เด็กวัยนี้ตามหลักสูตรการเรียนการสอน ทางโรงเรียนเขาจะเน้นการฝึกฟัง(นิทาน การสื่อสารในชีวิตประจำวัน) พูด ขีดเขียน(เส้นตรงเส้นโค้ง ตามเส้นประ) ฝึกทักษะพื้นฐานแบบง่ายๆโดยที่ไม่ต้องบังคับ เพื่อไม่ให้เด็กเครียด เรียนตามพัฒนาการของเด็กอย่างสนุกสนาน เพื่อไม่ให้เด็กเบื่อและได้เรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมตามพัฒนาการของเด็ก โดยไม่ควรยัดเยียดเนื้อหาความรู้ให้เด็กมากจนเกินไป จนเด็กรู้สึกเบื่อหน่ายและเห็นว่ายาก ทำให้เป็นสาเหตุเด็กไม่อยากไปโรงเรียน จึงทำให้ผู้ปกครองรู้สึกเครียดไปด้วยกับเด็ก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กแน่นอน นี่คือสาเหตุที่ทางกระทรวงศึกษาจึงมีนโนบายลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้โดยใช้กิจกรรมเสริมต่างๆ เพื่อไม่ให้เด็กเครียดกับการเรียนมากจนเกินไป กำชับทางโรงเรียนไม่ให้การบ้านกับเด็กในเมื่อเด็กเรียนเข้าใจในห้องเรียนแล้ว โรงเรียนน่าจะเข้าใจตรงกัน แต่อย่าลืมว่าทุกวันนี้การศึกษามันเป็นธุรกิจที่แข่งขันกันสูง พ่อแม่ยอมทุ่มเทเงินเพื่อให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนที่มีการแข่งขันกันสูง ทางโรงเรียนจึงทุ่มเทเรื่องวิชาการให้กับเด็กมากเพื่อที่จะให้เด็กเก่งและเข้าสอบใน ร.ร.ดังๆได้ นี่คือจุดขายของเขาที่จะชักจูงให้ผู้ปกครองนำลูกหลานมาเข้าเรียนเยอะๆ ลองคิดดูว่าในโรงเรียนดังๆ จะเห็นว่าเด็กเยอะมีทั้งคนเก่งและเรียนพอไปได้ก็เยอะ อ่อนก็มาก เวลาไปสอบที่ไหนก็มีเปอร์เซนต์ที่จะได้สูง ผู้ปกครองจึงเข้าใจว่า ร.ร.นี้สอนเก่ง มันก็ธรรมดาคนเก่งมากองอยู่ตรงนี้เยอะก็สอบได้เยอะ ในความคิดของผมตอนนี้ ร.ร.ของรัฐเกือบทุกโรงเขามีครูสอนที่เก่ง และเข้าใจพัฒนาการของเด็กดีมีเยอะครับ ท่านลองประเมินดูซิว่าลูกและพ่อแม่มีความสุขหรือไม่ถ้าเรียนแบบนี้ ถ้าหากไม่ ก็ควรหาทางออกให้ลูกได้ ถ้าอยากให้ลูกได้เรียนรู้ตามพัฒนาการ แล้วในที่สุดลูกของท่านก็จะเก่ง ดี มีความสุข การใส่ใจลูกหลานเป็นสิ่งที่ดีและเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กเรียนเก่งได้ครับ
ขอบคุณพี่มากๆสำหรับคำแนะนำครับ ผมเห็นด้วยกับพี่นะครับ จริงๆผมก้กลัวว่าเด็กจะเคลียดเกินไปแหน่ะครับ 