เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 สิงหาคม 2025, 01:47:08
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  ข้อคิดข้อเขียน เพื่อชีวิตจาก "ธรรมชาติธรรม"
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ข้อคิดข้อเขียน เพื่อชีวิตจาก "ธรรมชาติธรรม"  (อ่าน 4763 ครั้ง)
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 11:54:44 »

 

  ข้อคิดข้อเขียนเกี่ยวกับ ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก

        ข้อคิดข้อเขียนแต่ละเรื่องเป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงที่ได้พบเห็นในสังคม มาจาระไนให้ท่านทราบเหตุผล สาเหตุ ข้อเท็จจริง  แนวทางคิดแก้ไข เพื่อให้ท่านได้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งใช้ประกอบวิจารณญาณเรื่องนี้
เพื่อการสนับสนุน และให้ข้อคิดเห็นร่วมกันต่อไป
        ข้อคิดข้อเขียนส่วนหนึ่งเป็นการนำเสนอแนวคิดใหม่ของกระผมเอง  
ตรงจุดนี้เองที่กระผมเปิดกว้างให้ท่านได้นำเสนอข้อคิดของท่าน เพื่อติติง  หรือเสริม สนับสนุน ตามความเห็นของท่าน
โดยเปิดกว้างให้ท่านที่มีความรัก และห่วงใยช่วย แก้ไข แนะนำ ส่งเสริมกันให้เต็มความปรารถนา
       เราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า คนเราทุกคนเมื่อเราไม่เห็นว่าสิ่งใดดีกว่า เราก็ยังคง
ยึดสิ่งที่เรามีอยู่ไว้ก่อน ข้อสำคัญสิ่งที่ท่านจะเห็นว่าดีกว่านั้นบางครั้งมันยังบดบังปัญญาของเรา
    อะไรคือต้นเหตุบดบังปัญญาของเรา อาจจะมีหลายสาเหตุ เช่น ไม่ทราบข้อมูลใหม่ รับข้อมูลที่ผิด(ข้อมูลบิดเบือน)
ฝังจิตฝังใจว่าสิ่งนี้ดีที่สุด (คนประเภทถือทิฐิ ดื้อดัน ไม่มีเหตุผล)
       ด้วยเหตุนี้การทำใจให้กว้าง และรับฟังเหตุผลจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะเป็นพื้นฐานในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น
กระผมเชื่อเหลือเกินว่าทุกท่านคงทราบประวัติของพระพุทธเจ้าดี "พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยตนเอง"   คำว่าตรัสรู้  
หมายถึงรู้แจ้ง โดยปริยายหมายความว่า รู้เอาเองว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
คำว่าตรัสรู้ใช้กับพระพุทธเจ้า
ถ้าเราทั่ว ๆ ไปน่าจะใช้ว่า   "รู้เอาเอง"
และหากเราได้ศึกษาแนวคิดแนวปฏิบัติของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงชี้นำให้พุทธศาสนิกรู้ด้วยตัวเองดีที่สุด
หากใครที่มีความคิดความอ่านในแนวนั้น  ถือว่าเป็น คนมีธรรมะในตัว
นี่คือสิ่งที่พระองค์ปรารถนา

       ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก เป็นแนวทางที่จะนำท่านอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขที่แท้จริง และยั่งยืน

ธรรมชาติธรรมน้อมนำโลกใบนี้
ยกให้แด่น้องพี่มวลมนุษยชาติ
อยู่เคียงข้างอย่างจริงใจนัยหนึ่งทาส
มิคลาคลาดคอยครองปกป้องภัย

หากเข้าใจตัวฉันกันสักนิด
ทุกชีวิตแผ่นปฐพีนี้สุกใส
ใช่ฉันอ้อนร่อนคำนำปลอบใจ
จากดวงฤทัยจริงแท้มิแปลเอย


http://www.nature-dhrama.com/index-kit-t.htm


* L9.2.jpg (212.92 KB, 1000x500 - ดู 2112 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 พฤษภาคม 2013, 12:55:15 โดย watthanasit » IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 11:57:26 »

ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก

ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก
กฎดับโศกดับบาปให้สาบสูญ
สิ้นธรรมชาติขาดธรรมนำเกื้อกูล
ทวีคูณเร่งดับกับโลกเรา

ธรรมชาติขาดดุลวุ่นวายแน่
อากาศแปรร้อนใจดังไฟเผา
ยิ่งคาร์บอนร่อนฟ้ามิซาเซา
ป่าขุนเขาน้ำมลายเป็นรายวัน

ยิ่งมนุษยชาติขาดธรรมะจะเสริมซ้ำ
ความมืดดำก่อกิเลสผุดสุดมหันต์
เร่งทำลายธรรมชาติเพราะขาดธรรม์
ปิดสวรรค์สุขสันติที่ยืนยง

ขอศึกษาให้ลึกซึ้งซึ่งธรรมชาติ
ความฉลาดเสริมจิตยากคิดหลง
นำธรรมะสะสางหนทางตรง
โลกก็คงสันติสุขดับทุกข์เอย




* L24.jpg (130.92 KB, 862x700 - ดู 1722 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 พฤษภาคม 2013, 12:56:09 โดย watthanasit » IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 12:02:55 »

 

 ความฝันอันสูงสุด

              "ความหวังอันสูงสุด" ฟังดูแล้วอาจจะคิดได้หลายแง่ หลายมุม ยิ่งถ้าเกี่ยวข้องกับ
"ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" แล้ว ผมคิดว่าหลายท่านคงจะหัวเราะ หัวเราะว่าเป็นเรื่องเฟ้อฝันมากกว่า
เมื่อท่านคิดอย่างนี้ "ความฝันอันสูงสุด" จึงเป็นเรื่องตลก คือท่านคิดว่ามันเป็นไปได้ยาก มันเป็นไปไม่ได้
เมื่อเราคิดอย่างนี้ทุกอย่างที่จะก้าวไปก็จบ ความฝันอันสูงสุดก็ไม่มี กลับกลายเป็น "ความฝันอันลม ๆ แล้ง ๆ"

              เรามีความคิดอย่างนี้บ้างไม่ "ทำไมเราเดินไปข้างหน้าได้" แล้วเรามองมุมกลับบ้าง
"ทำไมเราเดินถอยหลังไม่ได้" เราเดินไปข้างหน้าแต่พบแต่ความสุขจริง ๆ และยั่งยืนจะไม่ว่ากัน
แต่เดินไปข้างหน้าพบแต่ความทุกข์ ความเศร้า เราจะดิ้นรนเดินหน้าไปทำไม ตรงข้าม
ถ้าเราเห็นว่าหากเราตั้งหลักใหม่ แล้วถอยหลังลองดู หากการถอยหลังพบแต่ความสุขที่แท้จริง
เราจะเดินถอยหลังไม่ได้หรือ


                                                      ขอเสนอบทเพลงให้คิด

                                                          ทางสายใหม่

                                                      คำร้อง ประทีป วัฒนสิทธิ์
                                                      ทำนอง ประทีป วัฒนสิทธิ์


                                    อย่ามัวเพลิน หลงเดินบนทางวัตถุ
                                    ด้วยจิตยั่วยุ จนใจลุ่มหลงคลั่งไคล้
                                    หนทางที่ย่างก้าวไป ดูแสนเพลินสดใส
                                    แต่แต่ละย่างก้าวไป ล้วนมีพิษภัยกับเรา

                                                                   เมื่อเราเห็น หนทางแสนจะกันดาร
                                                                   ไม่ใช่วิมาน พบพานแต่ความโง่เขลา
                                                                   จิตกายวุ่นวายเปลืองเปล่า ก็ลองตรองดูเถิดเรา
                                                                   อย่าอย่าเข้าใกล้หลีกไกล ไร้ผลกำไรชีวี


                                    มาเลือกเดินทางสายใหม่
                                    เลือกทางที่สุกสดใส
                                    เลือกทางที่ดีกว่านี้
                                    หลีกไกลเภทภัยที่มี
                                    ค้นหาเส้นทางสุขี
                                    หนทางที่เดินพอมี
                                    หากตัดโลกีย์วัตถุไป
                                                                   เราเพลิดเพลิน ก้าวเดินบนธรรมชาติ
                                                                   จิตใจตัดขาด แห่งทาสวัตถุสมัย
                                                                   โลภหลงถ้าเราปลงได้ ความทุกข์ก็มอดมลาย
                                                                   ชีวิตเจอะจุดมุ่งหมาย อิ่มใจกายชั่วชีวี

                                        

 

                              ความฝันอันสูงสุดเมื่อมวลมนุษยชาติต่างเห็นพ้องกัน     ดูภาพและจินตนาการ  ท้ายภาพจะอธิบายตามแนวคิด

 

                                                                            ภาพมองจากด้านบน
                                                                                
                                                      http://www.nature-dhrama.com/kid%20-t1.htm





       มวลมนุษยชาติมีที่ดินเป็นเจ้าของร่วมกัน อยู่ร่วมกัน ทุกคนต่างเป็นเจ้าของร่วมกัน ไม่แบ่งให้ใครเป็นเจ้าของ
จะไม่เห็นว่าใครมีที่ดินมาก ใครมีที่ดินน้อย เรามีเท่ากัน เพราะเราอยู่ร่วมกัน อาศัยบนพื้นดินเดียวกัน ทำกินร่วมกัน
พัฒนาความเป็นอยู่ร่วมกัน

        ถ้าดูตามภาพจะเห็นว่ามีหมู่บ้านอยู่ใจกลาง รอนนอกเป็นเรือกสวนไร่นา

        นี่คือข้อมูล นี่คือแผนการ จะให้แผนการที่กำหนดมีความสมบูรณ์ หมายถึงบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ และที่สำคัญที่สุดคือสามารถพัฒนาให้สูงกว่าเป้าที่กำหนด นั่นคือสิ่งที่ต้องการเพื่อถึง "ความฝันอันสูงสุด"

         ผมขอเสนอแนวคิดท่านจะได้เสนอความเห็นต่อไป

        ผู้อยู่ร่วมต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ต้องรู้ เราร่วมกัน ศึกษา ค้นคว้า วิจัย ว่าเมื่อเรามาอยู่ร่วมกันเป็นหมู่บ้าน
กำหนดให้มีขนาดเท่าไร ควรมีผู้อาศัยเท่าไร เราจะสร้างที่อยู่แบบใด การกำจัดปฏิกูลที่เกิดขึ้นทำอย่างไร
ที่ทำกินควรมีเท่าไร ที่ปล่อยเป็นธรรมชาติควรมีเท่าไร ระยะห่างแต่ละหมู่บ้านเท่าไร ใช้คลองเป็นเส้นทางคมนาคมดีไม่
ใช้ถนนดีไม่ ด้านสาธารณสุขควรมีการจัดการอย่างไร ฯลฯ

        ท่านอย่าเพิ่งตกใจกับแนวคิดเหล่านี้ ให้ท่านอ่านแนวคิดจากผม หลายเรื่อง หลายด้าน มาประมวลเข้าด้วยกัน
ส่วนหนึ่งท่านนำเสนอเพิ่มเติม นั่นคือการค้นหาแนวทางของเรา

        เรามาพบในกลุ่ม หมู่บ้าน อำเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ เราจะมีข้อมูล รู้โจทย์ รู้ปัญหา ร่วมคิด ร่วมทำ
"ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" ก็จะสำเร็จด้วยดี

       นั่นคือความฝันอันสูงสุด องค์ประกอบอื่น ๆ ที่สนับสนุนขอท่านได้ติดตามจากหัวข้ออื่น ๆ
ของ http://nature-dhrama.com  ท่านจะเข้าถึง เข้าใจ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก"






* IMG2.jpg (64.74 KB, 500x350 - ดู 519 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 พฤษภาคม 2013, 12:57:07 โดย watthanasit » IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 12:08:22 »



                                                                       ยากที่จะเข้าใจ
                                                                แต่คงไม่ยากที่จะหาทางออก
                                                                               1
                                                                  มนุษย์เกิดมาทำไม

                คำถามนี้ตอบง่ายมากถ้าตอบตามหลักของธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก "มนุษย์ก็เกิดมาเหมือนกับสัตว์ทั่วไป"

                       ถ้าตอบเช่นนี้ก็หมายถึงเกิดมาเพื่อดำรงชีพอยู่ การดำรงชีพของสัตว์น่าจะประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้

                                 กิน : อาหารของสัตว์ล้วนพึ่งพาธรรมชาติ

                                 หยอกล้อ:ถ้าเราอยู่จักสังเกตพฤติกรรมการอยู่ร่วมของสัตว์ เราจะเห็นว่าบางครั้ง
                       บางโอกาสสัตว์จะหยอกล้อต่อกัน  ตามพฤติกรรมของสัตว์ แต่ละชนิด หรือไม่ก็แสดงพฤติกรรม
                       ตามเอกเทศ เช่น ชะนีชอบห้อยโหน เหล่านี้อาจจะเป็นการ  ออกกำลังกาย หรือเป็นการนันทนาการ
                       ก็อาจจะเป็นได้
                                 หลบหลีกภัย : (ร่วมทั้งเยี่ยวยาตนเองยามเจ็บป่วย) สัตว์บางชนิดกินสัตว์ด้วยกันเป็นอาหาร
                       นกกินแมลง กินมด   ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ฯลฯ  สัตว์แต่ละชนิดรู้ว่าอะไรเป็นภัยของตนเอง   
                       การหาทางหลบหลีกภัย  จึงมีหลากหลาย เช่น แมลงบางชนิดปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
                       โดยวิธีปรับสีของตัวเอง    หรือไม่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสีคล้ายคลึงกับตัวเอง

                                นอน : ที่นอนของสัตว์พึ่งพาธรรมชาติ เช่น ถ้ำ พุ่มไม้ พงหญ้า น้ำ ฯลฯ

                                สืบพันธุ์ : เป็นสัญชาตญาณ



                             สำหรับเครื่องอาศัยในการดำรงชีพของมนุษย์จัดไว้ 4 อย่าง คือ (ปัจจัย 4 )

                                 อาหาร : พึ่งพาธรรมชาติ และปรุงแต่ง
                                 ที่อยู่อาศัย : นำวัสดุจากธรรมชาติ และวัสดุจากการผลิตจากวิทยาศาสตร์
                                 เครื่องนุ่งห่ม : ผลิตจากธรรมชาติ และใยสังเคราะห์
                                 ยารักษาโรค : จากสมุนไพร และจากกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์

                            ถ้าพิจารณาการดำรงชีพทั้งคนและสัตว์มีลักษณะการพึ่งพาที่คล้ายกัน คือทั้งคนและสัตว์
                       ต่างก็พึ่งพาธรรมชาติ   ขาดธรรมชาติแล้วเราอยู่ไม่ได้ การใช้ธรรมชาติเกิดความจำเป็น                     
                       การใช้ธรรมชาติในทางที่ผิดล้วนแต่เป็นภัยต่อมนุษย์เราเอง

 

                                                          ขอยกบทกลอนเพื่อสังคม

 

                                                       โลกจะสั้นวัดกันหลักเศรษฐกิจ
                                                  พอพ่นพิษเร็วรุดสุดสะสาง
                                                  แม้ไม่พ่นแต่วิ่งลู่สู่อับปาง
                                                  มิละวางเอาชนะสารพัน

 

                                                       สร้างโรงงานการกิจผลิตวัตถุ
                                                  มุทะลุเดือดดาลการแข่งขัน
                                                  ธรรมชาติถูกทำลายเป็นรายวัน
                                                  กลุ่มหมอกควันปล้นฆ่าปฐพี

 

                                                       ทะเลห้วยหนองบึงถึงจุดจบ
                                                  ปลาหลีกหลบมิวายกลายเป็นผี
                                                  สัตว์จะพึ่งต้นไม้ก็ไม่มี
                                                  ต่างพลีชีพด้วยฆ่าตัวตาย

 

                                                        สารเคมีวิ่งพล่านทุกการกิจ
                                                   โทรมชีวิตก่อนโลกล่มสลาย
                                                   ใช่เพ้อฝันคิดกันให้แยบคาย
                                                   เรื่องหลากหลายควรคิดสะกิดใจ

 

                                                       ปัจจุบันมนุษย์เราเขาอยู่ผิด
                                                   น่าเปลี่ยนวิถีชีวิตแนวทางใหม่
                                                   หาเลี้ยงชีพเลี้ยงกายสบายใจ
                                                   ไม่ควรกักตุนเป็นทุนรอน

 

                                                        เลิกใช้เงินใช้ทองจองซื้อจ่าย
                                                   จงทำลายเด็ดขาดทาสเงินผ่อน
                                                   สร้างหนี้สินรุงรังทั้งนคร
                                                   จะหลับนอนนึกหนี้มิเคลื่อนคลาย


                                                         สุขภาพจิตย่ำแย่จนแก่เฒ่า
                                                   ต่างร้อนเร่ารุมใจมิเหือดหาย
                                                   ทุกข์ตลอดเวลาจนกว่าตาย
                                                   โอ้เหนื่อยกายเหนื่อยใจใครบัญชา

 

                                                        ตัวเป็นเกลียวเคี่ยวงานเร่งการกิจ
                                                   อันชีวิตคิดไปไร้คุณค่า
                                                   นี่แหละโลกวังวนแห่งมารยา
                                                   อนิจจามนุษย์มนุษย์มนุษย์

 

                           ท่านได้อ่านกลอนสลับข้อเขียนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และที่สำคัญน่าจะมีข้อคิดเกิดมาบ้าง
                       ไม่มากก็น้อย ขอย้ำอีกครั้ง จงวางใจให้เป็นกลาง ทำใจให้กว้าง แล้วอาจจะค้นพบสัจธรรม
                       เมื่อเรามีเพื่อนร่วมทาง เราจะเดินเคียงคูไปด้วยกัน เมื่อพวกเราเข้าถึงในสิ่งที่ถูกต้อง
                       ในสิ่งที่เป็นธรรมดา ในสิ่งที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ ความสงบสุขก็เกิดขึ้น ยิ่งปัจจุบัน
                       ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ในหลายด้านหลายสาขา เราช่วยกันค้นหาสัจธรรมในวิทยาศาสตร์
                       มาใช้ให้ถูกวิธีในการดำรงชีพของเรา ก็จะยิ่งทำให้ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก"
                       อยู่คู่กับมวลมนุษยชาติต่อไปชั่วนิจนิรันดร

                            ขอสรุปให้ชัดเจนอีกครั้งว่า สัตว์ และมนุษย์ต่างดำรงชีพโดยพึ่งพาธรรมชาติ   
                       อาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในบางประการ สิ่งที่เหมือนกัน หรือคล้ายคลึงกันจะชี้แจง
                       โดยสังเขป อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค การสืบพันธุ์ คิดว่าเรื่องนี้มีความคล้ายคลึง
                       ต่างก็พึ่งพาธรรมชาติเป็นหลัก ต่างแต่มนุษย์ปรุงแต่งเพิ่มขึ้น

                            เรื่องของการออกกำลังกาย และนันทนาการ มนุษย์มีการปรุงแต่งเพิ่มขึ้นเช่นกัน
                        เอาวิทยาศาสตร์เข้าช่วย เช่น อุปการณ์การออกกำลังกาย เกมการเล่นต่าง ๆ
                        เพลง ฟ้อนรำ ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ยังถือว่าไม่ทำลายธรรมชาติ มากเท่าไร

                             เรื่องที่กล่าวมาปรากฏเด่นชัดทั้งในมนุษย์และสัตว์ มีอยู่สองเรื่องที่ปรากฏไม่ชัด
                       แต่ก็มีผู้ค้นคว้าและให้ความรู้ในเรื่องนี้อยู่มากมาย เรื่องดังกล่าวคือเรื่องศีลธรรม
                       และด้านความรู้(วิชาการ)ด้านศีลธรรมในสัตว์ก็มี จะบอกว่าเห็นในสัตว์ชัดแจ้งหรือไม่
                      ก็ยังบอกยาก แต่ขอยกตัวอย่างให้เห็นสักกรณี ขอพูดให้แปลกว่า "ธรรมเนียมสุนัข"
                      (แบบอย่างสุนัข) 

                             ธรรมเนียมสุนัข เมื่อสุนัขแปลกหน้าเจอกัน ต่างจ้องหน้า
                       แยกเขี้ยวยิงฟันใส่กันพร้อมส่งเสียงคำรามเบา ๆ (ที่เห็นชัดมักจะเป็นเพศผู้ ที่สังเกตเห็น
                       เพศเมียก็มีพฤติกรรมคล้ายคลึง) ตัวใดหลีกหลบก็จบเกม ถือว่าแพ้ ถ้าไม่หลีกหลบ
                       จะเพิ่มเสียงคำรามขึ้น ต่างตัวต่างก็ใช้เสียงข่มกันก่อน เมื่อยังไม่มีผู้ใดยอมแพ้
                      การต่อกรก็เกิดขึ้น ทั้งเสียงและพละกำลังโถมเข้าหากันอย่างไม่เกรงใจใคร
                      ไม่มีเวลาเป็นขีดจำกัด แต่ก็มีสักช่วงหนึ่งจะมีตัวที่ยอมแพ้ สุนัขที่ยอมแพ้จะนอน
                      หมอบราบลงที่พื้น คู่ต่อสู้ก็หยุดทันที่ไม่มีการแจกแถม จากนั้นต่างตัวต่างมอง
                      หน้ากันอีกครั้ง เพื่อจำกันไว้ให้มั่นว่าเราเคยต่อกร และรู้ผลกันแล้ว เมื่อพบกันครั้งต่อไป
                      ตัวที่เคยแพ้จะเดินหลีกหลบทันที ถ้าอยู่ใกล้หน่อยก็หมอบราบลง นี่คือธรรมเนียมสุนัข

