เลือกคู่อย่างไรดี ..... จิตวิทยาการเลือกคู่คู่ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้คือชีวิตคู่ เมื่อเราตกลงใจแล้วว่าจะลองเล่นกับความรักดูสักครั้ง ขั้นต่อไปก็คือเราจะรักใคร และอย่างไร
โบราณกล่าวไว้น่าฟังว่า “ปลูกเรือนผิดคิดจนเรือนทลาย มีคู่ผิดคิดจนตัวตาย” คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงปัญหาอันรอบคอบมาก เพราะเมื่อเราเลือกคู่อย่างไร ลักษณะของคู่จะหล่อหลอมจิตใจเราให้เปลี่ยนไป วิถีชีวิตคู่จะเกิดขึ้นนับแต่นั้น เราจะไม่เป็นตัวของตัว
เองร้อยเปอร์เซ็นต์ จะมีความห่วงใย ความรับผิดชอบ ความผูกพัน การพึ่งพิงและข้อจำกัดของเสรีภาพ การผ่อนปรน การยอมปรับตัวตามกัน และการต้านหรือขัดแย้งกันมากมาย ตามแต่ลักษณะคู่ที่เราเลือกมา
หากได้คู่ไม่ดี ชีวิตย่อมมีแต่เรื่องเลวร้าย นำความปวดร้าวมาให้
ถ้าได้คู่ดี ก็ค่อยยังชั่ว แต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่นตลอดไป เมื่อคนดีๆสองคนมาอยู่ด้วยกัน ยังต้องปรับมาตรฐานความดีของทั้งคู่ให้ลงตัวกันอีกขั้นหนึ่ง จึงจะอยู่กันได้ หาไม่แล้วก็จะลักลั่น
กันในมาตรฐานแห่งความดี จนอาจเป็นเกลียวกันและอยู่กันไม่ได้ซึ่งก็มีมาก
ถ้าได้คู่ทั้งดีทั้งชั่ว ก็มักจะสนุก เจ็บๆ มันๆ คันๆ แสบๆ ทำนองนั้นแหละ
แต่ไม่ว่าจะได้คู่อย่างไร ภาระทางใจ ทางกาย และหน้าที่ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะแต่ก่อน
ตอนเราอยู่คนเดียว เราดูแลร่างกายและจิตใจของเราตามลำพัง ที่พระท่านเรียกว่าขันธ์ 5 อันได้แก่ร่างกาย ความรู้สึก ความทรงจำ ตัวตน และความรู้ของเราเพียง 5 ขันธ์นี้เท่านั้น ซึ่งแค่นี้ก็มักเอาไม่ค่อยอยู่แล้ว ครั้งมีคู่มาครองอีกคน ต่อไปนี้มิใช่รับผิดชอบขันธ์ 5 เพียง
ของตนเท่านั้น ต้องรับผิดชอบ 10 ขันธ์แล้ว ถ้ามีลูกหลานก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้นเป็น 15 ขันธ์ 20 ขันธ์ หรือหลายสิบ หลายร้อยขันธ์ ตามขนาดของครอบครัว
ดังนั้น เมื่อจะเลือกคู่ทั้งที มีความรักสักหน ก็ต้องดูกันให้พิถีพิถันกันหน่อย เพราะไม่อาจเลือกได้บ่อยๆนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราตั้งใจจะมอบรักแท้ที่สะอาดและจริงใจให้ใครสักคน คู่ของเราก็ต้องสะอาด และจริงใจด้วย หาไม่แล้ว จะเกิดความไม่พอดี ความลักลั่น ไม่ลงตัว และความไม่เป็นธรรมนานา อันอาจก่อให้เกิดกรรมเลวตามมาได้อีกมากมาย
ทุกคนต้องมีคู่หรือไม่
ต่อคำถามที่ว่าทุกคนต้องมีคู่หรือไม่
คำตอบตรงๆ คือ ไม่จำเป็น
ถ้าจะถามว่า แล้วควรมีหรือไม่
