เชียงราย - ทหาร-ปกครอง-ป่าไม้ ฯลฯ นำกำลังบุกยึดคืนพื้นที่ป่าต้นน้ำของอ่างโครงการพระราชดำริแม่เปิน คืนจากนายทุนใหญ่แล้วหลายร้อยไร่ พร้อมแจ้งความดำเนินคดีนำร่อง ก่อนเดินหน้ายึดพื้นที่ ที่เหลืออีกหลายพันไร่ที่ถูกฮุบ-ปักหมุดครองที่ดินจนติดวนอุทยานหน้าตาเฉย พบเคยไล่ชาวบ้านพ้นพื้นที่ เป็นต้นเหตุยุบโครงการเพาะสัตว์ป่า แฉมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ร่วมถือครองด้วยวันนี้ (22 ธ.ค.) นายธงชัย ศิริพัฒนานุกูลชัย ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.เชียงราย, นายขจรศักดิ์ ธรรมโม ผอ.ส่วนป้องกันรักษาป่า, นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผอ.ส่วนป้องกันและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 ได้นำคณะทำงานตรวจสอบการบุกรุกป่าพื้นที่ต้นน้ำอ่างเก็บน้ำโครงการพระราชดำริ แม่เปิน ต.ป่าตึง และ ต.ป่าซาง อ.แม่จัน ซึ่งประกอบไปด้วย ทหาร จาก จทบ.เชียงราย-ทหารพราน-นายทหารจาก กอ.รมน.-ฝ่ายปกครอง-ป่าไม้ ออป.กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านกว่า 100 คน บุกเข้าไปตรวจยึดพื้นที่ป่า ที่กลุ่มนายทุนได้บุกรุกถือครองและทำกินเป็นบริเวณกว้าง โดยมีการปรับสภาพพื้นที่ ตัดต้นไม้ สร้างสิ่งปลูกสร้าง ติดตั้งระบบประปา ฯลฯ ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ ฯลฯ จนถึงขั้นข่มขู่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่จะเข้าไปตรวจสอบด้วยอาวุธ และมีการแจ้งความดำเนินคดีกับที่ สภ.แม่จัน มาแล้ว
ผลการตรวจสอบบริเวณหมู่บ้านป่าเมี่ยง หมู่ 5 ต.ป่าตึง อ.แม่จัน พบว่า เป็นเขตสูงชันอยู่ใกล้กับศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์ป่าแม่จัน โดยมีการตัดถนนลัดเลาะตามไหล่เขาขึ้นไปยังพื้นที่ประมาณ 5,000 ไร่ และมีการทำประโยชน์ทั้งในพื้นที่ป่าที่อยู่ในการดูแลของวนอุทยานแม่สลอง จำนวน 295 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา และพื้นที่ของ ออป.จำนวน 221 ไร่ รวมทั้งหมดประมาณ 516 ไร่ โดยเฉพาะในเขตของวนอุทยานแม่สลอง มีการสร้างเป็นบ้านพัก 4 หลัง ห้องน้ำ 1 หลัง และระบบประปา ท่อประปา ตัดไม้บางส่วน ปรับพื้นที่ ฯลฯ แต่ไม่พบตัวนายทุนและคนงานแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ตลอดทั่วบริเวณมีการปักหมุดรังวัดที่ดินโดยกรมที่ดินเอาไว้ให้เรียบร้อย ทั้งที่พื้นที่ส่วนใหญ่มีต้นไม้ใหญ่ และคงสภาพของป่าไม้ที่สมบูรณ์ชัดเจน ขณะที่ทางศูนย์เพาะพันธุ์สัตว์ป่า อ.แม่จัน แจ้งว่า ปัจจุบันได้เพาะพันธุ์สัตว์ป่าโดยเฉพาะสัตว์ปีกจำนวนมาก และจะขยายพื้นที่ป่าครอบคลุมเขตที่กลุ่มทุนบุกรุก เพื่อให้สัตว์ได้อยู่อย่างกว้างขวางคล้ายชีวิตในป่า แต่โครงการนี้ก็ล้มเลิกไปเพราะมีการบุกรุก
เจ้าหน้าที่ที่ทำการสำรวจจึงได้ร่วมกันไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.แม่จัน เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายสมจิตร เทพภักดี นายทุนจาก จ.นครศรีธรรมราช และ นายสมบัติ มงคลมั่งสกุล นายทุนผู้เป็นผู้แจ้งขอให้เจ้าหน้าที่ที่ดินเข้าไปทำการรังวัดและช่วงนั้นยังได้เข้าไปทำประโยชน์จากพื้นที่ป่าดังกล่าวในข้อหายึดถือและครอบครองป่าวนอุทยาน เพื่อทำประโยชน์ให้กับตัวเองและผู้อื่นเกิน 25 ไร่ ตามมาตรา 54 มาตรา 72 แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ปี 2484 และข้อหาเข้าไปยึดถือครอบครองหรือทำลายที่ดินของรัฐเกิน 50 ไร่ ตามมาตรา 9 และมาตรา 108 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน 2497
