การตายในบทนี้เป็นการตายที่ไม่เกี่ยวกับบาดแผล แต่เป็นการตายที่เกี่ยวกับนิติเวชศาสตร์ ซึ่งในบทนี้ได้รวบรวมการตายต่างๆไว้
การตายจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงของร่างกาย (Death Due to changes of Temperature)
ปกติร่างกายจะมีอุณหภูมิประมาณ37องศาเซลเซียส การดำรงอุณหภูมิของร่างกายเกิดขึ้นจากการเผาผลาญอาหารที่บริโภคเข้าไปใน ระดับเซลล์ จากการทำงานของ ร่างกาย และความร้อนจากสิ่งแวดล้อม ร่างกายเสียความร้อนจากการพาความร้อนออกไปเช่นการที่มีลมพัดพาเอาความร้อน ออกไป การแผ่รังสีความร้อนจากร่างกาย เช่นร่างกายอยู่ในอุณหภูมิรอบข้างที่ต่ำกว่าความร้อนจะค่อยๆลดลงได้ และการระเหยของน้ำจากร่างกายเช่นการที่มีเหงื่อออกตามผิวหนังแล้วเหงื่อ ระเหยกลายเป็นไอรวมทั้งการที่น้ำจากปอด กลายเป็นไอด้วย ทำให้ร่างกายได้ใช้ความร้อนออกไปในการแปรสภาพเหงื่อให้กลายเป็นไอซึ่งจะใช้ ประมาณ 12 - 16 แคลอรี่ต่อชม.
การเสียความร้อนที่ผิวหนังจะลดลง ถ้ามีไขมันใต้ผิวหนังมากหรือหนา
การเสียความร้อนจะเพิ่มขึ้น ถ้าเส้นเลือดที่ผิวหนังขยายตัว
ถ้าคนนั่งไม่สวมเสื้อผ้าอยู่ในห้อง ความร้อนที่เสียไปจะเป็นโดยการพา 15% โดยการแผ่รังสี 60% และโดยการระเหยของน้ำในร่างกาย22%
ถ้าอุณหภูมิรอบข้างสูงกว่าร่างกายแทนที่จะเสียความร้อนร่างกายกลับจะได้รับ ความร้อนเพิ่มขึ้นจากการแผ่รังสี จึงต้องให้มีเหงื่อออกมากขึ้นเพื่อลดความร้อนลง ความชื้นของอากาศมีส่วนทำให้การระเหยของเหงื่อลดลง
การสวมเสื้อผ้าทำให้การแผ่รังสีลดลง ส่วนการพาความร้อนจะลดลงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของผ้า เสื้อผ้าฝ้ายสามารถทำให้การระเหยเหงื่อเท่ากับหรือเกือบเท่ากับไม่ได้สวม แต่ถ้าเป็นเสื้อหนังการระเหยเหงื่อจะลดลงอย่างมาก
การตายจากการได้รับความร้อนมากเกินไป (Heat Stroke)
เกิดเมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดความร้อนออกไปให้พอดีกับความร้อนที่ได้รับ จะเกิดการสะสมความร้อนในร่างกายจนเกิดอันตราย เรียกว่า heat stroke
ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆถึง105-106องศาฟาเร็นไฮท์ ผิวหนังจะร้อน แห้ง ระบบประสาทส่วนกลางเริ่มทำงานผิดปกติ ผู้เป็นโรคพิษสุราเรื้อรังหรือใช้ ยาจำพวก ยาคลายเดรียดหรือยากดประสาทจะง่ายต่อการได้รับอันตรายเพราะการดำเนินการ ทำลายความร้อนเสียไป
การจะวินิจฉัยว่าตายจากความร้อนขึ้นสูงนี้ต้องตรวจวัดอุณหภูมิของร่างกายได้ เกินกว่า 105 - 106 องศาฟาเร็นไฮท์ ในบางคนอาจจะเกิดจากการออกกำลังมากเกินไป เช่น ทหารที่ฝึกอย่างหนักกลางแสงแดดที่แผดร้อน และระบายความร้อนไม่ทัน ในผู้สูงอายุอาจจะเกิดอาการจากการมีคลื่นความร้อนเป็นเวลาหลายๆวันเช่น ประมาณ6-7วัน โดยเฉพาะพวกที่มีโรคทางระบบไหลเวียนโลหิตอยู่ก่อนจะยิ่งมีอาการได้ง่ายหรือ โรคที่มีอยู่กำเริบ