คำตอบ คือ แล้วแต่จุดมุ่งหมาย
บุคคลที่อยู่ในระดับสูงของวิวัฒนาการแล้ว และมีคุณสมบัติเป็นมนุษย์พิเศษจำนวนมากที่ไม่มีคู่ชีวิต เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระกัจจายนะ พระรัฎฐปาล และพระราหุล เป็นต้น แต่บุคคลเหล่านี้จะมีคู่ธรรมแทน เช่นพระสารีบุตรเป็นคู่ธรรมกับพระโมคคัล
ลานะ จะเกิดด้วยกันเกือบทุกชาติ เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการปฏิบัติธรรม จนกระทั่งในชาติสุดท้ายได้สำเร็จอรหันต์ในตำแหน่งอัครสาวกด้วยกัน นับเป็นเพื่อนแท้อีกคู่หนึ่งในโลก หรืออย่างพระราหุลกับพระนางอุบลวรรณาเป็นคู่ธรรมกัน มักจะเกิดเป็นพี่น้องกันเกือบทุก
ชาติ เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลการปฏิบัติธรรมของกันและกัน นับเป็นพี่น้องที่ยืนยาวมากอีกคู่หนึ่งในโลก บุคคลเหล่านี้ท่านไม่นิยมคู่ชีวิตเพราะยุ่งยาก ไม่เป็นอิสระ ไม่เอื้อต่อความสงบ จึงมีคู่ธรรมแทน
บุคคลที่ควรจะมีคู่คือผู้ที่บำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า บุคคลเหล่านี้จะต้องฝ่าความระกำลำบากนานาประการ เป็นสัตว์ทุกชนิด เป็นมนุษย์ทุกประเภท เป็นเทวดาทุกภพทุกภูมิ เป็นพรหมทุกชั้น ต้องเคยอยู่เคยเป็นทุกอย่าง เพื่อจะได้รู้แจ้งแทงตลอดธรรมชาติ
อย่างโปร่งปรุ พระพุทธเจ้าเปรียบว่า ผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าเสมือนคนที่เห็นทะเลกำลังเดือดแล้วประสงค์จะว่ายน้ำฝ่าทะเลเดือดเพื่อจะไปช่วยมหาชน ณ ฝั่งที่ยังมองไม่เห็น ใครมีความกล้าอุทิศตนถึงเพียงนี้ จึงบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าได้ และใน
การบำเพ็ญตลอดทางอันไกลกัลป์ดารยาวนานนั้น มักจะทรงเลือกคู่บารมี เพื่อจะคอยเกื้อกูลประคับประคองกันในการปฏิบัติธรรม หากจะถามว่าพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรอยู่นั้นกับคู่บารมีของพระองค์ มีทุกข์ระหว่างกันบ้างหรือไม่ ก็บอกได้เลยว่า มีมากกว่าคน
ธรรมดาด้วย เพราะความผูกพันอันยาวนานจะฝังรากลึก เวลาสมหวังก็ดีใจลึกๆ เวลาผิดหวังก็เสียใจร้าวลึกเช่นกัน แต่คนที่จะเป็นคู่บารมีได้จะต้องอุทิศชีวิตให้แก่กันและกันได้ และต้องมีอธิษฐานจิตกำกับทุกชาติไป ดังนั้นปัญหาที่จะเกิดขึ้นจึงมักถูกคลี่คลายโดยไม่ยาก
แล้วคนทั่วไปละ ควรมีคู่หรือไม่ เรื่องนี้แล้วแต่จุดมุ่งหมายของแต่ละคน
ถ้าท่านจะเอาดีเป็นผู้วิเศษ ก็ไม่ควรมี เพราะคู่จะบั่นทอนความผ่องใสของจิตใจของกันและกันระดับหนึ่งทีเดียว
