เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 15 กันยายน 2025, 06:15:08
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  บรรพบรุษของชาวเชียงรายพันสามร้อยปีที่แล้ว...
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน บรรพบรุษของชาวเชียงรายพันสามร้อยปีที่แล้ว...  (อ่าน 1433 ครั้ง)
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« เมื่อ: วันที่ 31 มีนาคม 2012, 12:54:31 »

อาณาจักรโยนกเชียงแสน

 

                                             อาณาจักรโยนกเชียงแสน   (พุทธศตวรรษที่ 12 – 16)   เป็นอาณาจักรเก่าแก่ของชนชาติไทยมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13  ตั้งอยู่บริเวณภาคเหนือของประเทศไทย  ปัจจุบันคือ อำเภอเชียงแสน  จังหวัดเชียงราย  เป็นสถานที่ตั้งถิ่นฐานครังแรกหลังจากที่ชนชาติไทยได้อพยพหนีการรุกรานของจีนลงมา   โดยพระเจ้าสิงหนวัติ โอรสของพระเจ้าพีล่อโก๊ะ  ได้เป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรโยนกเชียงแสน หรือ โยนกนาคนคร ขึ้น  นับเป็นอาณาจักรทีมียิ่งใหญ่และสง่างาม  จนถึงสมัยของพระเจ้าพังคราช จึงตกอยู่ภายใต้อารยธรรมและการปกครองของพวก “ลอม”  หรือ  “ขอมดำ”  ซึ่งเป็นชนชาติที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ก่อนที่จะมีการก่อตั้งอาณาจักรโยนกเชียงแสน ได้เข้ายึดครองโยนกเชียงแสน

                                            ในสมัยของพระเจ้าพรหม  โอรสของพระเจ้าพังคราช  ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่เป็นนักรบและมีความกล้าหาญ ได้ทำการต่อต้านพวกขอม  ไม่ยอมส่งส่วย  เมื่อขอมยกกองทัพมา ปราบปรามก็ได้โจมตีขับไล่กองทัพขอมแตกพ่ายไป  และยังได้แผ่อิทธิพลขยายอาณาเขตเข้าไปในดินแดนของขอม  ยึดไปถึงเมืองเชลียง  และล้านนา ล้านช้าง  แล้วอัญเชิญพระเจ้าพรหม พระราชบิดาให้กลับมาครองเมืองโยนกเชียงแสนเหมือนเดิน  แล้วได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็น เมืองชัยบุรี  ส่วนพระเจ้าพรหมได้เสด็จไปสร้างเมืองใหม่ทางใต้ของโยนกเชียงแสน คือ เมืองชัยปราการ ให้พระเชษฐาคือ เจ้าทุกขิตราช เป็นพระอุปราช ปกครองเมือง  นอกจากนั้นยังได้สร้างเมืองอื่นๆ ขึ้นอีก เช่น ชัยนารายณ์  นครพางคำ

                                            เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าพังคราช  พระเจ้าทุกขิตราชก็ได้ขึ้นครองเมืองชัยบุรี (โยนกเชียงแสน)  ส่วนพระเจ้าพรหมและโอรสของพระองค์ได้ครองเมืองชัยปราการในสมัยต่อมา  และเป็นระยะเวลาที่พวกขอมเริ่มเสื่อมอำนาจลง   เมื่อหมดสมัยของพระเจ้าพรหม เป็นต้นไป อาณาจักรโยนกเชียงแสนเริ่มเสื่อมอำนาจลง  กษัตริย์ล้วนอ่อนแอ หย่อนความสามารถ  จนถึง พ.ศ. 1731  พวกมอญก็ได้ยกทัพเข้ายึดครอบครองอาณาจักรขอม และได้แผ่อำนาจเข้ายึดเมืองโยนกเชียงแสน  ซึ่งขณะนั้นมีพระเจ้าชัยศิริ โอรสของพระเจ้าพรหมเป็นกษัตริย์ปกครอง   พระเจ้าชัยศิริไม่สามารถต่อต้านกองทัพมอญได้ จึงพากันเผาเมืองทิ้ง เพื่อไม่ให้เป็นที่พำนัก และเสบียงอาหารแก่พวกมอญ  แล้วพากันอพยพลงมาทางใต้ จนมาถึงเมืองร้าง้แห่งหนึ่งในแขวงเมืองกำแพงเพชร ชื่อเมืองแปป ได้อาศัยอยู่ที่เมืองแปประยะหนึ่ง เห็นว่าชัยภูมิไม่สู้เหมาะเพราะอยู่ใกล้ขอม จึงได้อพยพลงไปทางใต้จนถึงถึงเมืองนครปฐมจึงได้สร้างเมืองนครปฐมและพำนักอยู่ ณ ที่นั้น

