เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 23 กันยายน 2025, 03:20:53
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  สยองฟาร์มเด็ก ในออสเตรเลีย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน สยองฟาร์มเด็ก ในออสเตรเลีย  (อ่าน 1942 ครั้ง)
inAus
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: วันที่ 02 ตุลาคม 2011, 15:07:48 »

จอห์นกับซาราห์ มากิน
John  Makin (1845-1893) & Sarah Makin (1845-1918)
 
 
                วันที่ 11 ตุลาคม 1892 บริเวณสนามบ้านเช่าแห่งหนึ่งในเขตแมคโดนัลด์ทาวน์ รอบนอกกรุงซิดนีย์ ออสเตเลีย ขณะที่เจมส์ ฮาโนนีย์ ช่างซ่อมท่อระบายน้ำกำลังขุดดินเพื่อลอกท่อระบายน้ำ ก็พบสาเหตุที่ท่ออุดตัน โดยสาเหตุมาจากห่อเสื้อผ้าของเด็กเล็กสองกองสิ่งกลิ่นเน่าเหม็นแตะจมูกอย่างยิ่ง
                เมื่อคลีออกมาดู เจมส์พบซากเด็กเน่าเปื่อยสองศพอยู่ในเสื้อผ้าแต่ละชุด จากนั้นตำรวจก็เข้ามาสอบสวนพร้อมกับค้นบ้าน จากการค้นหาตำรวจพบศพเด็กเพิ่มอีก 5 ศพ ซ่อนตามส่วนต่างๆ ของสนามหลังบ้าน
                จากประวัติผู้เช่า ตำรวจตามรอยผู้เช่าคนเก่า ซึ่งได้แก่ จอห์น มากิน อายุ 50 ปี และซาราห์ มากิน วัย 47 ปี ทั้งคู่มีอาชีพนักเลี้ยงเด็กมืออาชีพที่เก็บเงินค่าดูแลเด็กเป็นรายสัปดาห์ โดยเลี้ยงแบบผู้เป็นแม่จะมารับเด็กกลับไป หรือไม่ก็หาพ่อแม่บุญธรรมที่เหมาะสมได้
จากการตามรอยพบว่าสองสามีภรรยานี้เช่าบ้านหลายที และเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆ ซึ่งตำรวจทำการค้นบ้านที่สามีภรรยาคู่นี้เคยเช่าจนถึงบ้านหลังล่าสุด ใกล้เขตชิปเพนเดล จากนั้นตำรวจก็พบศพเด็กที่ฝังในสนามหลังบ้านอีก รวมทั้งสิ้น 12 ศพ
                ครอบครัวมากิมตำรวจก็ตามตัวมาได้ โดยสมาชิกครอบครัวนี้ประกอบด้วยซาราห์ จอห์น และลูกสาว 4 คน ได้แก่ฟอลเรนซ์ วัย 17 ปี แคลริซ วัย 16 ปี  บลานซ์ วัย 14 ปี และเดซี่ วัย 11 ปี ทั้งหมดถูกจับกุม และซาราห์และจอห์นถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม
                การฆาตกรรมของสามีภรรยามากินคล้ายกับกรณีของอมีเลีย ไดเยอร์ คือหลังแม่ตกลงเรื่องเงินและฝากลูกให้สองสามีภรรยา เด็กอาจถูกฆ่าทันที หรือไม่ก็เลี้ยงดูสักระยะเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย มีการบอกที่อยู่สถานที่เลี้ยงเด็กปลอมให้แม่เด็ก หรือโกหกว่าเด็กตายธรรมชาติ และล่องหนหายตัวเมื่อแม่เด็กสงสัย
                ครอบครัวมากิมถูกนำตัวขึ้นศาลสูงเมืองซีดนีย์ กลุ่มชนหลั่งไหลมาฟังคดีจนแน่นขนัดเต็มห้องทุกรอบ ผลการตัดสินคือให้มีการประหารชีวิตสองสามีภรรยา จอห์น มากิมและภรรยาซ่าร่าห์ มากิม จากคดีฆาตกรรมโฮเรซ เมอร์เรย์ หนึ่งในเหยื่อของสามีภรรยามากิน ที่ถูกสังหารเมื่อปี 1892 และถูกพบศพในลักษณะห่อผ้าฝังอยู่ในเรดเฟิร์น หนึ่งในบ้านเช่าของสามีภรรยามากิน
                “จำเลยเก็บเงินจากมารดาเด็ก โดยหลอกลวงด้วยสัญญาที่ไม่เคยคิดนึกปฏิบัติ และสิ่งที่จำเลยไม่ได้ปฏิบัตินำมาซึ่งความตายของเด็กโดยตั้งใจ จำเลยหลอกลวงมารดาเด็กโดยให้ที่อยู่ปลอม และเพื่อลดความวุ่นวาย จำเลยจึงสังหารเด็กทารกเสีย ฝังศพในสนามหลังบ้านราวประหนึ่งฝังสุนัข...ศาลของพิพากษาให้มีการประหารชีวิตคนทั้งคู่...”
                หลังคำตัดสินซาร่าห์ถึงกลับเป็นลมคาศาล จอห์นมากินต้องประคองภรรยา
                จอห์น มากินถูกประหารชีวิตในเวลาต่อมา หลังคำอุทธรณ์ไม่เป็นผลถึงสองครั้ง ส่วนซาร่าห์คำอุทธรณ์ศาลรับฟัง เธอถูกลงโทษเหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิตและให้ทำงานหนัก อย่างไรก็ตาม วาราห์ได้รับการปล่อยตัวในปี 1911 หลังใช้ชีวิตในคุกนานถึง 19 ปี จากนั้นชื่อของเธอก็เลือนหายไปจากสังคม
                ส่วนลูกๆ ของครอบครัวมากินไม่ได้รับคำตัดสินให้ลงโทษแต่อย่างใด
 