แต่ถ้าท่านจะเอาดีทางการปกครอง เป็นผู้นำของชุมชน การมีคู่ก็เป็นไปตามธรรมเนียมของโลก ที่ทำให้ท่านไม่เบี่ยงเบนจากสังคมจนเกินไป
สำหรับมนุษย์โดยทั่วไปที่ไม่ได้อธิษฐานเป็นคู่กันตลอดกาล มักจะพานพบและมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามแบบสับสน ชาติหนึ่งอาจจะเป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง พออีกชาติก็ไปคู่กับอีกคนหนึ่ง ชาติอื่นก็อาจจะไปเป็นคู่ของคนอื่นอีกเรื่อยไป ต้องเริ่มต้นเรียนรู้
ทำความเข้าใจกันใหม่อยู่ร่ำไป ครั้งมาเจอคู่คนเก่าในชาติเดียวกันก็จะหลายใจ และมักมีปัญหาความสำส่อนตามมา อันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งสิ้น จึงทำให้เกิดคู่กัด คู่กาม คู่กรรมตามแต่กรณี
ประเภทของคู่
จากความสับสนในความสัมพันธ์และความสำส่อนของบุคคล ผู้ใดที่มิได้มีคู่แท้ถาวร ทำให้เกิดคู่ประเภทต่างๆมาพัวพันชีวิตกอปรกับ คู่ถาวรของบุคคลผู้ที่มีคู่บารมีหรือคู่ธรรม จึงทำให้จำแนกประเภทคู่ต่างๆออกได้ห้าประเภท คือ คู่กัด คู่กาม คู่กรรม คู่ธรรม และคู่บารมี
คู่กัด คือคู่ที่ผูกใจเจ็บ อาฆาตพยาบาท หรือสาปแช่งกันไว้ คู่ประเภทนี้ บางทีก็มาเป็นแฟนกัน บางทีก็มาเป็นพี่น้องกัน บางทีก็มาเป็นเพื่อนกัน บางทีก็มาเป็นคนรู้จักกันในฐานะต่างๆ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร จะมีความอิจฉาริษยา การแข่งขัน กีดกัน และทะเลาะเบาะแว้ง
กันอยู่เนืองๆ เช่น คู่พระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตต์ คู่ประเภทนี้จะมีประโยชน์ประการเดียว คือ ช่วยให้เราฝึกความดีในท่ามกลางความชั่ว
การแก้หรือขจัดคู่กันเสียได้โดยเด็ดขาดนั้น สามารถทำได้โดยต่างฝ่ายต่างต้อง
สำนึกถึงภัยของพยาบาทที่ทำลายความสุขและเป็นทุกข์ของทั้งคู่ แล้วละพยาบาท ถอนคำอาฆาตเสีย ขออภัยและให้อภัยแก่กันและกัน แล้วปรองดองกัน คือเปลี่ยนจากความเป็นศัตรูมาเป็นมิตรเสียนั่นเอง
คู่กาม คือคู่ที่มีกามสัมพันธ์กันแบบสักแต่ว่าเสพกามกันไปไม่มีความผูกพันหรือเจตนาร่วมชีวิตกัน การมีคู่ประเภทนี้อาจเกิดขึ้นได้โดยกิจกาม เช่น การเที่ยวโสเภณี หรือพวกฟรีเซ็กซ์ทั้งหลาย คู่ประเภทนี้เมื่อเจอกันอีกในชาติใดๆ ก็จะมีใจกระสันเข้าหากัน แต่
ไม่มีบุญหรือบาปมารองรับจึงไม่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง และมักเป็นคู่ที่เข้ามารบกวนและทำลายความสัมพันธ์ของคู่ที่แท้จริงเป็นระยะๆในลักษณะของคู่สัมพันธ์รูปแบบต่างๆ ซึ่งบางทีเป็นเหตุให้เสียคู่ที่แท้จริงไป หรือแม้ไม่สูญเสียไป ก็ทำให้อยู่กันไม่เป็นสุข เพื่อไม่ให้