                                            ส่วนกองทัพมอญ หลังจากรุกรานเมืองชัยปราการแล้ว  ก็ได้ยกล่วงเลยตลอดไปถึงเมืองอื่นๆ ในแคว้นโยนกเชียงแสน จึงทำให้พระญาติของพระเจ้าชัยศิริซึ่งครองเมืองชัยบุรี  ต้องอพยพหลบหนีข้าศึกเช่นกัน ปรากฏว่าเมืองชัยบุรีนั้นเกิดน้ำท่วม  บรรดาเมืองในแคว้นโยนกต่างก็ถูกทำลายลงหมด  พวกมอญเห็นว่าหากเข้าไปตั้งอยู่ก็อาจเสียแรง เสียเวลา และทรัพย์สินเงินทอง เพื่อที่จะสถาปนาขึ้นมาใหม่ พวกมอญจึงยกทัพกลับ เป็นเหตุให้เมืองโยนกเชียงแสนขาดผู้ปกครองอยู่ระยะหนึ่ง

                                            ในระยะที่ฝ่ายไทยกำลังระส่ำระสายอยู่นี้ เป็นโอกาสให้ขอมซึ่งมีราชธานีอยู่ที่เมืองละโว้ ถือสิทธิ์เข้าครอบครองแคว้นโยนกเชียงแสน  แล้วบังคับให้คนไทยที่ตกค้างอยู่นั้นให้ส่งส่วยแก่ขอม  ความเสื่อมสลายของอาณาจักรโยนกเชียงแสนครั้งนี้ ทำให้ชาวไทยต้องอพยพย้ายกันลงมาเป็นสองสายคือ สายของพระเจ้าชัยศิริ อพยพลงมาทางใต้ และได้อาศัยอยู่ชั่วคราวที่เมืองแปป  ส่วนสายของพระเจ้าชัยบุรีได้แยกออกไปทางตะวันออกของสุโขทัย จนมาถึงเมืองนครไทย จึงได้เข้าไปตั้งรกรากอยู่ ณ เมืองนั้นด้วยเห็นว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิเหมาะสม เพราะเป็นเมืองใหญ่ และตั้งอยู่สุดเขตของขอมทางเหนือ  ผู้คนในเมืองนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นชาวไทย อย่างไรก็ตามในช่วงแรกที่เข้าไปตั้งเมืองอยู่นั้น ก็ต้องยอมอ่อนน้อมต่อขอม ซึ่งขณะนั้นยังคงเรืองอำนาจอยู่

                                            ในเวลาต่อมาเมื่อคนไทยอพยพลงมาจากน่านเจ้าเป็นจำนวนมาก  ทำให้นครไทยมีกำลังผู้คนมากขึ้น  ข้างฝ่ายอาณาจักรโยนกเชียงแสนนั้น เมื่อพระเจ้าชัยศิริทิ้งเมืองลงมาทางใต้ ก็เป็นเหตุให้ดินแดนแถบนั้นว่างผู้ปกครอง และระยะต่อมาชาวไทยที่ยังคงเหลืออยู่ในอาณาจักรโยนกเชียงแสนได้รวมตัวกันตั้งเมืองขี้นหลายแห่งตั้งเป็นอิสระแก่กัน  บรรดาหัวเองต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นนับว่าสำคัญ มี อยู่สามเมืองด้วยกัน คือ นครเงินยาง  อยู่ทางเหนือ  นครพะเยา อยู่ตอนกลาง และเมืองหริภุญไชย อยู่ทางใต้  ส่วนเมืองนครไทยนั้นด้วยเหตุที่ว่ามีที่ตั้งอยู่ปลายทางการอพยพ และอาศัญที่มีราชวงศ์เชื้อสายโยนกอพยพมาอยู่ที่เมืองนี้ จึงเป็นทีนิยมของชาวไทยมากกว่า

