กลวิธีการอ่าน
1.ต้องเป็นผู้ที่อ่านหนังสือเกิน 7 บรรทัด( ข้อนี้รู้ๆกันอยู่)
2.ต้องเป็นผู้เข้าใจประชาธิปไตยอย่างแท้จริง(ยอมรับฟังผู้อื่นด้วยใจสงบ ไม่เกรียนแตก)
3.ยอมรับความจริง แก้ต่างได้ถ้าเห็นว่าไม่ใช่เรื่องจริง
4.อ่านแล้วคิดตามด้วยความแยบยล ไม่ใช่ซะแต่เชื่อแล้วดูถูกตัวเอง(เราเป็นคนไทยดูถูกคนไทย เก่งป่ะล่ะด่าตัวเอง)
5.ถ้าอ่านแล้วคิดได้ จงเริ่มใช้ทางม้าลายหรือใช้สะพานลอยแทนการข้ามใต้สะพานลอยตามที่ท่านทั้งหลายส่วนใหญ่เป็นอยู่
_________________________________________________
ผมลอกบางส่วนจากบทความของคุณเปลวสีเงิน ซึงเกี่ยวกับฝรั่งคนนึงเขียนจดหมายส่งรายงานเกี่ยวกับประเทศไทยให้เจ้านายฟัง
ผมอ่านแล้วชอบมาก จึงขอนำมาเผยแพร่ต่ออีก
เนื้อหาตามนี้
"จดหมายถึงนาย" ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นข้อเขียนของคนหนุ่มซึ่งมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ในแวดวงการทูตและแวดวงศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนเก่งที่ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งหายากในยุคสมัยนี้ แนวคิดและวิธีเขียนอาจจะดูเหมือนรุนแรง แต่ถ้าเราไม่ปฏิเสธความจริง คงต้องยอมรับว่าสิ่งที่บรรยายไว้มีอยู่จริงในบ้านเมืองของเรา
ข้าพเจ้าเป็นชาวต่างประเทศที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย มีหน้าที่รายงานภาพรวมของประเทศไทยกลับไปยังนาย คือ "บริษัทแม่ในต่างประเทศ" หรือบางครั้งก็แอบเสนอรายงานต่อรัฐบาลประเทศของข้าพเจ้า
ในโอกาสล่าสุดนี้ นายต้องการทราบว่า ควรจะดำเนินการในแง่ยุทธศาสตร์ต่อประเทศไทยอย่างไรดี เพื่อให้การครอบงำประเทศนี้สมบูรณ์ที่สุด ในระยะยาว ข้าพเจ้าขอสนองความต้องการของนายด้วยจดหมายสั้นๆ ฉบับนี้
นายที่รัก ตามที่มอบหมายให้ข้าพเจ้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยเกือบ 20 ปีแล้วนั้น ข้าพเจ้าพอจะสรุปคำตอบเพื่อเสนอต่อนายได้ดังต่อไปนี้
ภาพรวมของประเทศไทย ยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ค่อนข้างยากจน สังคมไทยโดยพื้นฐานมีลักษณะไร้ระเบียบกฎเกณฑ์ ซึ่งเป็นอุปนิสัยประจำตัวของชนชาตินี้
แม้ว่ารัฐบาล รัฐสภา และประชาชนส่วนหนึ่ง ได้พยายามแก้ไขกฎหมายต่างๆ จำนวนมาก รวมทั้งรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศให้ดีขึ้น แต่โดยพฤติกรรมแล้ว คนไทยนิยมการดำเนินชีวิต ธุรกิจ และการใช้อำนาจรัฐ ที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ต่างๆ หรือที่มีคำกล่าวในประเพณีไทยว่า "ทำได้ตามใจคือไทยแท้" ท่านจะประมาทต่อคำกล่าวนี้ไม่ได้เลย
ในทางกายภาพ กรุงเทพฯ เป็นตัวอย่างของเมืองหลวงที่ไร้ระเบียบที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล ความไร้ระเบียบนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งหรือลดน้อยลงเลย เมืองเชียงใหม่ ซึ่งน่าจะได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงจากกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่ทำ หรือทำไม่ได้ เมืองพัทยา ซึ่งควรเป็นบทเรียนให้กับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ แต่ก็ไม่เป็น หรือเป็นไม่ได้
ระบบการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่ยานพาหนะก็เป็นอีกตัวอย่างที่เลวที่สุด นับเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติก็ว่าได้
การรุกล้ำที่ดินสาธารณะ ที่ป่าสงวน เขตอุทยานแห่งชาติ ฯลฯ ก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก้ไขไม่ได้ แม้แต่หน่วยงานราชการถึงขนาดทำเนียบรัฐบาลเอง ภายนอกดูสวยงาม แต่ภายในนั้นไร้ระเบียบทางกายภาพอย่างน่ากลัว เช่น งานเอกสารที่ท่วมทางเดิน ซึ่งเป็นปัญหาของทุกหน่วยงานราชการตลอดกาล แก้ไม่ได้
ความไร้ระเบียบทางกายภาพนี้ ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นเพียงแค่ประเทศเล็กๆ ที่เราควรเข้ามากอบโกยเอาผลประโยชน์เมื่อมีโอกาส และก็กลับไปยังความศิวิไลซ์ของเราโดยเร็ว เมืองไทยไม่ใช่ประเทศที่ควรเข้ามาปักหลักลงทุนหรืออยู่อาศัยอย่างยาวนานหรือถาวร เพราะเป็นการยากที่เราจะปกครองคนชาตินี้ให้อยู่ในระเบียบวินัยได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่เหมาะกับวัฒนธรรมอันเจริญของเรา
