอรอล ปัจจุบันถั่วถูกแปลงโฉมให้อยู่ในรูปของโปรตีนเกษตร ที่มีความคล้ายคลึงกับอาหารจริง ๆ แล้วแถมยังไม่มีไขมันด้วย

          ที่เหลือก็เป็นธัญพืช เช่นเมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ที่เคี้ยวเล่นกันเป็นประจำ มีทั้งวิตามินเอ, ซี และ อี งาขาว-งาดำ ซึ่งมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย อย่าลืมกินเห็ด เพราะมีกรดอะมิโนและแร่ธาตุที่หลากหลาย ที่ขาดไม่ได้คือ เปลี่ยนจากกินข้าวสวยผิวขาว ๆ มาเป็นข้าวกล้อง เพราะมีวิตามินและเกลือแร่ 20 ชนิด บำรุงสมองทำให้กระดูกแข็งแรง กากใยสูงช่วยขับถ่ายดี

          รศ.พญ.ปรียานุช แย้มวงษ์ หัวหน้าสาขาวิชาโภชนาการคลีนิค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ให้คำแนะนำสำหรับนักกีฬาและผู้ที่ออกำลังกายที่ถือศีลกินเจว่า ควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีนที่ต้องทานให้ครบถ้วน ซึ่งนอกเหนือจากทานแป้งและผักแล้ว ควรทานอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนให้ครบถ้วนเช่น ถั่ว, งา

          "ถ้าทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ก็ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ ยิ่งคนที่ออกกำลังกาย ก็ทำให้อ่อนเพลียง่าย แต่ถ้าทานได้ครบ 5 หมู่ ก็ไม่มีปัญหาแน่นอน คนกินเจไม่ต้องกลัว ออกกำลังได้ตามปกติ แต่ถ้ากินเจแล้ว งดออกกำลังก็ต้องระวังเรื่องน้ำหนักตัว" รศ.พญ.ปรียานุชกล่าว


กินเจยังไงไม่ให้อ้วน?

          มีคำถามที่น่าสนใจว่า ถ้าไม่กินเนื้อแล้วหันไปกินแป้ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของอาหารเจจะส่งผลเสียต่อร่างกายหรือไม่ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่กลัวว่าการกินแป้งในเทศกาลเจจะทำให้น้ำหนักเพิ่ม พญ.กอบกาญจน์ ไพบูลย์ศิลปะ รองกรรมการผู้จัดการบัลวี-ศูนย์ธรรมชาติบำบัด แนะนำวิธีกินเจให้ไม่อ้วนไว้ว่า

           1.เลือกกินข้าวหรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย ธัญพืชต่าง ๆ ร่างกายใช้พลังงานในการย่อยออกมาเป็นแป้งที่พร้อมดูดซึม ซึ่งน้ำตาลไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับปริมาณที่เท่ากันของแป้งขัดขาว

           2.เลือกผักใบมากกว่าพืชหัว เพราะผักใบมีคาร์โบไฮเดรตที่น้อยกว่าพืชหัวมาก ดังนั้น การกินผักใบจะทำให้เราได้พลังงาน และปริมาณแป้งน้อยกว่าจึงไม่ทำให้อ้วน

           3.เลือกกินของนึ่ง, ต้ม, ตุ๋นดีกว่าของทอดและผัด เพราะช่วยให้เลี่ยงการกินน้ำมัน ซึ่งมีไขมันอยู่สูง

           4.กินหวานให้น้อยลง ไม่ใช่ว่าเมื่อคุณกินเจแล้ว จะสามารถกินขนมหวานได้เต็มที่ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารเจหรือไม่เจ ถ้ามีความหวานและผสมน้ำตาลอยู่มากก็อ้วนได้ไม่ต่างกัน

           5.อดอาหาร ล้างพิษหลังกินเจ เพราะจะช่วยให้ร่างกายขับพิษต่าง ๆ ออกมาได้ ทั้งช่วยลดไขมันในเลือด ลดน้ำหนัก ลดภาวะร้อนในจากธาตุในร่างกายที่ไม่สมดุลได้อีกด้วย


