เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 14 กันยายน 2025, 16:20:45
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  ภาษาไทย บทที่ ๒๐ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๒ "ทางชีวิต"
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ภาษาไทย บทที่ ๒๐ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ เล่ม ๒ "ทางชีวิต"  (อ่าน 794 ครั้ง)
ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,468



« เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2013, 09:24:15 »

ใครได้เรียนบ้าง... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

        ทางโรงเรียนประกาศผลการสอบปลายปีชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ แล้ว ปรากฏว่ามีนักเรียนสอบได้ถึง ๙๗.๙๐ เปอร์เซ็นต์ พวกที่สอบตกส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เจ็บป่วยมีเวลาเรียนไม่พอ ที่ได้รับผลกรรมคือสอบตกเพราะเกียจคร้านสันหลังยาว ไม่เอาถ่าน มีเป็นส่วนน้อย พวกที่สอบได้ต่างดีอกดีใจเป็นอันมาก ในขณะเดียวกันก็มีความเสียใจ และอาลัยอาวรณ์ที่จะต้องจากสถานศึกษาตลอดจนครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูง หลายคนจะได้ศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษา หลายคนที่ผู้ปกครองจะให้ช่วยทำงานอาชีพตามพื้นเพของตน เพราะไม่มีทุนทรัพย์จะส่งเสียให้ศึกษาต่อได้
       วันรับประกาศนียบัตรเป็นวันที่ประทับใจที่สุดเช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา ทางโรงเรียนจัดงานให้ด้วยความรักและความชื่นชม เชิญแขกเหรื่อตลอดจนผู้ปกครองมาร่วมแสดงความยินดี และเป็นสักขีพยาน ในความสำเร็จของนักเรียน เมื่อประธานในพิธีแจกประกาศนียบัตรให้แก่นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาแล้ว จึงมอบรางวัลต่างๆ ให้แก่นักเรียน มีนักเรียนหลายคนได้รับรางวัลต่างๆ กัน เช่น ปราการประธานนักเรียนได้รับรางวัลความประพฤติดี และทำหน้าที่ประธานนักเรียนได้อย่างเข้มแข็ง ปิติได้รับรางวัลการให้ความร่วมมือในกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนดี มานีได้รับรางวัลเรียนดี และนักเรียนอีกหลายคนที่ได้รับรางวัล เสร็จแล้วประธานให้โอวาทและอำนวยพร
        จากนั้นเป็นการแสดงบนเวที นักเรียนรุ่นน้องรำเบิกโรงและรำอวยพรด้วยเนื้อร้องเป็นที่ประทับใจ ทำให้ทุกคนตื้นตันจนน้ำตาคลอเมื่อถึงรายการของนักเรียนที่สำเร็จการศึกษา ปราการขึ้นไปกล่าวแสดงความขอบคุณและอาลัยรักสถานศึกษาตลอดจนครูบาอาจารย์ พอกล่าวจบจันทรและเพื่อนหญิงชายอีกสามคนขึ้นไปอ่านคำอำลาอาลัยซึ่งประพันธ์เป็นกาพย์ยานีด้วยเสียงประสานที่ไพเราะเพราะพริ้ง มีกังวานเศร้าสร้อยตามความรู้สึกของคนอ่าน แล้วปิดท้ายรายการด้วยเพลง “อย่าลืม” ซึ่งมีเนื้อร้องดังนี้
