เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 30 กรกฎาคม 2025, 17:02:51
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  กระทู้รวบรวม การเท่าทันสื่อ Media Literacy
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน กระทู้รวบรวม การเท่าทันสื่อ Media Literacy  (อ่าน 456 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« เมื่อ: วันที่ 10 มีนาคม 2011, 00:44:26 »

ก่อนอื่นต้องขอบอกหลายท่านว่าโพสอะไร ข้อความยาวนักหนา

อยากให้ลองอ่าน หรือค่อยๆอ่านครับ. หรือถ้ามันเยอะเกินไป ก็เก็บไว้อ่านวันต่อไปก็ได้ครับ.. ยิงฟันยิ้ม

เพราะเนื้อหาที่ผมนำมาโพส คือ ทักษะที่จะมีความสำคัญในโลกปัจจุบัน เมื่่อสื่อ มีอิทธิพล

กับชีวิตเรา...

ขออนุญาติ นำด้วยกระทู้บทความแรกมาแบ่งปัน

จากหลวงพี่ไพศาล  วิสาโล

----------------------------------------------------
วิถีพุทธวิธีไทในยุคบริโภคนิยม

พระไพศาล วิสาโล

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
  
การบริโภคเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ในอดีตสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายบริโภคนั้น ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ตนผลิตมากับมือ หรือไม่ก็หามาได้ด้วยตนเอง ไม่ว่า อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่บริโภคสิ่งที่ตนไม่ได้ผลิต เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปเยือนหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคอีสานราว ๑๐๐ ปีที่แล้ว พระองค์ได้พบว่าชาวบ้านทุกครัวเรือนสามารถผลิตปัจจัยสี่พอเพียงกับความต้องการ ดังทรงบันทึกว่าทุกบ้าน “ทำสวนปลูกผักฟักแฟงที่กินเป็นอาหาร กับคอกเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ลานบ้านนอกรั้วออกไปทำไร่ฝ้ายและสวนกล้วยสวนพลู สวนปลูกต้นหม่อนสำหรับเลี้ยงไหม กับคอกเลี้ยงวัวควาย ต่อหมู่บ้านออกไปถึงทุ่งนา พวกชาวบ้านต่างมีนาทำทุกครัวเรือน...ทุกครัวเรือนสามารถหาอาหารและสิ่งซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ในการเลี้ยงชีพได้โดยกำลังลำพังตน เพียงพอไม่อัตคัด” มีสิ่งของเพียงไม่กี่อย่างที่ชาวบ้านต้องซื้อเช่น มีดพร้าและไม้ขีดไฟ เท่านั้น

กล่าวได้ว่านี้คือวิถีชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ในอดีต ส่วนวิถีชีวิตของผู้คนในส่วนอื่น ๆ ของโลกก็ไม่ได้ไกลไปจากนี้มากนัก นั่นคือ ต้องการบริโภคอะไร ก็ลงมือทำขึ้นหรือหามาด้วยตนเอง เงินหรือการซื้อขายมีบทบาทน้อยมาก สิ่งที่เรียกว่า “ผู้บริโภค” หรือผู้ที่บริโภคสิ่งที่ตนไม่ได้ผลิตเป็นส่วนใหญ่นั้น เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในสังคมไทยเมื่อไม่ถึงร้อยปีมานี้เอง การขยายตัวของระบบทุนนิยมผ่านกลไกตลาด (market capitalism) ทำให้เกิดการซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย โดยมีเงินเป็นสื่อกลาง ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป ไม่ว่าชุมชนใดที่เศรษฐกิจแบบตลาดเข้าไปถึง ผู้คนก็เปลี่ยนจากการผลิตเพื่อบริโภคใช้สอยเอง มาเป็นการผลิตเพื่อขาย แล้วเอาเงินที่ได้นั้นไปซื้อของที่ต้องการบริโภคอีกที ในชนบทนั้นสิ่งที่ผู้คนผลิตนั้นเจ้าตัวยังสามารถเอามาบริโภคได้ เช่น ข้าว หรือผัก แต่ถ้าเป็นในเมืองสิ่งที่ผู้คนผลิตส่วนใหญ่เอามาบริโภคได้น้อยมาก เช่น ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ หรือสินค้าบริการ อาทิ ตัดผม ทำบัญชี

สังคมที่ผู้คนผลิตสิ่งที่ตนไม่ได้บริโภค และบริโภคสิ่งที่ตนไม่ได้ผลิต เราเรียกว่าสังคมบริโภค แต่นี่เป็นเพียงลักษณะเบื้องต้นของสังคมบริโภค ในสังคมแบบดั้งเดิม สิ่งที่ผู้คนบริโภคนั้นมักเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิต ได้แก่ปัจจัยสี่ แม้เพียงเท่านี้ก็ใช่ว่าจะมีบริโภคได้พอเพียงกับความต้องการ บางปีบางช่วงก็อัตคัดขัดสน ด้วยเหตุนี้การอดออม การประหยัดมัธยัสถ์ และการเคารพปัจจัยสี่ โดยเฉพาะอาหาร จึงถือเป็นคุณธรรมสำคัญในสังคมดังกล่าว แต่ในสังคมบริโภค สิ่งที่คนส่วนใหญ่บริโภคนั้น หาใช่สิ่งจำเป็นพื้นฐานไม่ แต่มักเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้ความเพลิดเพลิน หรือหรูหราฟุ่มเฟือย เช่น โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์มือถือ เครื่องสำอาง เครื่องประดับ แม้แต่อาหารก็ไม่ได้กินเพื่อประทังชีวิต แต่เพื่อความเอร็ดอร่อย เพื่อแสดงสถานภาพ หรือเพื่อสังสรรค์บันเทิง ขณะเดียวกันการใช้เวลาว่างก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่ผู้คนใช้เวลาว่างด้วยการทอผ้า สานตะกร้า หรือร้องรำทำเพลง ก็เปลี่ยนมาเป็นการจับจ่ายใช้สอยหรือบริโภคสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลิน เช่น เดินห้าง ท่องเที่ยว ดูโทรทัศน์ ฟังเพลง ชมคอนเสิร์ต ในสังคมบริโภค การประหยัดมัธยัสถ์ถูกลดความสำคัญลง การอวดมั่งอวดมี การประชันขันแข่งด้วยวัตถุสิ่งเสพ หรือการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย กลายเป็นค่านิยมที่แพร่หลาย ซึ่งแม้แต่รัฐบาลก็สนับสนุนด้วยการออกนโยบายต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นผู้คนให้บริโภคมาก ๆ

จะเห็นได้ว่า เงินและวัตถุสิ่งเสพมีความสำคัญอย่างมากต่อวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมบริโภค และเมื่อมองให้ลึกลงไป จะพบว่าสิ่งที่เป็นรากเหง้าของวิถีชีวิตดังกล่าวก็คือ ความเชื่อว่าความสุขนั้นจะได้มาก็ด้วยการบริโภค ยิ่งบริโภคหรือมีวัตถุสิ่งเสพมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้การแสวงหาเงินตราและครอบครองวัตถุสิ่งเสพให้ได้มากที่สุดจึงเป็นจุดหมายสูงสุดของผู้คนในสังคมบริโภค

ทัศนคติดังกล่าวแม้จะมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย แต่ไม่เคยแพร่หลายอย่างกว้างขวางทั่วทั้งสังคมไทย จวบจนเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งนี้เพราะในอดีต ผู้คนส่วนใหญ่ยังได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศาสนา จึงเชื่อว่ามีความสุขที่พ้นไปจากวัตถุ ที่เรียกว่านิรามิสสุข ได้แก่ความสุขทางจิตใจที่เกิดจากการทำความดี บำเพ็ญกุศล หรือปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา ความคิดในเรื่องชาติหน้าทำให้ผู้คนตระหนักว่าทรัพยสมบัติหรือวัตถุสิ่งเสพนั้นไม่มีความยั่งยืน และให้ผลได้อย่างมากก็ในชาตินี้เท่านั้น แต่เมื่อตายไปแล้วก็ไม่สามารถเอาไปด้วยได้ มีแต่บุญกุศลเท่านั้นที่จะบันดาลความสุขในชาติหน้าได้ ดังนั้นจึงมุ่งบำเพ็ญกุศลมากกว่าที่จะแสวงหาและสะสมทรัพย์สมบัติ โดยที่ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยในอดีตก็ถือเอานิพพานเป็นจุดหมายของชีวิต ดังนั้นจึงมิได้ให้ความสำคัญกับวัตถุมาก

