เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 04 พฤศจิกายน 2025, 02:31:26
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  ใครเคยดูหนังเรื่อง ด.ญ วัลลี มั้ง
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ใครเคยดูหนังเรื่อง ด.ญ วัลลี มั้ง  (อ่าน 1761 ครั้ง)
เทพบุตรดาวเหนือ เคนชิโร่
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,614


เฮาจะฮักคนที่ฮักเฮา@^__^@


« เมื่อ: วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 20:40:41 »

คือเคยดูตอนเด็กๆเห็นเป็นคนกตัญญูต่อแม่ แล้วนึกขึ้นมาได้ตอนโตเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง
IP : บันทึกการเข้า

ขายปลีกและส่ง
       - Micro SD Card,Flash Drive ยี่ห้อKingston Sandisk Apacer
       - Power Bank ,สายชาร์ท สายซิงค์ทุกรุ่น
       - ลำโพงกระป๋อง ,ลำโพงรถ
เป็ดเซ็ง
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 20:49:42 »





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก thaifilm.com ,pantip.com , นิตยสาร ฅ.คน
อ้างอิงจาก http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1411584


          ย้อนกลับไปเมื่อปี 2524 ถ้าเอ่ยชื่อ "เด็กหญิงวัลลี ณรงค์เวทย์" วัย 12 ปี นักเรียนชั้น ป. 5 โรงเรียนวัดโรงธรรม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม คงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะหนังสือพิมพ์ได้นำเสนอเรื่องราวชีวิตของ วลี เด็กหญิงที่ต้องแบกรับภาระหนักหนาสาหัส ต้องวิ่งไปมาระหว่างโรงเรียนกับบ้านระยะทาง 8 กิโลเมตร ทุกๆ วัน เพราะต้องคอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำให้กับแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาต แถมยังช่วยดูแลยายที่ชราภาพจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อีกด้วย

          จนทำให้ชีวิตของ วัลลี ลูกกตัญญู โด่งดังไปทั่วประเทศ และถูกหยิบยกเอาไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และเขียนเป็นหนังสือจนโด่งดังในช่วงพริบตา และหลังจากนั้น วัลลี ก็ได้รับการช่วยเหลือจากผู้คน มูลนิธิต่างๆ หน่วยงาน และอีกมากมาย แต่ใช่ว่า วัลลี จะกลายเป็นที่รู้จักเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะยังส่งผลให้ สมฤดี นุ่มอำพันธ์ ดารานักแสดงที่มารับบทเป็น วลี ใน ภาพยนตร์เรื่องวัลลี พลอยโด่งดังไปด้วย เพราะ กระแต สมฤดี นุ่มอำพันธ์ แสดงได้ดีจนแฟนๆ ต่างพากันร้องไห้ตาม ประหนึ่งคิดว่า สมฤดี นุ่มอำพันธ์ คือ วัลลี ตัวจริง ซึ่งทำให้ สมฤดี นุ่มอำพันธ์ มีงานแสดงต่างๆ ติดต่อเข้ามาเพียบ




          อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง วัลลี มีโอกาสกลับมาฉายอีกครั้งในปี 2552 ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับ วัลลี ที่อยู่ในใจหลายๆ คนเริ่มชัดเจนมากขึ้น และเชื่อว่าหลายๆ คนที่พอจะรู้เรื่องราวของเธอ คงจะอยากรู้ว่า ณ ตอนนี้ชีวิตของ วัลลี ณรงค์เวทย์ เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปเปิดประตูสู่ชีวิตของ วัลลี อีกครั้ง เพื่ออัพเดทว่าตอนนี้ วัลลี ทำอะไร ที่ไหน และเป็นอย่างไรบ้าง...