อย่าลืม
โอ้เพื่อนเอ๋ย   เราเคยสุขสันต์   เรียนร่วมกัน   หลายวันเวลา
จักต้องพราก   พลัดไปไกลตา   อุราตรอมตรม   
เมื่อไรหนอ   จะได้เจอกัน   นึกถึงวัน    ที่เคยรื่นรมย์   
ห่างกันไกล   สายใยเกลียวกลม   ไม่เคยลืมเลือน
อยู่แห่งไหน   หัวใจใฝ่ถึง   ยังติดตรึง    สัมพันธ์ฉันเพื่อน
โปรดอย่าลืม   คะนึงฝันใฝ่   ไมตรีเราเอย
      ระหว่างที่จันทรกับเพื่อนร้องเพลง ภายในห้องประชุมเงียบกริบ สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ผู้ขับร้อง ส่วนหัวใจทุกดวงมีความรู้สึกเหมือนถูกบีบจนหายใจขัด บางคนน้ำตาซึมคลอเบ้าตา พอเพลงจบทุกคนถอนใจยาวเกือบพร้อมกัน
เมื่อเสร็จพิธีแล้วครูใหญ่พานักเรียนที่เรียนสำเร็จไปกราบนมัสการลาท่านเจ้าอาวาสและพระที่วัด เพื่อขอบคุณที่ท่านช่วยอบรมกล่อมเกลาให้พวกเขาเป็นคนดี ท่านเจ้าอาวาสให้โอวาทเป็นที่จับใจ และอวยพรเป็นสิริมงคลให้ทุกคน แล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ปิติ มานี และชูใจ ไปสมัครเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอซึ่งวีระไปเรียนอยู่ก่อนแล้ว สมคิดไปอยู่กับปู่ที่ภูเก็ตและเรียนต่อที่นั่น ดวงแก้วกลับไปเรียนที่บ้านสุพรรณบุรี ส่วนจันทรไม่ได้เรียนต่อเพราะน้าของเธอขัดสนเงินทอง จันทรก็มิได้น้อยใจ ตั้งหน้าคิดอ่านช่วยน้าทำมาหากินโดยมิได้ย่อท้อ และไม่มีความคิดริษยาเพื่อนที่มีโอกาสได้เรียนต่อแต่ประการใด โชคดีเป็นของจันทรการค้าของเธอนับวันแต่เจริญรุ่งเรือง ของในร้านขายดีจนผลิตไม่ทัน น้าของจันทรจึงได้ทุนรอนขยับขยายและปรับปรุงร้านให้ดีขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งๆ จันทรไม่ได้ไปไหน ขลุกอยู่แต่ที่ร้าน ช่วยน้าทำมาค้าขายอย่างขยันขันแข็ง
       วันหนึ่ง หลังจากโรงเรียนเลิกแล้ว วีระ ปิติมานีและชูใจ ชวนกันแวะมาหาจันทรที่ร้าน เพราะนานแล้วที่ไม่ได้มาเยี่ยมเยียน พบจันทรกำลังนั่งประดิษฐ์ เศษวัสดุต่างๆ ง่วนอยู่ พอเห็นเพื่อนมาก็ดีใจ เชื้อเชิญให้นั่งและหาน้ำเย็นมาให้ดื่ม
“ฉันเห็นพวกเธอเงียบหายไป นึกว่าลืมฉันเสียแล้ว” จันทรพ้อ
ใครจะไปลืมเธอได้ลงคอ เราเป็นเพื่อนรักกัน พวกเราคิดถึงเธอเสมอ” ชูใจพูด
“กิจการค้าของเธอเป็นอย่างไรบ้าง จันทร” มานีถาม
“ดีจ้ะ ... ฉันเพิ่งว่างเดี๋ยวนี้เอง เมื่อกี้นี้ ลูกค้ามาเต็มร้านทีเดียว เดี๋ยวนี้น้าวางใจให้ฉันเฝ้าหน้าร้าน เพื่อน้าจะได้มีเวลาสานตะกร้าอยู่หลังร้าน”
“ตอนนี้มีรถของพวกนักทัศนาจรมาแวะที่อำเภอมากขึ้น ทำให้ข้าวของต่างๆ ขายดี” วีระพูด