อันที่จริงสภาพเศรษฐกิจของสังคมในอดีต ก็มีส่วนที่ทำให้ผู้คนไม่ให้ความสนใจกับเงินตราและวัตถุสิ่งเสพมากนัก เพราะถึงจะมีเงินมากเพียงใดก็ซื้อหาอะไรไม่ได้มาก เนื่องจากสิ่งที่ซื้อขายใน “ตลาด”นั้นมีไม่มากนัก และส่วนใหญ่ชาวบ้านก็ผลิตได้เองอยู่แล้ว ดังเห็นได้จากหมู่บ้านที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้กล่าวถึง มีเพียงแต่มีดพร้าและไม้ขีดไฟเท่านั้นที่ชาวบ้านจำเป็นต้องใช้เงินซื้อ ดังนั้นแม้ชาวบ้านจะมีเงินไม่มาก แต่เงินที่มีนั้นก็มาก “พอซื้อของที่ต้องการทุกอย่าง” สภาพเช่นนี้ทำให้เงินไม่มีความสำคัญมาก แต่ทั้งหมดนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อการคมนาคมสะดวกขึ้น เศรษฐกิจแบบตลาดเข้าถึงหมู่บ้านส่วนใหญ่ ขณะที่อุตสาหกรรมก็เจริญมากขึ้น ทำให้มีสินค้านานาชนิดเข้ามาวางขาย ซึ่งส่วนใหญ่ชาวบ้านไม่สามารถผลิตได้เอง ซ้ำยังถูกกระตุ้นให้เกิดความต้องการมากขึ้น เงินจึงมีความสำคัญยิ่งกว่าเดิม หมดยุคที่ชาวบ้านมีเงิน “พอซื้อของที่ต้องการทุกอย่าง” การณ์กลับกลายเป็นว่า มีเงินมากเท่าไรก็ซื้อสินค้าต่าง ๆ ที่มาวางขายได้ไม่หมด ดังนั้นถ้าอยากได้ของมาก ๆ ก็ต้องหาเงินให้ได้มาก ๆ เงินจึงกลายเป็นจุดหมายสำคัญของชีวิต

ทัศนคติแบบวัตถุนิยมจึงเกิดขึ้นควบคู่กับสังคมบริโภค อย่างไรก็ตามทัศนคติแบบวัตถุนิยมในสังคมบริโภคนั้นมีลักษณะพิเศษตรงที่เน้นหนักและแสดงออกด้วยการบริโภคเป็นด้านหลัก โดยถือว่าการครอบครองวัตถุนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับการบริโภคให้ผู้อื่นได้เห็น หรือแสดงออกด้วยการอวดมั่งอวดมีให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้เพราะการบริโภคนั้นมิได้มีจุดหมายเพียงเพื่อความสุขทางกายเท่านั้น หากยังมีจุดหมายเพื่อแสดงออกซึ่งตัวตน ทั้งเพื่อตอกย้ำแก่ตัวเอง และเพื่อให้ผู้อื่นรับรู้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 มีนาคม 2011, 00:48:05 โดย boondham » IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 10 มีนาคม 2011, 00:46:52 »

(ต่อ)

นอกจากนั้นสิ่งที่ผู้คนนิยมบริโภคก็มิได้จำกัดเฉพาะวัตถุที่จับต้องได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริการและประสบการณ์ต่าง ๆ (เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ท่องเที่ยว เล่นเกม หรือผจญภัย ) อีกทั้งยังนิยมเสพสัญลักษณ์ต่าง ๆ (เช่น ยี่ห้อหรือโลโก้สินค้าชื่อดัง) ดังเห็นได้ว่าในหมู่ผู้ที่มีฐานะจะให้ความสำคัญกับยี่ห้อหรือแบรนด์ของสินค้ามาก หากเป็นแบรนด์ดัง ไม่ว่าสินค้าจะมีกี่รุ่นกี่แบบ ก็ต้องการซื้อหามาใช้ และแม้จะเอาแบรนด์นั้นไปประทับกับสินค้าชนิดใดก็ตาม ทั้ง ๆ ที่แตกต่างกันมาก เช่น น้ำหอม รองเท้า เสื้อยืด ปากกา ก็จะยังได้รับความนิยมอยู่นั่นเอง ทัศนคติดังกล่าว หากเรียกให้จำเพาะเจาะจงลงไป ก็คือทัศนคติแบบบริโภคนิยม หรือลัทธิบริโภคนิยม

พัฒนาการของการบริโภค
อิทธิพลของลัทธิบริโภคนิยม ทำให้การบริโภคของผู้คนเปลี่ยนไป ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงแรก ๆ ที่ลัทธินี้ยังไม่แพร่หลาย สินค้าที่วางขายในท้องตลาดมักเป็นสินค้าที่จำเป็นแก่การดำเนินชีวิต นอกจากอาหาร ก็ได้แก่ เสื้อผ้า สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก หรืออุปกรณ์ในการยังชีพ การโฆษณาในช่วงนี้จะเน้นข้อมูลด้านที่เป็นประโยชน์ใช้สอยของสินค้า เช่น ความคงทน ความสะอาดถูกอนามัย ฯลฯ

ต่อมาสินค้าตามท้องตลาดจะเขยิบมาเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกหรือให้ความเพลิดเพลินเป็นหลัก เรียกอีกอย่างว่าสินค้าฟุ่มเฟือย การโฆษณาจะเน้นสรรพคุณที่ให้ความสุขทางกาย เช่น อร่อย สวย สบาย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมุ่งปรนเปรออายตนะทั้งห้า หากประโยชน์ใช้สอยของสินค้า เรียกว่า “คุณค่าแท้” สรรพคุณที่ปรนเปรอประสาททั้งห้า ก็คือ “คุณค่าเทียม”

ระยะที่สาม ซึ่งเป็นช่วงที่ลัทธิบริโภคนิยมพัฒนาแพร่หลาย สินค้าที่วางขาย แม้จะยังเป็นวัตถุรูปธรรมอยู่ แต่สิ่งที่เป็น “จุดขาย”จริง ๆ ก็คือ ภาพลักษณ์หรือสัญลักษณ์ที่ติดมากับสินค้า (เช่น ความทันสมัย ความภูมิฐาน ความมีเสน่ห์) มาถึงตอนนี้ผู้คนไม่ได้บริโภคเพราะปรารถนาความเพลิดเพลินสะดวกสบายทางกาย แต่ยังต้องการมากกว่านั้น คือเพื่อตอบสนองความต้องการที่จะเป็นอะไรบางอย่าง เช่น เป็นคนฉลาดทันยุค มีบุคลิกมาดมั่น หรือทรงเสน่ห์ การโฆษณาจะไม่เน้นคุณสมบัติทางกายภาพของสินค้า (เช่น รวดเร็ว คงทน สวย อร่อย อ่อนนุ่ม) แต่จะเน้นบุคลิกลักษณะของบุคคลที่เป็นนายแบบหรือนางแบบ(ที่เรียกว่าพรีเซนเตอร์) เป็นการนำเอาภาพลักษณ์ที่พึงปรารถนามาผูกติดกับสินค้าอย่างแนบแน่น เพื่อให้ผู้ชมเกิดภาพประทับในใจว่าบุคลิกลักษณะเช่นนั้นก็จะบังเกิดขึ้นกับตนด้วยหากบริโภคสินค้าดังกล่าว บางครั้งโฆษณาก็จะเน้นถึงความรู้สึกของพรีเซนเตอร์ว่ามีความสุขใจเพียงใดเมื่อได้ใช้สินค้าตัวนั้น ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมที่อยากมีความสุขเช่นนั้นบ้าง เกิดแรงปรารถนาที่จะซื้อหาสินค้าดังกล่าวมาบริโภค พึงสังเกตว่าสินค้าที่โฆษณาอย่างแพร่หลายหรือเป็นที่นิยมในตลาดระดับบน มักได้แก่ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าถือ เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว หรือไม่ก็เป็นสินค้าที่บริโภคหรือใช้สอยในที่สาธารณะ เช่น โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นMP๓ หรือ รถยนต์ ทั้งนี้เพื่อแสดงตัวตนที่พึงปรารถนาให้ผู้อื่นได้เห็น