          หลังจากที่เรื่องราวชีวิตของ วัลลี กลายเป็นที่รู้จัก วัลลี ลูกกตัญญู ก็ได้รับทุนการศึกษาจนสามารถเล่าเรียนจนจบระดับ ปวช. ที่วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม แต่ติดปัญหาเรื่องสุขภาพของยาย ทำให้ วัลลี ณรงค์เวทย์ ตัดสินใจไม่เรียนต่อที่กรุงเทพมหานคร โดยเลือกที่จะลงเรียนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เพราะสามารถเรียนอยู่ที่จังหวัดสมุทรสงครามได้ และระหว่างนั้น วัลลี ได้พบรักกับ "ธนพัฒน์ บุญเส็ง" ตำรวจหนุ่มยศสิบโท จนแต่งงานกลายเป็น วัลลี บุญเส็ง โดยในปี 2536 วัลลี ได้ให้กำเนิดลูกคนแรกเป็นลูกชายชื่อ ไอซ์ และอีก 6 ปีต่อมา คือ ในปี 2542 วัลลี ก็ให้กำเนิดลูกสาวอีกคนหนึ่ง ชื่อ น้ำหวาน

          "วัลลี เรียนไม่จบ เพราะระหว่างที่เรียนได้ทำงานไปด้วย โดยเริ่มงานธนาคารตั้งแต่ปี 2533 และแต่งงานปี 2535 จึงไม่มีเวลาเรียนต่อ ทำงานอยู่ 8 ปี จึงตัดสินใจลาออก ตอนนั้นได้ตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายบริหารแล้ว เป็นจังหวะที่มีลูกด้วย จึงอยากใช้เวลามาดูแลลูกให้มากขึ้น กว่าจะเลิกงานก็มืดค่ำ แล้วบ้านก็อยู่ในสวนไกลจากบ้านคนอื่นๆ และหลังลาออกจากงานธนาคาร ก็ตัดสินใจลงทุนเปิดกิจการของตัวอง ประกอบอาชีพค้าส่งข้าวสาร โดยอาศัยประสบการณ์ที่เคยทำงานธนาคารมาปรับใช้ หลังจากนั้นจึงเริ่มมาจับธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทะเลในปี 2544 และก็เลิกธุรกิจข้าวสารไป

         ช่วงแรกๆ ที่มาทำด้านอาหารทะเลก็ล้มลุกคลุกคลาน เพราะว่าขาดประสบการณ์ เหมือนเข้าไปแบบคนเมาหมัด ไม่รู้อะไรเลย อาศัยใจสู้ ลองผิดลองถูก กว่าจะเป็นรูปเป็นร่างก็ปีที่แล้วเอง ผ่านอุปสรรคมาเยอะ สู้ชีวิตมาตลอด เพราะเราเคยแต่ทำงานออฟฟิศ แต่ต้องมาทำงานที่สมบุกสมบัน เวลาเจอปัญหาบางครั้งเราท้อ แต่ว่าล้มไม่ได้ ท้อเราก็ต้องสู้ เพราะมีภาระมาก ไม่มีใครมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบหรอก ไม่มีใครที่จะเดินไม่สะดุดขาตัวเอง กินข้าวยังกัดลิ้นตัวเองเลย มันต้องมีเจ็บมีอะไรกันไปทั้งนั้น เมื่อก่อนเราเข้ามาทำอาหารทะเล ก็มาทำโล้งหรือโรงเรือนข้างบ้านเกิดหลังเดิมที่ยังอยู่ถึงปัจจุบัน อาศัยอยู่กับแฟนและลูกสองคน เลยใช้บ้านเป็นสำนักงานในการติดต่อธุรกิจ แต่มีปัญหาเรื่องใกล้บ้านคนอื่น และการขนส่งไม่สะดวก จึงตัดสินใจย้ายไปสร้างโรงเรือนอยู่ในที่ดินแปลงหนึ่งขนาด 100 ตารางวา ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ทำงานธนาคาร" วัลลี กล่าว

         ดูเหมือนชีวิตของ วัลลี จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่จริงๆ แล้วเธอมีปัญหาโดนกลั่นแกล้งตลอด ซึ่งที่หนักสุดคือ เมื่อต้นเดือนตุลาคม ปี 2548 ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งพยายามบุกรุกเข้าไปยังโรงงานของวัลลี พร้อมกับข่มขู่ลูกจ้างที่ทำงานที่ทำงานอยู่ว่า ให้ระวังตัวไว้ หลังจากที่เคยมีกรณีเช่นนี้ก่อนหน้าแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้วัลลีต้องต่อสู้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง และวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 ก็เกิดอุปสรรคกับ วัลลี อีกครั้ง เมื่อชาวบ้านเข้าร้องเรียนว่าถูกโรงงานของ วัลลี ปล่อยน้ำเสียลงคลอง ส่งกลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก

         โดย วัลลี้ เปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า ยอมรับว่าการทำธุรกิจด้านอาหารทะเลอาจส่งกลิ่นรบกวนชาวบ้านบ้าง แต่ได้พยายามแก้ไข โดยปรึกษาสาธารณสุขโดยตลอด พร้อมยอมลงทุนทำบ่อบำบัดน้ำเสียถึง 4 บ่อ แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลับถูกร้องเรียนว่าปล่อยน้ำเสียไปทำลายสภาพแวดล้อม ซึ่งเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา อาจเป็นเพราะครอบครัวเราทำงานกันตลอด แฟนก็งานเยอะ พอเข้าบ้านจึงอยากพักผ่อนอยู่กับบ้าน เช้าก็ขับรถออก คือเราจะไม่ค่อยสุงสิงกับใคร คนเขาอาจจะมองว่าเราหยิ่ง ไม่คบใคร วางตัวสูง แล้วอีกอย่าง แฟนมีตำแหน่งแบบนี้ มียศตำรวจ สำหรับชาวบ้านตรงนี้คือใหญ่แล้ว แต่จริงๆ ไม่ใช่

         "เดี๋ยวนี้เหมือนกันแล้ว สังคมในเมืองกับบ้านนอก แต่ก็ไม่ท้อ และตั้งเป้าไว้ในอนาคตก็คือ จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด เลี้ยงด้วยความรัก แต่อนาคตต่อไปเขาจะเดินไปทางไหน เราเลี้ยงได้แต่ตัว บังคับอะไรไม่ได้หรอก ไม่ใช่อยากให้เป็นโน่นเป็นนี่ เราได้แต่สอน แต่ว่าเขาจะรับเรา จะดีหรือเปล่า ไม่ทำให้เราเสียใจ ยังเชื่อฟังเรา เราก็ดูเขาต่อไป แต่ต้องพยายามสอนเขาให้มากที่สุดเท่าที่เราจะสอนได้"

         ทุกวันนี้หลายคนคงคิดว่าชีวิตของ วัลลี มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่ามาก ซึ่ง วัลลี ก็ยอมรับว่าจริง พร้อมกับกล่าวว่า ชีวิตดีขึ้น แต่ถือว่าเรายังไม่ประสบความสำเร็จ เพียงแค่ว่าเราอาจผ่านจุดที่ว่าจากไม่เป็นอะไรเลย จากศูนย์ ขึ้นมาตั้งไข่ เหมือนคนหัดคลาน หัดเดิน หัดยืน เราอาจเพิ่งตั้งไข่ เพราะทำธุรกิจไม่มีใครบอกได้ว่า จะประสบความสำเร็จอย่างไร เราไม่รู้ว่าวันไหนเราจะเจออะไรบ้าง แต่ก็คงทำธุรกิจต่อไป ต้องดูแลลูก ดูแลครอบครัว เราอายุแค่นี้ ยังต้องทำงานอีกเยอะ เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้เราล้มหรอก

         ในขณะที่ชีวิตของ สมฤดี นุ่มอำพันธ์ นักแสดงที่รับบทเป็น วัลลี ซึ่งหลังจากที่เธอกลายเป็นที่รู้จัก ก็มีผู้จัดละครค่ายต่างๆ เรียกเธอให้ไปสวมบทบาทต่างๆ นานา จน สมฤดี นุ่มอำพันธ์ ได้รับรางวัลรตุ๊กตาเงินกระสุรัสวดี ดาวรุ่งฝ่ายหญิง ไปครองได้สำเร็จ หลังจากนั้นเธอก็ใช้ชีวิตอยู่ในวงการบันเทิงไม่นาน ก็หันหลังให้วงการบันเทิงตามกระแสของกาลเวลา และทุกวันนี้ สมฤดี นุ่มอำพันธ์ ก็ยังคงมีความสุขตามแบบฉบับที่ตัวเธอเลือกเอง

         และนี่คือชีวิตของ วัลลี และ สมฤดี นุ่มอำพันธ์ ที่หลายๆ คนอยากรู้จัก
IP : บันทึกการเข้า
sirawan siraprapa
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:04:57 »

