เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 15 กันยายน 2025, 06:15:33
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  ผู้ชายเห็นแก่ตัวทุกคนมั๊ยเนี้ย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 [3] พิมพ์
ผู้เขียน ผู้ชายเห็นแก่ตัวทุกคนมั๊ยเนี้ย  (อ่าน 2491 ครั้ง)
tonkla
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,333


ธรรม=ธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมนูญ


« ตอบ #40 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2012, 18:09:31 »

บทความ  เอามาฝาก เรื่อง  เห็นแก่ตัว บทที่ ๑

หนอนกินผัก  สนัขกัดรองเท้า  เป็นความเห็นแก่ตัวหรือ
ถ้ามันไม่รู้ว่าสิ่งที่มันทำนั้นผิด

ปลากัดกินลูกน้ำ กาฝากเกาะกิ่งไม้ เป็นความเห็นแก่ตัวหรือ
ถ้ามันมีโอกาสเลือกได้ มันจะทำเช่นนั้นหรือ

ชาวนาถอนหญ้าในนาข้าว ข้าศึกประหัตประหารกันในสมรภูมิ นี่ก็เรียกว่าความเห็นแก่ตัวหรือ ถ้าหน้าที่ไม่บังคับ เขาก็คงหลีกเลี่ยงแล้ว

กระทำเถิดถ้ามันจำเป็นต้องกระทำ เพื่อความอยู่รอดของชีวิตเฉพาะหน้า
จงเป็นปรกติสุขเถิด ถ้ามิได้กระทำเกินกว่า ความจำเป็น


"มีแค่คนซึ่งไม่เข้าใจตนเองเท่านั้น  ที่พยายามทำให้ผู้อื่นเข้าใจตน" Posted by Hoopie 29 July, 2009
IP : บันทึกการเข้า

"เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง"(ไว้เตือนตนเอง)
tonkla
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,333


ธรรม=ธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมนูญ


« ตอบ #41 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2012, 18:12:18 »

เห๊แก่ตัว บทที่ ๒

รักคนอื่นหรือรักตัวเอง?

เมื่อ เปิดกระเป๋าสตางค์เพื่อจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการ พบเห็นธนบัตรสองใบ ใบหนึ่งใหม่เอี่ยม ใบหนึ่งเก่า คุณหยิบใบใหม่หรือใบเก่าออกมาจ่าย?

ทุกคนที่ผมถามตอบเหมือนกันว่า "ใบเก่าน่ะซี" (ไม่น่าถาม)

ทุกปีในช่วงเทศกาลตรุษจีน ธนาคารทุกแห่งเตรียมสำรองธนบัตรใหม่เอี่ยมสำหรับให้ลูกค้าแลก เพื่อแจกอั่งเปาแก่คนที่รัก

ทำไม? ใช่ไหมว่านี่เป็นสัญชาตญาณเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง? ของไม่ดีเพื่อคนอื่น ของดีเพื่อคนที่รัก?

บางทีมันบอกว่า โดยส่วนลึกเราทุกคนเป็นคนเห็นแก่ตัว

จริงหรือ? แล้วเราจะอธิบายการที่คนทำอาหารอย่างดีที่สุดไปทำบุญอย่างไร? หรือว่าการทำบุญก็เพื่อตัวเองนั่นเอง?

พ่อแม่หลายคนบอกว่า "ฉันรักลูกของฉันมาก ถึงขนาดยอมตายแทนลูกได้" ผมเชื่อว่าพวกเขาพูดจริงและทำจริง

แต่ในสถานการณ์คับขันที่อาจเกิดอันตรายกับตัวเอง ปฏิกิริยากับความเชื่ออาจสวนทางกับสัญชาตญาณเอาตัวรอด ยกตัวอย่างเช่น หากมีงูสองตัวตกลงมาบนตัวคุณกับลูกพร้อมๆ กัน คุณจะปัดงูตัวไหนออกก่อน?

ความเห็นแก่ตัวในระดับสัญชาตญาณไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เป็นการเอาชีวิตรอดตามกฎธรรมชาติ โปรแกรมนี้ฝังในตัวเราแต่แรกปฏิสนธิ แม้การพัฒนาของสิ่งที่เรียกว่าความรัก ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน อาจช่วยขัดเกลาสัญชาตญาณดิบออกไปได้บ้าง แต่ความเห็นแก่ตัวยังคงอยู่ บางครั้งซ่อนอยู่ในเปลือกของความรัก!