มีปัญหาแก่คุณค่าแห่งชีวิตคู่ จึงควรละคู่กามเสียให้สิ้น
คู่กรรม คือคู่ที่ได้ทำบุญหรือบาปมาด้วยกัน ทำให้มีกรรมพัวพันกัน ต้องมาเกิดมีความสัมพันธ์กันในฐานะต่างๆ เช่น เป็นพ่อแม่ลูกกันบ้าง เป็นสามีภรรยากันบ้าง เป็นพี่น้องกันบ้าง เป็นคนรู้จักเกี่ยวข้องกันบ้างตามแต่กรณี ซึ่งในแต่ละชาติก็ไม่เหมือนกัน หมุนเวียน
เปลี่ยนไป ผลัดกันเป็น เช่น ชาตินี้อาจเป็นแม่เป็นลูกกัน ชาติหน้าอาจกลับกัน เป็นลูกเป็นแม่กัน อีกชาติหนึ่งอาจเป็นศิษย์อาจารย์กัน ชาติถัดไปอาจเป็นเพื่อนกัน เป็นต้น
คู่แบบนี้จะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับกรรมที่ร่วมกันทำมา ดังนั้นควรหมั่นทำดีกับทุกคนรอบข้าง และสร้างกรรมดีร่วมกัน โดยพยายามหลีกเลี่ยงการทำเลวต่อกันและไม่ร่วมกันทำกรรมเลวใดๆ ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายในชีวิตจะได้ดีต่อกัน ซึ่งจะเป็นการสานสร้างความสัมพันธ์อันอบอุ่น มั่นคงให้เกิดขึ้นได้
คู่ธรรม คือคู่ที่ตั้งจิตอธิษฐานที่จะปฏิบัติธรรมร่วมกัน เกื้อกูลแก่กัน ซึ่งบางชาติอาจเกิดมาเป็นเพื่อนกัน บางชาติอาจเป็นพี่น้องกัน บางชาติอาจเป็นพ่อแม่ลูก บางชาติอาจเป็นอาจารย์กับศิษย์ บางชาติอาจเป็นสามีภรรยากัน ถ้าเป็นสามีภรรยากันก็จะมีความ
กันเองเสมือนเพื่อนกันมากกว่าจะเป็นสามีภรรยาทั่วไป แต่บางคู่แต่งงานกันแล้วไม่เสพกามกันเลยอยู่กันเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมกันไป ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่สะอาด คู่ประเภทนี้จะสนิทใจและวางใจซึ่งกันและกันมาก ไม่ทำร้ายทำลายหรือเรียกร้องอะไรจากกัน มีแต่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
คู่บารมี คือคู่ที่ตั้งจิตอธิษฐานที่จะบำเพ็ญบารมีร่วมกัน เผชิญสุขเผชิญทุกข์ด้วยกัน คอยประคับประคองกันให้ถึงเป้าหมายสูงสุดอันแสนไกล คู่บารมีจะมีลักษณะเป็นเพื่อนแท้ที่ยอมตายให้แก่กันและกันได้ มีความเสียสละสูง มีความถาวร จะพบกันเกือบ
ทุกชาติไป บางชาติก็อาจได้อยู่ด้วยกัน บางชาติก็อาจมีปัญหาไม่ได้อยู่ด้วยกันตามแต่กรรม แต่ก็จะเกื้อกูลกันทุกชาติไป คู่ประเภทนี้จะมีความผูกพันกันล้ำลึก เข้าใจกันได้ดี ความรักของคู่ประเภทนี้จะสะอาด จริงใจ เชื่อถือได้ แต่ก็มีปัญหาเล็กๆน้อยๆบ้าง ตาม
ประสาคนที่จิตยังไม่บริสุทธิ์
การเสาะหาคู่
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่วัยรุ่นชอบคิดกันมาก จึงควรทำความเข้าใจให้ตรงว่า