                           ธรรมเนียมมนุษย์ในเรื่องเดียวกันนี้จะเหมือนธรรมเนียมสุนัขหรือไม่ หรือวันนี้แพ้
                      แต่วันหลังไม่แพ้ วันนี้ไม่มีเครื่องทุนแรง (อาวุธ) วันหลังจะนำเครื่องทุนแรงมา
                      ท่านคิดว่าสัตว์มีศีลธรรมหรือไม่

                          อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของด้านความรู้ หรือด้านวิชาการ สัตว์ก็น่าจะมี มีตามอรรถภาพ
                     มีพอพึงพาชีวิตแบบพอเพียงได้ และได้ด้วยดี ส่วนมนุษย์มีมากและบ้างครั้งใช้เกิน
                     ความจำเป็นจนเกิดโทษอย่างมหันต์ อย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ และตรงนี้เองที่เรา
                     ต้องถอยหลังสู่ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก"

                          เราถอยอย่างมีหลักการ เราถอยอย่างมีระบบ วันนี้เรายังถอยไม่ได้ สักวันหนึ่ง
                     เราต้องถอยให้ได้ ถอยเพื่อความสงบสุขอย่างยั่งยืนของลูกหลานเรา

                                                  ก่อนจบขอฝากบทกลอนเป็นข้อคิด

 

                                                    เราเกิดมาทำไมในชีวิต
                                              ก็ต้องคิดหาทางอยู่อย่างสุข
                                              มันมิใช่ที่จะมาหาความทุกข์
                                              ให้รุมรุกตัวเราเปล่าเดียวดาย


                                                   จิตกายสุขสองข้อพอเท่านั้น
                                              อย่าวาดฝันชั้นวิมานประมาณหมาย
                                              คิดร่ำรวยเงินทองของนอกกาย
                                              มันมิวายว้าวุ่นเป็นทุนรอน


                                                   โลภกักตุนทุนเพิ่มเติมมิหยุด
                                              มันไม่หลุดหยุดพ้นจนยากถอน
                                              จิตเฝ้าคิดเพ้อพล่ามยามหลับนอน
                                              วันพักผ่อนกายใจแทบไม่มี


                                                    กายก็กล้าจิตก็วุ่นทุนนรก
                                              มาไหม้หมกสุมเราเข้าเต็มที่
                                              วนเวียนไปเวียนมาชั่วตาปี
                                              คำว่า "สุขี" จนตายไม่ได้เจอ


                         ขอติดตามเรื่องยากที่จะเข้าใจ ฯ ตอนต่อไป ขอกราบขอบพระคุณที่ท่านคอยติดตาม

IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 12:11:04 »



                                                                         ยากที่จะเข้าใจ
                                                                 แต่คงไม่ยากที่จะหาทางออก
                                                                                 2

                                  เมื่อเรารู้ว่าเกิดมาทำไม      ยากที่จะเข้าใจ ฯ 1 ได้พูดถึงเรื่องมนุษย์เกิดมาทำไม

        เมื่อรู้ว่าเกิดมาทำไมเราก็จะได้รู้หน้าที่อันพึงปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรมดาตามธรรมชาติเพื่อการอยู่ร่วมกันกับสภาพแวดล้อมทุกอย่างในโลกนี้ด้วยความถูกตาม
สัจธรรมการอยู่ร่วมก็จะมีความสงบสุขอย่างแท้จริง และยั่งยืน

        เมื่อมนุษย์เกิดมาแล้วจำเป็นต้องดำรงชีพอย่างมีความสุข แต่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่มนุษย์กำลังหลงทางในการดำรงชีพ เราดำรงชีพอย่างไร้ความสุข
สัตว์ต่างหากที่ดำรงชีพอย่างมีความสุข ถ้ามันจะขาดความสุขไปบ้าง นั้นเพราะมนุษย์ต่างหากที่ทำให้ไปกระทบ จะโดยตรงหรือไม่ ก็ทางอ้อม

        เมื่อเรารู้ข้อมูลพื้นฐานอันแท้จริงว่าการดำรงชีพที่ก่อให้เกิดความสุขที่แท้จริงต้องปฏิบัติอย่างไร ก็ช่วยกันหาทางออก และร่วมมือกันแก้ปัญหาต่อไป

        เราไม่ได้หมายถึงต้องใช้วิถีชีวิตดำรงตามแบบอย่างของสัตว์ เรามีความฉลาดกว่าสัตว์ หนทางการเจริญด้านวิชาการเราพัฒนาอย่างรวดเร็วเราเอาความเจริญด้านนี้มาประยุกต์ใช้ให้ได้ประโยชน์ที่สุด ทั้งเราเอง และรวมไปถึงสภาพแวดล้อมทั้งมวลที่อยู่ร่วมกับเรา

        เราต้องศึกษาเรื่องธรรมชาติให้มากขึ้นที่เป็นเช่นนี้เพราะการเพิ่มประชากรของมนุษย์มีอัตราสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นการวางแผนการดำรงชีพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ขณะนี้ทุกประเทศในโลกนี้ไม่ได้ตระหนักมากนัก ยังไม่เป็นกระบวนการที่เป็นรูปธรรม ทั้ง ๆ ที่บางอย่างเริ่มเห็นกันชัดในเรื่องผลกระทบ ภาวะโลกร้อน มีการพูดกันถกเถียงกันสุดท้ายก็รณรงค์แก้ปัญหาแต่ส่วนใหญ่แก้ที่ปลายเหตุซึ่งแน่นอนที่สุดว่าไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้เลย

        ขณะนี้ที่เราอยู่อย่างไร้ความสุขอย่างแท้จริงเพราะเราอยู่อย่างเกินความพอดี คืออยู่อย่างไม่เพียงพอ หรืออยู่อย่างไม่พอเพียง

        ดังนั้นการชีพของมนุษย์ดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งถ้าสรุปเป็นประเด็นก็จะได้     7 ประการ คือ

        1. อาหาร
        2. ที่อยู่อาศัย และ เครื่องนุ่งห่ม
        3. ยารักษาโรค
        4.การสืบพันธุ์
        5. นันทนาการ และ การออกกำลังกาย
        6. ความรู้ (วิชาการ)
        7. ศีลธรรม

       เรื่องที่กล่าวมาทั้ง 7 ประการ ต้องมีการจัดระบบให้สอดคล้อง ลงตัวที่สุด

                    ขอฝากกลอนเป็นข้อคิดปิดท้ายเรื่อง

                                                        กลอนสอนศัพท์

                                              ธรรมชาติใกล้กายและใกล้จิต
                                         ยิ่งชมชิดยิ่งซึ้งถึงสวรรค์
                                         ธรรมชาติทั่วหล้าค่าอนันต์
                                         สุดจะสรรคำเทียบมาเปรียบปาน


                                               เห็นฝนโปรยโรยลงพงพฤกษา
                                         ทั่ววนารินไหลกว้างไพศาล
                                         เหล่าพืชพันธุ์ชื่นฉ่ำสุขสำราญ
                                         ประหนึ่ง ทานแห่งสวรรค์พลันโปรยมา



                                               ทั้งได้ดื่มได้อาบสุดซาบซึ้ง
                                          บานประหนึ่ง ซึ่งทิพย์แห่งพรรษา
                                          ยังเอื้อเฟื้อเหลือลงสู่คงคา
                                          หมู่มัจฉารื่นเริงบันเทิงใจ

 

                                               ค่าของน้ำนับคณาในหล้าโลก
                                          อุปโภคบริโภคโลกสดใส
                                          มนุษย์สัตว์พืชพันธุ์มิบรรลัย
                                          แต่ตอนใดน้ำหมดคงอดตาย

 

                                              น่าเปรียบน้ำเฉกเช่นเป็นแม่พระ
                                          ผู้สละเอื้อเฟื้อคุณเหลือหลาย
                                          ผู้มีคุณต่อมนุษย์สุดบรรยาย
                                          หินดินทรายมนุษย์ทราบควรกราบกราน


                                               อย่ามองข้ามของนิดคิดไร้ค่า
                                          ควรค้นหาครวญใคร่ได้แก่นสาร
                                          คนไม่รู้คุณสิ่งใดใจจักพาล
                                          จิตสามานย์เปล่าแท้แน่นอนเอย
IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 12:12:55 »

   

                                                                                              ธรรมชาติคือผู้ให้ชีวิต

                                                                                                           แก่
                                                                                                  มวลมนุษยชาติ

          ก่อนที่จะพูดเรื่องธรรมชาติคือผู้ให้ชีวิตแก่มวลมนุษยชาติก็จะพูดถึงสิ่งสำคัญที่ยังอยู่เหนือธรรมชาติบนโลกเรา  เพื่อชี้ให้เห็นว่าทุกอย่างมีความสัมพันธ์กัน เกี่ยวข้องกัน  ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ แต่ถ้าเรายกสิ่งที่มีความสัมพันธ์   

               สิ่งเกี่ยวข้องทั้งหมด ก็พูดกันไม่จบ  ขอเอาสิ่งใกล้โลกที่สุด คือพระอาทิตย์ นำมากล่าวไว้เพื่อช่วยเตือนจิตใจเราว่า
"มนุษย์ต้องรู้คุณค่า รู้คุณของสภาพแวดล้อมใกล้ตัวทุกอย่าง จะได้ไม่หลงลืมตัว จะได้ไม่เป็นผู้สร้างปัญหา  และที่สำคัญต้องศึกษาหา
ความรู้เพื่อการอยู่ร่วมกับสภาพแวดล้อมเหล่านี้อย่างมีคุณค่าที่สุด"

                                                ขอยกโคลงสี่สุภาพ กล่าวถึงพระคุณของพระอาทิตย์

 

                                                                           พระอาทิตย์

 

                                                         พระอาทิตย์แห่งเจ้า          จักรวาล
                                                   คุณยิ่งมโหฬาร                     ล้นหล้า
                                                   แสงทิพย์ส่องบริการ               แก่โลก
                                                   พืชสัตว์มนุษย์ถ้วนหน้า           เกิดได้เพราะสุรีย์

 

                                                         อาทิตย์ดับโลกม้วย           มืดดับ
                                                  ดับบ่อเกิดสรรค์สรรพ              แห่งหล้า
                                                  อาทิตย์ค่าคณานับ                   เหนือสิ่ง   ใดเอย
                                                  อาทิตย์เปรียบดุจหว้า               แม่เจ้าปฐพี

 

                                                          แสงสุรีย์ให้พืช               พันธุ์ทวี
                                                  สัตว์พึ่งพืชชีพมี                     อยู่ได้
                                                  มนุษย์ฝากชีวี                        กับพืช   สัตว์เอย
                                                  มวลพืชมอบฝนให้                 แห่งน้ำสายธาร

 

                                                          มนุษย์เอ๋ยระลึกบ้าง        บาปบุญ
                                                  ใครเล่าคอยเกื้อหนุน              ชีพให้
                                                  ขอจิตเมตต์การุญ                  รักเพื่อน   มนุษย์แฮ
                                                  ประหนึ่งแทนคุณไท้               แห่งเจ้าจักรวาล

 

           ในเนื้อความโคลงบอกถึงคุณค่าของพระอาทิตย์ที่มีต่อโลกเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมที่มีต่อกัน  ทุกอย่างเกื้อหนุนต่อกัน น่าจะลง
ตอนท้ายด้วยการให้มนุษย์แทนบุญคุณสิ่งต่าง ๆ ที่มีพระคุณต่อมนุษย์  แต่กลับขอร้องให้มนุษย์หันมารักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพื่อแทนการทดแทนบุญคุณ
ของพระอาทิตย์  พอจะนำข้อคิดจากโคลงทั้ง 4 บทนี้มาเชื่อมโยงกับเรื่องที่จะกล่าว"ธรรมชาติคือผู้ให้ชีวิตแก่มวลมนุษยชาติ"

             เรื่องที่จะทำความเข้าใจต่อไปก็คือเรื่องคุณค่าของธรรมชาติที่มีต่อมนุษย์เรา

             ธรรมชาติเป็นหัวใจสำคัญยิ่งของการดำรงชีพของสรรพสัตว์ในโลก ทุกคนคงรู้จักป่าไม้ ทะเล  ขอเอาธรรมชาติแหล่งใหญ่ 2 แหล่งนี้ เชื่อมโยงด้วยกัน   และยังสัมพันธ์กับธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมาย

          ป่าไม้เป็นแหล่งธรรมชาติที่เป็นตัวจักรแม่ที่สำคัญป่าไม้เป็นให้ความชุ่มชื่นทำให้ฝนตก ป่าไม้เป็นโรงครัวขนาดใหญ่ที่ผลิตอาหารให้สัตว์โลก
ป่าไม้ทำให้ฝนตก ความร่มเย็น ความชื่นฉ่ำ ที่เป็นผลมาจากป่าไม้ ทำให้เมฆกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ และตกลงมาเป็นฝน  ฝนตกลงมาสู่ที่สูง เช่นภูเขา
และตกลงมายังพื้นราบทั่ว ๆไป น้ำไหลลงสู่ บึง หนอง ห้วย ลำธารลำคลอง   แม่น้ำ และที่สุดก็ไหลลงสู่ทะเล

              บึง หนอง ห้วย ลำธาร ลำคลอง แม่น้ำ และทะเล ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ และสัตว์บกทั่วไป      บริเวณริมบึง หนอง ห้วย ลำธาร ลำคลอง และแม่น้ำ ดินจะอุดมสมบูรณ์เนื่องจากเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก      น้ำจะพัดพาผิวดินที่มีปุ๋ย ซากพืช ซากสัตว์ มาทับถมบริเวณนี้ ทำให้พืชพันธุ์เจริญงอกงาม และหนาแน่น ป่าไม้แถบนี้จึงเป็นแหล่งอาหารของสัตว์อย่างดี ประกอบกับบริเวณที่มีน้ำจะมีสัตว์น้ำชุกชุม      ทำให้สัตว์ที่กินสัตว์น้ำเป็นอาหารพลอยชุกชุมด้วย เช่น นกน้ำ งู
 นาค จระเข้ เสือปลา ฯลฯ สัตว์ที่จับสัตว์อื่นเป็นอาหารก็จะตามมาเช่นกัน


        แม้แต่มนุษย์เราก็จะอาศัยลำน้ำเป็นแหล่งพึ่งพิง เพราะที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหาร   การคมนาคมก็สะดวก เพราะสมัยก่อนใช้ทางน้ำ
เป็นเส้นทางคมนาคม ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ เราจะพบว่า    ริมฝั่งแม่น้ำที่สำคัญ ๆ ทุกแห่งในโลก เป็นแหล่งเกิดอารยธรรมของมนุษย์แทบทั้งสิ้น


         ทะเลเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุด น้ำจากห้วยหนองคลองบึงต่างไหลลงสู่ทะเล            ทะเลเปรียบเสมืออ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุด น้ำที่ระเหยจากทะเลจะเข้าสู่วัฏจักรการเกิดฝนต่อไป


         ทะเลเป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุด ทะเลจึงเป็นแหล่งผลิตอาหารที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์  (หากมนุษย์ยังบริโภคเนื้อสัตว์)


          ที่กล่าวมาเป็นเรื่องแม่บทใหญ่ที่ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ต้องพึงพาธรรมชาติ ด้วยเหตุผลนี้เองที่เรา ต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติให้ถูกต้อง
ไม่เช่นนั้น ภัยพิบัติต่าง ๆ จะตามมาดังที่เรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบันนี้

           ภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น โลกร้อน พายุ อากาศเป็นพิษ น้ำเป็นพิษ ดินเป็นพิษ  ระบบนิเวศถูกทำลายซึ่งทำให้ผลเสียอื่น ๆ ตามมา

              เรื่องของระบบนิเวศเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับ โลกร้อน พายุ อากาศเป็นพิษ น้ำเป็นพิษ   ดินเป็นพิษ มีวิชาที่เกี่ยวข้อง
เรื่องนี้คือ "นิเวศวิทยา" นิเวศวิทยาคือ  วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับถิ่นที่อยู่ และสิ่งแวดล้อม  จะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ
"ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" (สองเรื่องนี้จะยกเปรียบเทียบให้เห็นต่อไป)

                ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องกว้าง ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ต้องพึ่งธรรมชาติ   ภัยพิบัติกำลังตามมาเพราะเราอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างผิดวิธี          เรื่องเหล่านี้จะนำมาแสดงทัศนะอย่างพิสดารเป็นเรื่อง ๆ ต่อไป





 

 

 
IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
tung 7737
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,801



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 13:18:07 »

สาธุครับ
IP : บันทึกการเข้า

ทำดี ขยัน อดทน ความจนอยู่ได้ไม่นาน
คนขาย น่ะ ..ไม่รีบ แต่คนชื้อ น่ะ..รีบๆหน่อยนะ
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 14:02:59 »

   

                                                      ความเจริญ
                                      มอง อย่างแนว "ธรรมชาติธรรม"

       การตีค่าความเจริญของบ้านเมืองจากคนส่วนใหญ่ในยุคนี้เขาเอาความเจริญด้านวัตถุเป็นเครื่อง
ชี้วัด นี่เพราะค่านิยมด้านวัตถุฝังหัวอย่างเหนียวแน่น ผมเคยเดินทางร่วมกับคณะเพื่อนร่วมงาน
ไปเที่ยวต่างจังหวัด ขณะผ่านหมู่บ้านที่อยู่แถบชนบทมักจะได้ยินเพื่อน ๆ แสดงความรู้สึกจากความคิด
ของเขาว่า "ที่นี่ไม่เจริญ" เมื่อผ่านทุ่งน่า ป่าเขา พบสภาพบ้านเรือนเป็นกระต๊อบ เป็นขนำ ก็ให้ความ
รู้สึกว่า "ที่นี่ไม่เจริญ" เมื่อผ่านตัวเมืองก็จะมักจะมีการเปรียบเทียบว่าเมืองนี้เจริญกว่าเมืองนั้น
เมืองนั้นเจริญกว่าเมืองนี้ เช่น เมื่อผ่านเมืองนครศรีธรรมราช ก็บอกว่า "เมืองนครเจริญน้อยกว่าหาดใหญ่"
เมื่อผ่านตัวเมืองลำพูน ก็บอกว่า "เมืองเชียงใหม่เจริญกว่าเมืองลำพูน" นี่เพราะเหตุผลที่นำวัตถุส่วนหนึ่ง
ความคับคั่งของผู้คนส่วนหนึ่งมาเป็นตัวชี้วัด มาเปรียบเทียบ ความคิดเช่นนี้คิดว่า คนส่วนใหญ่ไม่ว่าคน
ในบ้านเมืองเรา หรือคนต่างชาติคงจะมีแนวคิดอย่างนี้เป็นส่วนใหญ่ นี่เพราะ "ค่านิยมด้านวัตถุฝังหัว"

       ขอนำบทกลอนเพื่อสังคม (กลอนสอนศิษย์ ) ฝากเป็นแนวคิด สลับ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

                                         โลกจะสั้นวัดกันหลักเศรษฐกิจ
                                  พอพ่นพิษเร็วรุดสุดสะสาง
                                  แม้ไม่พ่นแต่วิ่งสู่ลู่อับปาง
                                  มิละวางเอาชนะสารพัน

                                        สร้างโรงงานการกิจผลิตวัตถุ
                                   มุทะลุเดือดดาลการแข่งขัน
                                  ธรรมชาติถูกทำลายเป็นรายวัน
                                   กลุ่มหมอกควันปล้นฆ่าปฐพี

                                       ทะเลห้วยหนองบึงถึงจุดจบ
                                  ปลาหลีกหลบมิวายกลายเป็นผี
                                  สัตว์จะพึ่งต้นไม้ก็ไม่มี
                                  ต่างพลีชีพด้วยฆ่าตัวตาย

                                       สารเคมีวิ่งพล่านทุกการกิจ
                                  โทรมชีวิตก่อนโลกล่มสลาย
                                  นี้ใช่เพ้อควรคิดอย่างแยบคาย
                                  ความหลากหลายขายคิดจงติดใจ

        การมองความเจริญตามแนว "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" ตรงข้าม หรือผิดแผกไปบ้าง กับการ
มองความเจริญที่กล่าวมาข้างต้น   ทั้งนี้เพราะไม่ได้ยึดเอาความเจริญด้านวัตถุมาเป็นตัววัด    หรือตัว
เปรียบเทียบ แต่จะยึดเอาความเป็นธรรมดา ความเป็นธรรมชาติมาวัด คือนำหลักสัจจะธรรมเป็นเครื่องมือชี้วัด

        ที่กล่าวว่านำหลักสัจจะธรรมเป็นเครื่องชี้วัด เพราะถือว่าความเจริญทางด้านวัตถุเป็นเรื่องของ
ความจอมปลอม ผู้คนที่อยู่ในสภาพสังคมเช่นนี้มีแต่เรื่องรุ่มร้อน ดิ้นรน แสวงหาอย่างไม่จบสิ้น คดีต่าง ๆ
เกิดเพิ่มขึ้น ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยยิ่งมีมากขึ้น (น่าจะกล่าวว่าช่องว่างระหว่างนายจ้าง กับทาสแรงงาน)
สังคมมีแต่ความวุ่นวายไม่จบสิ้น แต่ละชีวิตเหน็ดเหนื่อยดิ้นรนกันถึงแก่เฒ่า หากอยู่ร่วมกันโดยยึดความ
เป็นธรรมดา ความเป็นธรรมชาติ อย่างแนวทางของ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" การอยู่ร่วมของมนุษย์
ย่อมมีความสันติสุข และยั่งยืน มีความสุขอย่างแท้จริง ไม่ใช่ความสุขจอมปลอมจึงถือว่าได้ยึดหลักสัจจะธรรม
ในการอยู่ร่วม