          ในเทศกาลถือศีลกินเจ ไม่ใช่ว่าแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการกินอย่างเดียวเท่านั้น เพราะหลักการถือศีลกินเจ มี 3 ข้อหลัก ๆ คือ 1.เจที่ปาก ไม่กินเนื้อสัตว์, ไม่พูดเพ้อเจ้อ, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดจายุแหย่ส่อเสียด 2.เจที่กาย ไม่ประพฤติชั่ว, ไม่ฆ่าสัตว์ 3.เจที่ใจ ไม่คิดชั่วร้าย, ไม่คิดไร้สาระและมีสมาธิ ถ้าทำได้ตามคำแนะนำข้างต้นรับรองสุขภาพดีทั้งกายและใจ
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 06 ตุลาคม 2011, 18:11:43 »


10 อันดับ การทำร้ายกระดูกสันหลัง

 



อันดับที่ 10
การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่ อร ักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

อันดับที่ 9
การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆการหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ


อันดับที่ 8
การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่าง กาย ทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้


อันดับที่ 7
การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่งจะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง


อันดับที่ 6
การยืนแอ่นพุง/หลังค่อมควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง


อันดับที่ 5
การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่าง กาย


อันดับที่ 4
 การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ


อันดับที่ 3
การนั่งหลังงอ การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเต อร ์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา


 อันดับที่ 2
การนั่งกอดอก ทำ ให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้


 อันดับที่ 1
การนั่งไขว่ห้างจะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด



IP : บันทึกการเข้า
Toy88
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,730


โลกจะสงบสุขถ้าทุกคนมอบความรักให้แก่กัน


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 06 ตุลาคม 2011, 19:35:09 »

ขอเข้ามาแจมด้วยนะ และอยากจะช่วยบอกว่าสิ่งนี้มีประโยชน์ อ่ะนะ อิ อิ
IP : บันทึกการเข้า

เหนือฟ้ายังมีฟ้่า เหนือคนยังมีคน
 แต่ไม่มีอะไรเหนือกฎแห่งกรรม
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2011, 17:25:53 »

ยินดีครับ มีอะไรดีๆก็มาแบ่งปันกันนะครับ
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2011, 13:06:55 »


ไขมันพอกตับ (หมอชาวบ้าน)

          ไขมันพอกตับ เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อไปตรวจสุขภาพประจำปีแล้วพบว่ามีไขมันพอกตับหรือไขมันเกาะตับ ทำให้เกิดความวิตกกังวลกับผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีรูปร่างอ้วน เป็นเบาหวานและมีไขมันในเลือดสูง

          ในคนปกติ ตับจะมีบทบาทสูงมากในการรักษาชีวิตให้เป็นปกติ เพราะจะทำงานเสมือนโรงงานบำบัดน้ำเสีย โรงงานกำจัดขยะและโรงงานแปรรูปสารอาหาร โดยอาหารที่ถูกย่อยและดูดซึมจากทางเดินอาหารจะต้องผ่านตับ เพื่อปรับสภาพให้เหมาะสมก่อนนำไปเลี้ยงร่างกาย

          ของเสียและสารพิษบางอย่างที่อยู่ในเลือดเมื่อไหลเวียนผ่านตับก็จะถูกขจัดออกไป สารอาหารต่าง ๆ โดยเฉพาะน้ำตาลจะถูกนำไปเปลี่ยนเป็นแป้ง (ไกลโคเจน) สะสมไว้ที่ตับ เพื่อเป็นสารอาหารสำรองไว้ใช้ขณะที่ร่างกายไม่ได้กินอาหาร ซึ่งจะมีเพียงพอที่จะใช้เป็นพลังงานได้นาน 6-8 ชั่วโมง แต่ถ้าต้องอดอาหารนานกว่านี้ ร่างกายจะเคลื่อนย้ายไขมันมาจากเนื้อเยื่อไขมันมายังตับ เพื่อแปรรูปเป็นสารพลังงานต่อไป