คู่ที่แท้จริงนั้นไม่ต้องเสาะหา กลไกกรรมจะนำมาเจอกันเอง หากพยายามเสาะหา มักจะได้คู่เทียมเสียเป็นส่วนใหญ่ ถ้าไปพัวพันกับคู่เทียมเพราะคิดว่าเป็นคู่แท้แล้วจะเสียใจภายหลังครั้นพบคู่ตัวจริงแล้ว แต่ตนพัวพัน แปดเปื้อน
หรือหมดอิสรภาพเสียแล้ว อาจจะทำให้เสียโอกาสที่จะอยู่กับคู่ที่แท้จริง หรือหากแก้ปัญหาได้ และมาอยู่ด้วยกันได้ในที่สุด ก็จะไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างสองคนที่มีความพัวพันทางกามารมณ์และผลประโยชน์
มาเกี่ยวข้องกันแล้วนั้นเสมือนการนำก้อนอิฐสองก้อนมาเชื่อมกันไว้ด้วยซีเมนต์ ครั้ง
ต้องการกะเทาะอิฐทั้งสองนั้นให้แยกออกจากกัน ย่อมทำให้อิฐแตกไปบ้าง แม้แยกออกได้แล้วก็ย่อมมีคราบซีเมนต์มาเกาะบ้างเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
ที่มีกามารมณ์และมีผล ประโยชน์ร่วมกันแล้ว ครั้งพยายามแยกออกจากกันย่อมทำให้
ดวงใจร้าวชำรุดไปบ้าง เมื่อแยกจากกันได้แล้วย่อม ทำให้จิตใจสกปรกเลอะเทอะไปด้วยความทุกข์
กรรมและอารมณ์อันไม่พึงปรารถนาบ้าง
ซึ่งดวงใจที่ไม่สะอาดและไม่สมบูรณ์ย่อมไม่อาจสร้างความสัมพันธ์ให้สดใสสมบูรณ์ได้
ดังนั้น การไม่ผลีผลามในเรื่องคู่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง
ดังนั้นไม่ควรคิดเสาะหาคู่ เพราะแค่คิดก็จะทุกข์แล้ว เมื่อปรารถนาก็จะเริ่มขาดความเชื่อมั่นในตน ความสดใสจะสูญหายไป
ปล่อยให้เป็นไปตามกดไกเถิด เมื่อถึงเวลาแล้วจะเจอเอง
ไม่ต้องกลัวหรอกว่าตนจะไม่มีคู่ ตั้งแต่เริ่มต้นวิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียว จนมาเป็นมนุษย์ ผ่านคู่มาแล้วกี่ล้านๆครั้ง คอยเลือกคู่ที่จะเข้ามาให้เหมาะสมกับตนแท้จริงก็แล้วกัน
คู่ในความเป็นจริง
หากเราหมดโอกาสที่จะเลือกแล้ว เพราะบังเอิญเลือกใครบางคนมาครองเสียก่อนหน้านี้แล้ว หรือแม้จะยังเป็นอิสระ แต่ก็ไม่สามารถหาคู่ที่เสมอกันในองค์ประกอบแห่งความผาสุกทั้ง 4 ประการนั้นได้สมบูรณ์ คู่ที่ได้มาหรือคู่ที่มาให้เลือกล้วนขาดๆเกินๆไม่พอดี ในกรณีนี้ควรจะทำประการใด
ในกรณีเช่นนี้ก็ต้องมีกุศโลบายอันแยบคายดังนี้ คือ
1.ย่อมรับความแตกต่างและเคารพซึ่งกันและกัน อย่าหมายให้เขาเป็นเหมือนเรา และอย่าพยายามบีบคนให้เหมือนเขา เมื่อเรายังไม่พร้อมจะเหมือนกัน
2.บริหารความแตกต่างนั้นโดยหลักการปรับตัวและหลักการนำการตาม
หลักการปรับตัว
เมื่อเราได้คู่ที่มีคุณสมบัติประการใดประการหนึ่งเหนือเรา และคุณสมบัตินั้นเป็นคุณสมบัติที่ดี มีประโยชน์ต่อชีวิตและต่อความสัมพันธ์ เราควรปรับตัวและดูดซับคุณสมบัตินั้นให้เกิดในตนเสีย ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แก่ตัวเราเองและต่อความสัมพันธ์ การปรับตัวนั้นมี 3 ขั้นคือ ระยะของความยินดี ระยะของการเรียนรู้ และระยะของการเลียนแบบ