“นี่อย่างไรล่ะคะพี่วีระ ฉันประดิษฐ์ของที่ระลึกไว้ขายให้นักทัศนาจร” จันทรชี้ให้ทุกคนดูของที่ระลึกที่เธอประดิษฐ์ขึ้น มีพวงกุญแจซึ่งร้อยไม้ไผ่แผ่นบางเล็กทำเป็นรูปต่างๆ ทาสีสวยและเขียนรูปภาพมีชื่ออำเภอเขียนไว้อย่างสวยงาม กระบอกไม้ไผ่เล็กๆ เขียนลวดลายสวยๆ ทำเป็นที่ใส่ไม้จิ้มฟันบ้าง แจกันปักดอกไม้แห้งบ้าง กระเช้าและตะกร้าเล็กๆ สำหรับใส่กระถางปลูกไม้ประดับในร่ม หินก้อนเล็กรูปร่างแปลกๆ จันทรนำมาต่อเป็นรูปสัตว์ต่างๆ สวยงาม ของเหล่านี้ทำด้วยฝีมือประณีตและราคาถูก
       ปิติเดินไปดูทางประตูด้านข้าง เห็นกระถางเล็กๆ ปลูกต้นไม้หลายชนิด วางเรียงรายอยู่หลายกระถาง จึงถามจันทรว่า
“เธอปลูกต้นไม้ขายด้วยหรือจันทร”
“ไม่ใช่ของฉันหรอก สิริเอามาฝากขาย” จันทรตอบแล้วเล่าว่า “สิริเขาไม่ได้เรียนต่อ เพราะฐานะเขายากจนและพ่อแม่ของเขาก็มีอันเป็นไปพวกเธอก็รู้ แต่เขาเป็นคนดี มีความพยายามอุตส่าห์ไปซื้อพันธุ์ไม้มาเพาะขาย ส่วนตัวเขาไปขอรับใช้อยู่ร้านซ่อมเครื่องรับวิทยุ เพื่อฝึกซ่อมวิทยุไปด้วย ไม่ช้าเขาคงเก่ง”
“ตรงกันข้ามกับพิสิฐเลยนะ พอพ่อแม่ขัดสนไม่มีเงินให้เรียนต่อก็หนีเตลิดเปิดเปิง มิหนำซ้ำไปเที่ยวพูดปั้นน้ำเป็นตัวว่าพ่อแม่ไม่รัก ใครห้ามก็ไม่ฟัง เขาบอกฉันว่าจะหนีไปตามยถากรรม ไม่ช้าก็เสียคน” ปิติพูด
“ฉันสงสารลุงสุขน่ะซี ขายนาให้สุขุมเรียน แล้วไม่มีนาจะทำ ต้องไปรับจ้างคนอื่นทำนา สุขุมเองก็เรียนไม่เก่ง สอบได้ ป. 6 ก็คาบเส้น ซ้ำหลังยาว ฉันกลัวจะไปไม่รอด วันนี้ก็โดนครูทำโทษเพราะไม่ทำการบ้าน” ชูใจพูด
         “ก็ความรักอย่างสุดสวาสดิ์ของพ่อแม่นั่นแหละ เมื่อลูกรบเร้าจะเรียนก็ให้เรียนโดยไม่คำนึงถึงว่าสติปัญญาของลูกเป็นอย่างไร แต่ไม่แน่นะ ไม้ล้มจึงข้าม คนล้มอย่าข้าม ต่อไปสุขุมอาจจะเรียนเก่ง ขยันขึ้นก็ได้ ถ้าเขาเห็นความลำบากของพ่อแม่ที่เสียสละเพื่อเขา” มานีให้ความเห็น
“ฉันจะไปสมัครเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ที่เปิดสอนตอนค่ำอยู่ที่โรงเรียนของเธอ” จันทรบอกเพื่อน
“ดี พี่เห็นด้วย” วีระพูดอย่างดีใจ “พี่จะบอกจันทรอยู่ทีเดียวว่าให้ไปเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ กลางวันทำงานขายของ ตอนเย็นก็ไปเรียน เสียค่าใช้จ่ายไม่แพงหรอก พี่เห็นคนไปเรียนกันเยอะ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ครูที่โรงเรียนของพี่นั่นแหละเป็นคนสอน”
“ฉันเห็นคนมีอายุหลายคนไปเรียน ทำไมแก่แล้วยังต้องไปเรียนอีก” ปิติถาม
“การเรียนไม่มีที่สิ้นสุดหรอกปิติ คนเราต้องเรียนไปตลอดชีวิต การศึกษาผู้ใหญ่จัดให้สำหรับคนที่ไม่มีโอกาสไปเรียนที่โรงเรียน หรือไม่สามารถไปเรียนในเวลากลางวันได้เพราะต้องประกอบอาชีพ หรือมีความขัดข้องอย่างอื่น ก็สามารถเรียนตอนกลางคืนหรือเรียนจากวิทยุได้” วีระอธิบาย
        “เรียนจากวิทยุได้ด้วยหรือคะ” จันทรถามอย่างตื่นเต้น
“เมื่อวันก่อนพี่คุยกับคุณลุงคนหนึ่งที่มาเรียนตอนค่ำ ท่านเล่าให้ฟังว่าภรรยาของท่านมาเรียนตอนค่ำไม่ได้ เพราะมีภาระทางบ้านมากเลยเรียนทางวิทยุ ราวๆ สักสองอาทิตย์ พวกที่เรียนทางวิทยุด้วยกันก็นัดไปพบกับครูเสียที” วีระชี้แจง