พ่อแม่จำนวนมากอยากให้ลูกของตนเรียนวิชาที่ตนเองต้องการ โดยไม่สนใจว่าลูก(ที่ตนรัก) คิดอย่างไร เหตุผลคลาสสิกที่บอกลูกคือ "เพราะพ่อแม่รักลูกมาก อยากให้ลูกได้ดิบได้ดี" แต่บางทีอาจแฝงความเห็นแก่ตัวของตนอยู่ลึกๆ

ชีวิตในโลกปัจจุบันเอื้อให้มนุษย์เราเห็นแก่ตัวได้ง่ายขึ้นทุกที และเป็นความเห็นแก่ตัวที่ดูน่าเกลียดน้อยลง ข้ออ้างคือความเร่งรีบของชีวิต ความมั่นคงของชีวิต ฯลฯ

นักการตลาดเข้าใจเรื่องนี้ดี และนิยมใช้คำกระตุ้นเชิงจิตวิทยาย้อนศรว่า "จำกัดให้ซื้อเพียงคนละสองชิ้น"

ชาวพุทธใช้การกำจัดความเห็นแก่ตัวเป็นหนทางไปสู่การลดทุกข์ เครื่องมือลดละความเห็นแก่ตัวก็คือการทำทานทั้งกายทั้งใจ สะท้อนในวิถีชีวิตของคนไทยโบราณ ตั้งแต่การทำบุญ การวางภาชนะใส่น้ำหน้าบ้านสำหรับผู้ผ่านทางที่กระหาย การแบ่งปันอาหารแก่เพื่อนบ้าน

ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งละ เลิก ปล่อยวางเท่าใด ก็ยิ่งมีความสุข

....................................

เมื่อหย่อนเหรียญในขันของขอทานริมทาง คุณถือโอกาสกำจัดเหรียญสลึงที่รกกระเป๋าไปด้วยหรือไม่?


วินทร์ เลียววาริณ

www.winbookclub.com

11 มิถุนายน 2548


(บทความนี้เป็นหนึ่งในบทความที่ได้รวมพิมพ์เป็นเล่มในหนังสือเสริมกำลังใจเรื่อง ความฝันโง่ๆ สั่งซื้อได้ที่ห้องผลงาน เหมาะเป็นของขวัญแก่คนที่รัก)

 
 
IP : บันทึกการเข้า

"เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง"(ไว้เตือนตนเอง)
tonkla
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,333


ธรรม=ธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมนูญ


« ตอบ #42 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2012, 18:20:54 »

20CEOs20IDEAs : มนุษย์กับ‘สัญชาตญาณพื้นฐาน’ (1) 

โชค บูลกุล choakbulakul@farmchokchai.com
เราคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “มนุษย์คือสัตว์ประเสริฐ” แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมมนุษย์จึงเรียกตัวเองว่า ‘สัตว์ประเสริฐ’ หรือแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงการอุปโลกน์หรือสถาปนาพวกเดียวกันเองของมนุษย์ ให้แตกต่างและเหนือกว่าสัตว์อื่นๆ เท่านั้น

มนุษย์ มาจากคำว่า มนะ ที่แปลว่าใจ และคำว่า อุษยะ ที่แปลว่า สูง ดังนั้นคำว่า มนุษย์ จึงหมายถึง ผู้มีใจสูง แต่ในความเป็นจริง มนุษย์ประพฤติตนเหมาะสมกับคำว่า ‘ผู้มีใจสูง’ หรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่น่าคิด

อันที่จริงถึงแม้ว่ามนุษย์จะมีบางอย่างแตกต่างจากสัตว์ แต่ก็มีบางสิ่งที่มีเฉกเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ ‘สัญชาตญาณ (Instinct)’ หรือแรงกระตุ้นที่มีอยู่ภายในจิตใจ ซึ่งติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่ต้องมีใครมาคอยชี้นำ สั่งสอน และสัญชาตญาณนี่เองที่ทำหน้าที่เป็นพลังขับเคลื่อนให้สิ่งมีชีวิตแสดงพฤติกรรมออกมา

สัญชาตญาณพื้นฐาน (Basic instinct) ของสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณในการหาอาหาร การพักผ่อน การหลบภัย หรือการแพร่พันธุ์ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอด และดำรงอยู่ของชีวิต อีกทั้งยังเป็นไปเพื่อสร้างความสมดุลให้แก่ระบบนิเวศน์

และการตอบสนองของสัตว์เหล่านั้น เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อมีสิ่งมากระตุ้น แต่มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่มนุษย์มีความสามารถในการควบคุมสัญชาตญาณได้โดยการใช้สติ เลือกที่จะตอบสนองต่อสิ่งที่ดีที่สุด

สัญชาตญาณของความเห็นแก่ตัว ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสามัญสำนึกของสัตว์ทุกชนิด เพราะถ้าไม่มีสัญชาตญาณนี้สัตว์ทุกตัวก็คงจะไม่รักตัวเอง สุดท้ายก็คงถึงคราวที่ต้องล้มหายตายจากและสูญพันธุ์ไปจากโลก แต่มนุษย์ปัจจุบันมีสัญชาตญาณนี้ฝังตัวอยู่มากจนน่ากลัว และเป็น ‘สัญชาตญาณดิบ’ ที่มนุษย์แสดงออกมามิใช่เพียงเพื่อการได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น แต่ยังเอารัดเอาเปรียบสิ่งมีชีวิตอื่น หรือแม้กระทั่งพวกมนุษย์ด้วยกันเองอีกด้วย