ฟรามเซส คนอร์ (Mary Ann)
 
                กันยายน ปี 1893  เจ้าของรายใหม่ในบ้านเช่าหลังหนึ่งในเขตบรุนสวิก ย่านรอบนอกเขตเมืองเมลเบิร์น ออสเตเลีย กำลังปรับปรุงสนามหลังบ้านให้เป็นแปรงผักสวนครัว แต่เมื่อขุดดินลงไปก็พบศพเน่าเปื่อยของเด็กทารกเพศหญิงคนหนึ่ง บริเวณลำคอมีเชือกรัดแน่น
                ตำรวจถูกเรียกตัวมาที่เกิดเหตุทันที จากนั้นก็ลงมือขุดลงไปบริเวณต่างๆ ของสวนหลังบ้านนั้น ก็พบศพทารกชายอีกสองศพฝังตื้นๆ ในอาณาเขตบ้านของเจ้าของรายใหม่และอีกบ้านหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน
                ศพเด็กทุกศพถูกรัดคอ และถูกอุดปากอุดจมูกจนหายใจไม่ออกตาย
                จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าของบ้านก่อนชื่อ ฟรานเซส คนอร์ อาชีพศูนย์รับเลี้ยงเด็กเกิดใหม่ มีสามีและลูก
                ตำรวจไปถึงบ้านจากถนนบริสเบน เขตซูรี่ฮิลล์ เพื่อจับกุมตัวเธอฟรานเซส เพราะเธอกำลังคลอดลูกคนที่สอง ส่วนสามีถูกตำรวจจับเช่นกัน
                ในวันที่ฟรานเซสถูกจับกุม ตำรวจก็ขุดค้นพบศพเพิ่มขึ้นอีก 3 ศพ
                ฟรานเซส คนอร์ แต่เดิมชื่อมินนี ทเวทส์ถือกำเนิดที่กรุงเซลซี กรุงลอนดอน ในครอบครัวเคร่งศาสนา มีนิสัยนอกกรอบ ชอบแหกกฎ ชอบเอาชนะ ต่อมาย้ายอาซัยอยู่ซีดนีย์ ออสเตรเลีย ในปี 1887 ในขณะที่มีอายุ 19 ปี
                มินนีเปลี่ยนชื่อเป็นฟรานเซส ตกหลุมรักและแต่งงานกับรูดอล์ฟ คนอร์ พนักงานเสริฟชาวเยอรมันที่มีประวัติเป็นโจร ทั้งสองพบกันขณะที่เธอทำงานเป็นคนรับใช้ภายในบ้าน
                ครอบครัวของคนอร์มีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อกลาดีส์ หลังจากคราวเคราะห์มาเยือน รูดอล์ฟก็ติดคุกที่เรือนจำเพนจิดจ์ 18 เดือน ทำให้ทรามเซสต้องแอบไปมีชู้กับเอ็ดเวิร์ด ทอมป์สัน แต่ไม่นานก็ถูกเขาสลัดทิ้ง แต่ไม่นานนักรูดอล์ฟก็กลับมาอยู่กับฟรานเซสอีกครั้งและหันมาทำธุรกิจ “สถานรับเลี้ยงเด็ก” ด้วยกัน
                ธุรกิจเลี้ยงเด็กไม่ใช้กิจการที่ไม่ยากที่จะทำ คนอร์มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพยาบาลเลี้ยงเด็ก โดยเปิดให้คนนำเด็กให้เธอเลี้ยง โดยจ่ายเงิน 5 ถึง 20 ปอนด์ก่อน จากนั้นจึงจ่ายเงินเป็นงวดๆ ต่อไป และถ้าแม่ต้องการจะเยี่ยมบุตรต้องมีการแจ้งล่วงหน้า
                แน่นอน อีหรอบเดียวกับสองคดีที่กล่าวถึงแหละ
