เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 23 กันยายน 2025, 18:48:50
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  เนื้อมนุษย์ สยองขวัญ ตำนานแห่งการกินคน
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน เนื้อมนุษย์ สยองขวัญ ตำนานแห่งการกินคน  (อ่าน 7827 ครั้ง)
inAus
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2011, 13:50:27 »

คนกินคน ตำนานสยองขวัญ

                ข้าพเจ้าถามหัวหน้าหมู่บ้านชาวพื้นเมืองในประเทศคองโกในขณะที่เข้าไปเยือนหมู่บ้านแห่งนั้นว่า "หัวหน้าเคยกินเนื้อมนุษย์บ้างไหม" ข้าพเจ้าชี้มือไปที่เนื้อที่เสียบหลายอันที่กำลังรมควันเพื่อเก็บถนอมไว้เป็นเนื้อเค็มประกอบคำพูด เขาพยักหน้าพร้อมกับกล่าวเป็นภาษาพื้นเมืองว่า "แน่นอน แล้วคุณล่ะเคยลองไหม หัวหน้าตอบอย่างไม่ต้องคิด ไม่พูดเปล่าเขาเดินไปหยิบเนื้อตากแห้งพวงใหญ่มาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าส่ายหน้าปฏิเสธ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจข้าพเจ้าที่รังเกียจสิ่งที่เขาหยิบยื่นด้วยไมตรีจิต
                บันทึกของเฮอร์เบิร์ต วาร์ด  จากเรื่องเสียงจากคองโก

                เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมคนถึงต้องกินคน
                เนื้อคนมันอร่อยหรือเปล่า
                รู้ไหมครับว่าคำตอบของพวกที่กินคนคือ มันไม่อร่อยสักนิด เหม็นด้วยซ้ำ
                แต่ทำไมพวกเขาต้องกินเนื้อคน เพราะเหตุใด ทำไม
                และทำไมปัจจุบันนี้ฆาตกรที่ฆ่าคนเพื่อกินเนื้อคนถึงเพิ่มขึ้น
                เรากินคนเพื่ออะไรกันแน่?
                จากการสันนิษฐานของผู้รู้จากหลายๆ ด้าน ทำให้เราได้ข้อสันนิษฐานและทฤษฏีที่อธิบายได้ว่า ทำไมคนต้องกินคน ได้หลายแบบด้วยกัน ดังนี้