การตายจากความร้อนอาจพบในเด็กที่ทิ้งไว้ในรถยนต์กลางแดดจัด มีการทดลองโดยวัดอุณหภูมิในรถพบว่าขึ้นถึง60องศาเซลเซียส หรือ136องศาฟาเร็นไฮท์ ในอีกรายงานหนึ่งทดลองในรถขนาดเล็กกับขนาดใหญ่พบว่ารถเล็กร้อนเร็วกว่ารถ ใหญ่คือถึง70องศาเซลเซียส ทั้งที่อุณหภูมิภายนอก(กลางแดด)เพียง44องศาเซลเซียส
ในอาสาสมัครทำการทดลอง จะพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หายใจขัด รู้สึกร้อน เสียสมาธิ อ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก ต่อมาเหงื่อแห้ง และร้อนมากขึ้น หัวใจเต้นเร็ว รู้สึกเหมือนจะเป็นลม ชาตามมือเท้า หน้าแดงแล้วเปลี่ยนเป็นคล้ำจากการเริ่มมีระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิตกำลังจะ ไม่ทำงาน จึงได้หยุดการทดลองก่อน ที่จะหมดสติและตาย
การผ่าศพที่ตายจากเหตุนี้ไม่พบพยาธิสภาพที่ชัดเจน ลักษณะที่พบคือหัวใจล้มเหลว ถ้าผู้ป่วยอยู่ได้เกิน24ชม.การตรวจศพอาจจะพบปอดอักเสบ เนื้อไตสลายตัว(tubular necrosis) เลือดออกในต่อมเหนือไต เนื้อตับสลายตัว(necrosis of liver) การให้การวินิฉัยจะเป็นการวัดอุณหภูมิโดยทางทวารหนักและต้องได้อุณหภูมิสูง
การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในร่างกายอย่างรวดเร็วอาจจะเกิดจากการได้ยาสลบบาง ชนิด ทำให้ร่างกายจะมีอุณหภูมิขึ้น1องศาเซลเซียสทุก5นาที และอาจจะสูงถึง43องศา มีอาการ หัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะ อุณหภูมิสูง กล้ามเนื้อแข็ง และอาจจะตามด้วยกล้ามเนื้อถูกทำลาย Kสูง การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
การตายจากความเย็น (Hypothermia)
จะถือว่าร่างกายเริ่มเข้าข่ายการได้รับความเย็นจะนับตั้งแต่อุณหภูมิของ ร่างกายลงมาที่35องศาเซลเซียส จะเกิดเมื่อเสียความร้อนออกไปมากกว่าการสร้างขึ้น คนกินเหล้าหลับในที่หนาวเย็นจะเป็นอันตรายจากอุณหภูมิของร่างกายลดได้ง่าย การติดอยู่ในหิมะ ตกลงไปในน้ำเย็น ซึ่งอุณหภูมิจะลดลงได้เร็วเป็น3เท่าเมื่อเทียบกับอยู่บนบก เพราะน้ำนำความร้อนได้ดีกว่าอากาศ20-25เท่า ในเด็กอุณหภูมิจะลดง่ายกว่า การตายมักเป็นอุบัติเหตุ
กลไกของร่างกายในการต่อต้านการเสียความร้อนคือ เส้นเลือดผิวหนังจะหดตัว สร้างอุณหภูมิโดยการสั่นของกล้ามเนื้อ(ซึ่งสามารถเพิ่มความร้อนได้5เท่าของ ปกติ) และการเพิ่มการเผาผลาญอาหารในเซลล์ซึ่งต้องอาศัยไขมัน ในกรณีนี้เด็กที่มีไขมันมากอาจจะเพิ่มอุณหภูมิได้อีกหนึ่งเท่าตัว ในผู้ใหญ่ที่มีไขมันน้อยอาจเพิ่มได้เพียง 10-15%เท่านั้น
ถ้าร่างกายมีอุณหภูมิลดลงจนถึง32องศาเซลเซียสแล้ว การลดลงของอุณหภูมิต่อไปจะยิ่งเป็นไปโดยรวดเร็ว และการเผาผลาญอาหารหรือปฏิกิริยาต่างๆ ทางเคมีในร่างกายจะเสียไป
อาการเมื่อมีการเสียความร้อน คือ การหายใจช้าลงและตื้น ชีพจรช้า เริ่มชา สติเลอะเลือน มีภาพหลอน มีปฏิกิริยาช้า การสั่นของกล้ามเนื้อหายไป การควบคุมอุณหภูมิจากก้านสมองเสียไป หมดสติเมื่อถึง 30 องศา และไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง (คือโคม่า)ที่ 27 องศา ระหว่าง 27 - 25 องศาเริ่มมีหัวใจเต้นริก