พร้อมกันนั้น สินค้าที่ได้รับความนิยมแพร่หลายอีกอย่างหนึ่งก็คือ สินค้าที่เป็นนามธรรม เช่น บริการ หรือประสบการณ์ ได้แก่ ความบันเทิง กีฬา การท่องเที่ยว หรือการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่น่าประทับใจ (อาทิ ฟุตบอลโลก โอลิมปิก) เรียกอีกอย่างว่าเป็น “สินค้าทางวัฒนธรรม” สินค้าชนิดนี้แม้จะเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ คุณค่า หรือประสบการณ์ทางจิตใจมาก แต่ก็มี “จุดขาย” ก็คือคนดัง เช่น นักกีฬา นักร้อง ดารา ความสำคัญของบุคคลเหล่านี้มิได้อยู่ที่ชื่อเสียงอันโด่งดังที่สามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าเท่านั้น บุคลิกลักษณะหรือความสามารถอันโดดเด่นของเขาเหล่านั้นก็มีความสำคัญด้วยเช่นกัน เพราะใครต่อใครก็ฝันอยากจะมีบุคลิกลักษณะหรือความสามารถดังกล่าว การเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่คนดังเหล่านี้เกี่ยวข้องเป็นส่วนหนึ่งในการตอบสนองความฝันดังกล่าว และถ้าจะให้ดียิ่งกว่านั้นก็คือซื้อสินค้าที่มีลายเซ็นของคนดังเหล่านั้น หรือไม่ก็ซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่คนดังเหล่านั้นเคยใช้มาก่อน (เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ) ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่มีคนไทยพร้อมจะเสียเงินเป็นแสนเพื่อซื้อเสื้อฟุตบอลหรือกางเกงใน(ใช้แล้ว)ของเดวิด เบคแคม วัตถุเหล่านี้สำหรับคนจำนวนไม่น้อยมีความหมายต่อจิตใจมากไม่ต่างจากวัตถุมงคลหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว

เสื้อนั้นทำด้วยอะไร ใส่สบายหรือไม่ สวยหรือเปล่า ไม่สำคัญเท่ากับลายเซ็นที่อยู่บนเสื้อ (รวมทั้งความหมายที่ให้แก่เสื้อตัวนั้น) ฉันใดก็ฉันนั้น สินค้าจะผลิตจากอะไร มีคุณสมบัติอย่างไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับยี่ห้อหรือแบรนด์ที่ประทับลงบนสินค้านั้น เมื่อสังคมบริโภคพัฒนามาถึงจุดนี้ ยี่ห้อหรือแบรนด์จะมีความสำคัญต่อผู้คนมากกว่าคุณสมบัติทางกายภาพของสินค้าด้วยซ้ำ

ทั้งนี้เพราะยี่ห้อหรือแบรนด์นั้นเป็นสัญลักษณ์หรือตัวแทนคุณสมบัติบางอย่างที่ผู้บริโภคปรารถนาจะมีไว้กับตัว ดังได้กล่าวแล้วว่า เมื่อมีสิ่งเสพสิ่งบริโภคมาปรนเปรอมากมาย ความต้องผู้บริโภคจะไม่พอใจเพียงแค่ความสะดวกสบายทางกายหรือความเพลิดเพลินทางประสาททั้งห้า เท่านั้น หากยังต้องการมากกว่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องของความสุขทางใจเป็นสำคัญ ได้แก่การได้เป็นอะไรบางอย่าง ที่พึงปรารถนา หากความต้องการสิ่งเสพมาปรนเปรอทางประสาททั้งห้า เรียกว่า กามตัณหา ความต้องการที่จะเป็นอะไรบางอย่างที่พึงปรารถนา ก็เรียกว่า ภวตัณหา

ยี่ห้อหรือแบรนด์มีความสำคัญในสังคมบริโภค ก็เพราะผู้คนเชื่อว่ามันสามารถตอบสนองภวตัณหาได้ หากเป็นยี่ห้อหรือแบรนด์ชื่อดัง เพราะยี่ห้อเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นสัญลักษณ์แทนคุณสมบัติบางอย่างที่ผู้คนอยากมีอยากเป็น เช่น เป็นสัญลักษณ์แทนความทันสมัย ความมีรสนิยม ความฉลาดปราดเปรียว หรือถูกนำมาเชื่อมโยงแนบแน่นกับความเก่ง ความเป็นผู้ชนะ ความเป็นไทย ทั้งนี้โดยอาศัยการโฆษณา (เช่น นำเสนอสินค้าตัวนั้นคู่เคียงกับวัฒนธรรมไทย หรือให้คนเก่งคนดังมาเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าตัวนั้น) โฆษณาที่ประสบความสำเร็จ ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกในส่วนลึกทันทีว่าตนได้เป็นอะไรบางอย่างที่พึงปรารถนาเมื่อได้บริโภคสินค้าที่มียี่ห้อหรือแบรนด์เนมดังกล่าว มีสินค้าหลายชนิดที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความรู้สึกดังกล่าว ผลก็คือวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยไม่ได้กินโค้กหรือแมคโดนัลด์เพราะความอร่อย แต่เพราะต้องการเป็นคนทันสมัย ไม่ได้ใส่รองเท้าไนกี้เพราะนุ่มเท้าหรือใช้ทน แต่เพราะอยากเป็นผู้ชนะอย่างไทเกอร์ วูดส์ หรือไมเคิล จอร์แดน ไม่ได้กินกาแฟสตาร์บั๊คเพราะรสชาติ แต่เพราะต้องการเป็นคนรุ่นใหม่ที่ก้าวล้ำยุคมีระดับ ไม่ได้สะพายกระเป๋าหลุยส์วิตตองเพราะสวยหรือทน แต่เพราะอยากมีบุคลิกมาดมั่น เปี่ยมรสนิยม แต่รู้สึกเช่นนั้นอยู่คนเดียวย่อมไม่พอ ย่อมอยากให้คนอื่นรู้สึกทำนองเดียวกันด้วย ดังนั้นจึงต้องบริโภคยี่ห้อหรือแบรนด์ดัง ๆ ที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ถึงตรงนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่าผู้คนโดยเฉพาะนักบริโภคระดับสูง ไม่ได้ซื้อสินค้า แต่ซื้อยี่ห้อ ไม่ได้บริโภคคุณสมบัติทางกายภาพของสินค้า แต่บริโภคสัญลักษณ์หรือคุณค่าทางนามธรรมที่ผูกติดมากับยี่ห้อ

บริษัทผู้ผลิตสินค้าจำนวนไม่น้อยจับความต้องการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี จึงเปลี่ยนแนวทางจากการผลิตสินค้า มาเน้นที่การผลิตภาพลักษณ์หรือสร้างคุณค่าทางนามธรรมให้แก่ผลิตภัณฑ์แทน เช่น ไนกี้ประกาศว่าไม่ได้ตนเป็น บริษัทรองเท้า แต่เป็น “บริษัทกีฬา” และไม่ได้ขายรองเท้า แต่มุ่ง “เพิ่มพูนชีวิตผู้คนผ่านกีฬาและการออกกำลัง” ดีเซล ประกาศว่าไม่ได้ขายกางเกงยีน แต่ขายสไตล์ในการดำเนินชีวิตที่ทันสมัย ส่วนบอดี้ช็อปก็ประกาศว่าตนไม่ได้ขายเครื่องสำอาง แต่เป็นผู้นำเสนอปรัชญาเกี่ยวกับสิทธิสตรี การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และธุรกิจที่มีจริยธรรม แม้แต่ไอบีเอ็มก็ประกาศว่าไม่ได้ขายเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ขาย “คำตอบทางธุรกิจ” ( business solutions ) การเปลี่ยนแนวทางดังกล่าวทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเหล่านี้มีภาพลักษณ์ที่ดีและพลอยทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าตนมีภาพลักษณ์ที่ดีหรือเป็นอะไรที่ดี ๆ ตามไปด้วย