                       ขอนำบทเพลงเพื่อสังคม จาก "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" สนับสนุน

                                                 ความพอดี
                                         เนื้อร้อง ประทีป วัฒนสิทธิ์
                                         ทำนอง ประทีป วัฒนสิทธิ์

                                อยู่กันอย่างผิดผิด           ชีวิตมีแต่ความวุ่นวาย
                                อยู่กินอย่างไม่สบาย         จนเฒ่าแก่ตาย
                                อยู่อย่างวุ่นวายเรื่อยมา      (ซ้ำ)

                                อยู่กันเกินพอดี              หนี้สินมากมีล้นฟ้า
                                วุ่นวายกับวัตถุเงินตรา       เสียดายเวลา
                                ที่ปล่อยให้ฆ่าจิตใจ          (ซ้ำ)

                                อยู่กันอย่างพอดี             พอมีพอกินพอใช้
                                กักตุนกันไปทำไม           หยุดโลภหลงงมงาย
                                สุขกายสบายใจแน่นอน      (ซ้ำ)

                                อยู่กันอย่างพอเพียง          ไม่เสี่ยงและไม่รุ่มร้อน
                                กายใจได้พักผ่อน            โรคร้ายหนี้ไกลจากจร
                                ความทุกข์เร้าร้อนไม่มี       (ซ้ำ)

                                อยู่กันอย่างธรรมชาติ         จิตใจสะอาดสดสี
                                ไม่เปรอะเปื้อนราคี           งดงามสง่าราศี
                                อยู่ด้วยดีเพราะคุณธรรม      (ซ้ำ)

          ถามว่า      "ผิดหรือไม่ การที่เอาวัตถุมาวัดความเจริญ"        ถ้าตอบตามแนวของ
"ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" ถือว่าผิด และผิดอย่างมหันต์ เพราะโลกที่วุ่นวายอย่างรุนแรง และเพิ่มทวี
ขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆด้าน ก็สืบเนื่องมาจากการนิยมวัตถุนั่นเอง การแข่งขันด้านธุรกิจจนไม่ลืมหูลืมตา
ต่างมุ่งเอาตัวรอด มุ่งเอาความได้เปรียบ เพียงเพื่อการมีอำนาจทางด้านสินทรัพย์ และเงินทอง
ทำให้ปัญหาตามหลังมามากมาย

         การที่ต่างคน ต่างกลุ่ม มุ่งหวังเพื่อได้มาซึ่งสินทรัพย์ เงินทอง ต่างก็หาหนทางเชิงได้เปรียบ
ในการครอบครอง ในการแย่งชิงเป็นของตัว ของกลุ่ม แข่งขันกันทุกระดับ จนถึงระดับประเทศ
และยังป่าวประกาศก้องไปถึงระดับภูมิภาค ผีธุรกิจเข้าสิงสู่จนลืมหลักสัจจะธรรม ในการอยู่ร่วม
ของมนุษย์อย่างมีความสันติสุขที่แท้จริง และยั่งยืน การชิงไหวพริบในการได้เปรียบในทุกเรื่อง
ทุกอย่างย่อมทำให้มนุษย์ขาดคุณธรรม ยากที่จะมองเห็นสัจจะธรรมได้ในทุก ๆ แง่มุม

          ขอนำบทกลอนเพื่อสังคม (คำกลอนสอนศิษย์) เสริมข้อคิด และเปลี่ยนบรรยากาศ


                               ดำรงชีพเหนือธรรมชาติขาดสติ
                           อุตริผิดผิดจิตถลำ
                           เพราะวัตถุนิยมเกิดกงกรรม
                           ถูกกระหน่ำภัยธรรมชาติมิขาดวัน


                              คนพึ่งพาธรรมชาติดังทาสหลัก
                           แต่ไร้รักษ์มุ่งประโยชน์โฉดมหันต์
                           มีแต่ทำลายล้างอย่างเมามัน
                           ถูกลงทัณฑ์ย้อนหลังยังน้อยไป

          การแข่งขันด้านธุรกิจนับวันแต่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น และรุนแรง บางคน บางกลุ่มประสบ
ความสำเร็จ บางคน บางกลุ่มไม่ประสบความสำเร็จ

          ผู้ประสบความสำเร็จอย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่น่ายกย่อง ความสำเร็จในบางครั้ง บางเวลา
บางโอกาสไม่ใช่เรื่องดีมีคุณธรรมเสมอไป ขณะที่ตนเอง กลุ่มของตนได้รับผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง
อาจจะส่งผลกระทบ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนก็ได้ ความสำเร็จในเชิงการได้เปรียบ ด้วยไหวพริบ
คือการเอาเปรียบสังคม เอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอาจจะสร้างปัญหาตามมา เช่น สร้างโรงงานในกิจการ
ใดกิจการหนึ่ง ปฏิกูลที่เกิดจากโรงงาน ไหนโรงงานพ่นควันพิษ ไหนโรงงานถ่ายเทน้ำเสีย ไหนโรงงาน
ปล่อยสารตะกั่ว ฯลฯ ผู้ที่อยู่ในรัศมีอันใกล้ หรือไกลก็ตาม อาจจะได้รับพิษภัยจากมลภาวะเหล่านี้
การดำรงชีพของพวกเขาเหล่านั้นจึงประสบแต่การเสี่ยงภัย และรับพิษภัยตลอดเวลา ผู้กระทำ
ผู้เสวยสุขควรได้รับการยกย่องว่าประสบความสำเร็จได้แล้วหรือ

        ความสำเร็จอย่างที่กล่าวอาจจะมีผลกระทบต่อบุคคล ชุมชน หรือ อาจจะกระทบต่อสภาพแวดล้อม
กระทบต่อระบบนิเวศ หรือการทำลายล้างธรรมชาติ และ ยิ่งนานวันยิ่งขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบไปทุก ๆ
ด้าน ทั้งนี้เพราะความแวดล้อมในโลกทั้งมวลมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน

                ขอนำบทกลอนเพื่อสังคม (คำกลอนสอนศิษย์) เสริมข้อคิด และเปลี่ยนบรรยากาศ

                                โรงงานเร่งเครื่องแรงเพื่อแข่งขัน
                          ผลิตภัณฑ์ออกใหม่ให้งามหรู
                          ก๊าซคาร์บอนร่อนฟ้ากันน่าดู
                          พวกสารหนูตะกั่วรั่วลงทะเล

                                อากาศเน่าน้ำบูดสูตรโลกล่ม
                          เร่งวันจมสารพันพลันจบเห่
                          มนุษย์โง่โง่มนุษย์สุดคะเน
                          เล่นลิเกทั่วโลกาไม่ช้าตาย

          สำหรับบุคคล หรือกลุ่มที่ไม่ประสบความสำเร็จ ย่อมมีความเดือดร้อน มีพันธะผูกพันต่าง ๆ
เกิดขึ้น ต้องดิ้นรน นำความเดือนร้อนสู่ครอบครัว บุตรหลาน และอาจจะตกทอดเป็นเวลานาน ที่ต้อง
รับกรรม บางครั้งถึงกับล้มละลาย ใครคือผู้ถูกผู้ผิดไม่ต้องหาต้นตอ แต่ที่สำคัญเขาเกิดมาร่วมโลกกับ
เราทุก ๆ คน เขาก็อยากอยู่อย่างมีความสุขเช่นเดียวดั่งความปรารถนาของทุกคนที่เหมือน ๆ กัน
ทำไมเมื่อเกิดมาแล้วถึงต้องถูกลงโทษอย่างหนักกับชีวิตเช่นนี้

          อย่างไรก็ดีทั้งผู้สำเร็จ และผู้ไม่สำเร็จต่างก็เหน็ดเหนื่อย ในช่วงชีวิติที่ตนดำรงชีพอยู่อย่าง
ไม่มีวันจบสิ้น จนบางครั้ง บางคน แทบหาความสุขไม่ได้เลย ไม่มีวันได้พักผ่อน เพราะยุ่งกับพันธะต่าง ๆ
ที่ตนไปผูกเอาไว้ ความเจริญด้านวัตถุจึงไม่เป็นคุณเลยในการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข อย่างสันติสุข
และยั่งยืน และที่สำคัญอีกประการหนึ่งการแข่งขันด้านธุรกิจเพิ่มขึ้นเท่าไรก็ยิ่งทำลายฐานที่อยู่กิน
ฐานที่ดำรงชีวิตไปเรื่อย ๆ ไหนธรรมชาติหดเหี้ยนไป ไหนสารเคมีเพิ่มขึ้น ไหนเพิ่มภาวะโลกร้อน
ไหนทำให้ระบบนิเวศเสียหาย ฯลฯ และที่จะกล่าวถึงไม่ได้คือเรื่องสุขภาพจิต ในภาวะที่ต้องแย่งชิง
ภาวะที่ชิงความได้เปรียบ ภาวะที่ต้องสูญเสีย ภาวะที่ไม่มีความมั่นคง แน่นอน ย่อมทำให้เกิดแต่ทางลบ
ของสภาพจิตไม่มีวันจบสิ้น แล้วเราจะรับความเจริญด้วยวัตถุนั้นได้อย่างภาคภูมิใจเช่นนั้นหรือ

        การแข่งขันด้านวัตถุ ด้านธุรกิจมากเท่าไรสังคมก็ก็มีรอยร้าวเพิ่มขึ้น แบ่งพรรค แบ่งพวก
แบ่งสีกันมากขึ้น ทำให้เกิดความไม่สงบสุขของกลุ่มชน สังคมเดียวกันเมื่อเกิดการแบ่งแยกอาจส่งผล
ไปถึงการบริหารประเทศ คือเข้าไปถึงระบบสภา การแตกแยกในทางความคิดเกี่ยวกับหลักการบริหาร
ว่ามีประสิทธิภาพ ไม่มีประสิทธิภาพ นั้นพอที่ประชาชนรับได้ แต่หากความแตกแยกเกิดจากกลุ่มผล
ประโยชน์เป็นเรื่องที่น่ากลัว และถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะถ้าคนกลุ่มนี้เข้าไปมีอำนาจในการบริหาร
ประเทศ จะเกิดอะไรขึ้น หากขึ้นชื่อว่ากลุ่มผลประโยชน์เข้าครอบครอง เข้าครอบงำ ก็ย่อมเกิดการเอารัด
เอาเปรียบ เพียงเพื่อประโยชน์ของตนของกลุ่มให้สูงสุด จึงไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของคน
ในชาติ   (ยกเว้นหากพวกเขาเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม)

        สาเหตุที่เกิดกลุ่มผลประโยชน์ขึ้นนั้นก็เนื่องจากการแข่งขันนั้นเอง กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ส่วน
ใหญ่ต้องพึ่งพิงนักการเมือง และในที่สุดกลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ลงเล่นการเมือง หรือถ้าไม่ลงเล่นการเมือง
ต่างก็ถ้อยที่ถ้อยอาศัยกับนักการเมือง เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน หากพวกเหล่านี้เข้าไปอยู่ในรัฐบาล
อยู่ในฝ่ายบริหารประเทศแล้ว แน่นอนที่สุดการมุ่งเน้นงานเพื่อประชาชนจริง ๆ จะลดน้อยลงอย่าง
หลีกเลี่ยงไม่ได้ (ยกเว้นพวกเขาเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม)

        นี่คือผลพวงของความเจริญด้านวัตถุ หรือระบบค้าขายอย่างเสรี (สังคมเสรีทางการค้า) พวกเหล่านี้
จะยึดเอาการค้า การแข่งขันทางธุรกิจเป็นหลัก ยิ่งถูกประเทศมหาอำนาจใช้นโยบายที่แยบยลเพื่อการค้า
เพื่อการได้เปรียบ พวกเหล่านี้ก็ยิ่งถูกปั่นหัวจากกลุ่มผลประโยชน์ที่เหนือกว่าอีกชั้น หรือไม่ก็คิดว่าได้
ผลประโยชน์ร่วมกัน เขาจะไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ หวังอย่างเดียวคือการได้เปรียบ ในที่สุดประชาชน
ชั้นล่างเป็นผู้รับกรรมคือผู้ที่ควรเรียกว่า "ทาสแรงงานของกลุ่มนายทุน" ความเดือนร้อนจึงตกอยู่ที่ผู้ใช ้
แรงงานโดยไม่รู้ตัว คนที่เสี่ยงภัยในโรงงาน คนที่ทำงานหนักแต่ค่าตอบแทนไม่ค่อยจะคุ้มค่าคือชนชั้นล่าง
นั้นเอง เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ ทุกฝ่ายก็ควรจะคิดหาแนวทางถอยหลังมาเข้าสู่ระบบ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก"
เราควรจะถอยได้แล้วยัง เรามาอยู่อย่างธรรมดา อย่างธรรมชาติ โดยยึดหลักสัจจะธรรมเป็นสำคัญ

        เราถอยหลังกลับหันมาดำเนินชีวิตอย่างแบบพอกิน พอใช้ กลุ่มชนที่อยู่ร่วมกับเรามีพอกินอย่าง
พอเพียงในแต่ละวัน นำผักสด ปลาสด ผลไม้สดจากแหล่งผลิตที่ปลอดสารพิษ ซึ่งไม่จำเป็นต้องแช่ตู้เย็น
ให้สิ้นเปลืองพลังงาน และยังไม่ให้เสียรสชาติ เรามาดื่ม มาทานด้วยกัน (จะพูดเรื่องการกินอยู่อย่างละเอียด
เฉพาะเรื่องอีกครั้ง)

        เราถอยหลังกลับมาใช้สิ่งของที่จำเป็น เสื้อผ้าที่ด้วยมือ (ทอหูก) ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโรงงาน
เรามีเวลาเพราะเราไม่ใช้เวลาในการแข่งขัน เรานำสีจากธรรมชาติ เช่นขมิ้น เปลือกไม้ หรืออื่น ๆ
ดังที่ภูมิปัญญาชาวบ้านเคยสืบทอดมาใช้ ไม่ต้องใช้สีแบบสารเคมีจากโรงงาน เราทำได้อย่างที่บรรพบุรุษ
เคยปฏิบัติมา เมื่อเราทำได้โรงงานทอผ้าก็ไม่จำเป็น สารพิษจากสารเคมีก็ไม่มาแปดเปื้อน น้ำเสียจากโรงงาน
ก็ไม่มีให้ไหล สารตะกั่วก็ไม่ลงทะเลให้แปดเปื้อนปลา ปลาที่นำมารับประทานก็บริสุทธิ์ หมอกควันจาก
โรงงานก็ไม่พ่นพิษ โลกก็เย็นสบาย (ไม่มีภาวะโลกร้อน) สิ่งของเครื่องใช้อื่น ๆ ล่ะหากเราวางแผนเช่นเดียว
กับเรื่องของเสื้อผ้า ลองนึกวาดภาพดู มีสิ่งดี ๆ อะไรบ้างที่ติดตามมา

                        ขอนำบทกลอนเพื่อสังคม (กลอนสอนศิษย์) เป็นข้อคิด และเปลี่ยนบรรยากาศ

                                  ยกเรื่องสารเคมีเป็นที่ตั้ง
                              เพื่อสอนสั่งคู่สิ่งอื่นมีดื่นถม
                              ทาสวัตถุปัญหาเหลือปรารมภ์
                              ค่านิยมเพิ่มปัญหาสารพัน

                                  สารเคมีมีไว้จำหน่ายคล่อง
                              รัฐคุ้มครองเพียงนิดผิดมหันต์
                              สารเคมีเร่งใช้เป็นรายวัน
                              อันตรายมลายแล้วเมืองไทยเรา

                                  ทั่วท้องทุ่งคุ้งคลองหนองนาไร่
                              เขาก็ใช้กันวุ่นถึงขุนเขา
                              ป่าคอนกรีตนึกว่าน่าบางเบา
                              ไม่สร่างเซาเพิ่มมหันต์อันตราย

           อาจจะมีผู้ถามว่า นี่จะถอยหลังเข้าคลองหรืออย่างไร วิทยาการสมัยใหม่มีไว้ทำไม ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์จะเอาไปไว้ที่ไหน จะนำมาใช้ประโยชน์อย่างไร นี่มันยุคคอมพิวเตอร์
ใช่ไม่ หรืออื่น ๆ อีกมากมาย ขอตอบและขยายความอย่างสังเขปดังนี้

         การที่นำความเจริญความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องมือในการแข่งขันถือเป็น
ความผิดอย่างใหญ่หลวงนี่คือการหยิบยื่นมหันตภัยให้มวลมนุษยชาติการสร้างโรงงานเพื่อผลิตสิ่งใด
สิ่งหนึ่งเท่ากับปล่อยโรคร้ายมาฆ่าผู้คนโดยตรงยิ่งมีโรงงานผุดกันเกลื่อนรอบมุมเมืองโรคร้ายก็ยิ่งเพิ่ม
นายทุนต่างชาตินำโรงงานมาฝากไว้ในบ้านเมืองเราท่านภูมิใจได้ไหม พูดได้เต็มปากหรือไม่ว่าเรามี
ความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรมในเรื่องนั้น เรื่องนี้ ประเทศไทยเราเป็นฐานผลิตที่ใหญ่ที่สุด อะไร
ทำนองนี้ ผู้ที่พูดได้อย่างเต็มปาก และชื่นชม คือพวกกลุ่มทุนผลิตเท่านั้น ที่เขาหวังความร่ำรวย
หวังทรัพย์สิน มุ่งหวังเงินทอง จนคลั่งค่านิยมวัตถุอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่สำหรับผู้เข้าใจ หรือผู้มองหา
สัจจะธรรมในการดำรงชีพที่ควรจะเป็น คงไม่ใยดีกับโรงงานประเภทนี้เลย

       ทำไมปัจจุบันรถมากมายเต็มถนนจนเกิดปัญหารถติดในเมืองใหญ่ ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุเรื่องน ี้
มาจากหลายด้าน เมื่อมีสินค้าจากโรงงานก็ต้องใช้รถในการขนส่ง ขนส่งระดับภูมิภาค ขนส่งระหว่าง
ประเทศ (ขนส่งทางน้ำ ทางอากาศ ก็เพิ่มทวี) วุ่นวายตามกันไป ผู้คนในสังคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
การค้าก็วุ่นวายกับการขนส่งรายเล็ก แม้ไม่ขนส่งก็ยังใช่รถเป็นพาหนะในการติดต่อ ชาวบ้านร้านตลาด
ส่งลูกเข้าเรียนในตัวเมือง ในต่างจังหวัดก็วุ่นวายกับการไปเยี่ยมเยียนติดต่อก็ต้องใช้รถ ล้วนแต่จำเป็น
เพื่อความสะดวก เพื่อการบริหารจัดการที่ดี นี่สืบเนื่องจากสาเหตุการแข่งขันด้านธุรกิจทั้งนั้น

       แม้แต่เรื่องการเรียนก็มีเรื่องธุรกิจแอบแฝงอยู่ คือเป็นธุรกิจในอนาคต พ่อแม่ต่างมุ่งหวังให้บุตร
หลานได้ประกอบอาชีพที่ต้องการ ต่างดิ้นรนหาที่เรียน บางครั้งถึงกับส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเมืองนา
(ให้อ่านเรื่อง ปริญเอ๋ยปริญญา ในหัวข้อ "ข้อคิดข้อเขียน")

       ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์นำมาใช้ผลิตอาวุธสงความถูกต้องแล้วหรือ ทำไมต้องมีสงคราม
ทำไมต้องมีกองทัพ มีอะไรแอบแฝงอยู่ในเรื่องความมั่นคง หากเราพิจารณาด้วยสติปัญญากันบ้างความ
สว่างแห่งจิตย่อมผุดขึ้นมาบ้าง และพอถึงวันเด็กคงไม่นำเด็กไปดูอาวุธยุทโธปกรณ์ แล้วบรรยายให้
เยาวชนฟัง ด้วยความภาคภูมิใจต่าง ๆ นานา ในเรื่องอานุภาพอันร้ายแรงของอาวุธ หรือในเรื่องอื่น ๆ
ที่เกี่ยวกับสงคราม ขอถามสั้น ๆ ว่า "นี่หรือคือความเจริญ"

        "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" ขอนำความเจริญวิทยาศาสตร์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ปัจจุบันที่เห็นเด่นชัดในเรื่องการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือนำความรู้ด้านวิชาการ ด้านวิทยาศาสตร์
มาใช้ในทางที่สร้างสรรค์ก็มาก เช่น ด้านสาธรณสุข ด้านการเกษตร โครงการนาซ่า หรือด้านการวิจัยอื่น ๆ
ที่มีประโยชน์ต่อการดำรงชีพของมนุษย์ เหล่านี้ ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก ส่งเสริม และมุ่งมั่นเรื่องนี้
โดยเฉพาะอย่างจริงจัง (ขอกล่าวโดยละเอียดเฉพาะเรื่องอีกครั้ง) การวิทยาการสมันใหม่มาใช้อย่าง
ถูกวิธี คือ "ความเจริญที่แท้จริง"

        ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเหตุเป็นผลที่เห็นประจักษ์กันทั่วไป เพื่อค้นหา "ความเจริญ"
ขอได้นำข้อคิดข้อเสนอเหล่านี้มาพิจารณาด้วยความเป็นธรรมจะได้ช่วยกันหาแนวทางที่ดีที่ควร
เพื่อการอยู่ร่วมของมวลมนุษยชาติที่จะส่งผลให้เกิดความสันติสุขอย่างแท้จริง และยั่งยืน



IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 14:06:22 »



                                               อย่าดีใจว่ามีกิน

        ด้วยผมทราบข้อมูล "สารพิษที่ตกค้างในร่างกาย" ด้วยเพื่อนของผมเป็นเจ้าหน้าที่ของสถานีอนามัย ผมจึงได้ข้อมูลโดยตรงจากเพื่อนเกี่ยวกับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายโดยตรวจ และเก็บข้อมูลจากประชาชนที่อยู่ในเขตรับผิดชอบ

       จากการตรวจเลือดด้วยเครื่องมือที่เป็นมาตรฐาน ได้ข้อมูลที่ออกมาน่ากลัวมากคือร้อยละเก้าสิบของประชากรในเขตรับผิดชอบมีสารเคมีตกค้างในอัตราที่เกินขีดปกติที่กำหนด นับว่ามากอย่างน่าตกใจ

       ผมเองได้ตรวจเช่นกันพบว่ามีจำนวนสารพิษที่ตกค้างอยู่ในขั้นดีคือไม่เกินขีดปกติที่เขากำหนดไว้ผมเองระวังมากพอสมควรเกี่ยวกับการรับประทานอาหารรับประทานผักที่ปลูกเองหรือเก็บพืชผักตามที่เจริญงอกงามเองตามธรรมชาติปลาก็กินปลาเล็กไม่ใช้ผงชูรสในการปรุงอาหารซื้อข้าวสารที่เขาผลิตตามบ้านรับประทาน หรืออื่น ๆที่รู้ว่าอาหารประเภทนั้นเสี่ยงต่อการมีสารพิษตกค้างในปริมาณมาก ก็ไม่ซื้อ ไม่หามากิน จะด้วยสาเหตุนี้หรือไม่ก็มาทราบ ที่ตรวจพบสารพิษไม่เกินขีดปกติในร่างกาย


     ขอยกกลอนเพื่อสังคม (กลอนสอนศิษย์) เสริม และเปลี่ยนบรรยากาศ

     มนุษย์เราเขากินสิ้นทุกรส
อ้างโอสถโอชาบ้ากลิ่นสี
ของหายากค่อนข้างแพงก็ตามที
สมศักดิ์ศรีผู้ทานจานหมื่นพัน


     แกงทอดต้มรมย่างวางเต็มหน้า
เอือมระอาปาขว้างอย่างสุขสันต์
แหมยินดีอิ่มหมีโอ้พีมัน
ไม่หวาดหวั่นสารเคมีที่ในจาน


     ทุกวันนี้สารเคมีที่ปะปนอยู่ในอาหารนับไม่ถ้วน ทุกคนก็รู้กันดี บางครั้งพยายามจะหลีกหลบแต่ก็ทำไม่ได้ ใครหลีกหลบได้เท่าไรดีกับตัวเองเท่านั้น
ตัวใครตัวมัน ที่พูดเช่นนี้เพราะบ้านเมืองเราขาดการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยสาเหตุหลาย ๆ อย่าง


      ขอยกกลอนสอนศิษย์ เสริม


     โฆษณาว่ากันไปไม่มีพิษ
ดัดจริตตอแหลแหมพวกผี
แค่เพียงสินค้าขายได้ดี
ขอเท่านี้ก็พอขอได้กู
 

      ไซยาไนด์ตายห่ายาฉีดศพ
มาฝังกลบหมักปลาพาอดสู
สารตัวหนึ่งเร่งเนื้อแดงให้น่าดู
ฉีดเข้าหมู่ก่อนฆ่าเนื้อน่าทาน

 

      ผู้บริโภคโชคร้ายไร้ทางเลี่ยง
ชีวิตเสี่ยงรายวันถูกปั่นผลาญ
ยุคเคมีโจมบุกคอยรุกราน
รัฐบาลช่วยที่อย่ารีรอ

 

     หรือรัฐบาลพานพบอุปสรรค์
มีมารยักษ์ขว้างกั้นกันละหนอ
ดำเนินการก็มีก้างมาขวางคอ
เจอเอาตอต้นใหญ่ไม่ได้งาน

 

      พอลูบหน้าปะจมูกถูกญาติมิตร
ทำเรื่องผิดเป็นถูกเพื่อลูกหลาน
มีตัวอย่างให้เห็นมาเนิ่นนาน
เห็นวิจารณ์เปิดเผยก็เคยมี

 

     เรื่องสารพิษในอาหารถือเป็นโชคร้ายของผู้มีเงิน แต่เป็นโชคดีของคนยากจน
และคนอยู่ชนบท ดังนั้นผู้มีอันจะกิน ผู้ร่ำรวยทั้งหลายท่านอย่าดีใจว่าท่านได้ลิ้มรส
ขาหมูจากร้านอาหารที่มีชื่อเสียง ท่านอย่าดีใจในรสนิยมที่ท่านได้รับประทานอาหาร
จานแพง ท่านกินปลาตัวโต ๆ กินอาหารหายาก อาหารในปัจจุบันแปดเปื้อนด้วย
สารเคมีดังที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นคนจนที่บริโภคอาหารที่เสาะหามาเอง ปลูกผักกินเอง
เลี้ยงไก่ไว้กินเอง ปรุงด้วยตนเอง อย่างคนจน อย่างคนชนบท โอกาสที่จะรับสารปนเปื้อน
มีอัตราเสี่ยงน้อยลง หรือแทบจะไม่มี


       โรคภัยไข้เจ็บที่สืบเนื่องมาจากการได้รับสารพิษสู่ร่างกายเกินปกติ มีมากขึ้น
น่าสังเกตว่าเดี่ยวนี้คนเสียชีวิตจากการเป็นโรคลมปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ทั้งที่ยังอยู่ในวันหนุ่ม
หรือวัยที่ยังมีร่างกายแข็งแรง ซึ่งไม่น่าจะเป็นลม นี่อาจเป็นเพราะสาเหตุจากสารเคมีก็ได้


     เราจึงอย่าดีใจว่าเรามีกิน ดีใจได้ต่อเมื่อเรา การันตีได้ว่า เรากินอาหารปลอดสารพิษจริง ๆ


     การอยู่แบบพึ่งพา แบบแบ่งปันตามแนว "ธรรมชาติธรรม"เท่านั้นที่เราจะกิน
อย่างมีสุข กินอย่างปลอดสารพิษ หากยังยึดแนวการอยู่ในสังคมใช้เงินเป็นสื่อใน
การแลกเปลี่ยนคงไม่มีวัน "ได้กินดีอยู่ดี"
IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 14:09:26 »



    อาหารของมนุษย์    

        เรื่องอาหารที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เรามีมากมาย แต่จะพูดเรื่องอาหารประเภทใดที่น่าจะเป็นอาหารของมนุษย์ เป้าหมายของ "ธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก" ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง

          ถึงเวลานั้นเราต้องมีนักวิชาการของเราคอยจัดการบริหารเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราะอาหารเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับมนุษย์เรา และที่สำคัญที่สุดคือมันเกี่ยวข้องกับธรรมชาติโดยตรง

          อาหารของมนุษย์เราน่าจะเป็นอาหารประเภทใด เป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบ เพราะเราจะได้รับประทานอาหารที่ถูกต้อง คำตอบนี้น่าจะต้องนำเรื่องสรีระของมนุษย์มาเกี่ยวข้องในการหาข้อเท็จจริงบ้าง

          เรามาพิจารณาด้านร่างกายของมนุษย์ของมนุษย์ใน 3 ด้าน อันได้แก่

               1. ความแข็งแกร่งของร่างกาย
               2. ฟัน
               3. ไส้ติ่ง


          สามประการนี้เป็นเพียงการสันนิษฐานเพื่อรวบรวมข้อมูล หรือเป็นข้อ
สมมุติฐานไว้ก่อน ขอให้เหตุผลสนับสนุนดังนี้


         ความแข็งแกร่งของร่างกายมนุษย์เมื่อเทียบกับสัตว์ประเภทเลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ ทั่วไป เช่น เสือ วัว สุนัข มนุษย์เรามีความบอบบางมาก คงไม่เปรียบเทียบให้มากไปกว่านี้ แต่ขอนำมาพิจารณาอย่างกว้าง ๆ คิดว่าทุกคนน่าจะยอมรับเรื่องนี้ และถ้ายิ่งเปรียบให้เห็นชัดขึ้น เมื่อเอาน้ำหนักตัวเป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบ ก็จะเห็นความบอบบางของร่างกายมนุษย์มากขึ้น แต่จะเอาเกณฑ์นั้นเกณฑ์นี้นำมายึดตายตัวในการวัดบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ ทั้งนี้อาจจะขึ้นกับสภาพด้านอื่น ๆ มาเกี่ยวข้องด้วยก็เป็นได้


         เมื่อเราลงความเห็นว่าร่างกายของเราบอบบาง ก็นำมาสันนิษฐานได้ข้อหนึ่งว่ามนุษย์ไม่ใช่สัตว์ประเภทนักล่า คือล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร ประกอบกับมนุษย์ไม่มีเขี้ยวที่แหลมคม ความแข็งแกร่งของระบบโครงสร้าง เช่นกระดูก ระบบกล้ามเนื้อที่ไม่แข็งแรงแรงพอ หรือถ้าเป็นนักล่าก็ต้องคงเป็นล่าสัตว์ขนาดเล็ก ๆ ในเรื่องนี้บางคนอาจจะแย้งว่าก็คนมีสมองที่โตไม่จำเป็นต้องให้ร่างกายแข็งแกร่งก็สามารถล่าสัตว์ใหญ่ได้ นั่นก็เป็นความคิดที่มีเหตุผลน่าฟังเช่นกัน


         ประการที่สองคือฟัน ถ้าดูฟันของมนุษย์น่าจะเป็นฟันประเภทสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหารมากที่สุด ฟันของมนุษย์อยู่ในสภาพบอบบางเช่นกัน ฟันชนิดที่เป็นเขี้ยวก็ไม่แหลมคม ไม่แข็งแกร่ง ถ้าเทียบกับ สุนัข แมว เสือ สภาพของฟันที่ติดกับขากรรไกรก็ไม่แข็งแรงเหมือนสัตว์พวกนี้ ของมนุษย์หลุดออกได้ง่าย แม้แต่ฟันของวัว ควายซึ่งเป็นสัตว์กินพืช และถือว่ามีลักษณะที่คล้ายคลึงของฟันมนุษย์ แต่สภาพความคงทนก็ดีกว่าของมนุษย์มาก ถ้าเราสังเกตความคงทนของฟันสัตว์ จะมีความคงทนมาก ฟันของสัตว์แต่ละชนิดไม่ค่อยผุ ผิดกับฟันของคนเราผุง่าย เปราะบางมาก


         เรื่องของไส้ติ่งมนุษย์น่าจะเป็นเรื่องที่ควรศึกษาวิจัยมากที่สุด ท่านคงจะทราบดีว่า กระต่ายเป็นสัตว์กินพืชเป็นอาหาร กระต่ายมีใส้ติ่งขนาดใหญ่ ไส้ติ่งกระต่ายทำหน้าที่เป็นกระเพาะอาหาร

         เมื่อนึกถึงไส้ติ่งของคน ก็ทำให้นึกถึงไส้ติ่งของกระต่าย ของคนผิดกับกระต่ายตรงที่ไม่มีหน้าที่ในการย่อยอาการ ไส้ติ่งของคนเรามีขนาดเล็ก จึงไม่สามารถทำหน้าที่ย่อยอาหารได้ เมื่อมีเศษอาหารไปตกค้างอาจจะอักเสบได้อีกด้วย ไส้ติ่งของมนุษย์จึงไม่มีประโยชน์อย่างใด มีแต่โทษอย่างเดียว เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่น่าสนใจคือ เมื่อหลายแสนปีก่อนไส้ติ่งของคนเราทำหน้าที่เหมือนของกระต่ายหรือไม่ จุดนี้น่าจะตั้งจะตั้งเป็นข้อสังเกตว่ามนุษย์สมัยแรก ๆ น่าจะกินพืชผัก หรือผลไม้เป็นอาหาร ไส้ติ่งของมนุษย์ในตอนนั้นน่าจะใช้การได้เหมือนของกระต่าย ครั้นมนุษย์รู้จักใช้ไฟ เลยหันมารับประทานสัตว์เป็นอาหารบ้าง เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติของเนื้ออร่อยกว่าพืชผัก ก็หันมากินเนื้อมากขึ้นจนทำให้ไส้งดการใช้งานไปบ้าง จึงทำให้ไส้ติ่งค่อย ๆ หดหายไปในที่สุด


         ที่กล่าวมาทั้งสามประเด็นใหญ่ ไม่ใช่นำเหตุผลมาเพื่อไม่ให้คนรับประทานเนื้อสัตว์ แต่ให้เราได้พิสูจน์ วิเคราะห์ วิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง หรือใกล้เคียงที่สุด จะได้นำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการดำรงชีพของมนุษย์ได้อย่างถูกต้อง อันจะมีผลดีต่อเราเอง และธรรมชาติที่เราอยู่ร่วมกัน


         ข้อที่หนึ่งในศีลห้าของศาสนาพุทธ มีใจความว่าให้ละเว้นการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต บางคนก็มาแปลเป็นว่า ไม่ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน เรื่องนี้ก็น่าจะศึกษาที่มาให้เข้าใจอย่างถูกต้องเช่นกัน


         จากเหตุผลที่ได้กล่าวมา และรวมทั้งศีลข้อที่ 1 ในศีลห้า ให้เราได้นำมาวิเคราะห์ วิจัย ศึกษาอย่างถ่องแท้ รู้ให้แน่ชัดว่ามนุษย์รับประทานสิ่งใดเป็นอาหารหลักสำคัญ จากนั้นศึกษาหลักการรับประทานอย่างจริงจัง และถูกต้อง เพื่อลดต้นเหตุของโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์เราอย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญการเพิ่มประชากรของมนุษย์มารวดเร็วอย่างน่าเป็นห่วง ด้วยเหตุนี้การพึ่งพาอาหารจากธรรมชาติก็เพิ่มขึ้น ดังนั้นการรู้หลักบริโภค การรู้หลักอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ที่เราต้องพึ่งพาอาศัยให้ถูกต้องเป็นเรื่องที่จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อความอยู่รอด อยู่อย่างสันติสุข และยั่งยืน
IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 14:11:07 »

 


 คนเราจะกินอาหารอย่างไร


                                        ขอยกบทกลอนเพื่อสังคม  (อ่านเพิ่มเติมได้จากหัวเรื่องกลอนเพื่อสังคม)

                                                   ไก่แกกาอาหารทานอิ่มท้อง
                                              เพียงคอยจ้องถั่วงาประสาสัตว์
                                              ไม่ปรุงแต่งรสโอชาสารพัด
                                              เพื่อขจัดหิวโหยด้วยโดยดี

                                                   มนุษย์เราเขากินสิ้นทุกรส
                                               อ้างโอสถโอชาบ้ากลิ่นสี
                                               ของหายากค่อนข้างแพงก็ตามที
                                               สมศักดิ์ศรีผู้ทานจานหมื่นพัน

                                                   แกงทอดต้มรมย่างวางเต็มหน้า
                                               เอือมระอาปาขว้างอย่างสุขสันต์
                                               แหมยินดีอิ่มหมีโอ้พีมัน
                                               ไม่หวาดหวั่นสารเคมีที่ในจาน

 

          เนื้อความในบทกลอนที่ยกมานั้นเปรียบเทียบการกินอาหารระหว่างสัตว์กับคนและเป็นความจริงตามเนื้อความในบทกลอนสัตว์กินแต่พอดำรงชีวิต
กินแต่พอเพียง ส่วนคนนั้นกินเพื่อดำรงชีพส่วนหนึ่งซึ่งถือว่ามีความจำเป็น ส่วนที่กินเกินความจำเป็นมีมาก เช่น กินตอนกลางคืน งานเลี้ยงสังสรรค์ต่าง ๆ

          การรับประทานอาหารในยามค่ำคืนเป็นเรื่องสิ้นเปลืองอย่างมาก ตามหลักการรับประทานอาหารของมนุษย์เรากำหนด 3 มื้อ คือ เช้า เที่ยง และเย็น สำหรับกลางคืนนั้นเป็นเรื่องของนักเที่ยวราตรี ทำให้เกิด คลับ บาร์ อะไรอื่น ๆ อีกสารพัด กฎหมายเปิดช่องทางให้มีการเปิดร้านประเภทนี้ถึงเวลา 1 .00 นาฬิกา ที่สิ้นเปลือง ไม่เฉพาะด้านอาหาร เครื่องดื่มอย่างเดียว สิ้นเปลืองไฟฟ้า เรื่องสิ้นเปลืองไฟฟ้าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด

          ถ้าหากเรามีกฎข้อระเบียบว่า งดรับประทานอาหารตอนกลางคืน ห้ามทำงานตอนกลางคืน เป็นการประหยัดพลังงานได้มากที่สุด หยุดโลกร้อนได้มากมาย ดีกว่ารณรงค์ให้ใช้ถุงกระดาษ ซึ่งไม่ได้ผลเลยเพราะแก้เพียงปลายเหตุ และที่สำคัญคือแก้จุดเล็ก ๆ ขอนำบทเพลงเพื่อชีวิตประกอบ

 

                                        ประหยัดธรรมชาติ

 

          ค่ำคืนเราควรทำอะไร (ซ้ำ)
          เราควรดับไฟเข้านอน
          กลางวันทำงานล้าอ่อน
          เราควรพักผ่อนตอนกลางคืน (ซ้ำ)
          หลับให้สบายอย่าสายเช้าตื่น
          แสนสุขสดชื่น เช้าตื่นไปทำงาน (ซ้ำ)

                                       ค่ำคืนเราควรทำอะไร (ซ้ำ)
                                   ทั่วไทยดับไฟทุกบ้าน
                                   ช่วยกันประหยัดพลังงาน
                                   งดดื่มงดทานตอนกลางคืน (ซ้ำ)
                                   หลับให้สบายอย่าสายเช้าตื่น
                                   แสนสุขสดชื่น เช้าตื่นไปทำงาน (ซ้ำ)

          หยุดโลภหลงเสียที (ซ้ำ)
          พอมีพอกินนะท่าน
          หยุดกิจยามราตรีกาล
          ควรงดทำงานตอนกลางคืน (ซ้ำ)
          หลับให้สบายอย่าสายเช้าตื่น
          แสนสุขสดชื่น เช้าตื่นไปทำงาน (ซ้ำ)

                                         ประหยัดธรรมชาติเอาไว้ (ซ้ำ)
                                         เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลาน
                                         ประหยัดไว้ใช้นานนาน
                                         เพื่อลูกเพื่อหลานยืนสืบไป (ซ้ำ)
                                         เพื่อสภาพแวดล้อมออมเอาไว้
                                         ธรรมชาติยิ่งใหญ่ ประหยัดไว้ใช้นานนาน(ซ้ำ)

          การรับประทานอาหาร 3 มื้อเป็นเรื่องถูกต้องอย่างยิ่ง นอกจากถูกหลักทางโภชนาการแล้ว ยังช่วยประหยัดหลาย ๆ ด้านตามมามากมาย

          สักวันหนึ่งเมื่อเราต่างเข้าใจวิถีการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างถูกต้อง ถูกวิธี  เพื่อการอยู่ด้วยความสันติสุขที่แท้จริง และยั่งยืน

          ขอให้ท่านทำความเข้าใจแนวทาง "ธรรมชาติธรรม" กรุณาติดตาม กระผมคอยป้อนข้อมูลให้ท่าน

                                         ขอกราบขอบพระคุณมากครับ



IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 14:13:37 »




หัวใจของธรรมชาติธรรม  

       หัวใจหลักของธรรมชาติธรรมคือการดำรงชีพของมนุษย์เป็นไปตามธรรมดาเป็นไปตามธรรมชาติ
เช่นเดียวกับชีวิตอื่นๆที่ดำรงชีพอยู่บนโลกนี้นั่นคือพืชและสัตว์เพียงแต่มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ที่ฉลาดจึงมีโอกาสที่จะพัฒนาการเป็นอยู่ที่ดีกว่าเท่านั้นเอง
       ทำไมเราต้องดำรงชีพเช่นเดียวกับสัตว์ และพืช การดำรงชีพของสัตว์เห็นได้ชัดเจนกว่าพืช ทั้งนี้เพราะพืชส่วนใหญ่เคลื่อนที่ไม่ได้ จึงอาจจะมองเห็นอะไร ๆ จากพืชไม่ชัดเจนเหมือนสัตว์ ดังนั้นขอยกเอาการดำรงชีพของสัตว์เป็นที่ตั้งในการศึกษาเป็นหลัก

       การดำรงชีพของสัตว์เป็นไปอย่างธรรมดา เป็นไปอย่างธรรมชาติ สัตว์ปฏิบัติตน ดำรงตนในชีวิตประจำวันเพียงเพื่อความจำเป็น ไม่เกินเลยไปกว่านี้

       ความจำเป็นหลักในการดำรงชีพของสัตว์ก็คล้ายคลึงกับมนุษย์ อยู่บนพื้นฐานเดียวกันกับมนุษย์ หากจะมากน้อยกว่ากัน หรือขาดเหลือไปบ้างในบางประการ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปลีกย่อย หรือส่วนประกอบอื่น ๆ