ถึงแม้จะพบการตายจากการเสียความร้อนมักมีแอลกอฮอล์เสมอ แต่การทดลองกลับพบว่า ตัวแอลกอฮอล์เองมีผลในการป้องกันหัวใจเต้นริก โดยการฉีดแอลกอฮอล์ให้มีระดับในเลือดประมาณ400มิลลิกรัม%โดยมีอุณหภูมิ25-26 องศา อาสาสมัครไม่ปรากฏหัวใจเต้นริก
การแช่ในน้ำเย็น 4-9 องศาอาจอยู่ได้ 70 นาที - 2ชม. 0 องศาอาจอยู่ได้ 30 นาที เกินกว่า 20 องศาอยู่ได้ไม่จำกัด ส่วนการตายด้วยความเย็นบนบก ขึ้นอยู่กับเหตุ อีกหลายอย่างเช่นลม และความชื้น
การตรวจศพ พบว่าลิวิดิตี้มีสีออกแดงสด เนื่องจากมีอ๊อกซี่ฮีโมโกลบินมาก บางที่ศพจะซีดขาวทั้งตัวและอาจจะมีสีน้ำเงินจางๆที่มือ ศอก เข่า แสดงถึงอาการ "หิมะกัด"(frostbite)ซึ่งการตรวจทางกล้องจุลทรรศน์จะพบลักษณะว่ามีการบวม และมีเลือดคั่งมากที่ผิวหนัง และมีเม็ดเลือดขาวรอบๆเส้นเลือดเล็กน้อย
ถ้าผู้ป่วยสามารถอยู่ได้ช่วงเวลาหนึ่งเมื่อตายจะพบการเปลี่ยนแปลงเช่น มีตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน มีแผลที่ผนังกระเพาะและลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ปอดอักเสบ เนื้อไตสลายตัว กล้ามเนื้อหัวใจสลายตัว
ผู้ตายมักถูกพบว่าไม่นุ่งเสื้อผ้า เนื่องจากมีภาพหลอนว่าร้อนจากการที่ศูนย์ควบคุมความร้อนเย็นที่ก้านสมองเสียไป
ในคนที่เป็นโรคเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบอยู่แล้ว เมื่อกระทบอากาศเย็นจะเกิดอาการ ยิ่งเย็นยิ่งมีโอกาสเกิดมาก โดยการหายใจเอาอากาศเย็นเข้าไป
การตายทันทีหลังการต่อสู้ขัดขืน (Sudden death during or immediate after violent struggle)
พบน้อยมาก เกิดขึ้นได้ในผู้ที่ต่อสู้ขัดขืนการจับกุม(โดยเฉพาะพวกที่ใช้ยาเสพติดหรือ กินเหล้า) เมื่อจับกุมเสร็จ เกิดหมดสติทันที และตาย การตรวจศพ มักไม่พบเหตุตาย แพทย์จะถูก กล่าวหาจากญาติหรือผู้เห็นเหตุการณ์ว่าช่วยตำรวจ เห็นตำรวจทำร้ายคนตายชัดๆหมอยังบอกว่าไม่พบอะไร
กลไกในการเกิด คือ ระหว่างการต่อสู้ขัดขืน(กอดปล้ำ)ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนจากต่อมเหนือไต caticholamine ซึ่งเมื่อรวมกับแอลกอฮอล์แล้วจะทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะง่าย และยาจำพวก โคเคน, แอมเฟตตามีน, propylhexadrine, ทินเนอร์ ล้วนแล้วแต่มีผลทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะทั้งสิ้น ปัญหาคือจะระบุว่าเป็นอุบัติเหตุ หรือ เป็นฆาตกรรม
ต้องยอมรับว่าในกรณีนี้เป็นผู้อื่นทำ แต่ไม่ใช่ฆาตกรรม
หัวใจหยุดเต้นระหว่างออกกำลังกาย (Cardiac Arrest during Exercise)
เกิดจากหัวใจขาดเลือด เต้นผิดจังหวะ และตาย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างการออกกำลังกาย เนื่องจากขณะออกกำลังกายเมื่อขึ้นถึงจุดความดันขึ้นถึง160-220 หัวใจเต้น180-200ครั้ง norepinephrineขึ้น10เท่า epinephrineขึ้น 3เท่า เมื่อหยุดออกกำลังกาย ฮอร์โมนทั้ง2ตัวนี้จะยังเพิ่มสูงขึ้นต่อไป แต่ความดันและการเต้นของหัวใจกำลังลดลงทำให้การทำงานของหัวใจผิดปกติไป นอกจากนั้นในผู้ที่เครียดมากๆเมื่อออกแรงก็พบว่ามีการตายได้ง่ายด้วย เพราะความเครียดสามารถทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ อยู่แล้ว
