ผมรอคำตอบอยู่ครับว่ามีตลาดไหมครับเป็ดปักกิ่งและอยากทราบว่าขายกันยังไง
ขอบคุณครับ
เรื่องของสายพันธุ์เป็ดเนื้อ หากติดตามแบบอย่างของบริษัทยักษ์ใหญ่ในเมืองไทย ศักยภาพของเป็ดเนื้อส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ เชอร์รี่ ครับ ล่าสุดที่ผมรู้คือเลี้ยงที่ 42 วัน ( เล้าระบบปิด ( อีแวป ) แบบที่ผมเลี้ยงเรียกระบบเปิด สภาพแวดล้อมทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ) น้ำหนัก 3.2 kg อัตราแลกเนื้อ 2.1 ใช้อาหาร ประมาณ 6.7 kg/ตัว ( อาหารสำเร็จรูปทั้งหมด ) ราคาอาหาร สูตรโปรตีน 16 % กก. ละประมาณ 18 บาท = ค่าอาหารประมาณ 121 บาท เขาขายกันที่ กก. ละประมาณ 60 บาท = 192 บาท/ตัว แต่....เป็ดที่ว่าจะเน้นที่ตลาดบน ( ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ) ไม่มีวางขายตามตลาดนัด หรือร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กทั่วไปครับ อีกอย่างส่วนใหญ่จะเข้าระบบ " ฟาร์มประกัน " ครับ เป็ดชนิดนี่โตเร็วมาก แต่ก็อ่อนแอ สวนทางกันครับ หากเลี้ยงไม่ดี มีโอกาสตายสูง และขาดทุนได้ครับ อีกอย่างเรื่องการขายลูกเป็ด ส่วนใหญ่บริษัทจะไม่ค่อยปล่อยออกนอกระบบครับ
โดยส่วนตัวผมคิดว่า การเลี้ยงเป็ดเพื่อส่งขายตามบ้าน หรือร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วๆ ไป ต้องดูว่าตลาดต้องการเป็ดแบบไหนครับ เช่น ตลาดต้องการเป็ด เทศ หรือบาบารี่ ( เหมือนเป็ดเทศแต่ขนสีขาว ) หรือเป็ดไข่บ้านเรา หากคุณพี่เลี้ยงเจ้า เชอร์รี่ ก็ไม่สามารถขายได้ครับ ( ค่าตัวสูง ) อีกอย่างคนไทยหากไม่เคยลอง แล้วขายแพง จะไม่ซื้อครับ เป็ดบาบารี่ ที่สวนผมก็เลี้ยงครับ เพิ่งขายยกหมดไปครับ ราคา 60 บาท/กก ก็ใช้ได้นะครับ
การเลี้ยง ให้ดูที่ความสามารถของเราเป็นเกณฑ์ครับ ผมว่า ประมาณ 50 - 60 ตัวกำลังดี สำหรับแต่ละรุ่นนะครับ ปีหนึ่ง อาจจะ 2 - 3 รุ่นก็พอครับ ( มีช่วงเวลาพักเล้า หมายถึง ไม่มีการเลี้ยงเป็ดในพื้นที่เลย เก็บกวาดขี้เป็ดออก ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ประมาณ 21 วัน ) หากเลี้ยงมากกว่านี้ จะหนักไปทางค่าอาหาร และเวลาที่ต้องเอาใจใส่มากขึ้นครับ การเลี้ยงปศุสัตว์ อย่าดูที่ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินต่อตัวนะครับ เช่น เลี้ยง 10 ตัว กำไรตัวละ 20 บาท ได้ 200 บาท หากเลี้ยง 100 ตัว ต้องได้กำไร 2,000 บาท หากคิดแแบบนี้โอกาสพลาดและขาดทุนสูงครับ เพราะเมื่อเราเลี้ยงในปริมาณที่มากการดูแลไม่ค่อยทั่วถึง ผลที่ตามมาคือเรื่องของสุขภาพเป็ดที่ไม่ค่อยแข็งแรง ป่วย และตาย บางคนอาจจะเลิกเลี้ยงไปเลยก็มีครับ