“แหม! ดีจริง แต่พวกฉันไปเรียนตอนค่ำได้ เราจะไปเรียนกันหลายคน” จันทรบอก
“จันทรมีเวลาไปหาเพื่อนด้วยหรือจ๊ะ” ชูใจถาม จันทรหัวเราะ
“เปล่าหรอกจ้ะ พวกเพื่อนๆ พอเขาว่างก็มาหาฉันที่นี่ อย่างสุนทรี เขามารับจ้างสอยเสื้ออยู่ที่ร้านกฤษณาอาภรณ์ หรืออัชฌาที่รับจ้างเฝ้าหน้าร้านให้เสี่ยซ้ง พอเลิกงานเขาก็พากันแวะมาหาฉัน จนน้าเย้าว่าร้านนี้เป็นที่นัดพบกัน แต่ฉันก็รู้สึกว่ามีผลพลอยได้นะเธอ เพราะการที่มีคนมาที่ร้านเรามากๆ ทำให้คนอื่นๆ คิดว่าร้านเรามีอะไรน่าสนใจ เขาก็มาบ้าง ทำให้ของของเราขายดีขึ้น น้ายังบอกว่า ถ้ารวบรวมทุนได้จะขยายร้าน แล้วไปรับเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาขาย คงขายดีแน่”
        ขณะนั้นลูกค้าเข้ามาซื้อของ จันทรจึงรีบไปต้อนรับ วีระ ปิติ มานี และชูใจ จึงถือโอกาสลาจันทรแยกกันกลับบ้าน มานีกับชูใจเดินไปด้วยกันเพราะบ้านอยู่ทางเดียวกัน ระหว่างทางชูใจปรารภว่า
“ฉันอยากจะย้ายไปเรียนห้องเดียวกับเธอจัง มานี”
“อ้าว ! ทำไมล่ะจ๊ะ”
“ฉันไม่ชอบเพื่อนที่ห้องฉันเลย นิสัยไม่ดี ชอบใส่ความกัน ทำให้ครูดุทุกวัน ไม่มีความสามัคคี ไม่เหมือนเมื่อเราเรียนอยู่โรงเรียนเดิม ต่างกันเป็นหน้ามือหลังมือทีเดียว” มานีหัวเราะ “ฉันคิดว่า เรายังใหม่ต่อกันเพราะมาจากหลายโรงเรียน เมื่ออยู่โรงเรียนเดิมนั้น เราเรียนมาด้วยกันตั้งหกปี ต่างรู้นิสัย เห็นอกเห็นใจ จึงรักใคร่สามัคคีกันอีกไม่นานเราคงจะสนิทสนมกับเพื่อนใหม่ๆ”
“ฉันไม่อยากมีเพื่อนใหม่ เพื่อนใหม่สู้เพื่อนเก่าไม่ได้”
“ไม่จริงเสมอไปหรอกชูใจ ฉันคิดว่า เราคงจะต้องมีเพื่อนมากขึ้น เพราะเราโตขึ้นทุกวัน เรารู้จักคนมากขึ้น ที่โรงเรียนใหม่ของเรานี้มีนักเรียนเป็นพันๆ เรามาเรียนโรงเรียนใหม่ได้ความรู้ใหม่ๆ และคงจะได้เรียนรู้นิสัยใจคอของเพื่อนใหม่ด้วย” มานีพูด
“เธอพูดเก่งเป็นต่ออยู่แล้ว ใครๆ ต้องชอบเธอ”
“เธอก็พูดดี ไม่ช้าเพื่อนในห้องของเธอจะชอบเธอ และเธอก็จะชอบเพื่อนใหม่ ขี้คร้านจะลืมฉันเสียอีก”
        พอถึงบ้าน มานีจึงแยกเข้าบ้าน ชูใจเดินต่อไปคนเดียวพอไปถึงบ้าน เห็นประตูหน้าต่างปิดเงียบเชียบ เจ้าสีเทานอนอยู่เชิงบันไดทำหางปัดไปมา พอชูใจเดินเข้าไปใกล้ มันลืมตาขึ้นมองแล้วร้องหง่าว ! ชูใจมองเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งเสียบอยู่ที่สายยูซึ่งมีกุญแจติดอยู่ เธอจึงรีบดึงออกมาคลี่อ่านดู

ชูใจ
อาถูกรถชนอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ต้องตกใจ หุงข้าวทำกับข้าวไว้ ค่ำๆ ย่าจะกลับมา ไม่ต้องตามไป
ย่า

ชูใจตกใจมาก ใจหนึ่งอยากจะไปดูอาการของอา แต่ใจหนึ่งก็คิดว่า ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของย่า ชูใจลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจปฏิบัติตามที่ย่าต้องการ เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหุงหาอาหารอย่างเหงาหงอย ภาวนาขออย่าให้อาเจ็บป่วยมาก เจ้าสีเทาขึ้นมาเคล้าเคลียอยู่ใกล้ๆ ทำให้ชูใจค่อยสบายใจขึ้น