ในขั้นแรก เมื่อเราปรับตัวเพิ่มคุณสมบัติใดในตนให้มากขึ้นจนเสมอคู่ของเรา เราต้องปลูกฝังความยินดีในคุณสมบัตินั้นให้มากจนอยากที่จะเป็นอย่างนั้นบ้าง เรื่องนี้สำคัญมาก เมื่อคู่เรามีคุณสมบัติเด่นอย่างไร ต้องยินดีกับเขา มิใช่ว่าเมื่อเราคิดไม่เหมือนเขา บางครั้งก็พาลไปดูหมิ่นเขาเลย ถ้าทำเช่นนั้นนอกจากเราจะไม่ดีขึ้นแล้ว ความดีของเขาก็จะ
พลอยหดหายไปด้วย หรือหากเขารักคุณสมบัตินั้นๆของเขามาก เขาก็จะแยกทางไป เช่น ถ้าเขามีปัญญามาก คิดอะไรที่เราไม่เข้าใจ ก็ควรพยายามทำความเข้าใจและเห็นคุณค่าของเขา เพราะถ้าโลกไม่มีคนประเภทนี้แล้ว โลกจะไม่อาจก้าวหน้าได้เลย ถ้าเข้าใจไม่ได้ก็
เฉย อย่าพูดดูแคลนในทำนองว่า คิดอะไรก็ไม่รู้สติเฟื่อง ไม่เห็นเข้าเรื่องเลย เป็นต้น การทำเช่นนี้จะมีแต่ผลเสีย
เมื่อยินดีในคุณสมบัติที่ดีของเขาและปรารถนาที่จะมีคุณสมบัติเหมือนเขาแล้ว ขั้นที่ 2 ก็เฝ้าสังเกต เรียนรู้ว่าเขาเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร
เมื่อรู้วิธีการแล้ว ขั้นที่ 3 คือทำตามเขา แล้วเราจะค่อยๆมีคุณสมบัติเหมือนเขามากขึ้นทุกทีๆจนเสมอกัน
บางคนที่ชื่นชอบปรัชญาปัจเจกชนนิยม อาจจะคิดว่าให้คนเราแตกต่างกันนะดีแล้ว จะได้มองคนละมุม แต่แท้จริงแล้ว การมองได้ทุกมุมโดยครบถ้วนพร้อมๆกันเหมือนๆกันนั้นดีกว่าที่จะให้แต่ละคนบกพร่องไปคนละอย่าง พอรวมกันจึงจะสมบูรณ์ ถ้าเป็นเช่นนั้น
สองคนนี้แยกกันเมื่อไร จะทำอะไรไม่ได้ดีเลย เสมือนดวงจันทร์ที่ขาดดวงอาทิตย์ ย่อมอับแสง จนปัญญาไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรได้ แต่หากมีศักยภาพเสมอกันทั้งคู่ เมื่อใครคนใดคนหนึ่งไม่อยู่ อีกคนหนึ่งก็จะสามารถทำแทนได้อย่างเรียบร้อยเหมือนกัน ดังนั้นความ
สมบูรณ์พร้อมของทั้ง 2 คนย่อมนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เหมือนดวงอาทิตย์ 2 ดวงที่โคจรมาอยู่ด้วยกัน ฉันนั้น
ดังนั้น เมื่อคู่ของเราสมบูรณ์ในเรื่องใด หรือมีคุณสมบัติใดดีกว่าเราก็ไม่ควรรีรอที่จะปรับตัวให้เสมอเขาให้ได้ เพราะคุณค่าประการหนึ่งของการมีชีวิตคู่คือการได้เรียนรู้จากกันและกัน และฝึกฝนให้กันและกันนั้นเทียว
หลักการนำและการตาม เรื่องการนำและการตามนี้เป็นเรื่องประณีต ซับซ้อน และเป็นกลไกสัมพันธ์