การให้ความสำคัญกับแบรนด์หรือภาพลักษณ์ของสินค้ามากกว่าตัวสินค้า ปัจจุบันมาถึงขั้นที่บางบริษัททั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ผลิตตัวสินค้าเลย แต่ก็วางแผนสร้างภาพลักษณ์ของสินค้ารวมทั้งวางแผนโฆษณาล่วงหน้าก่อนแล้ว ตัวอย่างที่โด่งดังไปทั่วโลกคือ แอบโซลุต ( Absolut) ซึ่งเป็นเหล้าวอดก้าผลิตในประเทศสวีเดน ทั้งนี้เพราะผู้ผลิตเหล้าดังกล่าวรู้ดีว่าผู้บริโภคไม่ได้ซื้อสินค้าเพราะคุณสมบัติทางกายภาพของมัน แต่เพราะต้องการเสพภาพลักษณ์หรือยี่ห้อที่ติดมากับสินค้ามากกว่า ดังมีการทดลองว่า เมื่อนำเหล้ายี่ห้อต่าง ๆ มาใส่ในขวดเปล่าที่ไม่ติดยี่ห้อ ๆ ผู้ชิมจะไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าแต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร ความแตกต่าง (ที่คิดว่ามี)นั้นเป็นเรื่องของความรู้สึก(หรือการปรุงแต่งไปเอง)มากกว่า พอเปลี่ยนยี่ห้อ ก็รู้สึกว่ารสชาติเปลี่ยนไปแล้ว ข้อสรุปของนักโฆษณาก็คือ “ทุกอย่างเป็นเรื่องของภาพลักษณ์” ด้วยแนวคิดทางการตลาดเช่นนี้ แอบโซลุต ซึ่งมีภาพลักษณ์ของคนมีรสนิยมทันสมัย หัวสูงในทางศิลปะ จึงได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกาและยุโรป

บริโภคนิยมกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมบริโภคและลัทธิบริโภคนิยมเกิดขึ้นได้ก็คือ ความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมซึ่งทำให้มีผลผลิตอย่างล้นเหลือ ตราบเท่าที่ผู้คนยังมีความประหยัดมัธยัสถ์ บริโภคเท่าที่จำเป็น อยากบริโภคอะไรก็ผลิตด้วยตนเอง สินค้าก็จะต้องล้นตลาด ดังนั้นผู้ผลิตจึงพยายามกระตุ้นให้ผู้คนบริโภคเพิ่มขึ้น และมีความต้องการสินค้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต สินค้าฟุ่มเฟือยถูกสร้างภาพให้ผู้คนรู้สึกว่า เป็นสิ่งจำเป็นขึ้นมา เช่น ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น มาตรฐานชีวิตสูงขึ้น ทัดหน้าเทียมตาผู้อื่น วิธีการสำคัญที่ใช้กระตุ้นความต้องการใหม่ ๆ ดังกล่าวได้แก่ การโฆษณา แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ยาก หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล รัฐบาลเกือบทุกประเทศในปัจจุบันมีบทบาทอย่างมากในการกระตุ้นการบริโภคของประชาชน เพราะเชื่อว่าจะทำให้อุตสาหกรรมขยายตัว คนมีงานทำมากขึ้น ผลโดยรวมก็คือเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น

ลัทธิบริโภคนิยมจึงไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่ถูกจงใจให้เกิดมีขึ้น วิคเตอร์ เลบาว นักธุรกิจชาวอเมริกันหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ พูดอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ว่า “เศรษฐกิจของเรา(ในปัจจุบัน)มีความสามารถในการผลิตอย่างล้นเหลือ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องทำให้การบริโภคกลายเป็นวิถีชีวิตของเรา ทำให้การซื้อและใช้สินค้ากลายเป็นพิธีกรรม ทำให้เราเสาะแสวงหาความพึงพอใจทางจิตวิญญาณ(และการสนองตัวตน)ด้วยการบริโภค เราจำเป็นต้องเสพสินค้า ผลาญให้หมด ซื้อของใหม่ และทิ้งมันให้เร็วขึ้นกว่าเดิม”

ในสหรัฐอเมริกา การส่งเสริมการบริโภคได้กลายเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนับแต่ประธานาธิบดีเฮอเบิต ฮูเวอร์ เป็นต้นมา ฮูเวอร์ถึงกับตั้งกระทรวงพาณิชย์ขึ้นมาในปี ๒๔๖๔ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคในหมู่ประชาชน เช่น การสนับสนุนผู้ค้าปลีกในการพัฒนาสินค้า การโฆษณา รวมทั้งการสร้างถนน ที่จอดรถ ระบบขนส่งมวลชนเพื่อดึงดูดลูกค้า ผลก็คือเกิดห้างสรรพสินค้าทันสมัยมายมายในช่วงนี้ นอกจากนี้ยังมีการปฏิรูปสถาบันการเงินและกลไกต่าง ๆเพื่อส่งเสริมการบริโภคอย่างเต็มที่ รวมทั้งกลไกที่เอื้อต่อการซื้อสินค้าเงินผ่อน

ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รัฐบาลไม่เพียงกระตุ้นการบริโภคด้วยนโยบายเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังเปลี่ยนแปลงกฎหมายและยกเลิกระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจที่ส่งเสริมการบริโภค รวมทั้งผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่ไม่ส่งเสริมการบริโภค ในประเทศไทย เมื่อ ๔๕ ปีก่อน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ถึงกับ “ขอร้อง”พระภิกษุสงฆ์ทั่วประเทศว่าอย่าสอนเรื่องสันโดษแก่ประชาชน เพราะจะเป็นอุปสรรคแก่การพัฒนาเศรษฐกิจ

การขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบทั้งในภาครัฐและภาคธุรกิจ ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปตามแนวทางบริโภคนิยม ดังต่อไปนี้

๑. การแปรสภาพเป็นผู้บริโภคอย่างเต็มตัว กล่าวคือ บริโภคสิ่งที่ตนไม่ได้ผลิต และผลิตสิ่งที่ตนไม่ได้บริโภค ผลที่ตามมาก็คือ หากต้องการอะไร ก็ใช้เงินซื้อเอา เพราะทำเองไม่เป็น หรือถึงจะทำเป็น ก็คร้านที่จะทำ เพราะมองว่าเป็นการเสียเวลา ไม่ทันสมัย หรือเห็นว่าไม่สะดวกสบายเท่ากับการซื้อเอา หรือจ้างให้คนอื่นมาทำให้ การดูแลรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ถูกมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก สู้ซื้ออาหารเสริมมาบำรุงไม่ได้ หากเจ็บป่วย ก็ไปหาหมอหรือซื้อยามากิน ความรู้ก็เช่นกัน ไม่จำต้องขวนขวายมาก เพียงแต่ซื้อข้อมูลหรือสมัครสมาชิกเคเบิลทีวี ก็ได้แล้ว หากต้องการให้ลูกฉลาด ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่ซื้อซีดีเพลงโมซาร์ตมาเปิดให้ลูกฟัง หากต้องการผ่อนคลาย แทนที่จะหางานอดิเรกมาทำให้เพลินใจ หรือทำสมาธิภาวนา ก็ไปเที่ยวห้าง ดูหนัง ฟังเพลง เกิดค่านิยมใฝ่เสพมากกว่าใฝ่ผลิต ซื้อเอาดีกว่าทำเอง