       ความจำเป็นสำคัญในการดำรงชีพของสัตว์คืออาหาร ส่วนด้านอื่น ๆ รองลงมา แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความสำคัญ ที่จัดเป็นรองเพราะมีความสะดวก ความคล่องตัว อะไรทำนองนี้มากกว่า เช่น ที่อยู่อาศัย สัตว์อาศัยธรรมชาติเป็นที่พำนักพักพิง เช่นต้นไม้ ป่าไม้ ถ้ำ โพรงดิน น้ำ เป็นต้น การที่จะดิ้นรน หรือเดือดร้อนเรื่องนี้จึงหมดไป เรื่องเครื่องนุ่งห่ม สัตว์ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องนุ่งห่ม ธรรมชาติได้สร้างขน สร้างหนัง สร้างอุณหภูมิของร่างกายให้มันแล้วเป็นอย่างดี สมารถที่จะปรับสภาพร่างกาย และการดำรงชีพอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน ยารักษาโรคของสัตว์ก็เป็นไปตามธรรมชาติ หรือไม่ก็เป็นเรื่องของสัญชาตญาณ

       มีผู้เคยศึกษาและสังเกตพฤติกรรมของแมวเมื่อตอนมันเจ็บป่วย มันจะหาใบไม้ ใบหญ้าบางชนิดกิน ดูแล้วคล้ายกับเป็นสมุนไพรของมันเพราะอาการจะค่อนดีขึ้น สัตว์อื่น ๆ ก็คงพาตัวรอดในเรื่องนี้ของมันได้ เรื่องนี้อาจจะเป็นสัญชาตญาณ หรือไม่ก็ที่เรียกกันว่าสัมผัสที่หก

       เมื่อธรรมชาติไม่ได้สร้างความฉลาดให้กับสัตว์ ธรรมชาติก็ให้มาในรูปของสัญชาตญาณ หรือไม่ก็สัมผัสที่หกอย่างแน่นอน ทั้งนี้คล้ายเป็นกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่ง กฎของความอยู่รอด เมื่อไม่ฉลาดก็ต้องให้สิ่งนี้ทดแทน

       ท่านคงได้ยินเรื่อง "สัมผัสที่หก" ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ มหัศจรรย์ที่เป็นไปได้ เช่นหากจะเกิดน้ำท่วม หรือฝนตก พวกมด แมลงบางชนิดจะรู้ล่วงหน้า ต่างเตรียมตัวหนีภัย ขนไข่ ขนอาหารกันบ้าง

       ครั้งที่เกิดสึนามิทางฝั่งทะเลตะวันตกของไทย มีภูเก็ต พังงา ระนอง และสตูล ก่อนหน้าจะเกิดสึนามิชาวประมงพบเห็นปลาแปลก ๆ หลายชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ลักษณะของปลาที่อยู่ในใต้ทะเลลึกนั่นแสดงว่าปลาเหล่านั้นทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า นี้คือสัมผัสที่หก ลักษณะทำนองนี้มนุษย์เราพบเห็นจากสัตว์ได้มากมายซึ่งขึ้นอยู่แต่ละท้องที่ แต่ละภูมิประเทศ

       สรุปว่าการที่ธรรมชาติไม่ได้ให้ความฉลาดทางด้านสมองแก่สัตว์ แต่จะให้สภาพร่างกายแข็งแกร่ง ปรับตัวเข้ากับธรรมชาติได้ดี และรวดเร็ว สร้างภูมิต้านทานให้เป็นพิเศษ สัญชาตญาณ สัมผัสที่หก หรืออะไรอื่น ๆ ที่มีลักษณะทำนองนี้ให้แก่สัตว์เป็นอย่างดี อย่างพิเศษ นั่นก็เท่ากับมนุษย์ที่ธรรมชาติให้ความฉลาดคู่กายมา เมื่อให้ความฉลาดมาแล้ว ด้านอื่นอาจจะให้น้อย เช่นร่างกายที่บอบบาง ผิวหนังที่ป้องกันหนาวเย็นไม่ได้ หรืออื่น ๆ ทั้งมนุษย์ และสัตว์ที่ธรรมชาติให้มาล้วนแต่ให้สามารถอยู่รอด

        สรุปสิ่งที่จำเป็นสำหรับสัตว์ในการดำรงชีพคือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคและการระวังภัย และอาจจะรวมถึงการสืบพันธุ์ซึ่งถือว่าเป็นสัญชาตญาณเช่นกัน

       สำหรับมนุษย์เรามีสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพในลักษณะที่เป็นไปตามธรรมดา เป็นไปตามธรรมชาติก็เช่นเดียวกับสัตว์เช่นกัน ความจำเป็นอาจจะไม่เท่ากับสัตว์ในบางเรื่อง หากสรุปรวมแล้วความจำเป็นเหล่านี้เป็นความจำเป็นพื้นฐาน ที่เรียกว่าปัจจัยสี่นั่นเอง ความจำเป็นอื่น ๆ เป็นความจำเป็นรอง ทั้งความจำเป็นหลัก และความจำเป็นรองในบางอย่างที่มนุษย์ปฏิบัติตนอยู่มักจะทำกันจนเกินความจำเป็น เกินความพอดี หรือบางอย่างอย่างอาจจะลดน้อยไปทั้งที่มีความสำคัญ ทั้งนี้สืบเนื่องจากกิเลสตัณหาเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเกิดความเดือนร้อนวุ่นวายตามมาอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน หากมนุษย์ปฏิบัติตนในการดำรงชีพเช่นเดียวกับสัตว์ หรือพิเศษไปบ้างแต่อยู่ในขอบเขตที่พอดี พอเหมาะความเดือดร้อน ความวุ่นวายก็ไม่เกิดขึ้น

       สำหรับการอยู่ร่วมของมนุษย์ยังมีสิ่งที่จำเป็นต่างจากสัตว์อยู่บ้าง เช่นกฎระเบียบ ศีลธรรม หรือหลักธรรมะที่ต้องใช้ในการอยู่ร่วม จริง ๆ เรื่องนี้สัตว์ก็มี ยกตัวอย่างสัตว์สังคมบางพวก เช่น ปลวก ผึ้ง ตัวต่อ มันก็มีกฎ มีระเบียบ มีการบริหารของมันในตัว จะเป็นด้วยสัญชาตญาณอะไรก็แล้วแต่ แต่มันก็มี มันจึงอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นระบบ มีการแบ่งหน้าที่กันทำงาน มีความรับผิดชอบกันไปตามหน้าที่ มันจึงเป็นสัตว์สังคมที่อยู่ร่วมกันได้ด้วยดี นี้ก็เข้าทำนองกฎระเบียบ หรือหลักธรรมะของมันอย่างชัดเจน

       เมื่อพูดถึงศีลธรรมในสัตว์ก็ขอยกตัวอย่างสุนัขให้เห็นเด่นชัดอีกเรื่อง สุนัขแปลกหน้าเมื่อมันพบกัน มันจะคำรมเข้าใส่กัน หากไม่ยอมถอน หรือแพ้สักตัว ก็จะประลองกำลังกัน เพื่อตัดสินแพ้ชนะ เพื่อตัดสินว่าใครใหญ่กว่ากัน ตัวใดแพ้ก็จะหมอบราบ นอนลง ฝ่ายตรงกันข้ามก็หยุด เป็นการยอมรับและตกลงกัน เรื่องก็หมดไป พบกันครั้งหลังก็ไม่มีการประลองกันอีกแล้ว รู้จักหลีกทางกันให้ นี่ก็น่าจะจัดเข้าในเรื่องของศีลธรรมระบบสัตว์ เหตุการณ์เช่นนี้บางทีในมนุษย์ยังไม่จบ วันนี้แพ้เพราะไม่มีกำลังสู่ไม่ได้ วันพรุ่งนี้อาจจะใช้เครื่องทุนแรง มีด ปืน อะไรก็แล้วแต่มาขอแก้มือใหม่ นั่นมันยังไม่จบ เรื่องเช่นนี้ทำนองนี้มนุษย์ยังมีปัญหาอีกมาก ถ้าเปรียบเทียบเล่น ๆ ในเรื่องนี้ระหว่างสุนัข กับมนุษย์ อะไรจะมีศีลธรรมกว่ากัน

       การออกำลังกายมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์เช่นเดียวกัน เรื่องนี้มนุษย์พัฒนาได้ดีกว่าสัตว์ สัตว์เองก็ทำไปตามสัญชาตญาณของมัน

       สำหรับเรื่องนันทนาการก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่มนุษย์พึงมี เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน มนุษย์พัฒนาได้เป็นรูปธรรมกว่าสัตว์

       เรื่องสำคัญอีกเรื่องคือเรื่องของความรู้ เรื่องของวิชาการ มนุษย์เรามีสมองที่ฉลาดจึงวิวัฒนาการเรื่องนี้สุดขั้ว จนเป็นผลเสียเช่นเดียวกัน ท่านพระพุทธทาสแสดงความเห็นไว้ในหนังสือธรรมะเรื่อง "ธรรมโฆษณ์" ว่าการวิวัฒนาการเพื่อวินาศนาการ (ได้นำเสนอไว้ในเรื่องธรรมะจากท่านพระพุทธทาสไว้แล้ว ลองอ่านดูครับ) เรื่องของความรู้ หรือด้านวิชาการของสัตว์คงอยู่ในรูปของสัญชาตญาณ และสัมผัสที่หกเป็นสำคัญ

       ที่ได้ยกเรื่องการดำรงชีพของสัตว์ และมนุษย์ให้เห็นก็เพื่อเปรียบเทียบความเหมือน และแตกต่าง โดยสรุปทั้งสัตว์และมนุษย์ มีปัจจัยสำคัญพื้นฐานในการดำรงชีพที่เหมือนกัน คล้ายกัน

       สรุปหัวใจสำคัญของการดำชีพของมนุษย์ หรือ "หัวใจของธรรมชาติธรรม" ดังนี้
1.อาหาร
2. ที่อยู่อาศัย
3. เครื่องนุ่งห่ม
4. ยารักษาโรค
5. การออกกำลังกาย
6. นันทนาการ
7. วิชาความรู้
8. เรื่องศีลธรรม
หรือเพิ่ม 9. การสืบพันธุ์

       เก้าประการนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำรงชีพของมนุษย์ นี่คือหัวใจของธรรมชาติธรรม
IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 14:16:38 »

       
  คนเหนือ-คนทุ่ง-คนทะเล


         คนเหนือ คนทุ่ง คนทะเล หรือคนอยู่ริมทะเล เป็นชื่อเรียกกลุ่มคนที่อาศัยตามพื้นที่นั้น ๆ คำเรียกนี้นำมาใช้เมื่อ 40 ปี ก่อนของชาวใต้ โดยเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่ไม่ได้ยินคำนี้อีกเลย ด้วยสภาพพื้นที่ของฝั่งทะเลตะวันออกอย่างจังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดใกล้เคียง ด้านทิศตะวันออกจะอยู่ติดชายฝั่งทะเล จากชายฝั่งเข้ามาประมาณ 5 - 8 กิโลเมตรจัดเป็นคนกลุ่มทะเล ถัดมาพื้นที่จะเป็นที่ราบเหมาะสมที่จะทำนา ความกว้างมากกว่าบริเวณทะเล กว้างประมาณ 10 - 20 กิโลเมตร เราเรียกผู้ที่อยู่แถบนี้ว่าชาวทุ่ง และถัดไปจากพื้นที่ทำนาจะเป็นที่ราบสูงเล็กน้อย สภาพพื้นที่จะสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงแนวภูเขา ความกว้างของพื้นที่มีมาก เราเรียกผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนี่ว่าพวกเหนือ

        สมัยก่อนคนเหนือ คนทุ่ง และคนทะเลมีความรู้จักมักคุ้นกันอย่างดี ไปมาหาสู่กันเนืองนิตย์ ทั้งในหมู่ญาติพี่น้อง และหมู่มิตรสหาย การผูกมิตรที่กระชับของคนสมัยก่อนคือการเป็นเกลอกัน พ่อแม่นิยมให้บุตรหลานมีเพื่อนเกลอต่างหมู่บ้าน ดังนั้นคนเหนือจึงมีเพื่อนเกลอเป็นชาวทุ่ง และอาจจะมีเพื่อนเกลอชาวทะเล ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ต่อกันจึงมีมาก การไปมาหาสู่สมัยนั้นมักจะไปพักแรมอยู่กินติดต่อกันหลาย ๆ วัน แม้จะอยู่กินเป็นเวลานานก็ไม่ทำความเดือดร้อนแก่กัน เพราะต่างก็ไม่มีภาระงานอะไรมากนัก

        ขอกล่าวเรื่องงานหรือภาระของคนสมัยนั้น (40 ปีก่อน) คนเหนือส่วนใหญ่ปลูกพืชผลไว้รับประทาน จะจำหน่ายบ้างก็ส่วนน้อย เช่น เงาะ ทุเรียน ลางสาด มังคุด ปลูกข้าวไว้รับประทาน ซึ่งเป็นข้าวไร่ แต่มักไม่เพียงพอที่จะใช้รับประทานในรอบปี หลังจากปลูกข้าวนิยมปลูกผักไว้รับประทาน นี่คือภาระของคนเหนือ สมัยนั้นบริเวณแถบนี้มีของป่าสมบูรณ์พวกผลไม้ป่าหลายชนิดมีชุกชุม น้ำผึ้ง ผักที่ได้จากป่า รวมทั้งสัตว์ป่าก็ยังมีชุกชุมเช่นกัน

        คนทุ่งทำนาไว้รับประทานได้ตลอดปี ส่วนที่จะจำหน่ายก็เพียงเล็กน้อย หลังจากเสร็จหน้านาต่างก็มีเวลาว่างอย่างยาวนาน

        สำหรับชาวทะเลส่วนใหญ่ทำประมงเพื่อเลี้ยงครอบครัว ที่เหลือนำไปจำหน่ายบ้างก็เพียงเล็กน้อย แถบชายฝั่งมีมะพร้าวมาก ชาวทะเลเกือบทุกครอบครัวทำน้ำตาลมะพร้าวจากต้นมะพร้าว

         สภาพความเป็นอยู่ของคนสมัยนั้นไม่ต้องดิ้นรนหาเงินหาทองสักเท่าไร เพราะทำเพื่อบริโภคภายในครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งนิยมระบบการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันแทบจะไม่ต้องใช้เงินเป็นสื่อกลางเลย

        การมาเยี่ยมเยียนญาติ เยี่ยมเกลอแต่ละครั้งจะต้องมีของฝากติดไม้ติดมืออย่างพะรุงพะรัง คนทะเลมี กะปิ ปลาแห้ง ปลาสด ปลาย่าง น้ำตาลมะพร้าว มาฝาก ขณะเดียวกันก็จะได้รับของฝากจากเจ้าถิ่น เช่น ถ้าคนทะเลมาหาคนทุ่งก็จะได้ ข้าวสาร กล้วยย่าง กะละเม ปลาแห้ง (ปลาน้ำจืด) เนื้อย่าง (เนื้อวัว หรือเนื้อควาย) ติดไม่ติดมือกลับไป ถ้ามาหาญาติมิตรที่เป็นคนเหนือก็จะได้ ผัก ผลไม้ เนื้อย่าง(เนื้อสัตว์ป่า) ทุเรียนกวน น้ำผึ้ง เหล่านี้เป็นต้น การแลกเปลี่ยนอาหาร หรือสิ่งของแบบประเพณีนิยมอย่างนี้ทำกันได้ตลอดปี

       การได้มาเยี่ยมเยียน และการนำข้าวของมาแลกเปลี่ยนเป็นความสุขทางด้านจิตใจเป็นเยี่ยม ได้พบปะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น นับญาตินับมิตรให้สนิทสนมกันยิ่งขึ้น การมาเยี่ยมเยียนแต่ละครั้งส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัว เด็ก ๆ ของแต่ละฝ่ายได้ทำความรู้จัก และสนิทสนมกันยิ่งขึ้น เป็นการผูกมิตรที่ยั่งยืน การอยู่ร่วมกันเป็นเวลาหลาย ๆ วัน บางโอกาส บางครั้งอาจจะได้ช่วยเหลือในการงานกันบ้าง ยิ่งทำให้เห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมยิ่งขึ้น

       จากการที่ครอบครัวของคนเหนือ คนทุ่ง และคนทะเลมีความสัมพันธ์เช่นนี้มาตลอดเมื่อมีงานแต่งงาน งานบวช งานศพ ขึ้นบ้านใหม่ หรืองานอื่น ๆ จะมีการช่วยเหลือเจือจุนกันยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านแรงงาน และข้าวของ งานจึงสำเร็จลุล่วงด้วยดีเพราะร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างพร้อมเพรียง ประเพณีแบบนี้ได้ทั้งงาน และได้ทั้งน้ำใจ น้ำใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด น้ำใจเป็นพื้นฐานด้านอื่น ๆ ในการอยู่ร่วมกัน

        การมีน้ำใจในการอยู่ร่วมของมนุษย์เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง จากการมีน้ำใจทำให้คุณธรรมอื่น ๆ ตามมาหลายประการ การมีน้ำใจเอื้ออารี การไม่เอารัดเอาเปรียบ การไม่อิจฉาริษยา การไม่โลภ การไม่ฉ้อโกง รู้ความเดือดร้อนผู้อื่น รู้จักการให้ มีความเมตตา รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกัน คุณธรรมอื่น ๆ อีกนานัปการที่ตามมา การอยู่ร่วมของมวลมนุษยชาติในลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งควรค่าที่สุดที่มนุษย์พึงมี พึงเสาะหา พึงรักษาเอาไว้ เรายึดศีลธรรมเป็นกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วม กฎหมายไร้ค่า เมื่อธรรมมาแนบใจ

       ปัจจุบันนี้น้ำใจของเพื่อมนุษย์กำลังจืดจางลงไป และถึงกับขาดน้ำใจ เนื่องจากการแข่งขันด้านธุรกิจเป็นเหตุ การเอาเงินทองอยู่เหนือค่าของน้ำใจจิตใจ การเอาวัตถุมาอยู่เหนือจิตใจ การเอารัดเอาเปรียบจึงเกิดขึ้น การเห็นแก่ตัวตามมา เพราะการมุ่งหวังผลประโยชน์คือหลักชัยสำคัญ คุณธรรมที่เคยมี บาปบุญคุณโทษที่เคยตระหนัก ค่อย ๆ เลือนราง และหายไป สังคมจึงมีแต่ความวุ่นวาย ศีลธรรมที่เคยยึดเป็นกฎก็ค่อยหดหาย กฎหมายก็กลายเป็นตัวหนังสือในหนังสือพิมพ์รายวัน เพราะคนใช้ขาดคุณธรรม

      หากเรามาช่วยกันคิดในการบริหารจัดการในการอยู่ร่วมของสังคมมนุษย์โดยใช้หลัก คนเหนือ คนทุ่ง คนทะเล น่าจะทำให้การอยู่ร่วมกลับมาเหมือนเดิมได้ และดีกว่าเดิมเพราะเรามีการวางแผน มีความรู้ด้านวิชาการสาขาต่าง ๆ เป็นแนวทางในการบริหารจัดการให้ดีขึ้น

      จากแนวคิดนี้ขอยกตัวอย่างของการอยู่ร่วมของชาวเขาในภาคเหนือ และการอยู่ร่วมของชุมชนชาวอีสาน ที่ยังเหลือให้เห็นอยู่บ้างถึงทุกวันนี้ จะขอกล่าวโดยละเอียดในเรื่อง "การอยู่ร่วมของชาวเขา-ชาวอีสาน" อีกครั้ง

ได้ยินหลายคนมักบ่นในเรื่องสังคมปัจจุบันในหลาย ๆ ด้าน กระผมผู้ประสานงานรู้สึกดีใจว่าหากได้ป้อนแนวคิดให้ท่านได้ขบคิดบ้าง บางทีท่านอาจจะเห็นแนวคิดที่ดีกว่า หรือมีส่วนเพิ่มเติมช่วยเสริม ชี้แนะ สนับสนุนให้ "ธรรมชาติธรรม" ไปถึงความฝันอันสูงสุดโดยการที่เราร่วมถอยหลังอย่างมีกระบวนการ ขอกราบขอบพระคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 14:18:40 »



การอยู่ร่วมของชาวเขา-ชาวอีสาน

       เรื่องของคนเหนือ-คนทุ่ง-คนทะเลได้นำข้อเท็จจริงมาบอกกล่าวไปแล้ว เป็นเรื่องการอยู่ร่วมของคนทางถิ่นใต้เมื่อ 40 ปีก่อน มีลักษณะเด่นในเรื่องการพึ่งพาซึ่งกันและกัน สำหรับของชาวเขาทางภาคเหนือ และชาวอีสานมีจุดเด่นในเรื่องการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

      สมัยเมื่อ 30 ปีก่อนคนทางภาคอีสานยังอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างเหนียวแน่น ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ส่วนชาวดอย ชาวเขาทางภาคเหนือยังตั้งถิ่นฐานเป็นกลุ่ม เป็นหมู่บ้านอย่างเห็นได้ชัด

      การอยู่ในลักษณะเช่นนี้การเป็นอยู่ยังใช้ระบบพึ่งพาอาศัยกันส่วนใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนี้ค่าครองชีพจึงต่ำ เพราะต่างก็ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยังใช้ระบบแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อกันบ้าง ซึ่งผิดกันราวหน้ามือเป็นหลังมือกับเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต ที่มีค่าครองชีพสูง คนดอยอาจ
จะนำของป่าของพื้นบ้านมาจำหน่ายให้กับพวกเดินทางนักท่องเที่ยวตามริมถนนบ้างเพื่อนำเงินเหล่านั้นใช้จ่ายในของจำเป็นที่ทำไม่ได้เองบางส่วน ซึ่งเริ่มหาความสะดวกสบายขึ้นบ้าง