หากมนุษย์เราในวันนี้มีจิตสำนึกว่าเราเกิดมาเพื่อให้ และทำทุกอย่างไม่เพียงแค่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ภาพลักษณ์ของโลกคงจะแตกต่างจากภาพที่เห็นในวันนี้อย่างสิ้นเชิง อย่างเช่น พฤติกรรมของประเทศมหาอำนาจที่คอยจ้องแต่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและความมั่งคั่ง โดยไม่เคยคิดที่จะแบ่งปัน แต่ยังกลับทำลายล้าง และกำจัดประเทศที่อ่อนแอกว่า คิดแต่จะเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง จนบางทีคงลืมคิดไปว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตในเผ่าพันธุ์เดียวกัน นั่นอาจต้องรอให้มนุษย์ต่างดาวเข้ามาบุกโลกของเราเสียก่อน เราจึงจะคิดได้ว่า เราคือเผ่าพันธุ์เดียวกัน

ผมเองเคยคิดเล่นๆ ว่า กรณีภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น ถ้าเราคิดว่ามันไม่ได้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ แต่เป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว มนุษย์คงจะคิดได้ว่าเราคือพวกเดียวกัน และถ้าเราคิดได้เช่นนี้ ผมอยากถามว่า “ถึงเวลาแล้วหรือยังที่พวกเราจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ของเรา เพื่อปกป้องดาวเคราะห์ดวงนี้ที่เราอาศัยอยู่” แต่ในทางกลับกัน หากยังมีคนบางกลุ่มต้องคอยรณรงค์ให้คนอีกหลายๆ คนมีจิตสำนึกในการปกป้องหวงแหนโลก รณรงค์ไม่ให้คนเอารัดเอาเปรียบหรือเบียดเบียนผู้ที่ด้อยกว่า ก็คงเป็นเรื่องยากที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะอยู่รอดต่อไปได้อีกนาน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “การได้อัตภาพเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก แต่การดำเนินชีวิตให้ถูกทางนั้นยากยิ่งกว่า” และพระองค์ไม่ได้บอกว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ” แต่พระองค์บอกว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกแล้วจึงประเสริฐ

สัตว์โดยทั่วไปไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรควร หรือไม่ควร พฤติกรรมที่แสดงออกมาก็เพียงเพื่อความอยู่รอด อีกทั้งสิ่งที่แสดงออกมา ล้วนแล้วแต่เกิดจากสัญชาตญาณเพียงเท่านั้น แต่สัตว์ประเสริฐเช่นเรา ซึ่งคิดว่าตัวเองมีความเฉลียวฉลาดมากกว่า มีสติปัญญาเหนือกว่า กลับใช้ความฉลาด หรือโอกาสที่ตนเองได้เปรียบ มาบ่อนทำลายสังคม ทั้งที่ความจริง เราเองรู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้นถูกหรือผิด สมควรหรือไม่สมควร แต่บางทีเราก็กลับใช้แต่เพียงสัญชาตญาณพื้นฐานเฉกเช่นเดียวกับสัตว์ โดยไม่เรียนรู้ที่จะควบคุมสัญชาตญาณและเอาชนะสัญชาตญาณดิบเหล่านั้นให้ได้

ถ้าเราเคยสังเกตกรณีของลูกไก่เมื่อฟักออกจากไข่ จะเห็นว่าแม่ไก่จะคอยฟูมฟัก คอยปกป้อง คอยคุ้ยเขี่ยหาอาหาร และดูแลจนกระทั่งลูกไก่เติบใหญ่ นั่นเป็นสัญชาตญาณของความเป็นแม่ที่ไม่ต้องมีใครมาสั่งสอน แต่มนุษย์บางคนกลับคลอดลูกแล้วทิ้ง และฆ่าได้แม้กระทั่งลูกของตัวเอง

หรือ กรณีของประเทศมหาอำนาจที่อาศัยความได้เปรียบ ทั้งด้านการเงิน ด้านสติปัญญา หรือกลไกทางด้านเศรษฐกิจ เข้ามาครอบงำและแทรกแซงประเทศที่กำลังตั้งไข่ ยั่วยุทำให้การเมืองภายในประเทศของเขาสับสนวุ่นวาย พยายามหาโอกาสบนวิกฤติของผู้อื่น หรือการใช้อำนาจเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบหรือทรัพยากรที่ตนเองต้องการ พฤติกรรมทั้งหมดนี้สมควรแล้วหรือที่จะเรียกตัวเองว่าสัตว์ประเสริฐ

ผมเองคิดว่า มนุษย์เลือกได้ที่จะเป็นสัตว์ประเสริฐหรือสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเรามัวแต่จะรบราฆ่าฟันกัน ทำร้ายและเอาเปรียบกัน เราก็คงไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานที่ด้อยพัฒนาล้าหลัง และมนุษย์ก็คงเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่รอการสูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้เท่านั้นเอง แต่ถ้ามนุษย์รู้จักใช้มันสมอง รู้จักใช้สติปัญญา รู้สำนึกถึงผิดชอบชั่วดี รู้จักลดการใช้สัญชาตญาณพื้นฐานลง หันมาขัดเกลาสัญชาตญาณและควบคุมการใช้สัญชาตญาณนั้นแต่ในทางที่ดี ย่อมมิใช่สิ่งผิดที่มนุษย์จะเรียกตัวเองว่า ‘สัตว์ประเสริฐ’ ได้ อย่างเต็มภาคภูมิ

โชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย, ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ศ.ดร.ธีระ สูตะบุตร และหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม Young Global Leaders จากเวที World Economic Forum ซึ่งแต่งตั้งโดยพระราชินีราเนีย แห่งประเทศจอร์แดน
IP : บันทึกการเข้า

"เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง"(ไว้เตือนตนเอง)
tonkla
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,333


ธรรม=ธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมนูญ


« ตอบ #43 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2012, 18:23:33 »

บทควรามเรื่องเห็นแก่ตัว บทที่ ๔ ยาวมาก แต่จะแจ้ง
นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ 281 :: กรกฎาคม ๕๑ ปีที่ ๒๔ คอลัมน์รับอรุณ : เสียงร่ำร้องที่มิอาจเพิกเฉย  พระไพศาล วิสาโล

 

คนเราไม่ได้มีความเห็นแก่ตัวอย่างเดียว แต่ยังมีคุณธรรมหรือน้ำใจอยู่ในสัญชาตญาณอีกด้วย เมื่อท้องหิว สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เราต้องขวนขวายหาอาหาร เมื่อนิ้วมือถูกหนามแทง ปฏิกิริยาอย่างแรกสุดคือกระตุกนิ้วออกมา แต่ถ้าเห็นเด็กหิวโหย เราก็พร้อมที่จะอดเพื่อให้เขาได้มีกิน ในทำนองเดียวกัน หากเห็นคนตกน้ำ ความคิดอย่างแรกที่ผุดขึ้นมาคืออยากเข้าไปช่วย หลายคนไม่เพียงแต่คิด หากโดดลงไปช่วยแม้จะเสี่ยงภัยก็ตาม

สมัยหนึ่งเคยเข้าใจกันว่า ความเห็นอกเห็นใจและความเอื้ออาทรเป็นสิ่งที่เกิดจากการอบรมบ่มเพาะ แต่มีหลักฐานมากมายในระยะหลังที่ชี้ว่า คุณสมบัติดังกล่าวมีอยู่กับมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เมื่อทารกเห็นหรือได้ยินทารกอีกคนหนึ่งร้องไห้ เขาก็จะร้องไห้ราวกับเป็นทุกข์ไปด้วย แต่ถ้าเป็นเสียงร้องของตนเองจากเครื่องบันทึกเสียง ทารกจะนิ่งเงียบ จากการทดลอง ยังพบว่าทารกที่อายุตั้งแต่ ๑๔ เดือนขึ้นไป ไม่เพียงร้องไห้เวลาได้ยินเสียงร้องของคนอื่นเท่านั้น หากยังพยายามหาทางบรรเทาทุกข์ของเด็กคนนั้นด้วย ถ้าเป็นเด็กที่อายุมากกว่านั้น เขาจะร้องไห้น้อยลงแต่พยายามเข้าไปช่วยมากขึ้น

คุณธรรมเป็นมากกว่ากฎระเบียบที่สั่งสอนกันมา เด็กอนุบาลรู้ว่าการกินขนมในห้องเรียนเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะครูสอนอย่างนั้น แต่ถ้าครูบอกว่ากินได้ เด็กก็จะกินอย่างไม่ลังเล ในทางตรงข้ามหากครูคนเดียวกันนั้นบอกว่า ถ้าจะผลักเพื่อนให้ตกเก้าอี้ก็ได้ ครูไม่ว่าอะไร เด็กก็จะชะงักทันที บางคนอาจโต้แย้งด้วยซ้ำว่า ครูไม่น่าพูดอย่างนั้น นี้แสดงว่าความรู้ผิดรู้ชอบเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในสำนึกของเด็ก ไม่ได้เกิดขึ้นจากกฎกติกาที่ถ่ายทอดให้

อย่าว่าแต่เด็กทารกเลย แม้แต่สัตว์ก็ยังมีคุณธรรมโดยไม่มีใครมาสั่งสอน มีการทดลองแขวนหนูตัวหนึ่งไว้กลางอากาศ จนมันส่งเสียงกรีดร้องและดิ้นทุรนทุราย เมื่อหนูตัวอื่น ๆ ในกรงเห็นเข้า ก็วิ่งพล่านและพยายามช่วยหนูตัวนั้น จนในที่สุดก็พบว่าเพียงแค่กดคันบังคับในกรง หนูตัวนั้นก็ถูกหย่อนลงพื้นอย่างปลอดภัย

ที่น่าสนใจกว่านั้นคือสัตว์ยังพร้อมจะช่วยเพื่อนแม้ตนเองเดือดร้อน ในการทดลองคราวหนึ่ง ลิงกังอินเดีย (rhesus) ๖ ตัวถูกฝึกจนรู้ว่าหากดึงโซ่ก็จะมีอาหารกิน ไม่นานมันก็พบว่าหากดึงโซ่เส้นนั้น ลิงตัวที่ ๗ ก็จะถูกไฟช็อตจนร้องด้วยความเจ็บปวด ผลก็คือ ๔ ตัวแรกหันไปดึงโซ่เส้นอื่น แม้ว่าจะมีอาหารน้อยกว่าเส้นแรก แต่ไม่ทำให้เพื่อนเจ็บปวด ส่วนตัวที่ ๕ นั้นหยุดดึงโซ่ไม่ว่าเส้นใดก็ตามนานถึง ๕ วัน ยิ่งตัวที่ ๖ ด้วยแล้ว ไม่แตะโซ่เลยติดต่อกันนานถึง ๑๒ วัน นั่นคือทั้ง ๒ ตัวยอมหิวเพื่อไม่ให้เพื่อนถูกไฟช็อต