๒. เงินเป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิต ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างต้องหาซื้อเอา แทนที่จะทำเอง เงินจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งจนกลายเป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิต ( “บ้านนี้อยู่แล้วรวย” จึงเป็นคำอวยพรยอดปรารถนาที่แขวนเต็มบ้านเต็มเมือง) เคยมีการวิจัยครอบครัวไทย ๑๖ จังหวัดทั่วประเทศเมื่อหลายปีก่อน ปรากฏว่าร้อยละ ๘๐ บอกว่าต้องการร่ำรวย ใช่แต่เท่านั้นเงินยังกลายเป็นตัวกลางความสัมพันธ์ในทุกด้านทุกระดับ ไม่ว่าระหว่างครูกับศิษย์ หมอกับคนไข้ พระกับฆราวาส เพราะฝ่ายหนึ่งถูกแปรสภาพเป็นผู้ขายบริการ อีกฝ่ายแปรสภาพเป็นผู้บริโภค หากไม่มีเงินหรือมีผลประโยชน์ในรูปเม็ดเงินมาเกี่ยวข้อง ก็ยากจะสัมพันธ์กันได้ แม้แต่พ่อแม่จะแสดงความรักกับลูก ก็ต้องใช้เงินเป็นสื่อกระชับความสัมพันธ์ เช่น ซื้อของมาให้ตามที่ลูกต้องการ เงินยังกลายเป็นตัววัดค่าว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ชีวิตของสถาปนิกจึงถือว่ามีความสำคัญกว่าชีวิตของชาวนา เพราะสามารถทำรายได้เป็นเม็ดเงินได้มากกว่า เช่นเดียวกับการไปทำงานนอกบ้านย่อมถือว่ามีความสำคัญกว่าการดูแลลูกที่บ้าน ป่าที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติ ถูกมองว่ามีค่าน้อยกว่าเขื่อนผลิตไฟฟ้าหรือไร่ยูคาลิปตัส เพราะไม่สามารถให้ผลตอบแทนเป็นเม็ดเงินได้สูงเท่า แม้แต่บุญกุศลของใครจะมากกว่ากัน ก็วัดกันที่จำนวนเงินที่ถวายวัด

๓.การมองทุกอย่างเป็นสินค้า ผู้บริโภคนั้นจะบรรลุความต้องการได้ก็โดยการซื้อด้วยเงิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการจึงมีสภาพเป็นสินค้า ไม่เพียงอาหารหรือปัจจัยสี่เท่านั้น สุขภาพ ความรู้ ก็ถูกมองว่าเป็นสินค้าซึ่งซื้อได้ด้วยเงิน และเมื่อเกิดความต้องการบริโภคประสบการณ์ กีฬา วัฒนธรรม ประเพณี ก็กลายเป็นสินค้าไปด้วย เห็นได้จากการโฆษณาฟุตบอลโลก หรือการโฆษณาเทศกาลพื้นบ้านและวัฒนธรรมไทยเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวชม แม้แต่ศาสนาหรือความมั่นคงทางจิตใจก็กลายเป็นสินค้า ดังเห็นได้จากการขายพระเครื่องไม่ต่างจากการขายยาสีฟัน ทัศนคติดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการของผู้ผลิตที่มุ่งแสวงหากำไรสูงสุด จึงพยายามทำทุกอย่างให้เป็นสินค้า ขณะเดียวกันก็กระตุ้นผู้บริโภคให้เกิดความต้องการสินค้าดังกล่าว แม้ว่าสิ่งนั้นอาจเคยเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน หรือเป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่ไม่เคยมีใครคิดจะซื้อขายกันมาก่อน (เช่น น้ำดื่ม)

๔.ความสะดวกสบายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต การใช้เงินเพื่อบรรลุความต้องการ โดยไม่ต้องลงมือทำเองนั้น ทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อสังคมมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ผู้คนไม่ขาดแคลนสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิต ก็ปรารถนาสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นลำดับถัดไป สอดคล้องกับความต้องการของผู้ผลิตที่เสนอขายสินค้าโดยเน้นสรรพคุณที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น ความสะดวกสบายจึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะทำอะไรหรือบริโภคอะไรก็ตาม ความสะดวกสบายต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก อาหารใดจะขายดีก็ต่อเมื่อซื้อหาง่าย ทำง่าย พกพาง่าย และรวดเร็วทันใจ อาหารเสริมก็ต้องทำเป็นเม็ดหรือแคปซูลจึงจะขายดี แม้แต่รายการข่าวหรือสารคดี ก็ต้องทำให้ดูง่าย สบายตา และที่ขาดไม่ได้คือเพลิดเพลินหรือสนุก ผลก็คือธรรมะก็ต้องทำให้ง่าย ชนิดที่ย่อยง่าย (หรือไม่ต้องย่อยเลยยิ่งดี) และสนุกควบคู่กันไปด้วย ความติดยึดในความสะดวกสบายนี้เอง ทำให้ผู้คนหลงใหลในบริโภคนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อบริโภคนิยมพัฒนามาถึงจุดที่ให้สัญญาว่าเราสามารถมีตัวตนใหม่ได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่บริโภคสินค้าแบรนด์เนมเท่านั้น

๕.ความสุขอยู่ที่การบริโภค สังคมบริโภคไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและให้ความเพลิดเพลิน หากยังเต็มไปด้วยแรงกระตุ้นเร้าให้ผู้คนมีความต้องการสิ่งเหล่านี้ กระทั่งเข้าใจไปว่าเพียงแค่บริโภคสิ่งเหล่านี้ ชีวิตก็จะราบรื่น ไร้ปัญหา กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความเพลิดเพลินสะดวกสบายและความสุขเป็นเรื่องเดียวกัน และทั้งสองอย่างก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว ผู้คนจึงมีทัศนคติว่า ความสุขนั้นอยู่ที่การบริโภค ยิ่งบริโภคมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ยิ่งลัทธิบริโภคนิยมพัฒนาจากการปรนเปรอประสาททั้งห้า มาสู่การสนองความต้องการที่อยากเป็นคนใหม่หรือมีตัวตนที่ดีกว่าเดิม ผู้คนก็ยิ่งถือเอาการบริโภคเป็นหนทางแห่งความสุขทั้งทางกายและใจอย่างเหนียวแน่น ชนิดที่ยากจะมีลัทธิใดมาเป็นคู่แข่งได้ แม้แต่ศาสนาก็ตาม
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 10 มีนาคม 2011, 00:47:34 »


(ต่อ 3)
ผลกระทบจากบริโภคนิยม
สังคมบริโภคแม้จะช่วยให้ผู้คนส่วนใหญ่ปลอดพ้นจากความยากจนและความขาดแคลนมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น มีเสรีภาพในการบริโภคมากขึ้น แต่วิถีชีวิตและทัศนคติแบบบริโภคนิยมดังกล่าวข้างต้น ได้ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆมากมาย ทั้งในระดับบุคคลและส่วนรวม อาทิ

๑.สุขภาพเสื่อมโทรม
ในขณะที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมดั้งเดิมเผชิญกับความหิวโหยเพราะขาดแคลนอาหาร ในสังคมบริโภคกลับเต็มไปด้วยผู้ที่เป็น “โรคอ้วน” หรือมีน้ำหนักเกิน ปัจจุบันทั่วโลกมีคนอ้วนถึง ๑,๔๐๐ ล้านคน (ขณะที่ผู้ที่ขาดอาหารมี ๘๐๐ ล้านคน) เฉพาะในเมืองไทย การสำรวจล่าสุดพบว่า คนไทยอายุ ๓๕ ปีขึ้นไป อ้วนลงพุงเกือบร้อยละ ๓๐ หรือประมาณ ๑๒ ล้านคน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทุก ๓ คนจะมีคนอ้วนลงพุง ๑ คน ขณะที่เด็กเล็กก็เป็นโรคนี้กันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดตีบตันกันมากขึ้น โรคดังกล่าวเป็นผลจากการบริโภคอาหารมากเกินไปและไร้สมดุล ขณะเดียวกันก็ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขึ้น คือ ไม่ออกกำลังกาย ไม่ทำงานที่ใช้แรง ใช้เวลาว่างด้วยการนั่ง ๆ นอน ๆ ดูโทรทัศน์ โรคดังกล่าวจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “โรคขี้เกียจ” กระทรวงสาธารณสุขระบุว่าปัจจุบันมีคนไทยตายเพราะโรคขี้เกียจถึงชั่วโมงละ ๙ คน ขณะที่ทั้งโลกมีคนตายเพราะโรคนี้นาทีละ ๔ คน