        ค่ำแล้ว ตะวันลับทิวไม้ลงไปรำไร ทั่วบริเวณบ้านเงียบสงัด ชูใจรู้สึกว้าเหว่เพราะไม่เคยอยู่คนเดียวในเวลาโพล้เพล้เช่นนี้ ยังไม่มีวี่แววว่าย่าจะกลับมา ชูใจนั่งกระสับกระส่าย คอยชะเง้อดูทาง ใจคิดไปสารพัด น้ำตาพาลจะไหล เธอสู้สะกดใจไว้เพราะเกรงจะเป็นลาง อาเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว ชูใจรักและเคารพอาประดุจบิดาบังเกิดเกล้า เพราะตั้งแต่จำความได้ ในชีวิตของเธอก็มีแต่เพียงย่ากับอาเท่านั้น ถ้าอามีอันเป็นไป ย่ากับเธอจะทำอย่างไร คิดแล้วก็ใจหาย ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ ปรกติสีเทาไม่ค่อยอยู่บ้าน วันนี้ราวกับมันรู้ว่าชูใจจะต้องอยู่คนเดียว สีเทามานั่งๆ นอนๆ อยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมห่าง นานๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองชูใจแล้วก็ร้องหง่าว ! เหมือนจะปลอบใจเธอ
     พอตะวันลับแสง ชูใจปิดประตูบ้านอย่างแน่นหนา จุดตะเกียงตั้งไว้กลางห้อง คลุกข้าวให้สีเทากินแล้วมานั่งอยู่ที่หน้าต่างคอยย่า คอยเงี่ยหูฟังเสียงต่างๆ ได้ยินแต่เสียงเจ้าทุยควายของเธอที่อยู่ในคอกข้างบ้านทำเสียงฟืดฟาด และเสียงหริ่งเรไรระงมอยู่บนต้นไม้ ทำให้รู้สึกวังเวงยิ่งขึ้น
เสียงกริ่งรถจักรยานดังอยู่ที่ประตูรั้วบ้าน แล้วได้ยินเสียงร้องเรียก
“ชูใจ ชูใจ”
วีระ นั่นเอง ชูใจอุทานด้วยความดีใจ รีบชะโงกหน้าร้องขานรับ
“พี่วีระ ฉันกำลังกลัว เปิดประคูเข้ามาเลย” แล้วชูใจก็รีบวิ่งไปเปิดประตูบ้าน วีระจอดจักรยานพิงบันไดไว้แล้วขึ้นมาบนบ้าน
“ย่าบอกให้พี่มาอยู่เป็นเพื่อนชูใจ ลุงไปเยี่ยมญาติที่ป่วยอยู่โรงพยาบาล พบย่านั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินกับพี่แฉล้ม ย่าให้ลุงมาบอกพี่ แล้วลุงก็ไปอยู่เป็นเพื่อนย่าที่โรงพยาบาล
“อาเป็นอย่างไรบ้าง” ชูใจถามเสียงสั่น
“คงไม่เป็นอะไรมากกระมัง ลุงก็ยังไม่ได้เห็นอาการของอาเลย ชูใจทำใจดีๆ เถอะ นี่กินข้าวหรือยังล่ะจ๊ะ”
ชูใจสั่นศีรษะ น้ำตาคลอตา “ฉันกินไม่ลง พี่วีระล่ะ กินหรือยัง”
“พี่กินแล้วก็มา ชูใจกินข้าวเสียเถิดเดี๋ยวจะเป็นลมไป ชูใจไม่สบายอีกคน ย่าจะลำบากนะจ๊ะ” วีระปลอบ ชูใจจึงไปตักข้าวกิน ๒-๓ คำก็อิ่ม วีระพยายามเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ฟัง เพื่อให้ชูใจคลายวิตกกังวล ชูใจได้ยินเสียงที่วีระเล่า แต่ไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร
จนกระทั่งสามทุ่มเศษ ย่าจึงนั่งสามล้อกลับมา ใบหน้าของย่าหม่นหมอง ดวงตาแดงช้ำ พอมาถึงก็คว้าตัวชูใจมากอดไว้แน่น พลางขอบใจวีระที่มีแก่ใจมาอยู่เป็นเพื่อนชูใจ แล้วเล่าเรื่องอาว่า อาเดินทางไปจังหวัดซื้อเครื่องบวชเพื่อจะบวชพรรษานี้ เมื่อสึกแล้วก็จะแต่งงาน รถประจำทางเกิดชนกัน คนตายหลายคน บาดเจ็บสาหัสก็หลายคน อาก็บาดเจ็บสาหัส ขณะนี้หมอกำลังให้เลือดและยังไม่ได้สติ เห็นจะต้องรักษาตัวอยู่นานกว่าจะหายเป็นปรกติเพราะขาหักต้องเข้าเฝือก ย่ารำพันว่าเงินทองที่เก็บออมไว้ก็มีไม่มาก จะต้องนำมารักษาอา ย่าก็แก่แล้วเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง เป็นห่วงแต่ชูใจเพราะยังเล็กและกำลังเรียนหนังสืออยู่ ชูใจปลอบย่าว่าเธอจะออกจากโรงเรียนมาช่วยย่าทำอาหารและขนมขาย พอมีเงินเธอก็จะเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ก็ได้ วีระออกความเห็นว่าชูใจไม่ต้องออกจากโรงเรียนก็ได้ แต่ต้องขยันทำมาหากินเพิ่มขึ้นระหว่างที่อายังเจ็บอยู่ วีระกลับบ้านเมื่อเวลาเกือบจะห้าทุ่ม
      ตั้งแต่วันนั้นมา ย่านำเงินออกมาลงทุนทำอาหารและขนมแห้งไปฝากขายตามร้านต่างๆ ส่วนใหญ่ฝากไว้ที่ร้านของจันทร ชูใจเลิกเรียนแล้วรีบกลับบ้าน โม่แป้ง ขูดมะพร้าว เตรียมเครื่องปรุงต่างๆ ให้ย่า และช่วยย่าทำอาหารแล้วบรรจุถุงเตรียมส่งในวันรุ่งขึ้น จากนั้นจึงได้ทำการบ้านและอ่านหนังสือ กว่าจะได้นอนก็ถึงสี่ทุ่มเศษทุกคืน เพื่อนทักว่าชูใจผอมลง แต่เธอก็มิได้ย่อท้อ แฉล้มรับภาระไปคอยเฝ้าดูแลอาที่โรงพยาบาล ย่ากับชูใจจึงมีเวลาทำมาหากิน พอว่างก็ไปเยี่ยมอา
   ย่ามีฝีมือทางทำอาหาร ใครๆ ก็ติดใจรสมือ อาหารและขนมที่ชูใจนำไปฝากขายจึงหมดทุกวัน ย่าทำของไม่ค่อยซ้ำกัน เพราะกลัวลูกค้าจะเบื่อ บรรดาครอบครัวเพื่อนสนิทของชูใจก็มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเจือจุนมิได้ทอดทิ้ง ลุงของวีระส่งกล้วย มะพร้าว ใบตอง มาให้ย่าเกือบทุกวัน มานีแบ่งไข่ไก่และผักสวนครัวมาให้ทุกวัน ปิตินำปลานิลและผักในไร่มาให้ทุกวันเหมือนกัน เพชรมาช่วยขูดมะพร้าวและหาบของไปฝากขายตามร้านต่างๆ ส่วนจันทรรับขายของให้โดยไม่หักผลประโยชน์เลย เกษตรอำเภอและครูไพลินพาหนูน้อยลูกสาวที่น่ารักมาเยี่ยมย่า และช่วยอุดหนุนสินค้าเสมอ วัฒนากับพ่อก็ไปเยี่ยมอาที่โรงพยาบาลมิได้ขาด ย่าและชูใจรู้สึกซาบซึ้งในไมตรีจิตของทุกคนเป็นอย่างยิ่ง ด้วยมิตรจิตมิตรใจ ย่าจึงให้ชูใจแบ่งอาการและขนมที่ทำขายแต่ละวันให้เพื่อนๆ ด้วย มานะ สมคิด และดวงแก้วได้ทราบข่าวอุบัติเหตุของอาจากจดหมายของมานีและจันทร ต่างเขียนจดหมาย มาแสดงความเสียใจ
  เหตุการณ์ดีขึ้นทุกวัน อาการป่วยของอาดีขึ้น ย่ามีเงินเก็บเพิ่มขึ้นจนย่าคิดวาดอนาคตไว้ว่า ถ้าอาหารที่ทำขายอยู่ขณะนี้ขายดีตลอดไป ย่าอาจจะเปิดร้านขายอาหารเล็กๆ ในตลาด ทำอาหารขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คงได้เงินพอส่งเสียให้ชูใจเรียนได้สูงขึ้น ย่าคิดแผนการเงียบๆ อยู่ในใจคนเดียว