                กินเพราะวัฒนธรรม
               
                แก่นแท้ของการกินเนื้อคนยังเป็นเรื่องเร้นลับอธิบายไม่ได้ว่า มันมีต้นกำเนิดจากที่ใดกันแน่
                นักมานุษวิทยาเชื่อว่า พฤติกรรมการกินเนื้อคนมีมาตั้งแต่ยุคแรกของประวัติศาสตร์ อาจจะเริ่มมาจากมนุษย์ต้องการเอาใจพระเจ้า หรือเพื่อประทานพรความอุดมสมบรูณ์ให้พ้นจากความอดอยาก หรือไม่ก็การกำราบให้ศัตรูเกรงกลัวต่ออำนาจ การนับถือภูตผีปีศาจ การบูชายัญ การทรงเจ้าเข้าผี ด้วยเหตุนี้ทำให้วัฒนธรรมการกินเนื้อคนจึงได้กระจายไปอยู่ที่ต่างๆ ในโลก ด้วยแพร่หลายในเผ่าต่างๆ เช่นในทวีปแอฟริกา ออสเตเลีย นิวซีแลนด์ ตะวันออกไกล และตะวันออกกลาง หรือแม้เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ  แต่วัตถุประสงค์ในการกินเนื้อคนต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละเผ่าแต่ละท้องถิ่น
เช่น
                ที่อินโดนีเซีย และพวกเผ่าอินเดียแดง อิโรเควียนในอเมริกาเหนือ ก็มีเผ่ากินคน โดยเผ่ากินคนเชื่อว่าการกินเนื้อศัตรูจะทำให้วิญญาณและความรอบรู้ของศัตรูถูกดูดซึมเข้าไปไว้ในตัวเองยิ่งกินมากยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ในทางกลับกันบาง  ชนเผ่าวารี แห่งป่าดงดิบอเมซอนกินคนเพื่อแสดงความเคารพ แทนที่จะฝังดินโดยเปล่าประโยชน์
                ชาวแอชแต็คส์ ในประเทศเม็กซิโกโบราณมีประเพณีบูชายัญเพื่อบูชายัญเทพเจ้า โดยหากไม่บูชาเทพเจ้าจะบันดาลความพินาศแก่ชนเผ่า
                แม้ลิทธิบูชายัญและกินเนื้อศัตรูจะเป็นความเชื่อที่สืบทอดจากบรระบุรษเป็นร้อยเป็นพันปีก็ตาม แต่ก็สาเหตุที่เผ่ากินคนต้องยุติกินศพถวาร เช่นกัน อันเนื่องมาจาก เมื่อพวกเขาพบว่าหลังจากการกินเนื้อคนแล้วจะทำให้เกิดโรคระบาดประหลาดที่เรียกว่า โรคคูรู ซึ่งเกิดจากการกินเนื้อคน โดยติดจากน้ำมูก น้ำลาย มีอาการเหมือนโรควัวบ้า ซึ่งเมื่อพวกเขาทราบสาเหตุของโรครบาด เผ่ากินคนเหล่านั้นก็ยุติการกินเนื้อศพ ตั้งแต่นั้นมา
                อีกสาเหตุหนึ่งคือการเผยแพร่คริสต์ศาสนาของบรรดามิชชันนารีก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้เผ่ากินคนหยุดเสพเนื้อมนุษย์ด้วยกัน จากข้อมูล แน็ทชันแนล จีออกร๊าฟฟิค ระบุว่า "ด้วยคริสต์ธรรมทำให้ชาวฟิจิหันมานับถือพระเจ้ามนคริสต์ศาสนาแทนพระเจ้ากระหายเลือด และปลดปล่อยเกาะฟิจิจากดินแดนมนุษย์กินคน มาสู่ความเป็นผู้มีอารยะในที่สุด"
           