       ชาวดอยจะตั้งถิ่นฐานที่อยู่เป็นกลุ่มเป็นหมู่บ้าน พื้นที่รอบนอกจะทำเป็นพื้นที่เพาะปลูก ลักษณะการเป็นอยู่เช่นนี้ที่ "ธรรมชาติธรรม"
เห็นว่าควรยึดไว้ เพียงแต่ให้การพัฒนาด้านสาธารณสุข การกำหนดพื้นที่ทำกินอย่างเหมาะสมเพียงพอ การกำหนดจำนวนครัวเรือน ระยะห่างของแต่ละกลุ่ม หมู่บ้าน การคมนาคมควรใช้วิธีใด ซึ่งเรื่องนี้มีการวิจัยหาข้อมูลกันต่อไป

       แนวทางอยู่อย่างสันติสุขไม่ใช่เรื่องยาก การจะหวนกลับมาแบบเก่าเป็นเรื่องง่าย เมื่อเราเข้าใจ เห็นดีเห็นงาม บรรดาพวกกลุ่มนายทุนทั้งหลายให้การสนับสนุน เห็นความสุขแท้จริงของการอยู่รวมพอกิน พอใช้ ไม่ต้องสะสม ไม่ต้องกักตุน ไม่มีเจ้าของ แบ่งหน้าที่ทำงานร่วมกัน เหมือนตัวอย่างสัตว์สังคมอื่น ๆ

       มนุษย์เป็นสัตว์สังคม คือต้องอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เราไม่ได้อยู่อย่างสัตว์สังคมที่ถูกต้อง คือไม่อยู่อย่างธรรมดา ไม่อยู่อย่างธรรมชาติ ด้วยผลประโยชน์ด้านธุรกิจเข้าเกี่ยวข้อง ทำให้เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ ความวุ่นวายต่าง ๆ ก็ตามมาไม่รู้จักจบสิ้น เนื่องจากธุรกิจยิ่งเพิ่มใหม่ขึ้น เติบโตขึ้น ล้วนส่งผลต่อการคุกคามธรรมชาติอย่างไม่มีวันจบ เพิ่มมลพิษไปทุกด้าน

        สัตว์สังคมยังอยู่กันได้อย่างดีมีความสุขเพราะสัตว์พวกนั้นดำรงชีพตามวิถีชีวิตตามธรรมดา ตามธรรมชาติ เช่น ปลวก ผึ้ง ตัวต่อ ยังแบ่งหน้าที่กันเช่นเดิม ไม่เอาผลประโยชน์ธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง การเอารัดเอาเปรียบจึงไม่มี การเป็นอยู่ก็อยู่อย่างปกติธรรมดา ความวุ่นวายจึงไม่เกิดขึ้น พวกสัตว์เหล่านี้จึงอยู่อย่างมีสุข ถ้าไม่มีสุขก็คงสืบสาเหตุจากมนุษย์เรานั้นเอง

        การค้นหาหลักสัจธรรมเพื่อนำมาใช้ในการอยู่ร่วม โดยศึกษาระบบธรรมชาติให้เข้าใจถึงแก่นแท้ ความต้องการของมนุษย์ที่พึ่งมีตามขอบเขต โดยอาศัยหลักความเป็นธรรมดา ธรรมชาติเข้าเกี่ยวข้อง รวมทั้งนำหลักธรรมของศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวแทนกฎหมาย การอยู่ร่วมกันคงมีความสันติสุขแท้จริง และยั่งยืน


IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 11 พฤษภาคม 2013, 13:02:33 »

  

พลังงานธรรมชาติ คือ ธรรมชาติธรรม http://www.nature-dhrama.com/index-kit-t.htm


          พลังงานที่ได้จากต้นกำเนิดของธรรมชาติคือแนวทางของธรรมชาติธรรม ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลังงานที่ได้จากธรรมชาติโดยตรงไม่เป็นแหล่งผลิตมลพิษ เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำจากเขื่อน พลังงานจากคลื่น พลังลังงานจากลม นี่เท่าทีเห็นที่รู้และถือเป็นแหล่งใหญ่

         พลังงานจากนิวเคลียร์ จากถ่านหิน จากก๊าซ จากน้ำมัน เหล่านี้ล้วนแต่สร้างมลพิษ แต่ที่กำลังผลักดันกันสุดขีด เดินหน้ากันสุดเหวี่ยงเพราะผลประโยชน์ที่ยังผูกพัน ยังเป็นพันธะกันมา หรือไม่ก็คิดสร้างใหม่ขึ้นมาอีก ทั้งนี้เป็นไปตามวิถีทางของระบบวัตถุนิยม

         เพราะสังคมวัตถุนิยมสาเหตุหนึ่งที่ไม่ค่อยคิดส่งเสริมพลังงานที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง โดยมักจะอ้างว่าต้นทุนผลิตสูง แม้จะจริงตามที่อ้างก็ควรจะส่งเสริม เพราะนี่คือความถูกต้อง สมบูรณ์ที่จะช่วยให้โลกเราสะอาด ธรรมชาติไม่ถูกทำลาย ไม่เกิดมลภาวะ ไม่เป็นบ่อเกิดภัยธรรมชาติ หรืออื่น ๆ ที่มีโทษทั้งหลายตามมา และที่ใหญ่ไปกว่านั้นคือเพิ่มความรุนแรงให้เห็นประจักษ์อยู่เสมอ


        เรามัวหลงการแข่งขันทางวัตถุ   ในรูปแบบการแข่งขันทางธุรกิจ จนเกินความจำเป็น จนมนุษย์เราอยู่อย่างไม่มีความสันติสุข ทั้งทางด้านกาย และจิตใจ ตลอดมา และยิ่งนับวันจะเพิ่มการแข่งขันกันอย่างบ้าคลั่งมากขึ้น หลักศาสนาพุทธซึ่งถือเป็นศาสนาสากลที่เจริญในไทยโดยแท้ ก็ยังนำมาใช้กันไม่ได้ นำมาใช้กันไม่ถูก ยอมบ้าคลั่งวัตถุตามพวกตะวันตกเสียสุดโด่ง

ขอยกกลอนสอนศิษย์

สร้างโรงงานการกิจผลิตวัตถุ
มุทะลุเดือดดาลการแข่งขัน
ธรรมชาติถูกทำลายเป็นรายวัน
กลุ่มหมอกควันปล้นฆ่าปฐพี

ทะเลห้วยหนองบึงถึงจุดจบ
ปลาหลีกหลบมิวายกลายเป็นผี
สัตว์จะพึ่งต้นไม้ก็ไม่มี
ต่างพลีชีพด้วยฆ่าตัวตาย

สารเคมีวิ่งพล่านทุกการกิจ
โทรมชีวิตก่อนโลกล่มสลาย
นี้ครูเพ้อเธอคิดสบายสบาย
เรื่องหลากหลายขายคิดจงติดใจ

ปัจจุบันมนุษย์เราเขาอยู่ผิด
น่าเปลี่ยนวิถีชีวิตแนวทางใหม่
หาเลี้ยงชีพเลี้ยงกายสบายใจ
ไม่ควรกักตุนเป็นทุนรอน

เลิกใช้เงินใช้ทองจองซื้อจ่าย
จงทำลายเด็ดขาดทาสเงินผ่อน
สร้างหนี้สินรุงรังทั้งนคร
จะหลับนอนนึกหนี้มิเคลื่อนคลาย

สุขภาพจิตย่ำแย่จนแก่เฒ่า
ต่างร้อนเร่ารุมใจมิเหือดหาย
ทุกข์ตลอดเวลาจนกว่าตาย
โอ้เหนื่อยกายเหนื่อยใจใครบัญชา

ตัวเป็นเกลียวเคี่ยวงานเร่งการกิจ
อันชีวิตคิดไปไร้คุณค่า
นี่แหละโลกวังวนแห่งมารยา
อนิจจามนุษย์มนุษย์มนุษย์

        เราใช้พลังงานกันอย่างฟุ่มเฟือย กลางคืน ดึกดื่นซึ่งเป็นเวลาพักผ่อน มนุษย์เรายังวุ่นวายอยู่กับการงาน อยู่กับการดื่มกิน นี่คือการเกินความพอดี แท้จริงให้มีกินก็พอ กินอย่างดี ปลอดสารพิษ อากาศที่หายใจสดชื่น ปลอดสารพิษ แต่นี่ไม่เป็นอย่างที่ว่า เพราะพิษจากใช้พลังงานเกินจำเป็น ส่งผลให้มนุษย์เดือดร้อนนานาประการ

ขอนำบทเพลงเพื่อสังคม

 

ประหยัดธรรมชาติ


ค่ำคืนเราควรทำอะไร (ซ้ำ)
เราควรดับไฟเข้านอน
กลางวันทำงานล้าอ่อน
เราควรพักผ่อนตอนกลางคืน (ซ้ำ)
หลับให้สบายอย่าสายเช้าตื่น
แสนสุขสดชื่น เช้าตื่นไปทำงาน (ซ้ำ)


ค่ำคืนเราควรทำอะไร (ซ้ำ)
ทั่วไทยดับไฟทุกบ้าน
ช่วยกันประหยัดพลังงาน
งดดื่มงดทานตอนกลางคืน (ซ้ำ)
หลับให้สบายอย่าสายเช้าตื่น
แสนสุขสดชื่น เช้าตื่นไปทำงาน (ซ้ำ)


หยุดโลภหลงเสียที (ซ้ำ)
พอมีพอกินนะท่าน
หยุดกิจยามราตรีกาล
ควรงดทำงานตอนกลางคืน (ซ้ำ)
หลับให้สบายอย่าสายเช้าตื่น
แสนสุขสดชื่น เช้าตื่นไปทำงาน (ซ้ำ)


ประหยัดธรรมชาติเอาไว้ (ซ้ำ)
เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลาน
ประหยัดไว้ใช้นานนาน
เพื่อลูกเพื่อหลานยืนสืบไป (ซ้ำ)
เพื่อสภาพแวดล้อมออมเอาไว้
ธรรมชาติยิ่งใหญ่ ประหยัดไว้ใช้นานนาน(ซ้ำ)




           หากเรามาเริ่มต้นใหม่ ให้ความสำคัญต่อพลังงานทดแทนต่าง ๆ ที่ได้จากธรรมชาติโดยตรง โดยการลงทุน ค้นคว้าวิจัยอย่างชัดเจน เอาจริงเอาจังเป็นรูปธรรม นึกถึงความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ บางทีสิ่งใหม่ ๆ ดีที่เกิดจากดำเนินการเรื่องนี้เกิดงอกงามตามมา ใครจะไปรู้ว่าเรามีการกักน้ำ ปล่อยน้ำ ทดน้ำ ไหลจากที่แคบ สู่ที่กว้าง ไหลจากที่กว้างสู่ที่แคบ แล้วไหลลงต่ำ บีบทางน้ำให้แคบ ทำให้มีแรงดันจนน้ำไหลขึ้นสูง ในที่สุดก็หาวิธีเก็บพลังงานมาใช้ เป็นขั้นเป็นตอน นี่เป็นการตั้งสมมุติฐานเล่น ๆ ใครจะนำไปคิดต่อไม่สงวนลิขสิทธิ์

           การอยู่ร่วมแบบวิถีชีวิตตามรูปแบบธรรมชาติธรรมค้ำจุนโลก ขอสนับสนุนพลังงานทดแทนจากธรรมชาติอย่างที่กล่าวมา และที่สำคัญให้ตั้งคณะทำงานเรื่องนี้เพื่อเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบ จะได้ทำให้งานพัฒนาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ




* L40.jpg (118.26 KB, 615x500 - ดู 1375 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 09 กรกฎาคม 2013, 14:56:41 โดย watthanasit » IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2013, 14:53:25 »


 สภาพสังคมปัจจุบัน ทำให้มนุษย์เรากลัว
 http://www.naturedharma.com/data-1433.html
  
         สภาพสังคมปัจจุบันทำให้คนเรามีความกลัวหลายอย่าง ปัจจุบันคนเรามีความหวาดกลัวในหลาย ๆ เรื่อง เช่น เรื่องสารเคมี ภัยธรรมชาติ ลักษณะที่คล้ายคลึงกับสองอย่างที่ยกมานั้นมีมาก ซึ่งยังเห็นว่าไม่ใช่สิ่งที่คนเรากลัวมากเท่าไร สิ่งที่น่ากลัว น่ากังวลมากที่สุดของคนเราปัจจุบันก็คือ กลัวไม่มีเงิน กลัวไม่มีทรัพย์สิน กลัวอนาคตของทายาท

          ความกลัวทั้งสามอย่างที่กล่าวมาสืบเนื่องจากสภาพของสังคม สังคมที่ว่าด้วยเศรษฐกิจ มุ่งผลกำไรขาดทุน มีการลงทุน มีการแข่งขัน ค่านิยมวัตถุที่ถูกมอมเมา โฆษณา ล้างสมองจนเข้ามาร่วมด้วยในรูปแบบต่าง ๆ ที่เราไม่รู้ตัว (เรื่องเหล่านี้จำนำมาพูดคุยรายละเอียดกันอีกครั้ง)
          คนเรากลัวไม่มีเงิน เมื่อสังคมกำหนดเงินตราเป็นมูลค่าเพื่อใช้แลกเปลี่ยนกับสิ่งของจำเป็น หรือไม่จำเป็น (สิ่งของที่จำเป็น เช่นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ฯลฯ สิ่งของที่ไม่จำเป็น เช่น เครื่องประดับ ของตกแต่งอื่น ๆ ฯลฯ ) ทุกคนก็ต้องหาเงิน ต้องดิ้นรนหาอาชีพ เพื่อความอยู่รอดของตน คือต้องนำเงินมาจับจ่ายในสิ่งที่ตนเองจำเป็น หรืออยากได้ครอบครอง สมัยเมื่อ 50 ปีก่อนแทบไม่ต้องใช้เงิน เพราะ คนสมัยนั้นยังนิยมนำสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกัน (เรื่องการใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนจะยกมาพูด เฉพาะเรื่องอีกครั้ง)
         คนเรากลัวไม่มีทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่กลัวมากที่สุดคือที่ดิน ที่ดินไม่เกิด ที่ดินไม่งอก ที่ดินยังมีเท่าเดิม คนเพิ่มขึ้น ความต้องการที่จะเป็นเจ้าของจึงมากเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้ทำให้ที่ดินมีราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว คนเราจึงดิ้นรนทุกวิถีทางให้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ทรัพย์สินอื่น ๆ ก็มีการกักตุนซื้อไว้หากมีอำนาจซื้อ
         ประการที่สามคือกลัวอนาคตของทายาท ประกาศนียบัตร ปริญญาบัตรเป็นใบเบิกทางเข้าทำงาน พ่อแม่ต่างดิ้นรนขวนขวายให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนที่เขาว่าดีใช้เงินใช้ทองเท่าไรไม่ว่า เสียค่าสมาคมเท่าไรก็ยอม ค่าเทอมเท่าไรไม่มีปัญหา ลูกต้องอยู่หอพัก ต้องเช่าบ้านก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพ่อแม่ คว้าไว้ก่อน เรื่องการเงินจะสดจะผ่อนค่อยแก้ปัญหา เมื่อจบปริญญาต่างชื่นใจ แต่น้ำตาไหลตอนตกงาน

         ความกลัวเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์ดิ้นรนใฝ่คว้า ปัญหาที่ตามมาจึงมากมาย ล้วนสร้างความวุ่นวายกับสังคม สมควรหรือไม่ที่จะหันกลับมาดำรงชีวิตอย่างพอดี มาร่วมใจร่วมรักสามัคคีหาแนวทางในเรื่องนี้ให้อยู่ดีอย่างยั่งยืน เราไม่ต้องกลัวเรื่องอื่นใด เพราะเราอยู่อย่างถูกต้อง อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสุข
        เมื่อท่านอ่านมาตรงนี้ท่านคงนึกค้านอยู่ในใจว่า ไม่ดิ้นรน ไม่ศึกษาหาความรู้แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร ท่านจงทำความเข้าใจกับความเคยชิน ความรู้สึกของท่าน
ที่ท่านมีเป็นพื้นฐานอยู่ในขณะนี้ ในความคิดของท่านยังคิดดิ้นรนในสามประการใหญ่ที่กล่าวมา เพราะเรากลัวอย่างที่ว่า หากเรารู้จักจัดระบบการอยู่ร่วมกันอย่างพอมีพอกินเราก็จะไม่กลัวเรื่องที่กล่าวมาเลย เราอยู่อย่างสบาย
        ขอถามท่านว่า "วันหนึ่ง ๆ ท่านต้องการอาหารสักเท่าไร" ที่ถามเช่นนี้ก็เพราะเราอยู่เพียงพอกิน ไม่ต้องกักตุน ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเผื่อลูกหลานแล้วเราจะดิ้นรนไปทำไม เรามาดิ้นรนเรื่องต่อไปนี้เท่านั้น
   1. เราศึกษาเล่าเรียนเพื่อ ค้นคว้า วิจัยว่า เราจะวางแผนการใช้เนื้อที่ผลิตอาหารสำหรับชุมชนที่เราจัดไว้สักเท่าไร
   2. เรามาศึกษาเล่าเรียนเพื่อ ค้นคว้า วิจัยว่า อาหารที่เราจะรับประทานที่มีประโยชน์ที่สุดเป็นอาหารในรูปแบบใด มีอาหารประเภทใดบ้าง
   3. เรามาศึกษาเล่าเรียนเพื่อ ค้นคว้า วิจัยว่า การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือวิธีใด และทำอย่างไร
   4. เรามาศึกษาเล่าเรียนเพื่อ ค้นคว้า หาวิธีนันทนาการที่ก่อให้เกิดความสุนทรีย์ต่อด้านจิตใจมนุษย์มากที่สุด เรามีงานศิลปะทุกแขนงเพื่อการอยู่ร่วมที่มีสุขคืองานศิลปะอะไรบ้าง ร่ายรำ ละคร วาด ปั้น เพลง ฯลฯ
   5. เรามาศึกษาเล่าเรียนเพื่อค้นคว้า วิจัยว่า สบู่ ผงซักฟอก เสื้อผ้า เราจะจัดการด้วยวิธีใดอย่างไร
   6. เราศึกษาว่ารัฐบาลของเราจะบริหารวิธีใดให้สอดคล้องกับการอยู่ร่วมในสังคมของเรา
   7. โรงเรียนของเรา มหาวิทยาลัยของเรา ผลิตนักศึกษาเพื่อ คันคว้า วิจัย ในทุก ๆ ด้านที่เราอยู่ร่วมกันอย่างพอเพียง และมีความสุขของสังคมมนุษย์อย่างถูกวิธี สร้างสรรค์ด้านจิตใจ ด้านคุณธรรม
 
                    ขอฝากเพลงเพื่อชีวิต
 
                                                ความพอดี
 
                               อยู่กันอย่างผิดผิด ชีวิตมีแต่ความวุ่นวาย
                               อยู่กันอย่างไม่สบาย
                               จนเฒ่าแก่ตาย อยู่อย่างวุ่นวายเรื่อยมา (ซ้ำ)
          อยู่กันเกินพอดี หนี้สินมากมีล้นฟ้า
          วุ่นวายกับวัตถุเงินตรา
          เสียดายเวลา ที่ปล่อยให้ฆ่าจิตใจ (ซ้ำ)
                               อยู่กันอย่างพอดี พอมีพอกินพอใช้
                               กักตุนกันไปทำไม
                               หยุดโลภงมงาย สุขกายสบายใจแน่นอน (ซ้ำ)
         อยู่กันอย่างพอเพียง ไม่เสี่ยงและไม่รุ่มร้อน
         กายใจได้พักผ่อน
         โรคร้ายไกลจากจร ความทุกข์เร่าร้อนไม่มี (ซ้ำ)
                               อยู่กันอย่างธรรมชาติ จิตใจสะอาดสดสี
                               ไม่เปรอะเปื้อนราคี
                               งามสง่าราศี อยู่ด้วยดีเพราะคุณธรรม (ซ้ำ)


                                            
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 09 กรกฎาคม 2013, 14:55:54 โดย watthanasit » IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 20 ตุลาคม 2013, 12:50:55 »




                           ระบบทาสที่ซ้อนเร้น
             หากคิดละเว้น ต้องเปลี่ยนเป็น "ธรรมชาติธรรม"

      ผลประโยชน์คือต้นตอของระบบทาส กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ไม่ว่ากลุ่มเล็กหรือใหญ่ผู้เป็นเจ้าของคือนายจ้าง ผู้รับใช้คือลูกจ้าง ถ้าเรามองผิวเผินก็คือการมีประโยชน์ร่วมกัน แต่ถ้ามองอย่างละเอียดรอบคอบ นายจ้างคือนายทาส ลูกจ้างคือลูกทาส

      ความรู้สึกของผู้ที่ได้รับเข้ามาเป็นลูกจ้างจะถือว่านายจ้างมีพระคุณใหญ่หลวง เป็นผู้อุปการคุณทำให้เขามีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว ช่วยให้เขามีงานทำ ไม่ตกงาน นี่เป็นความจริงเพราะระบบสังคมต้องใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ทุกคนต้องทำงานเพื่อเงิน ระบบตรงนี้เองที่เกิดนายจ้างและลูกจ้าง และที่สำคัญคือเกิดมีระบบทาสที่ซ้อนเร้นขึ้น