ความอดทนในสิ่งที่ต้องอดทนให้ผลดีเสมอ เวลาผ่านไปสามเดือน อาของชูใจก็หายเกือบเป็นปรกติ ออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน อาเป็นคนขยัน อยู่นิ่งไม่เป็น จึงช่วยย่าและชูใจห่อขนม เหลาไม้กลัด ขูดมะพร้าวตามถนัด แฉล้มก็มาช่วยทำขนมอยู่เสมอ พ่อแม่ของแฉล้มก็มิได้กีดกันเพราะอาเป็นคนดี
เย็นวันหนึ่ง เลิกเรียนแล้ว เพื่อนๆ พากันมาที่บ้านของชูใจ ต่างช่วยย่าทำงานคนละไม้คนละมือ ขณะนั้นมีรถยนต์นั่งคันหนึ่งแล่นมาจอดที่ประตูรั้วบ้านของชูใจ รถยนต์คันนั้นสวยงามสะดุดตามาก ทุกคนจึงมองดูเป็นตาเดียว หญิงคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบปีเศษลงจากรถยนต์เดินเข้ามาในบ้าน หญิงนั้นแต่งตัวหรูหรา ท่าทางเป็นคนมีเงิน เธอหยุดมองมานีและชูใจนิ่งอยู่
“คุณต้องการพบใครครับ” วีระถามอย่างสุภาพ
“คนไหนชื่อชูใจจ๊ะ” หญิงคนนั้นย้อนถามเบาๆ
“ฉันเองค่ะ” ชูใจตอบ พลางพิศดูหน้าหญิงคนนั้น
ขณะนั้นย่าเดินออกมาที่ระเบียงหน้าบ้าน พอหญิงนั้นเห็นย่าก็รีบขึ้นบันไดไปนั่งลงกราบย่าร้องไห้สะอึกสะอื้น ย่ารับไหว้และจ้องมองดูหญิงคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จึงเรียกชูใจ
“ชูใจ ขึ้นมานี่ มากราบแม่ นี่แหละแม่ของเจ้า”
ชูใจหูอื้อยืนตะลึงเฉยอยู่ ส่วนคนอื่นๆ รู้สึกตื่นเต้นเหลือที่จะกล่าว มานีรุนหลังชูใจให้ขึ้นไปบนบ้าน ชูใจขึ้นมากราบ แม่ของชูใจโอบกอดลูกไว้แน่นพลางร้องไห้เสียงดัง
“ลูกเอ๋ย ! ตั้งแต่ลูกเกิดได้สองเดือนเศษ แม่ก็ไม่ได้เห็นเจ้าอีกเลยจนบัดนี้ สิบสามปีแล้ว แม่จะมารับลูกไปอยู่ด้วย”
ชูใจก้มหน้านิ่งอยู่ อาได้ยินเสียงจึงเดินโขยกเขยกออกมา พอเห็นแม่ของชูใจก็ตกตะลึง ยกมือไหว้แล้วนั่งนิ่ง ย่าน้ำตาคลอ พูดเสียงเครือ
“ชูใจ แม่รักเจ้ามากนะ แต่มีความจำเป็นที่ไม่ได้อยู่และเลี้ยงดู พ่อของเจ้าซึ่งเป็นพี่ชายของอาคนนี้หอบหิ้วเจ้ามาอยู่กับย่าและอา ตั้งแต่เจ้าอายุได้สองเดือนเศษๆ พออายุครบขวบ พ่อก็ป่วยและเสียชีวิตไป ย่าและอาก็เลี้ยงเจ้ามาจนกระทั่งบัดนี้ ย่าไม่คิดว่าแม่ของเจ้าจะกลับมาจึงบอกว่า พ่อกับแม่ตายไปหมดแล้ว แต่แม่ก็กลับมา จะมารับเจ้าไปอยู่ด้วย ก็ไปอยู่กับเขาเถิด เขามั่งมีศรีสุข เจ้าจะได้สบาย มีอนาคตดีได้ร่ำเรียนสูงๆ”
ชูใจร้องไห้โฮ โผเข้ากอดย่าแน่น
“ชูใจไม่ไป จะอยู่กับย่า อยู่กับอาที่นี่ตลอดไป”
แม่ของชูใจพยายามคว้าไขว่เอาตัวชูใจมากอด แต่ชูใจปัดมือและถอยหนี
“แม่ของฉันตายไปแล้ว ฉันไม่มีแม่ มีแต่ย่ากับอา ย่าเลี้ยงฉันมาสิบสามปี ต่อไปนี้ฉันจะเลี้ยงย่า กลับไปเถิด แม่เคยอยู่อย่างไรก็อยู่ไป อย่านึกว่ามีฉัน” ชูใจพูด
แม่ของชูใจร้องไห้ปานใจจะขาด พยายามวิงวอนย่า ขอร้องอาและอ้อนวอนชูใจ ย่าและอาช่วยกันประเล้าประโลมให้ชูใจไปกับแม่ ส่วนชูใจยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมไป และขอร้องให้แม่กลับไปเสีย