                กินเพื่ออยู่รอด
                ในโลกมิได้มีแต่มนุษยืกินคนที่เป็นผู้ไร้อายะธรรมเท่านั้น เพราะผู้ที่เจริญด้วยปัญญาและอารยะธรรมก็ยังกลายเป็นมนุษย์กินคนได้เช่นกัน
                ตัวอย่าง
                ในปี ค.ศ. 1846 จอร์จ ดอนนเนอร์นำเพื่อนร่วมเดินทางอันประกอบไปด้วยบุรุษ สตรีและเด็ก จำนวน 89 คน เดินทางข้ามเทือกเขาในรัฐเนวาด้า เพื่อไปคาลิฟอร์เนีย แต่สภาวะอากาศอันแปรปรวนทำให้การเดินทางวกไปวกมาไม่เป็นไปตามที่ดอนเนอร์ได้กำหนดไว้ เสบียงอาหารและข้าวของจำเป็นในการดำเนินชีวิตหมดลงไปในที่สุด มีผู้คนล้มตายจากความหนาวและความอดอยากเป็นจำนวนมาก
                ผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่งเริ่มตระหนักถึงสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ พวกเขาต้องหาทางรอดเฉพาะหน้าถ้าไม่แก้พวกเขาจะตายกันหมด ดังนั้นการแก้ปัญหานี้คือการกินเนื้อศพของคนที่ตายแล้วเป็นอาหารยังชีพระหว่างการเดินทางแบบไม่มีจุดหมาย เป็นเวลาถึง 6 เดือนก่อนที่จะมีคนมาช่วยเหลือครอบครัวนี้
                นักเดินทางจำนวน 46 คนสารภาพว่าได้ประกอบอาชญากรรมอันสยดสยองด้วยการกินเนื้อคนเพื่อประทังชีวิต ทำให้ครอบครัวนี้ต้องปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมรอบตัวเป็นระยะหนึ่งจึงเข้าสู่สังคมมนุษย์ได้อีกครั้ง
                ในปี ค.ศ.1972 นักเล่นรักบี้กับเพื่อนสนิทและครอบครัวพากันบินจากอูรุวัยไปชิลี เครื่องบินโดยสารประสบอุบัติเหตุตกลงเทือกเขาแอนดิสท่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มีผู้ถึงแก่ความตายจำนวน 13 ศพจากผู้โดยสารทั้งหมด 45 คน อีกหลายสัปดาห์ต่อมามีผู้บาดเจ็บจากเครื่องบินตายอีกหลายศพ หมดหนทางเลือกเพราะไม่สามารถติดต่อจากโลกภายนอกได้ ส่วนหนึ่งจำเป็นต้องดิ้นรนรอดชีวิตด้วยการกินเนื้อศพ ส่วนผูที่ไม่ยอมกินก็อดตายไปที่ละคน สองคน ก่อนที่ผู้รอดชีวิตจำนวน 16 คนจะได้รับความช่วยเหลือจากความตาย และกลับบ้านอย่างปลอดภัย
                ปี 1930 ประเทศรัสเซียผู้คนนับล้านพากันอดอาหารตายภายใต้การปกครองของจอมเผล็ดการ โจเซฟ สตาลิน และอีก 20 ปีให้หลังก็เกิดเหตุการณ์ณ์แบบนี้ขึ้นบนจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งทั้งสองประเทศมีการบันทึกว่ามีการกินเนื้อคนด้วยกันเอง ว่ากันว่าทางรัสเซียเมื่อทราบข่าวนี้ จึงได้สั่งให้ประหารชีวิตคนกินคนไปนับไม่ถ้วน และสั่งจำคุกตลอดชีวิตราว 350 ซึ่งในจำนวนนี้มีพ่อแม่ที่กินลูกขอตัวเองด้วย แต่ในทางประเทศจีนกลับยกย่องผู้สังหารและกินคนว่าเป็นคนหัวเก่าผู้มีคูณูปการต่อระบบอย่างยิ่ง
                สังเกตได้ว่ากรณีนี้ เป็นการกระทำโดยความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะไม่ทำเขาก็จะตาย แต่สำหรับสายตาชาวโลกก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งไม่บังควร น่ารังเกียจ เหี้ยมโหด ไม่ถือเป็นแบบอย่าง

                กินเพราะอาชญากรรม
               
                คราวนี้ก็มาถึงเรื่องของเราสักที
                เป็นเรื่องน่าตกใจอย่างยิ่งที่ปัจจุบันคดีฆาตกรรมเหยื่อเพื่อเลียนแบบพวกมนุษย์กินคนสมัยโบราณเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทวีปยุโรป
                จากแฟ้มคดีฆาตกรรมกินเนื้อคนเริ่มเกิดถี่ขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบศตวรรษที่ผ่านมา
                รูปแบบพื้นฐานของการก่ออาชญากรรมกินเนื้อมนุษย์สามารถแบ่งได้ 4 ลักษณะคือ
                กินเนื้อมนุษย์เพื่อจุดประสงค์ทางเพศ
                กินเนื้อมนุษย์อันเนื่องจากความก้าวร้าวรุนแรง
                กินเนื้อมนุษย์อันเนื่องมาจากความเชื่อและประเพณี
                กินเนื้อมนุษย์เพราะรสนิยมหรือต้องการคุณค่าทางโภชนาการ
                สาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการกินเนื้อคนเพราะอาชญากรรม คืออาการป่วยทางจิตประสาท ซึ่งพบเห็นได้บ่อยๆ ในฆาตกรต่อเนื่อง โดยมีแรงขับดันทางเพศหรือชอบความรุนแรงวิปริต เรียกว่า "ความวิปริตหรือความวิปลาส" หรือรวมเรียกว่า "พาราฟิเลีย" ซึ่งมารากศัพท์ภาษากรีกคือ PHRA หมายถึงผิดปกติกว่าธรรมดา และ PHILIA คืออยู่ใกล้ชิดกัน
                ฟาราฟิเลีย เป็นความเบี่ยงเบนทางเพศและวัตถุ เป็นต้นว่าการติดใจกับการกินเนื้อศพ การชอบสะสมซากศพ มีเพศสัมพันธ์กับศพ
IP : บันทึกการเข้า
inAus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2011, 13:52:00 »

เอาไหมเนื้อราคาถูก?
               
