ก่อนอื่นต้องขอบอกหลายท่านว่าโพสอะไร ข้อความยาวนักหนา
อยากให้ลองอ่าน หรือค่อยๆอ่านครับ. หรือถ้ามันเยอะเกินไป ก็เก็บไว้อ่านวันต่อไปก็ได้ครับ..

เพราะเนื้อหาที่ผมนำมาโพส คือ ทักษะที่จะมีความสำคัญในโลกปัจจุบัน เมื่่อสื่อ มีอิทธิพล
กับชีวิตเรา...
ขออนุญาติ นำด้วยกระทู้บทความแรกมาแบ่งปัน
จากหลวงพี่ไพศาล วิสาโล
----------------------------------------------------
วิถีพุทธวิธีไทในยุคบริโภคนิยม
พระไพศาล วิสาโล
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
การบริโภคเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ในอดีตสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายบริโภคนั้น ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ตนผลิตมากับมือ หรือไม่ก็หามาได้ด้วยตนเอง ไม่ว่า อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่บริโภคสิ่งที่ตนไม่ได้ผลิต เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปเยือนหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคอีสานราว ๑๐๐ ปีที่แล้ว พระองค์ได้พบว่าชาวบ้านทุกครัวเรือนสามารถผลิตปัจจัยสี่พอเพียงกับความต้องการ ดังทรงบันทึกว่าทุกบ้าน “ทำสวนปลูกผักฟักแฟงที่กินเป็นอาหาร กับคอกเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ลานบ้านนอกรั้วออกไปทำไร่ฝ้ายและสวนกล้วยสวนพลู สวนปลูกต้นหม่อนสำหรับเลี้ยงไหม กับคอกเลี้ยงวัวควาย ต่อหมู่บ้านออกไปถึงทุ่งนา พวกชาวบ้านต่างมีนาทำทุกครัวเรือน...ทุกครัวเรือนสามารถหาอาหารและสิ่งซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ในการเลี้ยงชีพได้โดยกำลังลำพังตน เพียงพอไม่อัตคัด” มีสิ่งของเพียงไม่กี่อย่างที่ชาวบ้านต้องซื้อเช่น มีดพร้าและไม้ขีดไฟ เท่านั้น
กล่าวได้ว่านี้คือวิถีชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ในอดีต ส่วนวิถีชีวิตของผู้คนในส่วนอื่น ๆ ของโลกก็ไม่ได้ไกลไปจากนี้มากนัก นั่นคือ ต้องการบริโภคอะไร ก็ลงมือทำขึ้นหรือหามาด้วยตนเอง เงินหรือการซื้อขายมีบทบาทน้อยมาก สิ่งที่เรียกว่า “ผู้บริโภค” หรือผู้ที่บริโภคสิ่งที่ตนไม่ได้ผลิตเป็นส่วนใหญ่นั้น เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในสังคมไทยเมื่อไม่ถึงร้อยปีมานี้เอง การขยายตัวของระบบทุนนิยมผ่านกลไกตลาด (market capitalism) ทำให้เกิดการซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย โดยมีเงินเป็นสื่อกลาง ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป ไม่ว่าชุมชนใดที่เศรษฐกิจแบบตลาดเข้าไปถึง ผู้คนก็เปลี่ยนจากการผลิตเพื่อบริโภคใช้สอยเอง มาเป็นการผลิตเพื่อขาย แล้วเอาเงินที่ได้นั้นไปซื้อของที่ต้องการบริโภคอีกที ในชนบทนั้นสิ่งที่ผู้คนผลิตนั้นเจ้าตัวยังสามารถเอามาบริโภคได้ เช่น ข้าว หรือผัก แต่ถ้าเป็นในเมืองสิ่งที่ผู้คนผลิตส่วนใหญ่เอามาบริโภคได้น้อยมาก เช่น ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ หรือสินค้าบริการ อาทิ ตัดผม ทำบัญชี
สังคมที่ผู้คนผลิตสิ่งที่ตนไม่ได้บริโภค และบริโภคสิ่งที่ตนไม่ได้ผลิต เราเรียกว่าสังคมบริโภค แต่นี่เป็นเพียงลักษณะเบื้องต้นของสังคมบริโภค ในสังคมแบบดั้งเดิม สิ่งที่ผู้คนบริโภคนั้นมักเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิต ได้แก่ปัจจัยสี่ แม้เพียงเท่านี้ก็ใช่ว่าจะมีบริโภคได้พอเพียงกับความต้องการ บางปีบางช่วงก็อัตคัดขัดสน ด้วยเหตุนี้การอดออม การประหยัดมัธยัสถ์ และการเคารพปัจจัยสี่ โดยเฉพาะอาหาร จึงถือเป็นคุณธรรมสำคัญในสังคมดังกล่าว แต่ในสังคมบริโภค สิ่งที่คนส่วนใหญ่บริโภคนั้น หาใช่สิ่งจำเป็นพื้นฐานไม่ แต่มักเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้ความเพลิดเพลิน หรือหรูหราฟุ่มเฟือย เช่น โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์มือถือ เครื่องสำอาง เครื่องประดับ แม้แต่อาหารก็ไม่ได้กินเพื่อประทังชีวิต แต่เพื่อความเอร็ดอร่อย เพื่อแสดงสถานภาพ หรือเพื่อสังสรรค์บันเทิง ขณะเดียวกันการใช้เวลาว่างก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่ผู้คนใช้เวลาว่างด้วยการทอผ้า