       นายจ้างก็คือนายทุน เมื่อมีนายทุนก็มีลูกจ้าง เมื่อมีลูกจ้างก็มีระบบทาสทันที เมื่อมีทาสการเอารัดเอาเปรียบจึงเกิดขึ้น ขอยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ

       สมัยก่อนไม่มีนายทุน หรือไม่มีกลุ่มผลประโยชน์ ทาสก็ไม่มี เรื่อง "ลงแขก" เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจน ลงแขกคือร่วมแรงเพื่อบ้านมาช่วยกันทำงานให้ลุล่วงเร็วขึ้นโดยไม่รับค่าจ้าง และผลัดเปลี่ยนช่วยกันไปตามความจำเป็น เช่น ลงแขกไถนา เก็บข้าว ทำบ้าน ฯลฯ การลงแขกจึงไม่มีนายจ้าง ไม่มีนายทุน การเอารัดเอาเปรียบจึงไม่มี ระบบทาสก็ไม่มี

       ขอยกตัวอย่างนายจ้างที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มนายจ้างขนาดเล็ก แม้รับเหมาก่อสร้างบ้านของชาวบ้านที่ต้องการเป็นที่อยู่อาศัยทั่ว ๆ ไป งานเล็ก ๆ ขนาดนี้ก็จริง แต่ผู้รับเหมาจัดเป็นนายจ้าง จัดเป็นนายทุน คือต้องมีทุนจึงจะดำเนินงานได้ จะได้ทุนโดยวิธีใดก็แล้วแต่ เช่นกู้จากชาวบ้านโดยจ่ายดอกเบี้ยร้อยละห้าบาทต่อเดือน กู้ธนาคารร้อยละ สิบหกบ้านต่อปี หรือไม่ต้องกู้แต่ทำสัญญากับเจ้าของร้านวัสดุ เอาวัสดุมาก่อนค่อยผ่อนที่หลัง ส่วนดอกเบี้ยตกลงระหว่างกันตามความเหมาะสม

      ที่มาของทุนคือภาระของนายจ้างที่ต้องแบกรับดอกเบี้ย ภาระดอกเบี้ยมาตกที่ลูกจ้างทันที ถูกนายจ้างเป็นผู้กำหนดราคา ซึ่งแบ่งจากส่วนกำไรของตน หากต้นทุนของการลงทุนสูง คือดอกเบี้ยสูง ลูกจ้างก็ได้รับค่าจ้างน้อยลง น้อยผู้รับเหมาที่จะยอมเหนื่อย ยอมขาดทุนหรือได้กำไรแต่น้อย เพื่อมีความเอื้ออารีกับลูกจ้าง ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะมีจิตสำนึกตรงนี้ แต่ภาระที่อยู่ข้างหลังเป็นตัวกำกับอีกทีหนึ่ง

      ทำไมลูกจ้างจึงต้องทำทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผลตอบแทนไม่เป็นธรรม ไม่คุ้มค่า บางครั้งเพราะไม่มีงาน บางครั้งมีข้อผูกพันกับนายจ้าง เช่น หยิบยืมเงินมาใช้ก่อนล่วงหน้า ถามว่าค่าแรงขั้นต่ำที่กำหนดไว้เหมาะสมหรือไม่ ถ้าพิจารณาให้ไม่มีความเหมาะสมเลย

      ขอย้อนกลับเรื่องการลงทุนเพิ่มเติมอีกนิด จะเห็นว่าการลงทุนโดยวิธีใด ก็แล้วแต่ ผู้รับเหมาจะต้องคำนวณค่าใช้จ่ายออกมาอย่างละเอียด ต้องรู้ว่าดอกเบี้ยจากที่มาของเงิน หรือวัสดุว่ามีมูลค่าเท่าไร ต้องจ่ายค่าคนงานเท่าไร เมื่อคิดออกมาแล้วก็ตกลงราคากับเจ้าของบ้าน ราคาที่ตกลงเป็นราคาที่ผู้รับเหมาได้กำไรมากหรือน้อยตามความต้องการ ตามความเหมาะสม

       เมื่อเราพิจารณาอย่างรอบคอบเจ้าหนี้คือเสือนอนกิน แหล่งที่มาของเงินคือเสือนอนกิน
เช่น ธนาคาร นายทุนเงินกู้ทั่วไป ร้านวัสดุ โยงไปถึงผู้ผลิต ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มนายทุนใหญ่ โอกาสขาดทุนน้อย เขามีเกราะคุ้มกันหลายหลาก เช่นบริษัทประกันต่าง ๆ หรือวิธีการอื่น ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นวงจรที่สอดคล้องกันทุกระบบ โอกาสที่จะขาดทุนแทบไม่มี พูดง่าย ๆ จะล้มยาก หรือล้มก็ล้มบนฟูกอย่างที่รู้กัน ล้มบนฟูกก็คือเกราะกำบังเช่นกัน นี้ก็เข้าหลักการซ้อนเร้นในรูปแบบหนึ่ง

       ผู้ใช้แรงงานคือผู้ที่ถูกกำหนดค่าจ้าง ถามว่าค่าจ้างมีความเหมาะสมหรือไม่ ใครเป็นผู้กำหนด กำหนดอย่างซ้อนเร้นหรือไม่ ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องเที่ยงตรง ซึ่งจะขอชี้แจงรายละเอียดต่อไป แต่ก่อนอื่นขอยืนยันก่อนว่า บรรดาลูกจ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร พวกเขาทั้งหลายคือ "ทาส" ที่สรุปว่าทาส หรือเรียกให้แคบลงไปอีกคือทาสแรงงาน ทำงานให้นายจ้าง นายจ้างเอากำไรจากค่าแรงงานตรงนี้เอง ค่าแรงงานขั้นต่ำจึงกำหนดไว้ โดยเผื่อกำไรไว้สำเร็จในตัว ระบบเช่นนี้ไม่ได้ทำเพื่อการแบ่งปันที่เป็นธรรมอย่างเท่าเทียมกัน ความถูกต้อง ความเป็นธรรมจึงไม่เกิดขึ้น นายจ้างจึงเป็นนายทาสที่แท้จริง ลูกจ้างคือลูกทาสอย่างแท้จริง

      ความซ้อนเร้นอีกอย่างหนึ่งที่จะเจียระไนให้เห็น นายทุนผู้ผลิตอาหารสัตว์ วัตถุดิบที่ซื้อจากเกษตรกร พ่อค้าคนกลางเป็นผู้กำหนดราคา ซึ่งอาจจะถูกกำหนดอีกครั้งจากบริษัทที่เป็นผู้ผลิต สมมุติว่าซื้อปลาป่น ผู้ซื้อคำนวณละเอียดว่าค่าขนส่งถึงโรงงานเท่าไร ไปขายให้กับบริษัทในราคาเท่าไร จากนั้นต่อรอง หรือกำหนดราคาจากเรืออวนลาก คนที่มีสินค้าในมือแทบไม่มีโอกาสกำหนดราคาเอง หากสู้น้ำมันไม่ไหวก็หยุดกันไปเอง วัตถุดิบอื่น ๆ ก็เช่นกัน เช่น ข้าวโพด ถั่ว ฯลฯ นี่คือเรื่องจริงเห็นตัวอย่างกันอยู่เสมอ

      เมื่อโรงงานผลิตอาหารสัตว์เสร็จ โรงงานก็จะเป็นผู้กำหนดราคา ซึ่งแน่นอนไม่มีโอกาสที่จะขาดทุน

      เมื่อเกษตรกรเลียงสัตว์ ไม่ว่ากุ้ง ปลา หมู ไก่ ฯลฯ ได้ผลผลิตพร้อมที่จะจำหน่าย เกษตรกรก็ไม่มีโอกาสได้กำหนดราคา ว่าลงทุนอาหารเท่านี้ ค่าแรงงานเท่านี้ ราคาที่ควรจำหน่ายเท่านั้นเท่านี้ กลับเป็นพ่อค้าคนกลางกำหนดราคาอีกเช่นเดิม ความเสี่ยงจึงเกิดขึ้นกับเกษตรกร โอกาสขาดทุนมีมากกว่ากำไร ผู้ใช้แรงงานทั้งหลายจึงเป็นทาสรับใช้นายทุนอย่างไม่รู้จักจบสิ้น การอยู่ในระบบนี้จึงหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ หรือมีบ้างก็เพียงบางกลุ่มการอยู่อย่าง "ธรรมชาติธรรม" เท่านั้น ที่จะร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันอย่างแท้จริง

      ขอยกกลอนสอนศิษย์ เนื้อความยังติดอยู่ที่ความเป็นธรรมของแรงงาน แต่หากเข้าสู่ระบบ "ธรรมชาติธรรม" เราไม่มีลูกจ้าง เราไม่มีนายทุน

      เราเกิดมาต่างพาถ้อยอาศัย
หากว่าใครเดียวดายไร้สุขสันต์
ผมเก่งอย่างคุณเก่งอย่างแตกต่างกัน
ควรแบ่งบันเทียมเท่าจงเข้าใจ

      สมมุติคุณนายธนาคารกอปรการกิจ
นั่งออฟฟิศดูสง่าหน้าสดใส
ผมภารโรงธนาคารของคุณไง
ผ่านปีไปเทียบเงินตราค่าตอบแทน

      ผมรวมรับเงินเดือนเรือนแสนเก้า
ส่วนคุณเล่าเงินเดือนเรือนเก้าแสน
ตลอดปีผมเศร้ากระเป๋าแบน
คุณยิ้มแป้นสบายใจไร้กังวล

      ผมทำงานแทนคุณคงวุ่นแน่
คุณคงแย่ทำงานด้านแบกขน
ผมก็หนักคุณก็เมื่อยเหนื่อยเหลือทน
อาจไม่พ้นเสียหายให้องค์กร

      ด้วยหลักที่แท้จริงงานทุกงานมีความสำคัญเท่ากัน ที่พูดเช่นนี้เพราะความสามารถในการทำงานไม่เหมือนกัน งานบางประเภทใช้แรงงาน งานบางประเภทใช้ความรู้ ใช้ความคิด
จะไปตีค่าว่างานที่ใช้ความรู้มีค่าสูงกว่าก็คงไม่ถูกต้องนัก ยกตัวอย่าง งานก่อสร้าง งานก่อสร้างประกอบด้วยช่างหลายช่าง ช่างปูน ช่างไม้ ช่างสี ช่างปูกระเบื้อง ช่างเหล็ก ช่างไฟฟ้า จัดทำม่าน จัดสวน ฯลฯ ขาดผู้ชำนาญใดชำนาญหนึ่งงานก็ไม่เดิน งานไม่สมบูรณ์ อย่ามองข้ามคนงานที่ผสมปูน หิ้วปูนเป็นอันขาด ทุกงานมีความสำคัญเท่ากัน คนที่รับเหมาจบวิศวกรรมการก่อสร้าง คือผู้ที่มีความรู้ด้านวิชาการ ไม่ต้องใช้แรงงาน แต่หากรับเหมางานได้แล้ว ไม่มีคนงานตามช่างต่าง ๆ ที่กล่าวมา ก็ไม่สามารถจะดำเนินงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้งานทุกงานจึงมีความสำคัญ เท่า ๆ กัน

      ขอยกกลอนสอนศิษย์เสริม อย่างไรก็ดีเมื่อเราเข้าสู่ระบบ "ธรรมชาติธรรม" เราจะไม่มีนายทาส ลูกทาส เราอยู่อย่างธรรมดา อยู่อย่างธรรมชาติ ซึ่งเป็นความสงบสุขที่แท้จริง

      งานทุกงานประสานไปคล้ายกลจักร
ตอนใดหักร้าวสะปั้นนั้นเดือดร้อน
เครื่องยนต์หยุดทำงานนั้นแน่นอน
ขาดวงจรตอนใดไม่ทำการ

     มาระบบอวัยวะของมนุษย์
เปรียบประดุจเครื่องจักรประสมประสาน
ต่างระบบต่างกิจกรรมต่างทำงาน
แบ่งเป็นด้านเป็นฝ่ายมากมายมี

     ทุกระบบสัมพันธ์กันใกล้ชิด
ภารกิจร่วมฉันท์น้องพี่
ระบบงานสัมพันธ์กันด้วยดี
เป็นอย่างนี้ไม่ยากเย็นเป็นธรรมดา

      แต่หากว่าระบบใดเสื่อมสลาย
อันตรายทุกระบบพบปัญหา
ค่อยเร่งเสื่อมเร่งทรุดผุดตามมา
มิเนิ่นช้าล่มสลายตายแน่เชียว

      ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา บวกกับคุณธรรม แล้วเราต้อง ยอมรับและผ่อนผัน ผ่อนสั้น ผ่อนยาวกันได้ ทุกชีวิตต่างก็เกิดมาเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อเราผ่อนผันกันได้เราเริ่มเดิมเข้าสู่ธรรมชาติธรรม เมื่อถึงขั้นสุดเรามาอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน

      ขอตั้งคำถามอีกประเด็นว่า คนรวย กับคนจนมีความต้องการอาหารเหมือนกันหรือไม่ คำตอบก็คือเหมือนกัน คือมนุษย์เราต้องบริโภคอาหารตามหลัก และครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ถ้าพูดกันจริง ๆ ทุกคนต้องมีความเท่าเทียมในการกินอาหาร ต้องไม่มีเพื่อนมนุษย์บนโลกคนใดที่ต้องขาดแคลน อดอยากในเรื่องอาหาร ถ้าอดอยาก ถ้าขาดแคลนก็ต้องเหมือนกัน ด้วยสาเหตุเดียวกัน นี่คือความเป็นธรรมในสังคม ถามว่าสังคมของมนุษย์มีสิ่งนี้หรือยัง ตอบว่ายัง และยิ่งเกิดช่องว่างห่างไปเรื่อย ๆ หากเราอยู่ในสังคมที่แข่งขันด้านธุรกิจ แข่งขันด้านวัตถุ

      ขอตั้งคำถามที่เกี่ยวกับการกินอยู่อีกประเด็นหนึ่ง คือ คนรวย กับคนจนกินเนื้อหมูในราคาเท่ากันหรือไม่ คำตอบก็คือเท่ากัน วันนี้หมู่เนื้อแดงราคา 120 บาท มหาเศรษฐีซื้อก็ราคา 120 บาท ตาสีตาสาซื้อก็ราคา 120 บาท

      ที่ยกมาสองประเด็นคือ ทั้งคนจนคนรวยต่างก็ต้องการอาหารเหมือนกัน และราคาเดียวกัน หากคนจนถูกกดขี่ อยู่อย่างลูกทาส สังคมปฏิบัติถูกต้องแล้วยัง สังคมมีความเป็นธรรมแล้วยัง เมื่อเราอยู่อย่างมีสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ถามว่า เราคือใคร เราคืออะไร
เมื่อมีคำตอบ สักวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่มีเพราะเราต่างมุ่งสู่ระบบการเป็นอยู่อย่าง "ธรรมชาติธรรม"

      ขอยกกลอนสอนศิษย์ ประกอบ

      ปัจจัยสี่เรื่องใหญ่ในชีวิต
ใช่เรื่องนิดเรื่องใหญ่ใคร่แถลง
โดยเฉพาะอาหารการต้มแกง
แม้ถูกแพงต้องมีใช้ได้มีกิน

      ใช่แบ่งชั้นวรรณะค่าครองชีพ
ถึงปากกัดตีนถีบก็ต้องดิ้น
จะถูกแพงจำใจจ่ายใช้ชาชิน
แม้เป็นหนี้มีสินเสาะกินกัน

      เห็นเหตุผลต้นสายทั้งปลายเหตุ
คงเบิกเนตรใส่สว่างทางสวรรค์
คงซาบซึ้งตรึงจิตคิดแบ่งปัน
ความเท่าทันเสมอภาคฝากสังคม

      หยุดกดขี่คนบริการอยู่ฐานล่าง
ยกลูกจ้างเคียงนายให้เหมาะสม
มองแรงงานเห็นค่าน่าชื่นชม
เร่งคลายปมเอาเปรียบโดยเฉียบไว

      เห็นเพื่อนยากเพื่อนทุกข์สุขที่เกิด
แสนประเสริฐลบโศกโลกไสว
เห็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากจากจริงใจ
ความเป็นไทคืนมนุษย์สุดเปรมปรีดิ์

     มองทางไหนเห็นใครก็ยิ้มแย้ม
จิตใจแจ่มดูสง่าสมราศี
ทุกมุมเมืองรู้รักสามัคคี
หยุดกดขี่ทุกระบบอย่างครบครัน

     ต่างอ้าปากลืมตาเมื่อฟ้าเปิด
สัตว์ประเสริฐรู้ซึ้งถึงสวรรค์
ต่างเห็นเดือนเห็นดาราเห็นตะวัน
ขอความฝันเป็นจริงทุกสิ่งเอย

      เมื่อเรายึดหลักการอยู่ร่วมแบบ "ธรรมชาติธรรม" สิ่งเหล่านี้จะไม่มี เพราะเรากินอย่างพอเพียง เราช่วยกันทำแบ่งกันกิน เราไม่ธุรกิจ เราไม่มีนายจ้าง เราไม่มีลูกจ้าง ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ยึดธรรมะแทนกฎหมาย รัฐบาลยึดนโยบายอย่างประชาชน พรรครัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่คือพรรคของประชาชน

     คนของรัฐบาลได้เปิบข้าวหอมมะลิจากประชาชนของท่าน รัฐบาลหาทางคิดค้นพันธุ์ข้าวมะลิที่ดีที่สุดของโลก รัฐบาลจัดระบบน้ำให้ราษฎรปลูกพืชผล คนของรัฐได้กินพืชผลจากราษฎร คนในหมู่บ้านได้เปิบข้าวหอมมะลิอย่างคนของรัฐ คนในหมู่บ้านที่ถูกจัดเป็นโซนอย่างมีระบบได้รับประทานผลไม้ปลอดสารพิษเหมือนกับคนของรัฐทุกคน ระบบดี ๆ ต่าง ๆ จะตามมา เพราะความฝันอันสูงสุดคือ การอยู่ร่วมของมวลมนุษยชาติอย่างสันติสุข และยั่งยืน ตามวิถีทางของธรรมชาติธรรม

      ขอยกบทกลอนสอนศิษย์ ประกอบ

      เอาวัตถุวัดค่าคนตั้งต้นผิด
มีความคิดไกลกว่าสมัยหิน
หากความคิดจิตใจไร้ศาสตร์ศิลป์
เมืองพังภินท์ขาดธรรมะมาค้ำจุน

      ค่านิยมเงินทองคือกองกิเลส
ต้นตอเหตุแข่งขันกันว้าวุ่น
ท่าทางดีใจบาปคราบนักบุญ
ล้วนกองทุนทำลายร้ายอนันต์

      ลูกหลานเหลนทำอย่างแนวทางชั่ว
ฤๅรู้ตัวต่างเห็นเป็นสวรรค์
ดังโดมิโนลุกลามติดตามกัน
คอยเร่งวันโสมมสังคมทราม

      เห็นคนจนจ้องตีนปีนขึ้นหัว
เยี่ยงเขาชั่วเขาชังตั้งเหยียดหยาม
ไร้ศึกษาโง่งมสมรูปนาม
ใคร่จะถามมึงเกียจคร้านการทำไม

      นั่งงอมืองอเท้าแทบเช้าค่ำ
นอนขนำท้องนาป่าท้องไร่
มึงข้นแค้นแสนเข็ญเห็นแก่ใจ
รู้ยากไร้ทั้งปีไม่มีกิน

      สมองมีมิได้ใช้ความคิด
สร้างการกิจคิดเติมเพิ่มทรัพย์สิน
พวกนรกรกสังคมเหยียบจมดิน
ชวนหยามหมิ่นน่าชังพวกซังตาย

      ผมจะบอกให้รู้หูตาสว่าง
ชนชั้นล่างต่างดิ้นรนต่างขวนขวาย
อุปสรรคหลายหลากมีมากมาย
ฤๅเบาคลายยิ่งเพิ่มซ้ำเติมเรา


     เปรียบชาวนากระดูกสันหลังของชาติ
โอ้อนาถคิดไปใจแสนเศร้า
เมื่อยกระดูกทุกเวลามิซาเพลา
มันผุแล้วผุเล่าจงเข้าใจ

     น้ำมันแพงแรงทำนามันล้าลด
ต้องหยุดรถหยุดการเรื่องหว่านไถ
ปุ๋ยก็แพงเวรกรรมร่ำเรื่อยไป
ช่องกำไรล้างหนี้ไม่มีเลย

     ยิ่งเช่านาเขาทำกรรมซ้ำสอง
จักคอยต้องจ่ายเช่าเจ้าคุณเอ๋ย
เงินสำรองหดเหี้ยนเตียนดังเคย
นอนมือเกยหน้าผากยากยอมทน

     ผลผลิตปีนี้ดีเหลือคุ้ม
ถูกมรสุมรุมปลิดผลิตผล
ถูกน้ำท่วมจมเน่าเข้าตาจน
หลีกไม่พ้นขาดทุนตามบุญกรรม

     มีไหมใครดูแลแก้ปัญหา
คนพึ่งพาเช้าสายบ่ายกึ่งค่ำ
เอาใจใส่เป็นนิจเป็นกิจกรรม
คอยอุปถัมภ์ช่วยเหลือเข้าเจือจุน