                                            เมื่อบรรดาชาวไทยเกิดความคิดที่จะสลัดแอกจากขอมครั้งนี้  บุคคลสำคัญในการนี้คือ พ่อขุนบางกลางท่าว  ซึ่งเป็นเจ้าเมืองบางยาง  และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองตราด ได้ร่วมกำลังกัน ยกขึ้นไปโจมตีขอม จนได้เมืองสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมไว้ได้ เมื่อปี พ.ศ. 1800 การชัยใน ครังนี้นับว่าเป็นนิมิตหมายเบื้องต้นแห่งความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทย และเป็นลางร้ายแห่งความเสื่อมโทรมของขอม  เพราะนับแต่นั้นเป็นต้นมาอาณาจักรขอมก็เริ่มเสื่อมอำนาจลง จนสิ้นสุดอำนาจไปจากบริเวณนี้

                                        ต่อมาเมืองโยนกเชียงแสน (เมืองชัยบุรี)  เกิดน้ำท่วม  บรรดาเมืองในแคว้นโยนกเชียงแสนต่างๆ ก็ถูกทำลายลงหมด  พวกมอญเห็นว่าหากจะเข้าไปบูรณะซ่อมแซม ปฎิสังขรเมืองใหม่ จะสิ้นเปลืองเงินทองจำนวนมาก จึงได้พากันยกทัพกลับ   เป็นเหตุให้เมืองโยนกเชียงแสน (ชัยบุรี) ขาดกษัตริย์ปกครอง ทำให้อำนาจ และอารยธรรมเริ่มเสื่อมลง  ชนชาติไทยในโยนกเชียงแสนจึงได้พากันอพยพลงมาทางตอนใต้ แล้วได้สร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นคือ อาณาจักรล้านนา  ซึ่งต่อมาได้เจริญเติบโตขึ้นเป็นอาณาจักร

 **************************************************** 
วันจันทร์ ที่ 28 มีนาคม 2554
ผวาซ้ำรอบ 1,500 ปี แผ่นดินไหวกลืน“อาณาจักรโยนก”เชียงราย
Posted by A.punnee , ผู้อ่าน : 2659 , 18:15:24 น.   
หมวด : การเมือง
 พิมพ์หน้านี้   โหวต 0 คน







            แทบไม่น่าเชื่อว่าแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ริกเตอร์ที่พม่า จะสร้างแรงสั่นสะเทือนจากภาคเหนือมาถึงยอดตึกสูงใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ได้ ภาพเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สร้างความเสียหายให้แก่ เมืองไครสต์เชิร์ชของนิวซีแลนด์ และเมืองฟูกูชิมาของญี่ปุ่นยังไม่ลบเลือนไปจากความทรงจำ หลายคนหวาดกลัวว่าภาคเหนือจะเกิดภัยพิบัติแบบนั้นเช่นกัน






            แผ่นดินไหวในพม่าเมื่อคืนวันที่ 24 มีนาคมนั้น เกิดจากการรอยเลื่อนที่เรียกกันว่า "รอยเลื่อนน้ำมา" เพราะอยู่ใกล้แม่น้ำมาในพม่า จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่ห่างจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพียง 56 กม. เท่านั้น ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับรายงานความเสียหายเบื้องต้น นอกจากบ้านเรือนหลายหลังจะพังลงมาแล้ว











 แหล่งโบราณคดีและโบราณสถานอายุหลายเกือบพันปีได้รับผลกระทบหลายแห่ง เช่น ยอดฉัตรของเจดีย์หลวงในวัดพระธาตุเจดีย์หลวง จ.เชียงราย หักโค่นลงมาจนทำให้เจดีย์เล็กเสียหาย นอกจากนี้ยอดฉัตรของพระธาตุจอมกิตติหักงอเช่นกัน ส่วนที่ จ.น่าน ตรวจพบวิหารรอบพระอุโบสถวัดภูมินทร์ ที่อายุเก่าแก่กว่า 700 ปี ของ จ.น่าน มีผนังแตกร้าวหลายจุด ภาพจิตรกรรมได้รับความเสียหายหลายจุด





            นักประวัติศาสตร์รู้ดีว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ภาคเหนือไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพราะเคยรุนแรงขนาดทำให้อาณาจักรยิ่งใหญ่สมัยโบราณหายสาบสูญไปในพริบตา เมื่อ 1,500 ปีที่แล้วยังไม่มีใครรู้ว่าระดับแผ่นดินไหวมีขนาดกี่ริกเตอร์ มีเพียงตัวอักษรที่บันทึกถึงอาณาจักรที่ยุบจมหายกลายเป็นหนองน้ำใหญ่








ภาพจากดาวเทียม GEO COVER 2000 แสดงลักษณะสภาพภูมิประเทศ แนวรอยเลื่อน (FAULT) บริเวณที่ตั้งเวียงหนอง