การค้นพบดังกล่าวทำให้เชื่อว่าความเห็นอกเห็นใจและความเอื้อเฟื้อเป็นคุณสมบัติที่ธรรมชาติให้มา โดยมิได้ผูกขาดที่มนุษย์เท่านั้น มองในแง่อรรถประโยชน์ ใครก็ตามที่มีคุณสมบัติดังกล่าว คนนั้น (หรือตัวนั้น)ก็น่าคบหา มีเพื่อนมาก ทำให้มีโอกาสอยู่รอดได้มากกว่าคน(หรือตัว)ที่เห็นแก่ตัว ในเทือกเขาคิลิมานจาโร ประเทศแทนซาเนีย ลิงบาบูนมีอัตราการตายของทารกสูงมาก คือร้อยละ ๑๐ หากเป็นปีที่อาหารอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าเป็นปีที่แห้งแล้ง อัตราการตายของทารกจะสูงถึงร้อยละ ๓๕ แต่นักชีววิทยาพบว่าแม่ลิงที่มีน้ำใจไมตรี เช่น ชอบหาเหาให้เพื่อน หรือชอบสังสรรค์กับตัวเมียด้วยกัน ลูกของเธอจะมีโอกาสรอดสูงมาก มิพักต้องพูดถึงสุขภาพของลิงเหล่านี้ ซึ่งมักมีความเครียดน้อยกว่าและมีภูมิต้านทานสูงกว่าตัวอื่น ๆ

ใช่แต่เท่านั้นน้ำใจไมตรีหรือความเสียสละยังเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ส่วนรวม (เช่น ฝูง หรือเผ่า) สามารถอยู่รอดได้ โดยเฉพาะเวลาล่าสัตว์ใหญ่หรือหนีภัยคุกคาม ถ้าแต่ละคน (หรือแต่ละตัว) คิดแต่จะเอาตัวรอด ไม่ร่วมมือกัน ก็อาจส่งผลเสียต่อส่วนรวม อันที่จริงนี้เป็นกติกาที่ปลูกฝังแม้กระทั่งในเซลล์ทุกเซลล์ของเรา ในด้านหนึ่งทุกเซลล์มีหน้าที่ปกป้องตัวเองและมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุดด้วยการแบ่งตัวไปเรื่อย ๆ แต่ถึงจุดหนึ่งมันก็พร้อมที่จะตาย เพื่อประโยชน์ขององคาพยพหรือร่างกายโดยรวม ถ้าเซลล์ตัวไหนไม่ยอมตาย คือแบ่งตัวไม่รู้จบ มันก็จะกลายเป็นเนื้องอกหรือมะเร็ง ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่งทุกเซลล์รู้ดีว่าการเสียสละของมันเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพของร่างกายทั้งหมด

ในทำนองเดียวกันเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างก็ต้องการอยู่รอดและมีอาหารเลี้ยงตัว แต่เมื่อใดก็ตามที่อาหารขาดแคลน จนไม่มีอะไรเข้ามาในร่างกายเลย อวัยวะส่วนใหญ่ก็ยอมสละสารอาหารและพลังงานที่สะสมอยู่ เพื่อให้สมองได้ใช้อย่างเต็มที่ เพราะมันรู้ดีว่าสมองคือศูนย์กลางควบคุมการทำงานของร่างกายทั้งหมด อวัยวะทุกส่วนจึงยอมทำทุกอย่าง แม้ตัวเองจะต้องเดือดร้อน เพื่อให้สมองอยู่ได้นานที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

หากจะกล่าวว่าความเอื้อเฟื้อหรือความเสียสละผนึกแน่นอยู่ในยีนของเรา ก็คงไม่ผิดนัก เพราะไม่เพียงคุณธรรมดังกล่าวจะแสดงออกทางพฤติกรรมอันแลเห็นได้จากภายนอกเท่านั้น หากยังมีหลักฐานที่ชี้ว่ามีกลไกบางอย่างในระดับเซลล์สมองที่เกื้อหนุนให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ อันเป็นที่มาของความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น เซลล์สมองดังกล่าวก็คือ mirror neuron หรือเซลล์สมองที่ทำงานคล้ายกระจก กล่าวคือกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกหรือมีกิริยาท่าทางเลียนแบบผู้ที่เราสังเกต