เป็นเวลานานร่วมชั่วโมง แม่ของชูใจเห็นว่าการอ้อนวอนของตนไม่มีประโยชน์จึงสงบใจ แล้วเปิดกระเป๋าถือ หยิบธนบัตรสีม่วงส่งให้ย่ามัดหนึ่ง
“ขอฝากชูใจไว้กับย่าและอาด้วย เงินนี้ให้ย่าไว้ใช้จ่าย แล้วฉันจะส่งมาให้เสมอ ฉันดีใจที่ย่าเข้าใจฉันดีว่า ฉันรักลูก ไม่ได้ทอดทิ้งลูก เวรกรรมทำให้ฉันต้องพลัดพรากไป ฉันจะกลับล่ะค่ะ และคงจะไม่ได้กลับมาอีก” เธอหยุดร้องไห้แล้วพูดต่อไปว่า “ถึงอย่างไรฉันก็ดีใจที่ได้มาพบลูก เขาเหมือนพ่อของเขามาก มา...ชูใจ เข้ามาใกล้ๆ ให้แม่กอดเป็นครั้งสุดท้าย เราอาจจะไม่ได้พบกันอีกจนชั่วชีวิต หนูชื่อชูใจ ชูใจเป็นชื่อที่แม่ตั้งเอง” พอแม่อ้าแขน ชูใจก็โผเข้าไปหา สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง มานีตื้นตันใจจนกลั้นน้ำตาไม่ได้ ส่วนเพชรแอบร้องไห้อยู่ใต้ถุนบ้านเพราะคิดถึงแม่ของตน
“เรียกแม่สักคำ ให้แม่ชื่นใจซิลูก”
“แม่คะ” ชูใจเรียก รู้สึกอบอุ่นหัวใจที่ได้เรียกคำนี้ ชูใจเคยคิดว่าชั่วชีวิตของเธอจะไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำนี้ แต่เธอก็มีโอกาสได้เรียกแล้ว พอแม่จากไปเหตุการณ์นี้ก็เหมือนความฝันเพียงชั่วครู่เดียว
แม่ร่ำลาย่าและอา ชูใจตามไปส่งแม่ที่รถ เพื่อนๆ ของชูใจทุกคนยกมือไหว้ ชูใจกราบแม่ แม่จูบที่แก้ม น้ำตาของแม่เปื้อยแก้มของชูใจ แล้วคนขับรถก็ขับรถพาแม่ค่อยๆ ห่างไป
เมื่อรถยนต์คันนั้นลับตา ทุกคนมีความรู้สึกเหมือนฝันไป ชูใจยืนอยู่กับที่ นิ่งอยู่นาน แม้รถจะแล่นลับไปแล้ว มานีค่อยๆ ดึงชูใจกลับเข้าบ้าน
“แม่กลับไปไหนคะย่า แม่พูดเหมือนเราจะไม่ได้พบกันอีก” ชูใจถาม
“เขากลับไปอยู่ต่างประเทศ ถ้าเจ้าเรียนเก่ง ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศที่แม่ของเจ้าอยู่ ก็อาจจะได้พบกัน” ย่าตอบ “เจ้าคงจะได้เรียนสูงๆ แน่ เพราะแม่ให้เงินไว้ถึงแสนบาท พรุ่งนี้ย่าจะเอาไปฝากธนาคาร”
ชูใจลงมือทำงานต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อนๆ ก็ช่วยทำงานที่ค้างไว้

ทางชีวิตของคนไม่เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจและการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ต่างมุงมาดปรารถนาให้ตนมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต ทุกคนจะสมหวังมากน้อยเพียงใดอยู่ที่ความตั้งใจอันแน่วแน่ การศึกษาพัฒนาตนเองควรกระทำไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด และความมุ่งมั่นกระทำอย่างไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง
IP : บันทึกการเข้า

..............
ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,468



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2013, 09:45:24 »

แม่จ๋า...















IP : บันทึกการเข้า

..............
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!