            บันทึกประวัติการเกิดแผ่นดินไหวในอดีตนั้น กล่าวถึง อาณาจักรโยนก ปัจจุบันคือที่พื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ว่าเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่เมื่อ 1,500 ปีที่แล้วเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้ง ครั้งที่รุนแรงที่สุดทำให้อาณาจักรโยนกถึงกับจมหายไป โดยพงศาวดารโยนกบันทึกว่า ในคืนวันเสาร์ เดือน 7 แรม 7 ค่ำ พ.ศ.1003





            “...สุริยอาทิตย์ก็ตกไปแล้ว ก็ได้ยินเสียง เหมือนตั้งแผ่นดินดังสนั่นหวั่นไหวประดุจว่าเวียงโยนกนครหลวงที่นี้จักเกลื่อนจักพังไปนั้นแล แล้วก็หายไปครั้งหนึ่ง ครั้นถึงมัชฌิมยามก็ดังซ้ำเข้ามาเป็นคำรบสอง แล้วก็หายนั้นแล ถึงปัจฉิมยามก็ซ้ำดังมาอีกเป็นคำรบสาม หนที่สามนี้ดังยิ่งกว่าทุกครั้งทุกคราวที่ได้ยินมาแล้ว กาลนั้นเวียงโยนกนครหลวงที่นั้นก็ยุบจมลง เกิดเป็นหนองอันใหญ่ ยามนั้นคนทั้งหลายอันมีในเวียงที่นั้น มีพระมหากษัตริย์เป็นประธาน ก็วินาศฉิบหายตกไปในน้ำที่นั้นสิ้น...”






 เวียงหนองหล่ม มุมมองจากเฮลิคอปเตอร์ ภาพโดย : ไกรสิน อุ่นใจจินต์









            "ไกรสิน อุ่นใจจินต์" หัวหน้ากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 8 จ.เชียงใหม่ เล่าถึงหลักฐานหลายชิ้นที่เชื่อมโยงให้เห็นว่าอาณาจักรโยนกหรือ “เวียงโยนกนาคพันธุ์” ล่มสลายกลายเป็นหนองน้ำเพราะแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการพบหลักฐานโบราณวัตถุจำนวนหนึ่งในหนองน้ำ ซึ่งสอดคล้องกับตำนานเอกสารโบราณ และหลักฐานแนวรอยเลื่อนทางธรณีวิทยา ดังนั้งจึงยืนยันได้ว่าบริเวณนี้เคยเกิดแผ่นดินไหวจริง ปัจจุบัน คือพื้นที่ประมาณ 50 ตารางกิโลเมตร ช่วงรอยต่อระหว่าง อ.แม่จัน กับ อ.เชียงแสน หรือชาวบ้านเรียกว่า “เวียงหนองหล่ม” มีผู้คนอาศัยไม่น้อยกว่า 100 ชุมชน






            ด้าน รศ.ดร.พิษณุ วงศ์พรชัย หัวหน้าภาคธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิบายว่า รอยเลื่อนน้ำมาของพม่านั้นวางตัวขนานกับรอยเลื่อนแม่จันและรอยเลื่อนเชียงแสน ในอดีตเคยทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6-7 ริกเตอร์มาแล้วหลายครั้ง และมีหลักฐานทางธรณีวิทยาเชื่อมโยงให้เห็นว่า “อาณาจักรโยนก” ถูกแผ่นดินไหวถล่มจนหายไปทั้งเมือง แต่ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกมากนัก เพราะในอดีตการก่อสร้างบ้านเรือนยังไม่แข็งแรง เมื่อเกิดแผ่นดินไหวก็พังลงอย่างง่ายดาย แต่เพื่อความไม่ประมาท ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้รอยเลื่อนที่ยังมีพลังในภาคเหนือเฝ้าติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดแต่ไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป




 //////////






บันทึกแผ่นดินไหวกลืน "อาณาจักรโยนก"




คมชัดลึก 26/03/2554
 
IP : บันทึกการเข้า
Addmobile
สวัสดีครับ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,735


จริงจังจริงแต่จริงใจ


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 31 มีนาคม 2012, 14:39:54 »

โท้ะท่านironmaiden
ตึงสุดยอดแต้นอ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
nickio
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 62


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 31 มีนาคม 2012, 19:36:09 »