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่ที่ถูกกลุ่มทุนเข้าไปทำประโยชน์ ยังมีอีกกว้างขวางหลายพันไร่ และพบมีการปักหมุดของกรมที่ดินเอาไว้เหมือนๆ กันทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดและดำเนินคดีเฉพาะพื้นที่ของป่าไม้ และ ออป.ก่อน
ส่วนพื้นที่ต่อเนื่องที่เหลือเบื้องต้น พบว่า ได้ถูกกรมป่าไม้กันให้ออกจากแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน จนกลายเป็นป่าเสื่อมโทรมซึ่งกำหนดให้ทางกรมการปกครองเข้าไปดูแลบริหารจัดการ ซึ่งก็ถูกบุกรุกเป็นบริเวณกว้างจากกลุ่มคนเดียวกัน โดยชาวบ้านระบุว่า พื้นที่ป่าที่ติดกับถนนจากเขตที่เจ้าหน้าที่ยึดไปจนถึงศูนย์เพาะพันธ์สัตว์ป่า อ.แม่จัน ถูกยึดครองโดยนายทุนซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงในอำเภอคนหนึ่งจำนวนประมาณ 100 ไร่
นายนิพนธ์ กล่าวว่า คณะกรรมการได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ที่อ้างว่ามีการออก สค.1 และปักหมุดของกรมที่ดินแล้วหลายครั้ง โดยในคณะกรรมการก็มีเจ้าหน้าที่ที่ดิน อ.แม่จัน อยู่ด้วย ทำให้ได้รับทราบว่าแท้ที่จริงมีการขอออกเอกสาร สค.1 ในพื้นที่ดังกล่าวเพียงแค่ประมาณ 31 ไร่ แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าพื้นที่ได้ขยายขึ้นและเป็นเขตที่ทางวนอุทยานแม่สลองและ ออป.รวมทั้งคณะกรรมการได้ร่วมกันตรวจพบดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ในครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ที่ดินที่ร่วมไปกับคณะกรรมการ ระบุว่า สาเหตุที่มีหลักหมุดรังวัดที่ดินของกรมที่ดินทั่วบริเวณ เพราะได้มีการขอให้เจ้าหน้าที่ไปสำรวจซึ่งตามเกณฑ์แล้วที่ดินนั้นๆ จะต้องมีการแผ้วถางและทำกินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อ นายสมจิตร ได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ก็ไปทำตามหน้าที่ แต่ปรากฏว่า เมื่อรังวัดครบพื้นที่ก็มีการแผ้วถาง และขอให้รังวัดขยายวงออกไปอีก ซึ่งเจ้าหน้าที่ ก็ได้รังวัดออกไปตามคำขออีก
ชาวบ้านคนหนึ่ง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ พื้นที่เกือบทั้งหมดเป็นเขตที่ชาวบ้านใช้เพื่อทำกิน เช่น ปลูกข้าวไร่ ข้าวโพด ฯลฯ แต่เมื่อกลางปี 2553 นี้ได้มีผู้ใหญ่คนหนึ่งในพื้นที่ร่วมมือกับนายทุนปักษ์ใต้นำคนพกปืนเข้าไปข่มขู่ให้ชาวบ้านย้ายออกจากพื้นที่เสีย เพื่อแลกกับเงินจำนวนเพียงเล็กน้อยซึ่งไม่คุ้มค่า โดยตนมีไร่ข้าวโพดประมาณ 50 ไร่ และพึ่งปลูกก็ต้องย้ายออกมาโดยนายทุนให้เงินชดเชยประมาณ 25,000 บาท จากนั้นนายทุนใหญ่ก็นำเครื่องจักร เข้าไปปรับพื้นที่ทำประโยชน์ ส่วนผู้ใหญ่คนนั้นก็ปลูกกาแฟเต็มพื้นที่ของตนเอง
ด้าน นายจำลอง กันทายวง อดีตผู้ใหญ่บ้านป่าเมี้ยง กล่าวว่ายอมรับว่าเมื่อประมาณ 35 ปีก่อน สมัยปู่ย่าตายายของตนมีการออก สค.1 ให้กับชาวบ้าน แต่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบและอยู่ภายในหมู่บ้าน ส่วนพื้นที่ที่กลุ่มทุนบุกรุกครั้งนี้ไม่เคยมี สค.1 มาก่อน และเป็นป่าเขาทั้งนั้นจึงน่าสงสัยว่าได้ สค.1 มาได้อย่างไร
ที่มา
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000179878