เมื่อคน 2 คนมาอยู่ด้วยกันโดยมีคุณสมบัติที่ดีไม่เสมอกัน โดยหลักการแล้วคุณสมบัติอันดีของใครเด่นในเรื่องใด อีกฝ่ายต้องยอมให้เขาเป็นผู้นำในเรื่องนั้น เช่นผู้ชายอาจจะเด่นในเรื่องการวางแผนครอบครัว ก็ให้เขาเป็นผู้นำในเรื่องนั้น ผู้หญิงก็เป็นฝ่ายตามหรือผู้หญิงเด่นในเรื่องการจัดการงานภายในบ้าน ก็ให้ผู้หญิงเป็นผู้นำในเรื่องนี้ ผู้ชายเป็นฝ่ายตาม เป็นต้น
การนำนั้นคือการริเริ่ม สร้างสรรค์ สั่งสอน อำนวยการ จัดกิจให้บังเกิดขึ้นจนบรรลุผลอันดี
การตามนั้นคือการรับฟัง ยินดีด้วย ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ ส่งเสริมและปฏิบัติตาม
นั่นคือตัวอย่างคุณสมบัติคู่เดี่ยว แต่ในความจริงนั้นคุณสมบัติของมนุษย์ละเอียด ลึกซึ้ง เราจะจำแนกได้อย่างไรว่าใครเด่น ใครด้อยในเรื่องใด ใครควรจะนำ ใครควรจะตามอย่างไร
ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าได้ให้หลักไว้ว่า การจะวินิจฉัยตนและคนอื่นให้ตรงตามเป็นจริงแล้วปฏิบัติต่อกันได้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรมนั้น ต้องมีหลักการอันประเสริฐ 7 ประการ คือ
1.รู้จักเหตุ
2.รู้จักผล
3.รู้จักตน
4.รู้จักประมาณ
5.รู้จักกาล
6.รู้จักบริษัทหรือตระกูล
7.รู้จักบุคคล
การรู้จักเหตุ คือการรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ เป็นองค์ประกอบปัจจัยให้เกิดสิ่งใดได้บ้าง เช่น อะไรเป็นเหตุของความรัก อะไรเป็นเหตุของความชัง อะไรเป็นเหตุของความสุข อะไรเป็นเหตุของความทุกข์ อะไรเป็นเหตุของความสำเร็จ อะไรเป็นเหตุของความล้มเหลว อะไรเป็นเหตุของการอยู่กันได้อย่างราบรื่น อะไรเป็นเหตุของความแตกแยกหย่าร้าง เป็นต้น
รู้จักผล คือรู้ว่า การกระทำหนึ่งๆ ในเงื่อนไขหนึ่งๆ จะก่อให้เกิดผลอะไรบ้าง เช่น ถ้าเราจะสูบบุหรี่ในบ้าน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างต่อตัวเรา ต่อฐานะเศรษฐกิจของครอบครัว ต่อสุขภาพของลูกเมีย ต่อทัศนคติของลูก ต่ออนาคตของลูก ต่อผลอื่นใดอันประดามีอีกในอนาคต
รู้จักตน คือรู้ว่าเราเป็นใคร อยู่ในฐานะอะไร เกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มีจุดเด่นอะไรบ้าง มีจุดด้อยอะไรบ้าง มีข้อจำกัดอย่างไร มีศรัทธา พฤติวัตร ความกล้าสละ และปัญญาแค่ไหน เป็นต้น ซึ่งวิธีการที่จะรู้จักตนเองได้ดีที่สุดคือการวิจัยจิตใจของตนด้วยสมาธิและวิปัสสนา
รู้จักประมาณ คือรู้จักประมาณความเหมาะสมว่า แค่ไหนอย่างไรจึงพอดี เพราะการกระทำสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสมนั้นจะได้ผลดีที่สุด ถ้าเกินพอดี ไม่ว่ามากเกินไปหรือน้อยเกินไป ส่วนที่เกินไปนั้น จะให้ผลเสียเสมอ