                ฟริตส์  ฮาร์มานน์  เป็นชายชาวเยอรมันเกิดที่แฮโนเวอร์ วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2422 เขาเป็นคนเทิดทูนแม่ที่มีอาการป่วยทุพพลภาพของเขามาก แต่เกลียดพ่อ ชื่อซูลดอร์โอลลอ เป็นช่างไฟฟ้าที่นิสัยออกแปรปรวน และชายรักร่วมเพศ
                และเมื่อพ่อของฮาร์มานน์ข่มขื่นฮามานเข้า นิสัย ฟริตส์  ฮาร์มานน์  ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนก้าวร้าวอย่างรุนแรง ถึงขนาดจับไปรักษาที่โรงพยาบาลบ้า แต่ไม่นานก็ถูกปล่อยตัวออกมา เนื่องจากไม่พบอาการผิดปกติทางจิต
                หลังจากนั้น ฟริตส์  ฮาร์มานน์  จึงกลายเป็นคนเร่รอน เร่ขายของ และลักเล็กขโมยน้อย แต่ตำรวจกับชอบฮามาน เพราะเขามักต่อสู้เมื่อถูกจับกุม แถมยังหัวเราะ พูดเรื่องตลกกับพวกตำรวจอีกด้วย และเป็นนักโทษตัวอย่าง
                พอดีในปี พ.ศ.2561 ที่ฮาร์มานน์จำคุกอยู่นั้น เป็นช่วงหลังสงครามโลก ที่ประเทศเยอรมัน เกิดความสับสนวุ่นวาย กฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ถูกทำลายไปจนหมด คนถือโอกาสทำกำไร คนหลอกหลวงและคดโกงมีอำนาจเหนือบ้านเมืองในภาวะขัดสนนี้
                และเมื่อฮามานถูกปล่อยตัว เขากลับบ้านเกิดที่แฮโนเวอร์ ไปประกอบอาชีพเป็นพ่อค้าขายของในตลาดมืด หรือไม่ก็นักต้มตุ๋นด้านหน้าของสถานีรถไฟ ซึ่งในช่วงนั้นมีผู้คนหลงใหลมาใช้บริการในสถานีรถไฟเป็นจำนวนมาก เช่น พวกอพยพ จากเยอรมัน หรือไม่ก็คนที่ไม่มีบ้า แต่ต้องการเงิน บ้าน หรือความหวัง ที่ต้องการมีชีวิตอยู่
                เมื่อพ่อค้าอารมณ์ร้ายอย่าง ฮาร์มานน์ รู้ดีว่าเขาควรที่จะฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เขาเริ่มเปิดเช่าที่พักอาศัย และทำธุรกิจเป็นคนขายเนื้อหาบเร่ โดยบอกว่าเป็นเนื้อม้า และคนขายเสื้อผ้ามือสอง
                หลายคนสงสัยว่าฮาร์มานน์ เอาเนื้อพวกนี้มาจากไหน เพราะเยอรมันช่วงนี้ขาดแคลนเนื้อขนาดหนัก ทำให้เนื้อขาดตลาด และมีราคามากในตลาดมืด
                แท้ที่จริงแล้วเนื้อที่ฮาร์มานน์ มาขายนั้นไม่ใช้เนื้อม้าแต่เป็นเนื้อคน
                เหยื่อที่ฮาร์มานน์ นำมาฆ่านั้นส่วนใหญ่เหยื่อเหล่านี้จะเป็นวัยรุ่นชายหนุ่ม อายุราวๆ 12-16 ปี ที่หนีออกจากบ้าน หรือหางานทำ ซึ่งเมื่อฮามานเจอเหยื่อเหล่านี้เขาจะเข้าไปตีสนิท รับฟังความทุกข์ และให้คำแนะนำแก่พวกเขา และเมื่อพวกเขาเผลอก็ฆ่า
                ฮาร์มานน์ เป็นที่รู้จักดีในสังคมว่าเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่น เป็นสายชั้นดีแก่ตำรวจ จนตำรวจให้ฉายาแก่เขาว่า "นักสืบ" แต่ฮาร์มานน์ ก็มีข้อแม้ให้แก่ตำรวจว่าต้องไม่สนใจธุริจของเขาเป็นการตอบแทนในการช่วยเหลือ
                ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2561 พ่อแม่ของฟริเดล โรเทอร์ วัย 17 ปี แจ้งความว่าลูกชายของพวกเขาหายไป ล่าสุดมีคนพบเห็นเขาอยู่กับฮาร์มานน์ในห้องเล่นบิลเลียด ตำรวจจำเป็นต้องไปตรวจห้องของฮาร์มานน์ และตรวจดูแค่ผ่านๆ เท่านั้น
                ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ.......................
                แต่ 6 ปี ต่อมา ฮามานน์ถูกนำตัวขึ้นชั้นศาล เมื่อตำรวจค้นห้องเขาอีกครั้ง คราวนี้พบศีรษะของฟรีเดล ที่ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ซ่อนไว้หลังเตาอบ