๒.สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย
การบริโภคอย่างมากมายในปัจจุบันได้ก่อปัญหาแก่ธรรมชาติแวดล้อมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากธรรมชาติจะถูกทำลายไปเนื่องจากการผลิตเพื่อสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ว (เช่น การทำลายป่า เพื่อแปรเป็นไร่นาและเขื่อนผลิตไฟฟ้า) ขยะที่เกิดจากการบริโภคยังก่อมลพิษแก่น้ำ อากาศ และผืนดิน โดยเฉพาะพลาสติกและโฟม ซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นวัสดุภัณฑ์ที่ช่วยให้เกิดความสะดวกในการพกพาหรือขนส่ง กระบวนการผลิตและบริโภคดังกล่าว ไม่เพียงก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่น หากยังส่งผลให้เกิดความผันผวนปรวนแปรของธรรมชาติในระดับโลก อาทิ ปรากฏการณ์เรือนกระจก รูโหว่ในชั้นบรรยากาศ เป็นต้น

ปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้คนเจ็บป่วยมากขึ้น ทั้งจากมลพิษและโรคชนิดใหม่ ๆ (ซึ่งเคยจำกัดอยู่เฉพาะบางท้องถิ่น) รวมทั้งเดือดร้อนจากดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน เช่น ฝนแล้ง น้ำท่วม พายุฝน ซึ่งปรากฏถี่ขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้การผลิตอาหารและธัญพืชถดถอยลง เช่น จับปลาได้น้อยลง ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ศัตรูพืชมากขึ้น สภาพดังกล่าวโดยเฉพาะปัญหาโลกร้อนนั้น กล่าวได้ว่าลุกลามขยายตัวจนกลายเป็นวิกฤตแล้ว

๓. ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้น
ลัทธิบริโภคนิยมนั้นทำให้ผู้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น เพราะต่างคนต่างถือเอาเงินเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต จึงพยายามแสวงหาประโยชน์ส่วนตนให้ได้มากที่สุด นำไปสู่การเอารัดเอาเปรียบ ยิ่งเศรษฐกิจเป็นแบบทุนนิยมเสรี ที่เปิดโอกาสให้คนที่มือยาวสาวได้สาวเอา ก็ยิ่งทำให้ผู้ไร้อำนาจ ไร้การศึกษา หรือไร้โอกาสเข้าถึงทรัพยากร ถูกเอาเปรียบหรือเบียดบังมากขึ้น ผลก็คือ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้น ไม่ว่าในระดับประเทศหรือระดับโลก ดังเห็นได้ว่าในประเทศไทยนับแต่ปี ๒๕๑๘ จนถึงปี ๒๕๔๓ กลุ่มประชากรร้อยละ ๒๐ ที่มีรายได้ต่ำสุด มีส่วนแบ่งรายได้ลงลงจาก๖.๐๕% เป็น ๓.๘๙% ขณะที่กลุ่มประชากรร้อยละ ๒๐ ที่มีรายได้สูงสุด มีส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้น จาก ๔๙.๒๔% เป็น ๕๗.๗% นั่นคือช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนได้ถ่างกว้างขึ้นจาก ๘ ต่อ ๑ เป็น ๑๔ ต่อ ๑ ในระดับโลกก็เช่นกัน นับแต่ปี ๒๕๑๖ จนถึง ปี ๒๕๓๕ ช่องว่างระหว่างประเทศรวยที่สุดกับประเทศจนที่สุด ได้เพิ่มจาก ๔๔ ต่อ ๑ เป็น ๗๒ ต่อ ๑ และยังจะขยายตัวเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ

ลัทธิบริโภคนิยมยังนำไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรมหรือไม่สมเหตุสมผล ซึ่งเป็นเหตุให้ความยากจนยังดำรงอยู่ทั่วโลก ทั้ง ๆ ที่โลกนี้มีผลผลิตอย่างล้นเหลือ ความไม่สมเหตุสมผลในการใช้ทรัพยากรจะเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกวันนี้มีคนถึง ๒,๖๐๐ ล้านคน(หรือเกือบครึ่งโลก) ขาดสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมทั้งน้ำสะอาด และเกือบพันล้านคนอ่านหนังสือไม่ออกและเขียนชื่อตัวเองไม่ได้ ปัญหาเหล่านี้สามารถขจัดได้หากใช้งบประมาณ ๙,๐๐๐ ล้านเหรียญเพื่อจัดหาน้ำสะอาดให้แก่ผู้ที่ขาดแคลน และอีก ๖,๐๐๐ ล้านเหรียญสำหรับให้การศึกษาแก่คนทั้งโลก แต่ปรากฏว่างบประมาณเพื่อใช้ในการกลับมีไม่เพียงพอ ในทางตรงข้าม ในยุโรปมีการบริโภคไอศครีมถึงปีละ ๑๑,๐๐๐ ล้านเหรียญ และค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำหอมในยุโรปและสหรัฐอเมริกาสูงถึง ๑๒,๐๐๐ ล้านเหรียญ ค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องสำอางทั่วโลกสูงถึง ๑๘,๐๐๐ ล้านเหรียญ อีก ๒๔,๐๐๐ ล้านเหรียญเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อครีมบำรุงผิวทั่วโลก แต่ที่สูงกว่านั้นได้แก่ค่าใช้จ่ายในการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิว จำนวน ๓๘,๐๐๐ ล้านเหรียญ

ยิ่งลัทธิบริโภคนิยมกระตุ้นให้ผู้คนนิยมบริโภคสิ่งฟุ่มเฟือยมากเท่าไร ทรัพยากรที่มีค่าก็ถูกนำไปใช้เพื่อผลิตสิ่งฟุ่มเฟือยมากเท่านั้น แทนที่จะนำไปใช้ในการผลิตสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับผู้คนอีกมากมายที่ขาดแคลนอยู่ทั่วโลก ทำให้ผู้ยากไร้ถูกปล่อยทิ้งไว้ในกองทุกข์ชั่วนาตาปี

๔.ปัญหาสังคมเพิ่มมากขึ้น
ความโลภและการมุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนตน นอกจากจะนำไปสู่การเอารัดเอาเปรียบกันแล้ว ยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอาชญากรรม เช่น การลักขโมย การปล้นจี้ ประเทศไทยซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่สงบ ปลอดภัย ผู้คนมีน้ำใจ แต่ปัจจุบันกลับได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่อันตรายที่สุดประเทศหนึ่งในโลก จากการสำรวจของบริษัทประกันภัยระดับโลก (AVIVA) โดยสอบถามความเห็นของนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษจำนวน ๖๐,๐๐๐ คนเกี่ยวกับอันตรายในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ปรากฏว่าเมืองไทยติดอันดับหนึ่งในเรื่องการลักขโมย และติดอันดับสองในด้านการชิงทรัพย์โดยใช้ความรุนแรง มิใช่แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่านั้น คนไทยก็ประสบอันตรายดังกล่าวด้วยเช่นกัน ดังเป็นข่าวรายวันจนกลายเป็นธรรมดาไปแล้ว

นอกจากการปล้นจี้ ลักขโมย และทำร้ายกันแล้ว ยังมีการคอรัปชั่นกันอย่างดาษดื่นในทุกวงการ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านถึงระดับชาติ และที่เกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออกจากบริโภคนิยม ก็คือปัญหาการระบาดของอบายมุข อาทิ เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด การพนัน และโสเภณี ทุกวันนี้ประเทศไทยติดอันดับ ๑ ใน ๕ ของประเทศที่บริโภคสุราสูงที่สุดในโลก อีกทั้งยังขึ้นชื่อในเรื่องยาเสพติด ขณะที่การพนันในทุกรูปแบบแพร่หลายทุกหย่อมหญ้า ก่อให้เกิดปัญหาหนี้สิน ความยากจน และการก่ออาชญากรรมตามมา ไม่จำต้องเอ่ยถึงการขายบริการทางเพศ ซึ่งระบาดไปถึงนักเรียนและนักศึกษา และโยงไปถึงปัญหาอื่น ๆ อีก เช่น การท้องก่อนวัยเรียนและการทำแท้ง ซึ่งปัจจุบันมีถึงวันละ ๑,๐๐๐ ราย ทุก ๆ ๑๐ นาที มีเด็กวัยรุ่นมาทำคลอด ขณะเดียวกันก็มีทารกถูกทิ้งเฉลี่ยวันละ ๓ คน