ความไร้ระเบียบทางศีลธรรม จริยธรรม ท่านจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ แต่มีการค้าประเวณี และยาเสพติดอย่างเปิดเผยทั่วไป มีการฆาตกรรมกันมาก การฉ้อราษฎร์บังหลวงมีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่ในโรงเรียน มีครูโกงเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ในวัด ซึ่งพระโกงชาวบ้าน หรือราชการหลอกพระและพุทธศาสนิกชน หรือที่สื่อมวลชนทำกับเยาวชน
ตำรวจเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสังคม ทั้งนี้ ไม่ต้องพูดถึงระบบราชการไทย ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นสัญลักษณ์สุดยอดของความไร้ระเบียบทางศีลธรรม จริยธรรม จนกลายเป็นสาเหตุบ่อนทำลายรากฐานของสังคมไทยให้ผุกร่อน เห็นได้จากการที่กลไกของรัฐไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาสังคมและศีลธรรมได้เลย
ผู้นำทางศีลธรรมและจริยธรรม อันได้แก่ พระ ครู สื่อมวลชน ฯลฯ ได้เสื่อมอิทธิพลในการนำจิตใจลงอย่างมาก เพราะถูกเงินเข้าครอบงำ ทั้งโดยเจตนาในทางทุจริตจริงๆ และโดยสถานการณ์บังคับ
ส่วนผู้นำประเทศและชนชั้นนำในสังคมก็ล้มเหลวในทางศีลธรรมและจริยธรรมโดยสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ชัดในแวดวงการเมือง สังคมไทยยังคง "ยอมรับนับถือ" นักการเมือง และข้าราชการระดับสูง ซึ่งมีประวัติไม่สะอาด หรือพฤติการณ์ที่น่ารังเกียจ พวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย
หรือในวงการแพทย์ ซึ่งเคยเป็นวิชาชีพที่สังคมให้เกียรติอย่างมาก กลับมีกรณีฉาวโฉ่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในวงการผู้พิพากษา ก็มีกรณีที่ทำให้สถาบันต้องมัวหมองอยู่เนืองๆ เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยนั้นที่หวังพึ่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างจริงจังมีน้อยมาก ปัญหาเด็กหาที่เรียนในกรุงเทพฯ กลายเป็นตลกเศร้าของพ่อแม่ตลอดกาลชั่วนาตาปี ฯลฯ
ในทางกฎหมาย ปรากฏว่ามีความไร้ระเบียบจนการใช้กฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมาถึงระดับระเบียบปฏิบัติต่างๆ เกิดความวุ่นวายไปหมด สิ่งที่น่าขันก็คือ ในเรื่องเรื่องหนึ่งอาจมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันมากมายหลายฉบับ และให้อำนาจบุคคลต่างๆ ไว้แตกต่างกัน ทำให้สังคมไทยอยู่บนช่องว่างของกฎหมายมากกว่าตัวบทกฎหมายเอง
ตัวอย่างที่ดีก็เช่นว่า เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น สำนักงานการบริหารราชการแผ่นดิน นายกรัฐมนตรีเกือบไม่ต้องรับผิดชอบเลย โดยอ้างว่าอำนาจต่างๆ เป็นของรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีก็อ้างว่าเป็นอำนาจของปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวงก็อ้างว่าเป็นอำนาจของอธิบดี อธิบดีมักจะกล่าวว่า
"เราจะป้องกันมิให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก" โดยไม่มีผู้ใดแสดงความรับผิดชอบตามกฎหมายจริงๆ เลย
และเมื่อมีผู้ถามว่า เหตุใดจึงมีกฎหมายที่ทำให้เกิดช่องว่างดังกล่าวมากเหลือเกิน นักกฎหมายก็จะตอบด้วยความภูมิใจว่า "เพื่อกระจายอำนาจ และให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติ"
ความไร้ระเบียบทางกฎหมายตั้งแต่ระดับกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศลงมาถึงระเบียบจุกจิกสารพัดเรื่องในหน่วยงานราชการหนึ่งๆ ได้กลายเป็น "ต้นทุน" ในการพัฒนาของประเทศไทยยุคใหม่ ทั้งๆ ที่ประชาชนในยุคนี้มีการศึกษาสูงกว่ายุคก่อนๆ
จึงนับว่าเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง และสะท้อนให้เห็นว่า มันสมองที่แท้จริงในสังคมไทยยังไม่ได้รับการพัฒนา หรือพูดง่ายๆ ยังไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างสรรค์สังคม แม้ว่ากาลเวลาผ่านมาแล้วอย่างยาวนาน
credit :
http://kaeake.blogspot.com/2011/05/blog-post.htmlhttp://www.dek-d.com/board/view.php?id=2357493