 ยิ้มเท่ห์ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
bm farm
หัวหมู่ทะลวงฟัน
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,576


canon eos


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 28 มิถุนายน 2011, 21:17:21 »

 ยิงฟันยิ้ม..ดูไป....แอบร้องไห้ไปด้วย...
IP : บันทึกการเข้า

ยิ้มกว้างๆ .....อ่านกฏ,กติกาการใช้งานเวบบอร์ดด้วยครับ.....
Alony
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 649


^_____^


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 29 มิถุนายน 2011, 13:31:05 »





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก thaifilm.com ,pantip.com , นิตยสาร ฅ.คน
อ้างอิงจาก http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1411584


          ย้อนกลับไปเมื่อปี 2524 ถ้าเอ่ยชื่อ "เด็กหญิงวัลลี ณรงค์เวทย์" วัย 12 ปี นักเรียนชั้น ป. 5 โรงเรียนวัดโรงธรรม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม คงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะหนังสือพิมพ์ได้นำเสนอเรื่องราวชีวิตของ วลี เด็กหญิงที่ต้องแบกรับภาระหนักหนาสาหัส ต้องวิ่งไปมาระหว่างโรงเรียนกับบ้านระยะทาง 8 กิโลเมตร ทุกๆ วัน เพราะต้องคอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำให้กับแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาต แถมยังช่วยดูแลยายที่ชราภาพจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อีกด้วย

          จนทำให้ชีวิตของ วัลลี ลูกกตัญญู โด่งดังไปทั่วประเทศ และถูกหยิบยกเอาไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และเขียนเป็นหนังสือจนโด่งดังในช่วงพริบตา และหลังจากนั้น วัลลี ก็ได้รับการช่วยเหลือจากผู้คน มูลนิธิต่างๆ หน่วยงาน และอีกมากมาย แต่ใช่ว่า วัลลี จะกลายเป็นที่รู้จักเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะยังส่งผลให้ สมฤดี นุ่มอำพันธ์ ดารานักแสดงที่มารับบทเป็น วลี ใน ภาพยนตร์เรื่องวัลลี พลอยโด่งดังไปด้วย เพราะ กระแต สมฤดี นุ่มอำพันธ์ แสดงได้ดีจนแฟนๆ ต่างพากันร้องไห้ตาม ประหนึ่งคิดว่า สมฤดี นุ่มอำพันธ์ คือ วัลลี ตัวจริง ซึ่งทำให้ สมฤดี นุ่มอำพันธ์ มีงานแสดงต่างๆ ติดต่อเข้ามาเพียบ




          อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง วัลลี มีโอกาสกลับมาฉายอีกครั้งในปี 2552 ทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับ วัลลี ที่อยู่ในใจหลายๆ คนเริ่มชัดเจนมากขึ้น และเชื่อว่าหลายๆ คนที่พอจะรู้เรื่องราวของเธอ คงจะอยากรู้ว่า ณ ตอนนี้ชีวิตของ วัลลี ณรงค์เวทย์ เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปเปิดประตูสู่ชีวิตของ วัลลี อีกครั้ง เพื่ออัพเดทว่าตอนนี้ วัลลี ทำอะไร ที่ไหน และเป็นอย่างไรบ้าง...

          หลังจากที่เรื่องราวชีวิตของ วัลลี กลายเป็นที่รู้จัก วัลลี ลูกกตัญญู ก็ได้รับทุนการศึกษาจนสามารถเล่าเรียนจนจบระดับ ปวช. ที่วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม แต่ติดปัญหาเรื่องสุขภาพของยาย ทำให้ วัลลี ณรงค์เวทย์ ตัดสินใจไม่เรียนต่อที่กรุงเทพมหานคร โดยเลือกที่จะลงเรียนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เพราะสามารถเรียนอยู่ที่จังหวัดสมุทรสงครามได้ และระหว่างนั้น วัลลี ได้พบรักกับ "ธนพัฒน์ บุญเส็ง" ตำรวจหนุ่มยศสิบโท จนแต่งงานกลายเป็น วัลลี บุญเส็ง โดยในปี 2536 วัลลี ได้ให้กำเนิดลูกคนแรกเป็นลูกชายชื่อ ไอซ์ และอีก 6 ปีต่อมา คือ ในปี 2542 วัลลี ก็ให้กำเนิดลูกสาวอีกคนหนึ่ง ชื่อ น้ำหวาน