 ยิ้ม ท่าน Ironmaiden นี้เจ๋งจริงอย่างกับเพลงนี้เลย

Ironmaiden - The trooper
IP : บันทึกการเข้า
tonkla
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,333


ธรรม=ธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมนูญ


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 31 มีนาคม 2012, 19:42:18 »

ตามความเชื่อของผม

กรณีเวียงหนองหล่มในตำนาน น่าจะเกิดจากแผ่นดินไหว
และจากตำนานที่เล่าว่า ชาวบ้านจับปลาไหลเผือกมากิน  ปลาไหลเผือก หรือสัตว์น้ำขนาดใหญ่ที่แปลก ๆ จะพบเห็นเมื่อจะเกิดภัยพิบัติเสมอ เพราะสัตว์เหล่านั้นจะมีสัญชาตญานที่รับรู้เรื่องภัยพิบัติจะหลบหนี แต่โชคร้ายมาเจอคน คนไม่รู้ว่าสัตว์หนีร้อนมาเตือนภัยเลยโดนกิน และคนก็ดชคร้ายอีกต่อที่จมลงสู่พสุธา

กรณีเทียบเคียงสึนามิ ก่อนเหตุการณ์เกิดประมาณ ๓-๔ วัน จะพบสัตว์ทะเลลึกหนีตายขึ้นมาที่ชายหาดจำนวนมาก
IP : บันทึกการเข้า

"เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง"(ไว้เตือนตนเอง)
AIT
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,914



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 31 มีนาคม 2012, 19:51:24 »

 ตกใจ ตกใจ ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า
AserityShop
มีของก็ขาย ไม่มีก็ไม่ขาย ก็แค่นั้นครับ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,700


¬AserityShop¬


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 31 มีนาคม 2012, 20:07:50 »

อยากให้เค้าสำรวจให้มันเจอๆไปเนาะครับ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ซื้อขายมั่นใจ 100% เช็คประวัติได้ เป็นคนง่ายๆไม่ซับซ้อน (^_^)
ติดต่อ Tel: 099-2494781,0643273958
ไลน์:aserityshop

งดคุยเล่นในเวลาราชการ หลัง 22.00 น.งดติดต่อทุกกรณี
ผู้บ่าวเฒ่า
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 109



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 31 มีนาคม 2012, 20:33:17 »

มิใช่โต้แย้งนะขอรับ
ในช่วงก่อนศตวรรษ 11-12 แถวนั้นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่รึ หรือว่าไง
ผมว่าเราไม่น่าอพยพมาจากจีนนะครับ
เราอยู่ที่นี่อยู่ตรงนี้มานานแล้ว
เราได้รับและแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้ที่พลัดหลงมาสู่พื้นที่ที่เราอยู่อาศัย
เมื่อแลกเปลี่ยนอารยะก็เกิดผสมผสานต่อกันนั่นเอง
ผู้ที่มาอยู่ใหม่เมื่อฉลาดกว่าแข็งแรงกว่ายอมได้รับการยอมรับโดยธรรมจึงเปลี่ยนเป็นผู้ปกครองเพราะมีปัญญาแยบยลกว่า และเมื่อเป็นผู้ชนะผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 01 เมษายน 2012, 22:35:39 »

ยิ้ม ท่าน Ironmaiden นี้เจ๋งจริงอย่างกับเพลงนี้เลย

Ironmaiden - The trooper
แหม..ขอบคุณครับ...รู้ใจนะครับเพลงชอบมากๆ
มิใช่โต้แย้งนะขอรับ
ในช่วงก่อนศตวรรษ 11-12 แถวนั้นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่รึ หรือว่าไง
ผมว่าเราไม่น่าอพยพมาจากจีนนะครับ
เราอยู่ที่นี่อยู่ตรงนี้มานานแล้ว
เราได้รับและแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้ที่พลัดหลงมาสู่พื้นที่ที่เราอยู่อาศัย
เมื่อแลกเปลี่ยนอารยะก็เกิดผสมผสานต่อกันนั่นเอง
ผู้ที่มาอยู่ใหม่เมื่อฉลาดกว่าแข็งแรงกว่ายอมได้รับการยอมรับโดยธรรมจึงเปลี่ยนเป็นผู้ปกครองเพราะมีปัญญาแยบยลกว่า และเมื่อเป็นผู้ชนะผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์
ถูกครับ...การเรียนรู้ประวัติศาสตร์บอกไว้ว่า...ประวัติศาสตร์อาจมิได้มีหนึ่งเดียวแต่อาจเกิดการรวมกันของหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายๆหลักฐานและบันทึกอย่างท่านว่า...อย่างคนเชียงรายอย่างน้อยก็ต้องมีบางส่วนที่เป็นเชื้อสายบรรพบุรุษสมัยโยนกไม่มากก็น้อย...อย่างเช่นชาวอียิปต์ปัจจุบันแทบจะไม่มีเหลือเค้าของชาวไอย์คุปต์ในอดีตเลยแต่นั่นมันมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าห้าพันปีมาแล้วอ่ะนะครับ....คือแบบว่าผมรู้สึกภูมิใจน่ะ
IP : บันทึกการเข้า
ผู้บ่าวเฒ่า
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 109