๕.ความสัมพันธ์ร้าวฉาน
ลัทธิบริโภคนิยมมีผลกระทบอย่างมากต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว ความต้องการบริโภคสิ่งฟุ่มเฟือยอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ทำให้ผู้คนให้ความสำคัญกับการหาเงิน จนละเลยความสัมพันธ์ภายในครอบครัว หรือไม่มีเวลาให้กับเรื่องดังกล่าว พ่อแม่ลูกโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ แทบจะไม่มีเวลาอยู่พร้อมหน้ากัน เพราะพ่อแม่ต้องออกไปทำงานแต่เช้าและกลับบ้านเมื่อดึก พ่อแม่ถึงร้อยละ ๔๓ ในกรุงเทพ ฯ ยอมรับว่าแต่ละวันมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกับลูกเพียง ๑-๓ ชั่วโมงเท่านั้น หลายครอบครัวทดแทนความเหินห่างด้วยการใช้วัตถุหรือเงินเป็นเครื่องแสดงความรัก แต่บ่อยครั้งกลับทำให้ความสัมพันธ์เลวร้ายลง ยิ่งหันไปพึ่งเทคโนโลยีเป็นสื่อกลาง (เช่นเลี้ยงลูกทางโทรศัพท์มือถือ) ก็กลับทำให้เหินห่างกันมากขึ้น การให้ความสำคัญกับเงินและวัตถุ ทำให้หลายครอบครัวถึงกับหย่าร้างกัน ปัจจุบันการหย่าร้างมีสูงถึง ๑ ใน ๔ ของผู้ที่จดทะเบียนแต่งงานกัน และถึงแม้จะไม่ได้หย่าร้างกัน การแยกกันอยู่ก็มีมากขึ้น ปัญหาดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นในเมืองเท่านั้น ในชนบท พบว่ามีเด็กถึงร้อยละ ๓๐ ที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่หรือพ่อแม่แยกทางกัน

ไม่เพียงความสัมพันธ์ในครอบครัวเท่านั้น เงินยังเข้ามามีบทบาทในความสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ ด้วย เช่น ความสัมพันธ์ในชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างมิตรสหาย ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ และระหว่างหมอกับคนไข้ น้ำใจ ความรัก และความปรารถนาดีเลือนหายไป เพราะมีผลประโยชน์มาแทนที่ จะมาสัมพันธ์กันก็ต่อเมื่อมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้นก็ต่างคนต่างอยู่

๖.ความทุกข์ในจิตใจเพิ่มมากขึ้น
สังคมบริโภคแม้จะเต็มไปด้วยสิ่งบันเทิงเริงรมย์และให้ความเพลิดเพลิน แต่ปรากฏว่าผู้คนกลับมีความเครียดและความวิตกกังวลสูงมาก ในประเทศไทย ยาที่ขายดีที่สุดคือยาคลายเครียด รวมทั้งยานอนหลับ ดังจะเห็นได้ว่าตามโรงพยาบาลชุมชนพบว่ามีการสั่งยาคลายเครียดหรือยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทราว ๑ ใน ๔ ของใบสั่งยาทั้งหมด ส่วนในกรุงเทพมหานครและภาคกลางก็พบว่ามีการใช้ยาคลายเครียดเพิ่มสูงขึ้นมาก ในชั่วเวลาเพียง ๒ ปี คือระหว่างปี ๒๕๔๔ ถึง ๒๕๔๖ มีการใช้ยาคลายเครียดเพิ่มขึ้น ๔ เท่าตัว คือจาก ๑๖๗ ล้านเม็ด เพิ่มเป็น ๗๐๕ ล้านเม็ด

ลัทธิบริโภคนิยมนั้นจะสามารถกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความต้องการสิ่งใหม่ ๆ ได้ก็ต้องเริ่มต้นจากการทำให้เขารู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่ตัวมีและเป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น ทำให้รู้สึกว่าตัวเองอ้วน หรืออับอายที่มีผิวคล้ำ วงแขนไม่ขาวนวล หรือรู้สึกด้อยที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ แต่เมื่อใดที่เกิดความต้องการสิ่งใหม่ ๆ ตามแรงโฆษณา ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมาทันทีเพราะยังไม่สมหวัง ระหว่างที่ขวนขวายเพื่อให้ได้มาก็ทุกข์อีก เพราะต้องเหนื่อยยากเพื่อหาเงินมาซื้อ หากไม่สมหวังก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น ครั้นได้แล้ว แม้จะเป็นสุขเพราะสมหวัง แต่ก็ตามมาด้วยความทุกข์อีกเพราะต้องคอยดูแลรักษา และวิตกกังวลว่าจะมีใครมาแย่งหรือขโมยไป

ความอยากนั้นจะคู่กับความวิตกกังวลเสมอ เพราะยิ่งอยากได้มากเท่าไร ก็ยิ่งกลัวที่จะไม่ได้มากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ความวิตกกังวลจึงเป็นสิ่งที่คู่กับลัทธิบริโภคนิยม ยิ่งต้องแข่งขันกับผู้อื่นเพื่อให้ได้เงินและวัตถุที่ปรารถนา ท่ามกลางวิถีชีวิตที่เร่งรีบวุ่นวาย ก็ยิ่งทำให้เกิดความเครียด และเมื่อเกิดความเครียด ก็ยิ่งอยากบริโภคมากขึ้น (เช่น ดูหนัง ฟังเพลง กินเหล้า เที่ยวโสเภณี เล่นการพนัน หรือเสพยา) ซึ่งเท่ากับตกอยู่ในกับดักบริโภคนิยมแน่นหนาขึ้น เพราะการบริโภคเหล่านั้นแก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราว ขณะที่อาจสร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมา ( เช่น เป็นหนี้สิน สุขภาพเสื่อมโทรม หรือเสพติดมากขึ้น) ซึ่งในที่สุดก็ทำให้เครียดมากขึ้น ส่งผลบั่นทอนสุขภาพ ทำให้เป็นโรคความดันโลหิต โรคหัวใจ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนในยุคปัจจุบัน

อาการดังกล่าวจะเลวร้ายมากขึ้น เมื่อมีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น ชีวิตครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ความสัมพันธ์ที่เหินห่างกับเพื่อน ต่างคนต่างอยู่ เกี่ยวข้องกันเฉพาะเมื่อมีผลประโยชน์ ย่อมทำให้ผู้คนมีความเครียด ระแวง รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง ไม่มีใครเป็นที่พึ่งพาได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ในสังคมบริโภค ผู้คนเป็นโรคจิตโรคประสาทกันมากขึ้น รวมทั้งมีอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง ๓ ปีระหว่างปี ๒๕๔๒ถึง ๒๕๔๕ คนไทยเป็นโรคจิตเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว คือเพิ่มจาก ๔๒๔ เป็น ๘๒๘ คนต่อประชากรแสนคน และมีปัญหาสุขภาพจิตเกือบ ๒ ล้านคน ขณะที่มีการฆ่าตัวตายเฉลี่ย ๒ ชั่วโมง ๓ คน