ส่วนเรื่องพันธุ์เป็ด ให้ดูที่ตลาดต้องการก่อนครับ เป็ดอี้เหลียงก็สายพันธุ์ใกล้เคียงกับเป็ดปักกิ่ง หรือ เชอร์รี่ครับ อัตราแลกเนื้อต่ำ โตเร็วครับ โดยทั่วๆไปราคาจะสูงครับ หากตลาดรับได้ ก็เลี้ยงได้ครับ ( อย่าลืมว่าเป็ดที่โตเร็ว เนื้อจะไม่แน่น และกระดูกจะอ่อนกว่าครับ )
ปัจจัยสำคัญที่สุด คือ " เรื่องอาหาร " ครับ ประมาณ 80 - 85 % เป็นต้นทุนหลักในการเลี้ยงครับ หากสามารถประหยัดได้ ( อาหารสูญเสียน้อย ) ก็มีโอกาสกำไรครับ ส่วนเรื่องสูตรอาหาร ยังไงก็คงต้องมีหัวอาหาร ยืนพื้นครับ เพื่อชดเชยสารอาหารที่ขาดจากวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่นๆ ครับ เช่น รำละเอียด ข้าวโพด ปลายข้าว สามารถเสริมพวกผัก หญ้าได้ครับ
ประเด็นสำคัญมากๆ สำหรับการเลี้ยงให้ประสบความสำเร็จครับ
1.การจัดการ
2.สายพันธุ์
3.อาหาร
ทั้งสามส่วนสำคัญพอๆกันครับ แต่ทั่วไปๆ ทุกคนจะมองไปที่ สายพันธุ์ ก่อนเสมอ และที่ทุกคนมองข้ามคือ " เรื่องการจัดการ " ครับ ต่อให้ใช้พันธุ์ดีแค่ไหน ( เปรียบเหมือนรถเบนซ์ ) หากเลี้ยงไม่ดี ( คนขับไม่รู้เรื่อง ) ก็ไม่สามารถแสดงศักยภาพของสายพันธุ์ได้ตามมาตรฐานได้ครับ ( รถไม่แรง หรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ครับ ) ผมถึงให้เรื่องการจัดการมาก่อนเสมอครับ เมื่อการจัดการนิ่งดีแล้ว ค่อยขยับไปที่สายพันธุ์ครับ
สำหรับเป็ดไข่ตัวผู้+เป็ดเทศตัวเมีย ได้มาเป็นเป็ดปั๊วฉ่าย ผมเคยทดลองครับ ลักษณะคล้ายๆเป็ดไข่ โตเร็วดีครับ แต่ที่สำคัญ เป็ดเทศจะไม่ค่อยยอมให้ผสมพันธุ์ครับ ต้องลุ้นกันนานๆครับ
สรุปนะครับ
พันธุ์เป็ดที่โตเร็วครับ
1.เชอร์รี่
2.ปักกิ่ง
3.อี้เหลียง
ทั้งสามตัวข้างบน สายพันธุ์ใกล้เคียงกันครับ หากจับมาปล่อยรวมกันแยกจากกันลำบากครับ ยิ้มเท่ห์ สายพันธุ์ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันเลือดชิดขนาดไหนแล้ว ( สำหรับเกษตรกรทั่วๆไปนะครับ ) แต่สำหรับบริษัทฯ จะมีการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์มาใหม่เสมอเมื่อจบรุ่นการเลี้ยงประมาณ 80 สัปดาห์ ครับ
ลองลงมาครับ
1.บาบารี่
2.เป็ดเทศ
3.เป็ดไข่ตัวผู้
ในความคิดผม ( ส่วนตัว ) เจ้า 3 ตัวข้างบนนั่น โตเร็ว แต่ป่วยไข้ง่าย แม้ตัวจะโต อายุมากแล้วก็ตาม ต้องมีการฉีดวัคซีน และให้ยากินครับถึงจะรอด ส่วน 3 ตัวล่าง เลี้ยงง่าย ปรับเรื่องอาหาร และการจัดการนิดหน่อย ก็ใกล้เคียงแล้วครับ และสบายกระเป๋ามากกว่าครับ