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 02 เมษายน 2012, 20:25:13 »

ครับผมก็ภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน


เอาฮา ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 02 เมษายน 2012, 21:16:44 »

ครับผมก็ภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน

เอาฮา ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
มันคนละทิศแล้วเน่อ...เหนือกะอิสานเนี่ย...ฮ่าฮ่าฮ่า
IP : บันทึกการเข้า
blue dragon
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 924


..แดดสุดท้าย..


« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 03 เมษายน 2012, 11:59:43 »

ถ้าเขาสำรวจเวียงหนองล่ม...แล้วจะเจออะไรไหมนี่...อยากให้สำรวจบ้างจัง
IP : บันทึกการเข้า

กั๋นว่าจะมัด บ่ต้องมัดด้วยป๋อ กำปากกำคอ มัดกั๋นก็ได้
https://www.facebook.com/skyline.blue.9
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 03 เมษายน 2012, 13:09:57 »

ถ้าเขาสำรวจเวียงหนองล่ม...แล้วจะเจออะไรไหมนี่...อยากให้สำรวจบ้างจัง
แถวหมู่บ้านที่ตาผมอยู่...บอกก็ได้...บ้านป่าสักขวางติดๆกับบ้านสันกองแถวๆทางขึ้นดอยตุง......เมื่อราวยี่สิบปีก่อนมีคนขุดพบสถูปโบราณบริเวณท้องนาหลังหมู่บ้าน
พระเครื่องกับวัตถุโบราณหายไปอยู่กับนายทุนหมดเพราะไม่มีหน่วยงานของรัฐรู้เรื่องนี้เลยอีกทั้งบ่อน้ำรูปตัวอี(เข้าใจว่าน่าจะเป็นสิ่งปลูกสร้างโบราณที่ฝังอยู่ในพื้นนา)ถูกเจ้าของพื้นที่สลายทิ้งหมด...เสียดาย...หากไปขุดแถวหมู่บ้านนั้นน่าจะพบอีกเยอะ...เพราะแถวนั้นสมัยก่อนเป็นสันเนินที่มีแหล่งน้ำน่าจะมีคนโบราณอยู่อาศัย อีกทั้งยังมีคนเคยพบหีบที่น่าจะเคยมีสมบัติถูกเก็บไว้ฝังอยู่ในที่นา...แต่คนรุ่นอุ๊ยได้แต่เล่าให้เราฟังโดยไม่มีการบันทึก...เรื่องราวเหล่านี้ก็เลยดูเหมือนเป็นแค่ตำนาน...หากแต่ว่าคนแก่ที่อาศัยอยู่ใกล้ๆหมู่บ้านก็เล่าคล้ายๆกันครับ
IP : บันทึกการเข้า
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 03 เมษายน 2012, 13:57:27 »

ขอบคุณครับที่นำมาเล่าสู่กันน่าติดตามค้นหา เสียดายที่เด็กสมัยนี้ส่วนหนึ่งลืมบรรพบุรุษ ลืมสิ่งดีงาม ของเราเอง เฮ้อ ฮืม ฮืม ยิ้ม ยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 00:19:34 »

ขอบคุณครับที่นำมาเล่าสู่กันน่าติดตามค้นหา เสียดายที่เด็กสมัยนี้ส่วนหนึ่งลืมบรรพบุรุษ ลืมสิ่งดีงาม ของเราเอง เฮ้อ ฮืม ฮืม ยิ้ม ยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิ้มกว้างๆ
ผมว่าก็เป็นหน้าที่ที่คนรุ่นเรานี่แหละครับที่จะเล่าให้ลูกหลานเราได้ภาคภูมิใจ...แต่ถ้ายังไม่มีก็ว่ากันไปครับ...ฮ่าฮ่าฮ่า
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!