ความก้าวหน้าในการศึกษาระดับเซลล์ ทำให้พบว่าเมื่อเห็นคนถูกเข็มแทน เซลล์สมองในตัวเราจะทำงานคล้ายกับเวลาเรานึกหรือเห็นเข็มกำลังทิ่มแทงเรา ในทำนองเดียวกันเวลาเห็นคนเกาหัว หรือร้องไห้ เซลล์สมองบางส่วนในตัวเราก็จะทำงานเหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมองของเขา พูดให้ละเอียดลงไป เมื่อเห็นกิริยาอาการอะไร เซลล์สมองส่วนที่ควบคุมกิริยาอาการดังกล่าวของผู้เห็นก็จะทำงาน เสมือนกับว่าได้ทำกิริยาอาการเหล่านั้นเอง หรือบางครั้งก็ถึงขั้นทำให้เกิดกิริยาอาการเลียนแบบกัน “เซลล์กระจก” คือเหตุผลว่าเวลาเราเห็นใครบางคนยิ้ม ใบหน้าเราจึงขยับยิ้มตาม หรือเห็นเขาหาว เราก็เผลอหาวตามไปด้วย

ในทำนองเดียวกันเมื่อใช้เครื่องสแกนสมอง (fMRI) ก็พบว่า เวลาเห็นภาพคนตื่นตกใจ สมองของเราก็ทำงานเสมือนกับว่าเรากำลังตื่นตกใจเอง แต่อยู่ในระดับที่เบาบางกว่า ไม่ใช่แต่การเห็นเท่านั้น ที่ทำให้สมองของผู้เห็นและผู้ถูกเห็นทำงานคล้ายกัน ราวกับถอดแบบมา ในยามที่เรานึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองมีความสุข สมองเราจะทำงานคล้ายกับเวลาที่เรานึกถึงช่วงเวลาที่เพื่อนสนิทมีความสุข ในทำนองเดียวกัน เวลาเราตอบคำถามว่า “ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร ?” สมองของเราจะทำงานคล้ายกับเวลาเราถามว่า “ตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร ?” กล่าวอีกนัยหนึ่ง สมองทำงานคล้ายกันมากเวลาเรานึกถึงความรู้สึกของตัวเองกับเวลานึกถึงความรู้สึกของคนอื่น

ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า สมองของเรามีคุณสมบัติที่เอื้อให้เราสามารถเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้ทันที หรือทำให้เรามีความรู้สึกร่วมกับผู้อื่นโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจหรืออาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ นี้คือเหตุผลว่าทำไมอารมณ์ความรู้สึกถึงถ่ายทอดกันได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ได้ยินเสียงรำพึงอันเศร้าสร้อย เราก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ เพียงแค่เห็นคนอื่นร้องไห้คร่ำครวญ เราก็น้ำตารื้นขึ้นมาทันที

สมองของเราไม่ได้รับรู้แต่รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสจากโลกภายนอกเท่านั้น แต่ยังสามารถรับอารมณ์ความรู้สึกจากผู้อื่นได้ด้วย โดยไม่ต้องผ่านการคิด จึงทำให้เราไม่เพียงเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นเท่านั้น หากยังมีอารมณ์ร่วม รวมทั้งเห็นอกเห็นใจเขาด้วย นี้คือคุณสมบัติที่เกื้อหนุนคุณธรรมในใจเรา ทำให้นิ่งเฉยไม่ได้เมื่อเห็นผู้อื่นกำลังทุกข์ร้อนอยู่ต่อหน้า ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นผู้อื่นมีความสุข เราก็พลอยสุขด้วย ดังนั้นจึงอยากเข้าไปช่วยเหลือให้เขามีความสุข ความสุขที่เกิดกับเรายามได้ช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ไม่ใช่ความรู้สึกที่นึกขึ้นมาเอง หากยังสามารถรับรู้ได้จากปฏิกิริยาของสมอง

พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าสมองคือจิตใจและจิตใจคือสมอง อันที่จริงจิตใจเป็นมากกว่าสมอง แต่จะทำงานได้ดีก็ต้องพึ่งสมอง การค้นพบความจริงเกี่ยวกับสมองทำให้รู้ว่า ความเห็นอกเห็นใจและความเสียสละนั้นนั้นธรรมชาติที่ติดมากับมนุษย์ตั้งแต่เกิดโดยมีกลไกทางชีววิทยารองรับและเกื้อหนุน แต่นั่นมิใช่ภาพรวมทั้งหมด เพราะการที่ใครสักคนจะลงมือช่วยผู้อื่นนั้น ยังต้องอาศัยการตัดสินใจและการใคร่ครวญถึงผลที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย กระบวนการดังกล่าวต้องอาศัยใจที่มีความหมายมากกว่าสมอง

เวลานั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้า เราย่อมรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นคนแก่หรือผู้หญิงท้องยืนอยู่ใกล้ ๆ คุณธรรมกระตุ้นให้เราลุกเพื่อให้ที่นั่งแก่เขา แต่บ่อยครั้งเราก็ตัดปัญหาด้วยการแกล้งนั่งหลับ หาไม่ก็ทำทีอ่านหนังสือ หรือมองไปนอกหน้าต่าง การตัดสินใจมองไม่เห็นเขาเหล่านั้นทำให้เรารู้สึกดีขึ้นที่ยังนั่งต่อไป