                ในระหว่างที่ธุรกิจรับเลี้ยงเด็ก ฟรานเซส คนอร์ อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ย้ายจากเมืองโน้นไปเมืองนี้ และไม่เคยอยู่กับที่นานๆ ทำให้แม่จำนวนมากไม่รู้ว่าลูกของเธอหายไปไหนแต่ไม่กล้าแจงตำรวจ เพราะอับอายเมื่อตำรวจรู้ว่าเธอเป็นแม่นอกสมรสหรือไม่ก็โสเภณี
                ตุลาคม 1893 คดีพบศพที่สวนหลังบ้านบรุนสวิก มาร์กส์ถูกนำมาพิจารณาคดี ฟรานซีส คนอร์ปฏิเสธทุกข้อที่กล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นการฆาตกรรมและการฝังเด็กในสวนหลังบ้าน
                ฟรานเซส คนอร์ ใช้วิธีต่อสู้ในศาลโดยให้คณะลูกขุนเห็นว่าเอ็ดเวิร์ด ทอมป์สัน ชู้รักของเธอกับแม่ของเขามีส่วนการฆาตกรรมเด็ก แต่ต่อมาพิสูจน์ได้ว่าเอ็ดเวิร์ดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการฆาตกรรม
ต่อมาฟรานเซสก็กลับคำบอกว่าเธอฝังเด็กอีกแหละ แต่ที่ฝังเพราะเสียชีวิตวัณโรค ต่อมาก็กลับคำให้การอีกครั้ง คราวนี้บอกว่าฝังศพเด็กเพราะเด็กตายจากสาเหตุทางธรรมชาติ แต่คำให้การนี้ตกไปเพราะผลชันสูตรและหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าเด็กๆ ตายเพราะถูกฆาตกรรม
                หลังจากมีการพิจารณาคดีอยู่ห้าวัน ศาลตัดสินให้ ฟรานเซส คนอร์มีความผิดต้องโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ
                หลังตัดสิน ฟรานเซส คนอร์นั่งคอกของจำเลยทำท่าสะอึกสะอื้น ฟรานเซสหันไปทางเอ็ดเวิร์ด ทอมป์สัน ซึ่งอยู่ในศาลและตะโกนลั่น “พระเจ้าให้อภัยแก่แกสำหรับบาปที่แกทำ! พระเจ้าช่วยแม่ที่น่าสงสารของลูกด้วย! พระเจ้าช่วยแม่ที่น่าสงสารของลูกด้วย!”
                “ขณะรอคอยการประหาร ฟรานเซส คนอร์ เริ่มเชื่อในเรื่องพระเจ้า และสารภาพความผิดของตนว่า “ในอีกไม่กี่ชั่วยามฉันจะถูกประหาร ฉันปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้คำพูดต่อไปนี้เผยแพร่แก่สาธารณชน ฉันหวังว่าความล้มเหลวของฉันไม่เพียงแค่เป็นเครื่องเตือนใจแก่บุคคลอื่น หากแต่ยังเป็นการกระทำซึ่งยับยั้งการกระทำของผู้อื่น ซึ่งอาจกำลังทำเช่นเดียวกับฉัน ขณะที่ฉันปรารถนาจะประกาศในคดีว่า ฉันทำผิดจริง”