                ฮามานน์สารภาพว่า เขาผูกมิตรกับเด็กนั้น ก่อนที่จะนำตัวไปที่บ้าน ข่มขืน และฆ่า โดยการกัดที่คออย่างโหดเหี้ยม จากนั้นก็นำศพสับเป็นชิ้นๆ เนื้อจะถูกนำมาขายในราคาถูกๆ กะโหลกและศีรษะจะถูกนำไปทิ้งแม่น้ำเลน
                แต่เมื่อจำคุกไม่นานฮามานน์ก็แหกคุกหนีออกมา และหลบซ่อนตัวจนเรื่องสงบ จนสามารถเดินอวดโฉมในสังคมอีกครั้ง
                กันยายน พ.ศ. 2462 ฮามานน์กลับมาทำชั่วอีกครั้ง คราวนี้เขาได้ผู้ช่วยคนใหม่ชื่อ ฮาร์น  กรานส์  อายุ 20 ปี เด็กหนุ่มที่หนีออกจากบ้าน รูปร่างผอมบาง แต่จิตใจโสมน เกลียดชังมนุษย์เป็นอันมาก เขาแนะให้ฮามานน์ฆ่าเหยื่อ เพื่อที่เขาอยากได้เสื้อผ้าเขาไปขาย
                และฮามานน์ก็ทำตามที่เด็กนั้นขอ
                เมื่อชายสองคนนี้อยู่ร่วมกัน นับตั้งแต่นั้นมา ปีพ.ศ 2566-2567 ก็เกิดคดีเด็กหายเป็นจำนวนถึง 600 คนในแฮโนเวอร์
                และในช่วงที่เกิดคดีสูญหายของเด็กเป็นจำนวนมากนั้นเอง ตำรวจได้พบกะโหลกศีรษะเป็นจำนวนมากที่แม่น้ำเลน
                จนกระทั้ง......ความชั่วร้ายของเขาถูกเปิดเผย  จะว่าไปแล้วอาจเป็นเพราะความบังเอิญก็ได้  เพราะตอนนั้นตำรวจกำลังวุ่นอยู่กับคดีการหายตัวไปของเด็กหนุ่ม ไม่ได้สงสัยสักนิดว่าฮามานน์จะเป็นตัวการ
                ทีแรก ฮาร์มานน์  ฟริตส์  ถูกจับด้วยข้อหาอานาจารและทำร้ายร่างกายต่อเด็กผู้ชายคนหนึ่งบนท้องถนนจนถูกนำมาเข้าซังเตที่โรงพัก
                แม้ว่าจะเป็นคดีเล็กๆ  แต่ตำรวจก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่  เมื่อจับฟริตส์มาแล้ว  ก็ต้องมีการสอบสวนตามปกติ  ได้มีการตรวจค้นห้องของฮาร์มานน์  ฟริตส์
                แต่ตำรวจก็ต้องตะลึง  เมื่อเห็นกองเสื้อขนาดมหึมา  เตรียมจะซักเพื่อนำไปขาย  บางตัวเปื้อนโคลน  บางตัวเปื้อนเลือด  สอบสวนไปสอบสวนมาปรากฏว่าตรงกับเสื้อผ้าของเด็กที่หายสาปสูญไปทั้งเมือง  ซึ่งมีญาติๆของเหยื่อมาแจ้งข้อมูลให้กับตำรวจและรูปพรรณสัณฐาน
                ไปไปมามา  ฟริตส์ก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือก  และทำให้ฮาร์น  กรานส์  ชายหนุ่มคู่โฮโมของฟริตส์ต้องถูกติดร่างแหไปด้วย
               เรื่องราวมีอยู่ว่า   ฟริตส์และฮานส์คู่รักวิปริตได้ร่วมกันฆ่า  และเชือดชำแหละเด็กๆโดยเฉพาะเด็กหนุ่มเหล่านี้ออกมา
               "เพื่ออะไร"ตำรวจขย้อนต่อคำตอบที่ได้รับ
               "ผมนำเนื้อพวกมันไปขายทอดตลาดหมดแล้วครับ"   ฟริตส์ตอบได้หน้าตาเฉ
                "แล้วในฆ่าพวกเขาอย่างไรล่ะ"
                "กัดที่คอ"
                และกองกระดูกริมแม่น้ำ แอในเวอร์นั่นแหล่ะครับ  คือผลงานของเขา  ฮาร์มาน  ฟริตส์  ซึ่งนำมันไปทิ้งเองกับมือ  นับไปนับมารวมกับที่ ฮาร์น  กราส สารภาพว่าเขาร่วมฆ่า  แต่ไม่ได้ฆ่า  มีประมาณ 27 ศพ  แต่ฟริตส์กัลบอกว่า  มันน้อยไปมาก  เพราะเหยื่อของเขาจริงๆน่ะ  มีอยู่ 40 กว่าราย
               ไม่มีคำอุทรณ์ใดใดทั้งสิ้น  ฮาร์มานส์  ฟริตส์ ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ  ส่วนฮาร์น  กราส  ผู้สมรู้ร่วมคิด  ถูกจำคุกตลอดชีวิต และได้รับหย่อนโทษเป็น 12 ปีในเวลาต่มา
                จนบัดนี้ตำรวจก็พิสจูน์ไม่ได้ว่าฮาร์มานน์ฆ่าคนไปกี่ศพกันแน่ แต่ตำรวจสันนิษฐานว่า เขาน่าจะฆ่าเด็ก 2 คน ในทุกๆ สัปดาห์
IP : บันทึกการเข้า
chamin nichart
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,245