          "วัลลี เรียนไม่จบ เพราะระหว่างที่เรียนได้ทำงานไปด้วย โดยเริ่มงานธนาคารตั้งแต่ปี 2533 และแต่งงานปี 2535 จึงไม่มีเวลาเรียนต่อ ทำงานอยู่ 8 ปี จึงตัดสินใจลาออก ตอนนั้นได้ตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายบริหารแล้ว เป็นจังหวะที่มีลูกด้วย จึงอยากใช้เวลามาดูแลลูกให้มากขึ้น กว่าจะเลิกงานก็มืดค่ำ แล้วบ้านก็อยู่ในสวนไกลจากบ้านคนอื่นๆ และหลังลาออกจากงานธนาคาร ก็ตัดสินใจลงทุนเปิดกิจการของตัวอง ประกอบอาชีพค้าส่งข้าวสาร โดยอาศัยประสบการณ์ที่เคยทำงานธนาคารมาปรับใช้ หลังจากนั้นจึงเริ่มมาจับธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทะเลในปี 2544 และก็เลิกธุรกิจข้าวสารไป

         ช่วงแรกๆ ที่มาทำด้านอาหารทะเลก็ล้มลุกคลุกคลาน เพราะว่าขาดประสบการณ์ เหมือนเข้าไปแบบคนเมาหมัด ไม่รู้อะไรเลย อาศัยใจสู้ ลองผิดลองถูก กว่าจะเป็นรูปเป็นร่างก็ปีที่แล้วเอง ผ่านอุปสรรคมาเยอะ สู้ชีวิตมาตลอด เพราะเราเคยแต่ทำงานออฟฟิศ แต่ต้องมาทำงานที่สมบุกสมบัน เวลาเจอปัญหาบางครั้งเราท้อ แต่ว่าล้มไม่ได้ ท้อเราก็ต้องสู้ เพราะมีภาระมาก ไม่มีใครมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบหรอก ไม่มีใครที่จะเดินไม่สะดุดขาตัวเอง กินข้าวยังกัดลิ้นตัวเองเลย มันต้องมีเจ็บมีอะไรกันไปทั้งนั้น เมื่อก่อนเราเข้ามาทำอาหารทะเล ก็มาทำโล้งหรือโรงเรือนข้างบ้านเกิดหลังเดิมที่ยังอยู่ถึงปัจจุบัน อาศัยอยู่กับแฟนและลูกสองคน เลยใช้บ้านเป็นสำนักงานในการติดต่อธุรกิจ แต่มีปัญหาเรื่องใกล้บ้านคนอื่น และการขนส่งไม่สะดวก จึงตัดสินใจย้ายไปสร้างโรงเรือนอยู่ในที่ดินแปลงหนึ่งขนาด 100 ตารางวา ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ทำงานธนาคาร" วัลลี กล่าว

         ดูเหมือนชีวิตของ วัลลี จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่จริงๆ แล้วเธอมีปัญหาโดนกลั่นแกล้งตลอด ซึ่งที่หนักสุดคือ เมื่อต้นเดือนตุลาคม ปี 2548 ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งพยายามบุกรุกเข้าไปยังโรงงานของวัลลี พร้อมกับข่มขู่ลูกจ้างที่ทำงานที่ทำงานอยู่ว่า ให้ระวังตัวไว้ หลังจากที่เคยมีกรณีเช่นนี้ก่อนหน้าแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้วัลลีต้องต่อสู้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง และวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 ก็เกิดอุปสรรคกับ วัลลี อีกครั้ง เมื่อชาวบ้านเข้าร้องเรียนว่าถูกโรงงานของ วัลลี ปล่อยน้ำเสียลงคลอง ส่งกลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก

         โดย วัลลี้ เปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า ยอมรับว่าการทำธุรกิจด้านอาหารทะเลอาจส่งกลิ่นรบกวนชาวบ้านบ้าง แต่ได้พยายามแก้ไข โดยปรึกษาสาธารณสุขโดยตลอด พร้อมยอมลงทุนทำบ่อบำบัดน้ำเสียถึง 4 บ่อ แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลับถูกร้องเรียนว่าปล่อยน้ำเสียไปทำลายสภาพแวดล้อม ซึ่งเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา อาจเป็นเพราะครอบครัวเราทำงานกันตลอด แฟนก็งานเยอะ พอเข้าบ้านจึงอยากพักผ่อนอยู่กับบ้าน เช้าก็ขับรถออก คือเราจะไม่ค่อยสุงสิงกับใคร คนเขาอาจจะมองว่าเราหยิ่ง ไม่คบใคร วางตัวสูง แล้วอีกอย่าง แฟนมีตำแหน่งแบบนี้ มียศตำรวจ สำหรับชาวบ้านตรงนี้คือใหญ่แล้ว แต่จริงๆ ไม่ใช่

         "เดี๋ยวนี้เหมือนกันแล้ว สังคมในเมืองกับบ้านนอก แต่ก็ไม่ท้อ และตั้งเป้าไว้ในอนาคตก็คือ จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด เลี้ยงด้วยความรัก แต่อนาคตต่อไปเขาจะเดินไปทางไหน เราเลี้ยงได้แต่ตัว บังคับอะไรไม่ได้หรอก ไม่ใช่อยากให้เป็นโน่นเป็นนี่ เราได้แต่สอน แต่ว่าเขาจะรับเรา จะดีหรือเปล่า ไม่ทำให้เราเสียใจ ยังเชื่อฟังเรา เราก็ดูเขาต่อไป แต่ต้องพยายามสอนเขาให้มากที่สุดเท่าที่เราจะสอนได้"

         ทุกวันนี้หลายคนคงคิดว่าชีวิตของ วัลลี มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่ามาก ซึ่ง วัลลี ก็ยอมรับว่าจริง พร้อมกับกล่าวว่า ชีวิตดีขึ้น แต่ถือว่าเรายังไม่ประสบความสำเร็จ เพียงแค่ว่าเราอาจผ่านจุดที่ว่าจากไม่เป็นอะไรเลย จากศูนย์ ขึ้นมาตั้งไข่ เหมือนคนหัดคลาน หัดเดิน หัดยืน เราอาจเพิ่งตั้งไข่ เพราะทำธุรกิจไม่มีใครบอกได้ว่า จะประสบความสำเร็จอย่างไร เราไม่รู้ว่าวันไหนเราจะเจออะไรบ้าง แต่ก็คงทำธุรกิจต่อไป ต้องดูแลลูก ดูแลครอบครัว เราอายุแค่นี้ ยังต้องทำงานอีกเยอะ เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้เราล้มหรอก

         ในขณะที่ชีวิตของ สมฤดี นุ่มอำพันธ์ นักแสดงที่รับบทเป็น วัลลี ซึ่งหลังจากที่เธอกลายเป็นที่รู้จัก ก็มีผู้จัดละครค่ายต่างๆ เรียกเธอให้ไปสวมบทบาทต่างๆ นานา จน สมฤดี นุ่มอำพันธ์ ได้รับรางวัลรตุ๊กตาเงินกระสุรัสวดี ดาวรุ่งฝ่ายหญิง ไปครองได้สำเร็จ หลังจากนั้นเธอก็ใช้ชีวิตอยู่ในวงการบันเทิงไม่นาน ก็หันหลังให้วงการบันเทิงตามกระแสของกาลเวลา และทุกวันนี้ สมฤดี นุ่มอำพันธ์ ก็ยังคงมีความสุขตามแบบฉบับที่ตัวเธอเลือกเอง

         และนี่คือชีวิตของ วัลลี และ สมฤดี นุ่มอำพันธ์ ที่หลายๆ คนอยากรู้จัก




หาข้อมูลได้เก่งจังเลย ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

" ฉันจะมองแต่ข้อดีของผู้คน เพราะตัวฉันเองก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ ฉันจึงไม่บังคับที่จะตรวจสอบข้อผิดพลาดของผู้อื่น " ( Mahatma Gandhi )
kooboori
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,270



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 29 มิถุนายน 2011, 15:16:24 »

ไม่เคยดูเลยครับคงเกิดไม่ทันครับ
IP : บันทึกการเข้า

" นกกระจอก ย่อมไม่เข้าใจ วิถีแห่ง อินทรี "
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!