     แทนหยาดเหงื่อเผื่อพึ่งถึงปากท้อง
ทุนสำรองครอบครัวส่งเกื้อหนุน
เสริมสินทรัพย์เงินทองกองเป็นทุน
ส่งผลบุญลูกหลานกอปรการดี

     ยิ่งอดอยากปากแห้งให้แหว่งวิ่น
นับอาจิณถาวรนอนกอดหนี้
ต่างดิ้นรนค้นแค้นแสนทวี
ตลอดปีตลอดชาติออนาถครัน

     คุณเปิบข้าวหอมมะลิซิใจชื่น
รสระรื่นรวยรินกลิ่นสวรรค์
อิ่มเอมเกษมสุขกันทุกวัน
ผลิตภัณฑ์หยาดเหงื่ออยู่เหนือจาน

     กว่ามาเป็นเม็ดข้าวขาวสะอาด
ลองนึกวาดภาพชาวนาน่าสงสาร
กระดูกสันหลังแม้ผุพังยังบริการ
ทรมานทนทำจากจำเป็น

     ในสังคมที่เรากำลังเดินหน้าด้วยความลุ่มหลง คิดว่านี้คือหนทางแห่งความสุข การแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น เหยียบย่ำ เห็นผู้แพ้ผู้ชะนะ แล้วมีความสบายใจ นึกกระหยิ่มยิ้มย่อง นึกลำพองตัวเองว่าตัวเรามีความเหนือกว่า เก่งกว่า ฉลาดกว่า จนมีจิตใจมุ่งมั่นที่จะทะเยอทะยานหวังได้เปรียบไม่มีสิ้นสุด จนบ้างครั้งเราลืมนึกไปว่า คนจนก็กินไก่ที่มีสารพิษตกค้าง เราคนรวยอย่างตัวเองก็กินไก่มีสารพิษตกค้าง ที่พูดเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า เราแข่งขันกันจนไม่รู้บาปบุญคุณโทษอะไรเลย ไม่มองหน้า มองหลัง ไม่ได้วิเคราะห์ ไม่ได้พิจารณา สิ่งที่ได้ตอบแทนจึงไม่มีค่าอะไรเลย มิหนำซ้ำยังเป็นพิษเป็นภัยกับตัวเอง และสังคม

      บางครั้งเราทำตัวของเราให้ตกเป็นทาส ยกตัวอย่างให้เห็นเด่นชัด เช่น ทาสยาเสพติด ทาสสุรา ทาสการพนัน เราไปรับใช้มัน ตกในอำนาจของมัน ลงผลสุดท้ายก็เหมือนกับถูกบีบบังคับให้ทำตาม เราจึงเรียกว่าเป็นทาสของสิ่งนั้น ๆ ตัวอย่างจากที่พบเห็นจริงต่อไปนี้ขอได้ใคร่ครวญพิจารณาในบางส่วน แล้วลองสรุปดูว่า จะตกอยู่ในลักษณะของทาสได้หรือไม่

     ขอยกตัวอย่างที่ผู้เขียนเห็นชีวิตจริงของบุคคล มีแม่ค้าคนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านขายอุปกรณ์การประมง ในตัวเมืองของจังหวัด ขายมาตั้งแต่อายุ 15 ปี บัดนี้อายุย่างเข้า 85 ปี ก็ยังขายอยู่อย่างเดิม กิจการรุ่งเรืองมาตลอด มีเงินฝากหลายสิบล้าน

     เนื่องจากมีลูกค้ามากต้องเปิดบริการในวันอาทิตย์ด้วย ตลอดช่วงชีวิตที่เป็นแม้ค้าแทบไม่ได้พักผ่อนเลย ปิดร้านเพื่องานพิเศษ หรือกิจธุระของตนเองเกือบจะนับวันได้ ถามว่าเขามีความสุขกับงานหรือไม่ อาจจะตอบว่ามีความสุขเพราะประสบความสำเร็จ การปฏิบัติตนเช่นนี้เป็นทาสเงินหรือไม่ ถามต่อไปว่าเงินทองที่สะสมไว้คุ้มค่ากับชีวิตแล้วยัง คำถามสุดท้าย "เราเกิดมาทำไม" คำถามสุดท้ายตอบยากที่สุด แต่หากเราเข้าใจ "ธรรมชาติธรรม" คำตอบก็ค่อยกระจ่างขึ้น และตอบง่ายที่สุด

     ขอยกอีกตัวอย่าง ที่ผู้เขียนได้เห็นจากสภาพความจริงในชีวิตอีกเรื่อง นายแพทย์ท่านหนึ่งมีชื่อเสียงในการรักษาผู้ป่วย ทำงานที่โรงพยาบาลของรัฐ นอกเวลาราชการเปิดคลินิกเป็นส่วนตัว หลังจากเกษียณก็ยังเปิดคลินิกต่อ ขณะนี้อายุย่าง 80 ปีก็ยังสู้งานไม่ถอย หันไปมองเรือนร่างของคุณหมอ จะพบว่าแขนของท่านลีบเล็ก ผิวของท่านขาวผุดผ่องเพราะไม่เคยต้องแดดเลยก็ว่าได้ ท่านมีเงินมีทองมากมาย ในแง่อุทิศเวลาเพื่อคนป่วยถือว่าเป็นเยี่ยมถามว่าการทำงานอยู่เช่นนี้ถูกต้องมากน้อยเพียงใด หรือคุณหมอไปติดกับทาสเงิน

      อย่างเพิ่งคิดว่าหน่วยงานใดที่จ่ายค่าจ้าง หรือเงินเดือนสูงเป็นสิ่งที่ดี เรามองว่าดีในส่วนของผู้ได้เข้าทำงานในหน่วยงานนี้เท่านั้น การที่หน่วยงานสามารถจ่ายเงินค่าตอบแทนสูง ก็สืบเนื่องจากผลกำไร ผลกำไรเหล่านั้นได้มากจากผู้บริโภคนั้นเอง ดังนั้นภาระที่หนักคือผู้ใช้บริการ หรือผู้บริโภค ถ้าลดค่าจ้างของพนักงานหน่วยงานเหล่านี้ จะส่งผลให้ผู้ใช้บริการ หรือผู้บริโภคมีความเป็นธรรมมากขึ้น จะเห็นว่า หน่วยงาน องค์กร หรือ บริษัท ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับผู้บริการ ผู้บริโภคทั้งหมด เช่น ไฟฟ้า บริษัทด้านพลังงาน อาหาร ฯลฯ หากเรามองให้ลึกซึ้ง จะพบว่า คนส่วนใหญ่ จะอยู่ในฐานะเป็นทาสรับใช้อย่างซ่อนเร้น ขอชี้แจงเป็นข้อมูลเบื้องต้นไว้ก่อน จะนำเรื่องนี้เขียนให้ละเอียดในเรื่องนี้เฉพาะอีกครั้ง

     การใช้ระบบเงินผ่อนเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เมื่อสี่สิบก่อนเราต่อต้านเงินเชื่อ ปัจจุบันถูกปั่นให้เห็นคุณค่าของเงินเชื่อ วงการธุรกิจคิดแบบสินเชื่อให้หลากหลาย และธุรกิจประเภทนี้มีเพิ่มเหมือนดอกเห็ด ผู้ใช้ระบบสินเชื่อได้สิ่งที่ปรารถนาอย่างทันอกทันใจ ธุรกิจที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยจึงรุ่งเรื่องมากในระบบที่มีการแข่งขันด้านธุรกิจ การหลงค่านิยมวัตถุ ผู้ที่ติดในบ่วงของสินเชื่อต้องทำงานตัวเป็นเกลียว ก็ไม่ผิดอะไรกับทาสแรงงาน เพราะเขาเอากำไรจากลูกค้า และเป็นกำไรก้อนโตเสียด้วย เป็นการซ้อนเร้นระบบทาสแรงงานอย่างเบ็ดเสร็จครบวงจร กลุ่มนานทุนเท่านั้นที่นั่งสุขสบาย เขาเอาเงินจากน้ำพักน้ำแรงของลูกหนี้ไปบำเรอความต้องการ ซึ่งเป็นผลพวงให้ผลักดันทำธุรกิจประเภทฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ตามมาอีก ล้วนเพิ่มการทำลายธรรมชาติเกินความจำเป็น เพิ่มภาวะโลกร้อน เพิ่มสารเคมีในน้ำ ในอากาศ ในดิน อันส่งผลต่อระบบของธรรมชาติ และสร้างมลพิษให้เกิดกับโลกอย่างไม่จบสิ้น

      ผู้เขียนเองก็ยังตกอยู่ในวังวนของระบบเงินผ่อน และมีจำนวนที่ยังอึดอัดใจพอสมควร
คิดว่าเกษียณราชการจึงจะหมดหนี้สิน นี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่มีความคิดผลักดัน เรื่อง "ธรรมชาติธรรม" เพื่อแก้ปัญหาที่จะตามมากับลูกหลานของเรา ตั้งใจอย่างแน่วแน่เพื่อความสุขของคนรุ่นหลัง

      จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการแสดงเหตุผลให้พิจารณา ท่านอาจจะฟังไม่ขึ้น หรือท่านมีแนวคิดอย่างไรบ้าง กรุณาแสดงความคิดเห็น ไปยังธรรมชาติธรรม ขอกราบขอบพระคุณอย่างยิ่ง




IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
watthanasit
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 248



« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 05 ธันวาคม 2013, 11:48:34 »




                                                     ไม่จน ไม่รวย
    หลายคนคงจะสงสัย ตั้งคำถามในใจทันทีว่า ไม่รวยไม่จนเป็นไปได้อย่างไร ทำอย่างไรจึงไม่รวยไม่จน หรือคำถามอื่น ๆ ตามมามากมาย คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในสภาพสังคมปัจจุบัน เราพบว่าสังคมถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มคนรวย และกลุ่มคนจน จึงคิดค้านอยู่ในใจว่า ไม่มีรวย ไม่มีจนเป็นไปไม่ได้

    สังคมถูกฝังหัว ถูกปลุกปั่นให้มีการแข่งขันในเชิงธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์ต่างมองเรื่องการผลิต การจำหน่าย การบริโภคใช้สอย ปัญหาการหาตลาด ปัญหาหารลงทุนปัญหารายได้ของประชาชาติ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเราคิดหารายได้ จึงมุ่งกำไรเป็นตัวสำคัญ สิ่งที่ตามมาคู่กันคือขาดทุน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบด้านอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย

     การคิดหาลู่ทางในการแข่งขันในเรื่องการค้าไม่ได้หยุดนิ่ง มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาเพื่อสนองความต้องการอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างสิ่งของเล็ก ๆ อย่างไม้จิ้มฟันเดิมทีผู้ผลิตบรรจุในกล่อง ในตลับ เมื่อการแข่งขันเกิดขึ้น เพื่อมุ่งจะแย่งตลาด ไม้จิ้มฟันถูกบรรจุในซองกระดาษสวยงาม ซองละหนึ่งอันสำหรับร้านอาหารที่คิดค่าบริการแพง ที่กลุ่มนิยมการรับประทานเรียกว่าร้านมีระดับ นี่เป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่ยกให้เห็นเพียงหนึ่งอย่าง ยังมีเรื่อง อื่น ๆ อีกมากมายที่แข่งขันกันแบบนี้ และมากกว่านี้ ถามว่ามีความจำเป็นหรือไม่ ตอบว่ามีจำเป็น เพราะเมื่อมีการแข่งขัน ต้องมีการเอาชนะ จึงทำให้เกิดความจำเป็น เกิดความต้องกา หากไม่มีการแข่งขันความจำเป็น ความต้องการเหล่านี้จึงไม่เกิดขึ้น

     หากไม่มีการแข่งขันผลิตภัณฑ์ไม้จิ้มฟันก็ไม่จำเป็นต้องมี เพราะเรื่องแค่นี้แต่ละคนรับผิดชอบเองก็ได้ ไม่ต้องตั้งโรงงานให้เกิดมลพิษ ไม่ต้องเอาคนไปใช้แรงงาน บางทีแรงงานประเภทนี้ถูกกดค่าจ้างซึ่งมีข่าวอยู่เสมอ (ทาสนายทุน)

     เราหยุดกิจการด้านธุรกิจ หยุดการแข่งขัน หยุดเรื่องการเงิน เราก็จะไม่มีจน ไม่มีรวย คงจะมีคำถามตามมาอีกว่าหยุดกันอย่างนี้แล้วจะทำกินกันอย่างไร จะเอาอะไรกิน คำตอบคือ หลัก "ธรรมชาติธรรม"

     การมีกิน และการอยู่อย่างมีสุขของ "ธรรมชาติธรรม" ในหลักเก้าซึ่งกล่าวไว้ในเรื่อง "มนุษย์ต้องดำรงชีพอย่างนี้" นำมาบอกซ้ำอีกครั้ง

     1. เราศึกษาค้นคว้า วิจัย เรื่องต้องใช้เนื้อที่ปริมาณเท่าไรสำหรับปลูกพืชพันธุ์เพื่อผลิตอาหาร แก่กลุ่มชุมชนขนาดนั้น ขนาดนี้ที่จัดไว้ รวมทั้งระบบน้ำที่นำมาใช้ในการเกษตร

     2. เรามาศึกษาค้นคว้า วิจัย เรื่องอาหารที่รับประทาน ประเภท ชนิดของอาหารที่มีคุณค่าด้านโภชนาการมากน้อยเพียงใด ปริมาณที่ต้องการ ตามเพศ ตามวัย อาหารในรูปแบบใด เพิ่มผลผลิตอย่างไร ฯลฯ

     3. เรามาศึกษา ค้นคว้า วิจัยว่า การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือวิธีใด ใช้เครื่องมือชนิดใดบ้าง ความแตกต่างของเพศ วัย เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง ฯลฯ

     4. เรามาศึกษาค้นคว้า วิจัยเรื่องนันทนาการที่ก่อให้เกิดความสุนทรีย์ต่อด้านจิตใจมากที่สุด เรามีงานศิลปะแขนงใดบ้างเพื่อการอยู่ร่วมที่มีสุข เช่น ร่ายรำ ละคร วาด ปั้น เพลง ฯลฯ

       5. เรามาศึกษา ค้นคว้า วิจัยเรื่องยารักษาโรค สิ่งของเครื่องใช้ สบู่ ผงซักฟอก เสื้อผ้า ฯลฯ จะจัดหาโดยวิธีใด ใช้อะไรเป็นวัตถุดิบเพื่อให้เกิดคุณภาพสูงสุด และเลี่ยงใช้สารเคมีให้มากที่สุด ฯลฯ

      6. เราศึกษา ค้นคว้า วิจัย เรื่องการสร้างที่อยู่อาศัยว่าควรใช้วัสดุอะไร รูปแบบ
ด้านสุขาภิบาล ฯลฯ

     7. ด้านศาสนาที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ควรบริหารจัดการอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

     8. เรามาศึกษาว่ารัฐบาลของเราจะบริหารวิธีใดให้สอดคล้องกับการอยู่ร่วมของคนในสังคมแบบ "ธรรมชาติธรรม"

     9. อื่น ๆ ที่เราจะต้องศึกษา วิจัยเพื่อการอยู่ร่วมอย่างมีคุณภาพ มีความสันติสุข
ทียั่งยืนในรูปแบบสังคม "ธรรมชาติธรรม"

     ในเก้าข้อนี้กลุ่มชุมชนที่อยู่ร่วมกันไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องในเรื่องการแข่งขันด้านธุรกิจ ไม่ต้องหาเงินหาทอง แต่ทุกคนมีกินอย่างสมบูรณ์ และกินอย่างปลอดสารพิษ เพราะเรามีการค้นคว้า วิจัย ในเรื่องงานทั้งเก้างาน เพื่อสร้างมาตรฐานคุณภาพของชีวิต

     หลักการสำคัญในการอยู่ร่วมที่ยึดหลักเก้าข้อ คือการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบตามความเหมาะสม โดยใช้หลักการ หรือเลียนแบบการอยู่ร่วมของสัตว์สังคม เช่น ปลวก ผึ้ง ตัวต่อ ที่รู้จักแบ่งหน้าที่กันอย่างลงตัว ต่างตัวต่างทำหน้าที่ของตนเอง ต่างตัวต่างรับผิดชอบ คิดว่าสัตว์สังคมที่มีมันสมองอย่างมนุษย์บริหารเรื่องนี้ได้ดีกว่าสัตว์หลายเท่า เพื่อให้เข้าใจ และเห็นแนวทางแจ่มชัดขึ้นขอเสนอแนวคิดเรื่องนี้ไว้พอสังเขปดังนี้  (ขอกล่าวให้พิสดารโดยเฉพาะอีกครั้ง)

     หลักหารบริหาร แบ่งเป็นสี่ฝ่ายคือ ฝ่ายบริหาร แยกเป็นสองส่วน คือส่วนกลาง และฝ่ายบริหารของกลุ่มชุมชน ฝ่ายที่สองคือฝ่ายวิชาการ ฝ่ายที่สามคือฝ่ายผลิต และสนับสนุน และฝ่ายที่สี่คือฝ่ายภาระงาน งานทั้งสี่ฝ่ายมีการผลัดเปลี่ยนตามความเหมาะสม โดยการคัดเลือกตัวแทนตามแนวของ "ธรรมชาติธรรม" (เรื่องการคัดเลือกตัวแทนจะกล่าวโดยละเอียดเฉพาะเรื่อง)

     ฝ่ายบริหารส่วนกลางทำหน้าที่เหมือนรัฐบาล ควบคุมดูแลกลุ่มชุมชนทั่วประเทศ ประสานงานกับฝ่ายบริการของกลุ่มชุมชน โดยบริหารในเก้าหัวข้อหลัก ซึ่งในแต่ละเรื่องประกอบด้วย ฝ่ายบริหารจัดการ ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายผลิต และสนับสนุน

     ฝ่ายบริหารส่วนกลางมีภารกิจดำเนินการระหว่างประเทศ เกี่ยวกับความต้องการวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นที่ฝ่ายผลิตไม่สามารถดำเนินการได้ โดยใช้ระบบแลกเปลี่ยนสินค้า (ระบบแลกเปลี่ยนสินค้าจะนำกล่าวละเอียดเฉพาะเรื่องอีกครั้ง)

     นอกจากนี้ฝ่ายบริหารกลาง มีภาระการบริการสนับสนุนกลุ่มชุมชน รวบรวมปัญหา ประเมินผลงานการดำเนินงานของกลุ่มชุมชน และประสานงานกับฝ่ายวิชาการ ฝ่ายผลิต และสนับสนุนของกลุ่มชุมชน

     ฝ่ายวิชาการจัดเป็นทีมงานโดยแยกเป็นเก้าทีม ส่วนกลางเก้าทีม ส่วนกลุ่มชุมชนชุมชนละเก้าทีม คอยกำกับดูแลค้นคว้าวิจัย หากมีสิ่งประดิษฐ์ อุปกรณ์ เครื่องจักร ฯลฯ ก็ส่งให้ฝ่ายผลิต และสนับสนุนต่อไป

      สำหรับฝ่ายผลิต และสนับสนุนรับงานจากฝ่ายวิชาการ โดยประสานงานกับฝ่ายบริหารจัดการ ฝ่ายผลิตส่วนกลางไม่มี มีเฉพาะฝ่ายผลิตกลุ่มชุมชน

      ส่วนฝ่ายภาระงานก็มีเฉพาะกลุ่มชุมชน ภาระงานส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการผลิตอาหาร ทำไร ทำนา ทำสวน งานอื่น ๆ เช่นสร้างที่พักอาศัย การชลประทาน ฯลฯ มีน้อยเพราะอาจจะมีเป็นครั้งคราว

      ที่กล่าวมาในเรื่องของการบริหารจัดการโดยสังเขป จะเห็นว่างานทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย เพราะไม่ใช่เรื่องการแข่งขัน แบ่งงานกันทำตามหน้าที่เพื่อการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง มีความสุขที่แท้จริง หลักการของธรรมชาติธรรม เราไม่ได้อยู่เพื่อรวย เพื่อจน อยู่เพื่อดำรงชีพอย่างมีความสุข และเป็นความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่เป็นธรรมดา เป็นความสุขที่เป็นธรรมชาติ

      สรุปเป็นแนวกว้าง ๆ จากโครงสร้างทั้ง 9 ข้อ ได้ดังนี้

     1. ฝ่ายจัดหาอาหาร นำหาให้ที่ได้แจกจ่ายให้ทุกฝ่ายได้รับประทานอย่างทั่วถึง

     2. ฝ่ายวิชาการทุกกลุ่มงานทำหน้าที่เฉพาะงานของตนในแต่ละกลุ่ม

     3. ฝ่ายผลิต และสนับสนุนจัดหาในแต่ละกลุ่มทำหน้าที่ในภาระงานของตนเอง

     4. ฝ่ายบริหารจัดการ ซึ่งมีส่วนกลาง และส่วนกลุ่มชุมชน บริหารจัดการประสานงานทุกฝ่าย รวมทั้งระหว่างประเทศอย่างมีระบบ

     5. โรงเรียน เมื่อมีภาระงานตามที่กำหนดใน 9 ข้อ จำเป็นต้องมีนักเรียนนักศึกษาที่มีความรู้เฉพาะด้าน  เพื่อให้งานพัฒนาเจริญก้าวทันสภาพการเปลี่ยนแปลงของชุมชน
 
IP : บันทึกการเข้า

http://www.naturedharma.com/

ธรรมชาติธรรม

นายประทีป  วัฒนสิทธิ์
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!