ตุ๊กตาจ๋า


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2011, 14:46:23 »

ซาดิสตัวจริงเลยนะเนี่ย
IP : บันทึกการเข้า

ชีวิตคือบททดสอบ
inAus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2011, 16:05:59 »

ซาดิสตัวจริงเลยนะเนี่ย

แบ่งปันกันจ้า...ตัวจริงเค้าออกจะน่าร๊าาากกก  คริๆๆ 
IP : บันทึกการเข้า
chamin nichart
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,245


ตุ๊กตาจ๋า


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2011, 17:10:47 »


แบ่งปันกันจ้า...ตัวจริงเค้าออกจะน่าร๊าาากกก  คริๆๆ 
[/quote]


เอารูปมาโชว์ก่อน  แล้วจะเชื่อ  ง่า......
IP : บันทึกการเข้า

ชีวิตคือบททดสอบ
inAus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2011, 18:27:28 »


แบ่งปันกันจ้า...ตัวจริงเค้าออกจะน่าร๊าาากกก  คริๆๆ 


เอารูปมาโชว์ก่อน  แล้วจะเชื่อ  ง่า......
[/quote]

ไม่รู้ว่าใครบอกว่าเราเหมือน เลน.....คริๆๆ 
IP : บันทึกการเข้า
kannawat
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 285



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2011, 22:54:33 »

อ่านแล้วเศร้า
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!