ตายจากการอดอาหาร (Starvation)
ปกติคนต้องการอาหารประมาณวันละประมาณ 23 แคลอรี่ต่อกิโลกรัมต่อวัน คนน้ำหนัก 70 กิโลกรัมนอนเฉยๆต้องการแคลอรี่ 1650 แคลอรี่ต่อวัน
การเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกายเป็นดังนี้ นอนหลับใช้ 65 แคลอรี่/ชม. ตื่นอยู่เฉยๆใช้ 77 แคลอรี่/ชม. เดินช้าๆใช้ 200 แคลอรี่/ชม. วิ่งใช้ 560 แคลอรี่/ชม. เดินขึ้นบันไดใช้ 1,100 แคลอรี่/ชม. คนทำงานแบกหามอาจจะใช้ถึง 6,000 - 7,000 แคลอรี่ต่อวัน
อาหารแบ่งออกเป็นคาร์โบไฮเดรด โปรตีน และไขมัน คาร์โบไฮเดรดเป็นส่วนที่ให้กำลังงานซึ่งจะเก็บไว้ในรูปของไกลโคเจนในตับ ในกล้ามเนื้อ และกลูโคสในเลือด ประมาณ 1,200 แคลอรี่
ฉะนั้นถ้าไม่กินอาหารภายใน 24 ชม.คาร์โบไอเดรดที่สะสมอยู่จะหมดและร่างกายเริ่มจะต้องใช้ ไขมันและโปรตีนเป็นแหล่งพลังงาน และเมื่อเริ่มใช้ไขมัน ก็เริ่มมีคีโตน(ketone)ในเลือด ถ้าประมาณว่าไขมันมีอยู่ 20 - 25%ของน้ำหนักตัวในชาย และ25 - 30%ในหญิง และต้องใช้แคลอรี่ วันละ 2,000 ก็จะสามารถอยู่ได้ถึง 60 - 70 วัน จากนั้นจะต้องใช้โปรตีน เมื่อเริ่มเอาโปรตีนไปใช้ในการให้พลังงานแก่ร่างกายแล้ว ร่างกายจะทรุด อย่างรวดเร็วและตายเมื่อใช้โปรตีนเพียงไม่ถึง 20%
อาการของคนอดอาหารคือ หิว หิวจนปวดท้องในวันแรก จากนั้นจิตใจและร่างกายเกิดการเหนื่อยล้า เปลี้ยมากขึ้นเรื่อยๆ จิตใจเริ่มผิดปกติ หมดความสนใจตัวเอง สิ่งแวดล้อม และหมดสติ
การตรวจศพพบว่าผิวหนังบาง ไม่มีไขมันใต้ผิวหนัง ผิวหนังแห้ง หรือสีน้ำตาล กล้ามเนื้อลีบเล็ก อวัยวะภายในทุกส่วนลีบเล็กยกเว้นสมอง ลำไส้เล็กบวมแดงและอาจ จะมีแผล
การอดอาหารแต่ไม่อดน้ำ จากรายของคนหนุ่มที่แข็งแรงเป็นการประท้วงทางการเมืองในไอร์แลนด์เหนือ พบว่าสามารถอยู่ได้ 57 - 73 วัน เฉลี่ย 60 วัน
การตายจากภูมิแพ้ (Anaphylactic Death)
สิ่งที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ คือ แมลงกัดต่อย ยา และอาหาร อาการของภูมิแพ้คือ คัน ผื่น แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด หายใจลำบาก แล้วหมดสติ มักเกิดอาการใน 15 - 20 นาที
เกิดโดยมีการบีบรัดของหลอดลม การขยายตัวของเส้นเลือดและการซึมน้ำมากขึ้นของผนังเส้นเลือด เซลล์ในเลือดและเนื้อเยื่อบางชนิด คือ mast cells และ basophils จะให้สารต่างๆที่ทำให้เกิดอาการนี้ การตายเกิดจากหลอดลมบวมและบีบตัวอย่างแรงและเส้นเลือดขยายตัว
การตายจากแพ้แมลงกัดต่อย อาจจะตรวจได้โดยเจาะเลือดหาภูมิต้านทาน(IgE antibody) ต่อผึ้ง ต่อแตนได้ แต่ 1%
กรดและด่างเข้าตา((Injury of the Eye due to Acids and Alkalis)
เครติตเวป
http://www.ifm.go.th/ifm-book/ifm-textbook/150-death-due-to-changes-of-temperature.html