เวลาเห็นคนนอนทรุดอยู่บนทางเท้า เราย่อมรู้สึกผิดหากเดินผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลย แต่บางครั้งเราก็เดินผ่านไปโดยให้เหตุผลว่า “ถึงฉันไม่ช่วย คนอื่นก็ช่วย” หรือไม่ก็อ้างว่า “ฉันกำลังมีธุระเร่งด่วน คราวหน้าค่อยช่วยก็แล้วกัน” ถ้านึกเหตุผลอื่นไม่ออกก็อ้างคนอื่นว่า “ใคร ๆ เขาก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น”

การแกล้งมองไม่เห็น หรือหาเหตุผลเข้าข้างตนเองนั้น เป็นวิธีการที่ใช้สยบเสียงร่ำร้องของคุณธรรมในใจเรา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตัวการที่อยู่เบื้องหลังวิธีการดังกล่าวก็คือ ความเห็นแก่ตัว หรือ “อัตตา” ซึ่งก็เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของเราเหมือนกัน ความเห็นแก่ตัวสามารถสรรหาเหตุผลมาได้มากมายเพื่อที่ตัวเองจะได้สบาย ถ้าไม่มีเหตุผลเสียเลย ก็จะรู้สึก “เสียself” หรือรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง เพราะถูกคุณธรรมในใจเล่นงาน ทำให้รู้สึกผิด

ในปัจจุบันภาพดังกล่าวมีให้เห็นมากขึ้นในเมืองใหญ่ ๆ รวมทั้งกรุงเทพ ฯ หากสังเกตจะพบว่าคนที่เดินผ่านผู้ที่ล้มทรุดกลางทางเท้านั้น ล้วนทอดสายตาไปทางอื่น ราวกับมองไม่เห็น แต่หากมีใครสักคนเข้าไปช่วยผู้นั้น สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปทันที ทีนี้ก็จะมีคนอื่นเข้าไปช่วยบ้าง อาจจะหาน้ำมาให้ หรือไถ่ถามอาการ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ เขาไม่อาจเดินผ่านต่อไปได้โดยไม่รู้สึกผิดว่า “คนอื่นยังช่วย แต่ทำไมฉันไม่ช่วย?”

แน่นอนว่าเหตุผลดังกล่าวมีเรื่องอัตตาเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นอัตตาที่ถูกผลักดันโดยคุณธรรมให้ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยคนทุกข์ กระนั้นก็ตามบางครั้งเราก็พบว่าคุณธรรมสามารถผลักดันให้เราทำอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองต้องเดือดร้อน นั่นเป็นเพราะความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์นั้นรุนแรงจนความเห็นแก่ตัวต้องพ่ายแพ้แก่คุณธรรม ดังเช่น ผู้ที่ไปช่วยผู้ประสบภัยสึนามิ โดยกินนอนท่ามกลางกองศพที่เน่าเหม็น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นตนเองพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเห็นศพมาโดยตลอด

การเลือกว่าจะยอมทำตามความเห็นแก่ตัว หรือเชื่อฟังคุณธรรมภายใน เป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้ด้วยกระบวนการทำงานของสมองเท่านั้น แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนทางจิตใจ อาทิ การบ่มเพาะคุณธรรมอย่างสม่ำเสมอ จนมีพลังเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้ ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการมีสติรู้เท่าทันความเห็นแก่ตัวที่ชอบสรรหาเหตุผลอันสวยหรูมารองรับการกระทำของมัน

ดูเหมือนว่าความแตกต่างประการหนึ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์ก็คือ หากสัตว์ชนิดใดมีคุณธรรม คุณธรรมนั้นก็สามารถผลักดันให้มันออกไปช่วยเหลือเพื่อนที่เดือดร้อนทันที แต่มนุษย์สามารถสรรหาเหตุผลร้อยแปดเพื่อสยบคุณธรรมไม่ให้ทำงานได้ แถมยังประดิดประดอยเหตุผลเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นหรือปรนเปรอตนเอง เช่น เบียดบังเงินหลวงโดยให้เหตุผลว่า “ถึงฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำ” เพราะฉะนั้นฉันทำดีกว่า (น่าสังเกตว่าเวลาหลีกเลี่ยงที่จะทำความดีก็ให้เหตุผลทำนองเดียวกันว่า “ถึงฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำ” เพราะฉะนั้นฉันไม่ทำดีกว่า ) เวลาได้เงินน้อยกว่าคนอื่น (เช่น โบนัส หรือเงินเดือน) ก็ร่ำร้องว่า “ไม่ยุติธรรม” ครั้นได้มากกว่าคนอื่น กลับลืมเรื่องความยุติธรรมไปเลย แต่สำหรับบางคน อาจไม่ต้องหาเหตุผลใด ๆ เลยก็ได้ เพียงแต่กดสำนึกทางด้านคุณธรรมไม่ให้ทำงานเท่านั้น (เคยมีนักวิจัยถามฆาตกรต่อเนื่องผู้หนึ่งว่า “ทำไมคุณถึงโหดร้ายอย่างนั้น ไม่สงสงสารเห็นใจเขาบ้างหรือ ?” ฆาตกรผู้นั้นตอบว่า “ผมต้องกดความรู้สึกส่วนนั้นไว้ก่อน ไม่งั้นฆ่าเขาไม่ได้หรอก”)