สานตะกร้า หรือร้องรำทำเพลง ก็เปลี่ยนมาเป็นการจับจ่ายใช้สอยหรือบริโภคสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลิน เช่น เดินห้าง ท่องเที่ยว ดูโทรทัศน์ ฟังเพลง ชมคอนเสิร์ต ในสังคมบริโภค การประหยัดมัธยัสถ์ถูกลดความสำคัญลง การอวดมั่งอวดมี การประชันขันแข่งด้วยวัตถุสิ่งเสพ หรือการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย กลายเป็นค่านิยมที่แพร่หลาย ซึ่งแม้แต่รัฐบาลก็สนับสนุนด้วยการออกนโยบายต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นผู้คนให้บริโภคมาก ๆ
จะเห็นได้ว่า เงินและวัตถุสิ่งเสพมีความสำคัญอย่างมากต่อวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมบริโภค และเมื่อมองให้ลึกลงไป จะพบว่าสิ่งที่เป็นรากเหง้าของวิถีชีวิตดังกล่าวก็คือ ความเชื่อว่าความสุขนั้นจะได้มาก็ด้วยการบริโภค ยิ่งบริโภคหรือมีวัตถุสิ่งเสพมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้การแสวงหาเงินตราและครอบครองวัตถุสิ่งเสพให้ได้มากที่สุดจึงเป็นจุดหมายสูงสุดของผู้คนในสังคมบริโภค
ทัศนคติดังกล่าวแม้จะมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย แต่ไม่เคยแพร่หลายอย่างกว้างขวางทั่วทั้งสังคมไทย จวบจนเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งนี้เพราะในอดีต ผู้คนส่วนใหญ่ยังได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศาสนา จึงเชื่อว่ามีความสุขที่พ้นไปจากวัตถุ ที่เรียกว่านิรามิสสุข ได้แก่ความสุขทางจิตใจที่เกิดจากการทำความดี บำเพ็ญกุศล หรือปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา ความคิดในเรื่องชาติหน้าทำให้ผู้คนตระหนักว่าทรัพยสมบัติหรือวัตถุสิ่งเสพนั้นไม่มีความยั่งยืน และให้ผลได้อย่างมากก็ในชาตินี้เท่านั้น แต่เมื่อตายไปแล้วก็ไม่สามารถเอาไปด้วยได้ มีแต่บุญกุศลเท่านั้นที่จะบันดาลความสุขในชาติหน้าได้ ดังนั้นจึงมุ่งบำเพ็ญกุศลมากกว่าที่จะแสวงหาและสะสมทรัพย์สมบัติ โดยที่ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยในอดีตก็ถือเอานิพพานเป็นจุดหมายของชีวิต ดังนั้นจึงมิได้ให้ความสำคัญกับวัตถุมาก
อันที่จริงสภาพเศรษฐกิจของสังคมในอดีต ก็มีส่วนที่ทำให้ผู้คนไม่ให้ความสนใจกับเงินตราและวัตถุสิ่งเสพมากนัก เพราะถึงจะมีเงินมากเพียงใดก็ซื้อหาอะไรไม่ได้มาก เนื่องจากสิ่งที่ซื้อขายใน “ตลาด”นั้นมีไม่มากนัก และส่วนใหญ่ชาวบ้านก็ผลิตได้เองอยู่แล้ว ดังเห็นได้จากหมู่บ้านที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้กล่าวถึง มีเพียงแต่มีดพร้าและไม้ขีดไฟเท่านั้นที่ชาวบ้านจำเป็นต้องใช้เงินซื้อ ดังนั้นแม้ชาวบ้านจะมีเงินไม่มาก แต่เงินที่มีนั้นก็มาก “พอซื้อของที่ต้องการทุกอย่าง” สภาพเช่นนี้ทำให้เงินไม่มีความสำคัญมาก แต่ทั้งหมดนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อการคมนาคมสะดวกขึ้น เศรษฐกิจแบบตลาดเข้าถึงหมู่บ้านส่วนใหญ่ ขณะที่อุตสาหกรรมก็เจริญมากขึ้น ทำให้มีสินค้านานาชนิดเข้ามาวางขาย ซึ่งส่วนใหญ่ชาวบ้านไม่สามารถผลิตได้เอง ซ้ำยังถูกกระตุ้นให้เกิดความต้องการมากขึ้น เงินจึงมีความสำคัญยิ่งกว่าเดิม หมดยุคที่ชาวบ้านมีเงิน “พอซื้อของที่ต้องการทุกอย่าง” การณ์กลับกลายเป็นว่า มีเงินมากเท่าไรก็ซื้อสินค้าต่าง ๆ ที่มาวางขายได้ไม่หมด ดังนั้นถ้าอยากได้ของมาก ๆ ก็ต้องหาเงินให้ได้มาก ๆ เงินจึงกลายเป็นจุดหมายสำคัญของชีวิต
ทัศนคติแบบวัตถุนิยมจึงเกิดขึ้นควบคู่กับสังคมบริโภค อย่างไรก็ตามทัศนคติแบบวัตถุนิยมในสังคมบริโภคนั้นมีลักษณะพิเศษตรงที่เน้นหนักและแสดงออกด้วยการบริโภคเป็นด้านหลัก โดยถือว่าการครอบครองวัตถุนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับการบริโภคให้ผู้อื่นได้เห็น หรือแสดงออกด้วยการอวดมั่งอวดมีให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้เพราะการบริโภคนั้นมิได้มีจุดหมายเพียงเพื่อความสุขทางกายเท่านั้น หากยังมีจุดหมายเพื่อแสดงออกซึ่งตัวตน ทั้งเพื่อตอกย้ำแก่ตัวเอง และเพื่อให้ผู้อื่นรับรู้