๗.ความรู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่า ไร้คุณค่า และสับสน
ลัทธิบริโภคนิยมให้สัญญาว่ายิ่งมีสิ่งเสพสิ่งบริโภคมากเท่าไร ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น แต่หลายคนพบว่าแม้ชีวิตมีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีความสุขมากขึ้นเลย ตรงกันข้ามกลับมีความทุกข์เท่าเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม ทีแรกก็อาจเข้าใจไปว่าที่ยังทุกข์อยู่เพราะยังมีเงินหรือวัตถุสิ่งเสพไม่มากพอ ดังนั้นจึงดิ้นรนหามาเพิ่มอีก แต่ไม่ว่าจะหามาเท่าไร ก็ยังไม่รู้สึกเต็มอิ่มหรือพอเพียงเสียที แม้ทีแรกจะดีใจเมื่อได้มาสมอยาก แต่ไม่นานก็รู้สึกว่า “ได้มาก็เท่านั้น” ในส่วนลึกของจิตใจจึงเกิดความรู้สึกว่างเปล่า ทั้ง ๆ ที่รอบตัวเต็มไปด้วยวัตถุสิ่งเสพก็ตาม สภาวะดังกล่าวทำให้หลายคนรู้สึกว่าชีวิตช่างไร้คุณค่า จุดหมายของชีวิตซึ่งเคยคิดว่าอยู่ที่การหาเงินและวัตถุสิ่งเสพให้ได้มาก ๆ นั้น เมื่อพบว่าไม่ใช่ ก็ทำให้รู้สึกเคว้งคว้างทันที เพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรเป็นจุดหมายของชีวิตแทน

พร้อมกันนั้น เมื่อได้เสพอย่างเต็มที่จนถึงจุดหนึ่งก็จะเกิดความสับสนในตัวเองขึ้นมาว่า อะไรคือตัวตนที่แท้จริงของตน ดังได้กล่าวแล้วว่า การบริโภคของคนจำนวนไม่น้อยมีจุดมุ่งหมายก็เพื่อการสร้างตัวตนใหม่ หรือเปลี่ยนตัวตนให้เป็นไปตามใจปรารถนา เช่น เป็นคนทันสมัย เป็นคนมีระดับ เป็นผู้ชนะ บางคนถึงกับผ่าตัดเปลี่ยนแปลงทรวดทรงของตนเพื่อให้เป็น “คนใหม่” ปัญหาก็คือผู้ผลิตซึ่งต้องการขายสินค้าของตน จะกระตุ้นผู้บริโภคให้มีความต้องการตัวตนใหม่ ๆ อยู่เสมอ หรือต้องการตัวตนหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เช่น เป็นคนไทยที่นิยมไทย เป็นคนมีบุคลิกมาดมั่น มีความเป็นผู้นำ ทันยุคโลกาภิวัตน์ ฯลฯ การเปลี่ยนตัวตนด้วยการบริโภคโดยนัยนี้จึงไม่ต่างจากการเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ยิ่งพยายามเปลี่ยนมากเท่าไร ในที่สุดก็ยิ่งไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของตนคืออะไร อีกทั้งยังสับสนระหว่างสิ่งที่เรียกว่าตัวตนกับภาพลักษณ์ และระหว่างเนื้อหากับรูปแบบ สิ่งที่ตามมาก็คือความแปลกแยกกับตัวเอง

เป็นไทจากบริโภคนิยม
หากมองโดยอาศัยหลักภาวนา ๔ จะเห็นได้ว่าลัทธิบริโภคนิยมนั้นเป็นอุปสรรคต่อความเจริญงอกงามทั้ง ๔ มิติทั้งในระดับบุคคลและสังคม ได้แก่ ความเจริญงอกงามทางกาย (กายภาวนา) ความเจริญงอกงามทางพฤติกรรมและความสัมพันธ์ (ศีลภาวนา) ความเจริญงอกงามทางจิต (จิตภาวนา) และความเจริญงอกงามทางปัญญา (ปัญญาภาวนา) อีกทั้งยังส่งเสริมอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ และโมหะ

ลัทธิบริโภคนิยมสามารถแพร่ขยายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วได้ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็เพราะมันสามารถเข้าถึงจุดอ่อนของมนุษย์ นั่นคือ ตัณหา มนุษย์นั้นต้องการความสะดวกสบายในทางกาย ปรารถนาสิ่งปรนเปรอทางประสาททั้งห้า (กามตัณหา) แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอ เรายังต้องการเป็นอะไรที่มากไปกว่าเดิม (ภวตัณหา) บริโภคนิยมให้สัญญาว่าสามารถตอบสนองความอยากมีและอยากเป็นของมนุษย์ได้ ใช่แต่เท่านั้นบริโภคนิยมยังมีเสน่ห์ดึงดูดใจสำหรับคนในยุคปัจจุบันที่ถือว่าเสรีภาพและอิสรภาพเป็นคุณค่าที่สำคัญ บริโภคนิยมทำให้เราเชื่อว่าการมีวัตถุสิ่งเสพจะทำให้เรามีเสรีภาพและอิสรภาพมากขึ้น เช่น รถยนต์จะทำให้เรามีเสรีภาพในการเดินทาง โทรศัพท์มือถือจะทำให้เราเป็นอิสระจากข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ สามารถติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนได้อย่างเสรี เครื่องสำอางและสินค้าแบรนด์เนมต่าง ๆ จะทำให้เรามีเสรีภาพในการเปลี่ยนตัวตนหรือสร้างภาพลักษณ์ใหม่ได้ตามใจปรารถนา ใช่แต่เท่านั้นความหลากหลายของสินค้าทำให้เรามีเสรีภาพในการเลือกและบริโภคอย่างแทบจะไม่มีขีดจำกัด ในยุคที่เชิดชูปัจเจกภาพ บริโภคนิยม สามารถทำให้เราเลือกที่จะเป็นคนที่ไม่เหมือนใครก็ได้ ที่สำคัญก็คือบริโภคนิยมทำให้เราเชื่อว่าความสุขนั้นอยู่แค่เอื้อม ความทุกข์และปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต สามารถแก้ได้ด้วยวัตถุสิ่งเสพ ขอเพียงแต่มีปัญญาหามาบริโภคให้ได้เท่านั้น

แต่สิ่งที่บริโภคนิยมไม่ได้บอกเราก็คือ การที่จะได้สิ่งเหล่านี้มา เราต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ในขณะที่เราไล่ล่าหาความสุขที่อยู่ข้างหน้านั้น เราได้ละทิ้งความสุขที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันมากน้อยเพียงใด ไม่ต่างจากหมาคาบเนื้อกลางสะพานในนิทานอีสป ที่ทิ้งเนื้อลงน้ำเพียงเพราะอยากได้เนื้อชิ้นใหญ่ในแม่น้ำซึ่งที่จริงเป็นแค่เงา ยิ่งไล่ล่าหาความสุข ชีวิตกลับเครียดมากขึ้น และสุขภาพย่ำแย่ แม้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่ชีวิตกลับเร่งรีบวุ่นวาย จนไม่มีเวลาให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันความสัมพันธ์กับผู้คนก็แย่ลง    ผลก็คือแม้จะมีบ้านหลังใหญ่ แต่ไร้ความอบอุ่น แม้จะมีรถหลายคัน แต่ไม่เคยมีเวลาข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้าน และแม้จะโทรศัพท์หรือออนไลน์ข้ามโลก แต่กลับห่างเหินกับคนในบ้าน ขณะที่ในบ้านเราติดแอร์เย็นสบาย แต่นอกบ้านกลับร้อนอ้าว เต็มไปด้วยมลภาวะ และไม่ปลอดภัยที่จะเดินกลางคืน

ร้ายกว่านั้นก็คือ สิ่งที่เราได้มาด้วยราคาที่แพงนั้นก็หาใช่ของจริงที่ต้องการไม่ เสรีภาพที่บริโภคนิยมสัญญาว่าจะให้นั้น แท้ที่จริงก็เป็นเพียงเสรีภาพที่จะเลือกซื้อรถยนต์หรือโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไหนเท่านั้นเอง ขณะที่เรากลับเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ จะไปไหนก็ไม่ได้หากขาดรถ และกระสับกระส่ายทำอะไรไม่ถูกหากลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้าน จิตใจไร้อิสระเพราะถูกล่ามไว้กับวัตถุสิ่งเสพ บริโภคนิยมให้ได้แต่ความสะดวกสบาย แต่ไม่สามารถให้ความสุขที่แท้จริงได้ เพราะใจไม่รู้จักพอ ชีวิตจึงไม่เคยเต็มอิ่มเสียที บริโภคนิยมให้สัญญาว่าเทคโนโลยีนานาชนิดจะทำให้เรามีเวลาว่างมากขึ้น...
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!