แต่สิ่งที่มนุษย์เหนือกว่าสัตว์ก็คือ คุณธรรมของมนุษย์นั้นสามารถแผ่ขยายไปพ้นขอบเขตของญาติพี่น้อง ฝูง หรือเผ่าไปได้ มนุษย์จึงสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลแม้แต่กับคนแปลกหน้า หรือคนต่างชาติต่างภาษา รวมไปถึงศัตรูหรือคู่ปรปักษ์ พฤติกรรมดังกล่าวไม่อาจอธิบายได้ด้วยเรื่องยีน อย่างที่มักให้เหตุผลว่า พ่อแม่เสียสละเพื่อลูก เพื่อให้ยีนของพ่อแม่ถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อ ๆ ไป อีกทั้งไม่อาจอธิบายว่าเป็นการกระทำเพื่อความอยู่รอดของฝูงหรือเผ่า

คุณธรรมของมนุษย์มีพลังเช่นนั้นได้ ก็เพราะการฝึกฝนตนเองและการอบรมบ่มเพาะโดยกระบวนการทางสังคม เช่น การเลี้ยงดูในครอบครัว การหล่อหลอมในชุมชน การศึกษาในโรงเรียน รวมทั้งการเห็นแบบอย่างที่ดีงาม และการพัฒนาจิตใจด้วยวิธีการทางศาสนา

ความเห็นแก่ตัวทำให้เรามีความสุขเมื่อได้เสพหรือมีมาก ๆ แต่คุณธรรมกลับทำให้เรามีความสุขเมื่อได้เสียสละเพื่อผู้อื่น หรือเพียงแต่เห็นผู้อื่นทำความดี เราก็รู้สึกปลาบปลื้มราวกับทำสิ่งนั้นด้วยตัวเอง คุณธรรมทำให้เรามีความสุขที่ประณีตกว่าความเห็นแก่ตัว เพราะเป็นความสุขทางใจที่ให้ผลยั่งยืนและทำให้รู้สึกถึงความหมายของชีวิต จะว่าไปแล้วนี้คือแรงจูงใจที่ทรงพลังยิ่งกว่าความเห็นแก่ตัวด้วยซ้ำ วิคเตอร์ แฟรงเคิล (Viktor Frankl) เป็นผู้หนึ่งซึ่งแม้ประจักษ์ถึงความโหดร้ายของมนุษย์ที่กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในค่ายกักกันชาวยิวสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เขาก็เห็นด้านบวกของมนุษย์อีกมาก จนสรุปอย่างมั่นใจว่า “แรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเราไม่ใช่เพื่อเสพสุขหรือเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด แต่เพื่อมองหาความหมายของชีวิต”

ความเห็นแก่ตัวนั้นฉลาดและมีอุบายมากมายในการสยบคุณธรรมมิให้ชักจูงเราไปในทางที่ดีงาม แต่ก็ยากที่จะสยบคุณธรรมไปได้ตลอด เพราะแม้จะมั่งคั่งร่ำรวยหรือสุขสบายเพียงใด ในส่วนลึกก็จะได้ยินเสียงร่ำร้องของคุณธรรมที่กระตุ้นเตือนให้เรารู้สึกสำนึกผิดอยู่เสมอ หรืออาจถึงขั้นถูกความรู้สึกผิดกัดกร่อนจิตใจ ขณะเดียวกันการละเลยคุณธรรมในใจย่อมเปิดพื้นที่รกร้างภายใน ทำให้รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเหลือทน ต่อเมื่อหันมาทำตามเสียงร้องของคุณธรรม ความสงบสุขจึงจะกลับคืนมา และรู้สึกถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิตในที่สุด
IP : บันทึกการเข้า

"เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง"(ไว้เตือนตนเอง)
cunyai
นักบิน..บินตามฝัน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 219



« ตอบ #44 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2012, 19:58:58 »

สาธุ!!! ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ชมรมเครื่องบินเล็กบังคับวิทยุเชียงแสน..สร้างเอง...บินเอง...ตกเอง...
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #45 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2012, 20:24:14 »

สาธุ!!! ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

ท่านใหญ่พอดีหากระทู้เดิมบ่าป๊ะ ตกลงคุณหนูของท่านใหญ่ตอนนี้โตละกา ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
blue dragon
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 924


..แดดสุดท้าย..


« ตอบ #46 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2012, 22:42:16 »

เอาเป็นว่า ผมคนนึงหล่ะ
ที่เห็นแก่ตัวอ่ะ.. ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

กั๋นว่าจะมัด บ่ต้องมัดด้วยป๋อ กำปากกำคอ มัดกั๋นก็ได้
https://www.facebook.com/skyline.blue.9
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #47 เมื่อ: วันที่ 24 เมษายน 2012, 08:30:15 »

เอาเป็นว่า ผมคนนึงหล่ะ
ที่เห็นแก่ตัวอ่ะ.. ยิงฟันยิ้ม

คนที่กล้าพูดแสดงว่าเป็นคนจริงใจ.....แต่คนที่ไม่กล้าพูดนี่สิแสดงว่าเอาตัวรอดสุดๆแปลอีกความหมายก็.......ตามหัวข้อกระทู้เลย ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!