          ในคนที่ดื่มสุราเป็นประจำ ผู้ที่ขาดอาหารหรืออดอาหาร จะมีการเคลื่อนย้ายไขมันออกจากเนื้อเยื่อไขมันมากขึ้น ขณะเดียวกันตับก็ไม่สามารถแปรรูปไขมันที่ถูกนำเข้ามาเป็นจำนวนมากได้ทัน จึงเกิดการสะสมขึ้นในตับ เกิดภาวะไขมันพอกตับได้

          ยาบางอย่าง เช่น สารสเตียรอยด์และยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ก็ทำให้เกิดไขมันพอกตับได้ การมีไขมันพอกตับอาจทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็ง และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งตับ แต่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะส่วนใหญ่ของผู้ที่มีไขมันพอกตับ ไม่มีการอักเสบเรื้อรังของตับ




สรุปภาวะเสี่ยงต่อการเกิดไขมันพอกตับ ได้แก่

           การดื่มสุรา
           กลุ่มคนที่อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง
           ผู้ที่เป็นตับอักเสบจากไวรัสบี ซี หรือจากภูมิแพ้
           ได้ยาบางอย่าง
           การขาดอาหาร

การรักษา

          ในปัจจุบันยังไม่มียาที่ได้รับการพิสูจน์แน่ชัดว่าจะรักษาภาวะไขมันพอกตับ ดังนั้นการรักษาจึงมุ่งที่การปฏิบัติตัว คือ

           การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป
           ออกกำลังกาย
           หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา
           ควบคุมเบาหวานและภาวะไขมันในเลือดสูง ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงปกติให้มากที่สุด

          ส่วนการใช้ยาลดไขมันกลุ่มหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เรียกว่ากลุ่มสแตติน ซึ่งจะออกฤทธิ์ขัดขวางการสร้างไขมันคอเลสเตอรอล ยากลุ่มนี้มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์เชิงขู่ให้คนเรารู้สึกกลัวการมีไขมันในเลือดสูง (ซึ่งบางครั้งสูงแค่เพียงเล็กน้อยก็กังวลจนเกินเหตุ )

          ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะยืนยันว่า ยากลุ่มนี้จะช่วยลดไขมันที่พอกตับ แต่ยากลุ่มนี้จะช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอล ขณะเดียวกันฤทธิ์ข้างเคียงก็มี เช่น ทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอาจเป็นพิษต่อตับ ไต สมอง และเส้นประสาท ซึ่งแทบจะไม่มีใครกล่าวถึง จึงทำให้อดคิดไม่ได้ว่า การใช้ยาทุกวันนี้อยู่บนพื้นฐานทางวิชาการหรือการตลาดกันแน่

          แม้แต่โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ H1N1 ซึ่งเคยประโคมข่าวความน่ากลัวกันใหญ่โต ปัจจุบันในประเทศไทยเองเชื่อว่าคนที่อยู่ในชุมชนหลายคนคงได้รับเชื้อกันไปมากมาย เพียงแต่ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทาน ทำให้สบายดีหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่จากผลของความกลัวที่เกิดขึ้นก็สามารถทำให้บริษัทยาต่าง ๆ สามารถทำกำไรจากการขายยาและวัคซีนได้เป็นกอบเป็นกำ อย่างนี้ต้องเรียกเป็น "นโยบายการตลาดแบบขู่ให้กลัว" เพื่อกระตุ้นยอดขาย

          ยาก็คือสารเคมี มีทั้งข้อดีข้อเสีย การให้ข้อมูลผู้ใช้ยาทั้ง 2 ด้าน และรณรงค์ให้ใช้ยาเท่าที่จำเป็นจริง ๆ โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุก ๆ ด้านบนพื้นฐานของวิชาการและคุณธรรมเป็นสิ่งที่ควรต้องตระหนักมากกว่าการมุ่งใช้การตลาดนำ รวมถึงทั้งผู้ป่วยและแพทย์เองก็ต้องระวังการเป็นเหยื่อของการตลาดทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 17 ตุลาคม 2011, 08:47:04 »

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=140962.0
IP : บันทึกการเข้า
K.Tanakorn
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 24 ตุลาคม 2011, 09:22:39 »

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=140962.0
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!