                อย่างไรก็ตามการประหารชีวิตฟรานเซส คนอร์ก็ไม่ใช้เรื่องง่ายนัก เพราะโทมัส โจนส์ เพชฌฆาตที่ถูกวางตัวให้เป็นคนแขวนคอ เกิดอาการเครียดอย่างมากเพราะเขาไม่เคยแขวนคอนักโทษที่เป็นหญิงมาก่อน ซึ่งฟรานซีสเองก็เป็นผู้หญิงคนแรกในรัฐวิกตอเรียกที่ถูกจับแขวนคอในรอบ 30 ปี โจนส์จึงดื่มเหล้าอยากหนัก ด้วยความเครียดและมึนเมาทำให้โจนส์ฆ่าตัวตายโดยใช้มีดบาดคอตนเองเพราะทนความกดดันไม่ไหว
                อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคที่ขัดขวางการประหารชีวิตฟรานเซศอีก เพราะมีฝูงชนในเมลเบิร์นออกมาเดินประท้วงการประหารชีวิตด้วยเหตุผลว่ามันโหดร้ายเกินไปสำหรับฆาตกรที่เป็นเพศแม่ แต่กระนั้นการประหารก็ยังมีต่อไป
                คืนวันอาทิตย์ก่อนตอนเช้า สิบนาฬิกา 15 มกราคม 1894 ซึ่งเป็นประหารของฟรานเซส คนอร์ ฝูงชนจำนวนสองร้อยคนมารวมตัวในเรือนจำเก่าเมลเบิร์น ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าตลอดคืนพลางอ้อนวอนให้บรรเทาโทษจนถึงนาทีสุดท้าย
                เมื่อคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประหารมาถึง และรอคอยการมาของนักโทษหญิง ท่ามกลางเสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าดังจากด้านหลังตะราง เป็นเสียงที่ดังกระหื่มแต่แฝงความเศร้าสร้อย ฟรานเซส คนอร์ได้ยินเพลงและร้องเพลงดังกล่าวตั้งแต่ฟ้าสางจนก้าวออกจากคุกมาถึงแท่งประหาร พื้นยกพื้นสำหรับแขวนคอถูกยกขึ้น เธอถูกมัดมือมัดเท้า จากนั้นก็คล้องห่วงเชือกไว้ที่คอของเธอ
                ฟรานเซส คนอร์หยุดร้องเพลงในช่วงสามีถึงสี่วินาทีสุดท้าย เพื่อจะกล่าวด้วยเสียงไม่ตะกุกตะกักว่า “ใช่แล้ว ตอนนี้พระเจ้าอยู่กับฉัน ฉันไม่กลัวสิ่งที่คนเหล่านี้ทำกับฉัน เพื่อฉันจะได้มีความสงบสุข ความสงบสุขที่สมบูรณ์แบบ”
                คนอร์ก็จบชีวิตด้วยการแขวนคอ  15 มกราคม 1894 รวมอายุทั้งสิ้น 40 ปี
จากการประเมินระยะเวลาที่เธอประกอบกิจการรับเลี้ยงเด็ก และจำนวนหญิงที่มาร้อนเรียน สรุปว่าฟรานเซส คนอร์กระทำการฆาตกรรมเด็กไปแล้วถึง 13 คน
[/color]
IP : บันทึกการเข้า
หลานอุ้ยเกี๋ยง
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,611


ขอแบบ เพียวๆได้ไหม


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 02 ตุลาคม 2011, 15:21:53 »

โรคจิตแต้ๆ
IP : บันทึกการเข้า

ทหารเสือพระองค์ดำ ๑/๔๘ พิชิตปรีชากร
---------------------------------------------
จ.ส.อ.ศุภวัฒน์ มโนรัตน์
โรงพยาบาลค่ายขุนเจืองธรรมิกราช
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!