รู้จักกาล คือรู้ว่าอะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง ขณะนี้ควรทำอะไร ควรเว้นอะไร ควรพูดอะไร ไม่ควรพูดอะไร ควรคิดอะไร ไม่ควรคิดอะไร เป็นต้น
รู้จักบริษัทหรือวงศ์ตระกูล เมื่อเราเกิดมาในระบบครอบครัว อยู่ในครอบครัวและกำลังจะสร้างครอบครัว ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กับครอบครัวจึงควรรู้จักวงศ์ตระกูลทั้ง 2 ฝ่าย หรือสังคมของทั้ง 2 ฝ่ายให้ดี เพราะวงศ์ตระกูลและสังคมรอบข้างล้วนมีอิทธิพลเหนี่ยวนำชักจูง หรือครอบงำบุคคลได้บ้างในระดับต่างๆกัน การรู้จักสังคมและตระกูลของเขาจะทำให้เราเข้าใจคู่ของเราดีขึ้น
รู้จักบุคคล คือรู้จักคู่ของเราแจ่มแจ้งเลยว่าเป็นคนอย่างไร ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น มีจุดเด่น จุดด้อย ข้อที่เจริญ และข้อจำกัดอย่างไร มีอุปนิสัย รสนิยม ศรัทธา พฤติวัตร ความกล้าสละ และปัญญาอย่างไรแค่ไหน
เมื่อประเมินสิ่งที่ควรประมาณทั้ง 7 ประการนี้ดีแล้ว บุคคลก็จะสามารถจัดสรรได้ว่า ตนควรจะวางตำแหน่งของตัวในฐานะผู้นำในเรื่องอะไรบ้าง และในฐานะผู้ตามในเรื่องอะไรบ้าง
และถ้าไม่สามารถประเมินสิ่งที่ควรประมาณทั้ง 7 ประการนี้ได้อย่างเที่ยงตรง ต่างคนต่างคิดว่าตนถูก แล้วก็จะแย่งกันนำ จึงต้องอยู่ด้วยกันอย่างระหองระแหง ทะเลาะเบาะแว้งและอาจต้องแตกแยกกันในที่สุด หรืออีกประการหนึ่ง เมื่อประเมินไม่ได้ ประมาณไม่ถูก อาจจะไม่มีใครกล้านำ ต่างเกี่ยงงอนกัน พอมีเรื่องขึ้น
ก็โทษกันไปโทษกันมา ทะเลาะเบาะแว้ง แตกแยกกันอีกเหมือนกัน สรุปแล้วเป็นทุกข์ทั้ง 2 กรณี ดังนั้นต้องประเมินให้ตรง ประมาณให้ถูก จึงจะวางตัวได้เหมาะสม
และถ้าพอประมาณได้บ้าง แต่ไม่ชัดเจน เช่น บางนิสัยก็ดูผิดไป บางนิสัยก็ดูได้ถูก แต่
จำเป็นต้องมาอยู่ด้วยกันแล้ว รอไม่ได้เพราะกรรมบีบคั้น หรือเพราะตัณหากำเริบก็ตาม จะทำอย่างไรจึงจะอยู่กันได้อย่างเหมาะสม
ในกรณีอย่างนี้ควรพิจารณาธรรมชาติประจำเพศ เช่น ผู้ชายที่มีความเป็นชายเต็มตัว จะมี
คุณสมบัติเด่นคือใจกล้าและใจกว้าง และหญิงที่มีความเป็นหญิงเต็มตัว จะมีคุณสมบัติเด่นคืออ่อนโยนและพิถีพิถัน(คุณสมบัตินี้จะสมบูรณ์เฉพาะในชายจริงหญิงแท้เท่านั้น)
เมื่อเป็นเช่นนี้ในเรื่องทั่วๆไปของการดำเนินชีวิตในเกือบทุกยุคทุกสมัย ในเกือบทุกสังคมของมนุษยชาติ และในทุกยุคทุกสมัยทุกสังคมของสวรรค์จึงให้ผู้ชายเป็นผู้นำในสังคมและผู้หญิงเป็นผู้ตาม และให้ผู้หญิงเป็นผู้นำในเรือนและผู้ชายเป็นผู้ตาม ก็พอจะไปกันได้ตามธรรมชาติของเพศ
http://www.serra.in.th/loveis/select_Agit.html