สวัสดีครับครูณุ
ขอร่วมแจมกลอนฝนๆ ด้วยคนครับ งานเก่าปี 53
อีกฝน๑.ตกมาเถิดฟ้าฝนวันหม่นมืด
ดูซิพืชใหญ่น้อยละห้อยหา
รอเพียงพระพิรุณกรุณา
หลั่งน้ำตาแวววับ ป ร ะ ดั บ ด า ว…..
………………………….
๒.และแล้วฝนแรกก็ลงเม็ด
ไก่เป็ดวิ่งเกรียวกันเจี๊ยวจ๊าว
กระรอกเจ๊าะแจ๊ะจะแทะจาว
เจาะพร้าวเป็นโพรงจนโตงเตง
เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโพล่งจากโพรงผุ
พายุกราดเกล็ดแต่เม็ดเป้ง
หลังคาสังกะสีก็คีย์เพลง
เปาะแปะโป๋งเป๋งกันเครงครื้น
ลมพัดเพิงพังหลังคาพับ
เผลอหลับผึ่งพุงสะดุ้งตื่น
อึ่งอ่างครางคำอย่างกล้ำกลืน
ขมขื่นคล้ายอย่างเสียงครางควาย
เป็นคืนเป็นค่ำแห่งน้ำฝน
น้ำล้นราวดั่งจะพังฝาย
กัดเซาะซัดฝั่งพังทลาย
ขุ่นคล้ายโคลนขังลูกรังคล้ำ
จนซาเม็ดหมาดฝนขาดเม็ด
แซ่เสียงอึงเอ็ดนกเป็ดน้ำ
ว่ายโผโผล่มุดแล้วผุดดำ
น่าจับไปทำเป็ดน้ำแดง
ย่อมบอกเวลาว่าฟ้ารุ่ง
เรียวรุ้งรอฉายประกายแสง
ดินชื้นชื่นผักและฟักแฟง
เรียกแรงพรรณพืชผู้มืดมน
ขอบฝั่งขังฝนสีข้นคลั่ก
ดอกรักสีม่วงสิร่วงหล่น
ใบไม้ใบน้อยที่ลอยวน
อับจนทางไปหรือไรกัน
สุรีย์ดวงเก่ากับเช้าใหม่
นาฬิกาไพรคือไก่ขัน
ยินดีต้อนรับดวงตะวัน
สู่ขวัญอกพ่อผู้พอเพียง
โน่นครัวบ้านนั้นขึ้นควันขาว
โขกพริกหุงข้าวกับสับเขียง
หอมกลิ่นพะแนงกับแกงเลียง
กลางแสงตะเกียงน้ำมันก๊าด…..
…………………………
๓.ลำคลองคุ้งขุ่นโคลนแสงโชนฉาย
เสียงพระพายเรือบดบิณฑบาต
ทุกจ้ำจ้วงหลวงตาเจ้าอาวาส
ตามรอยศาสดาภิกขาจาร
ข้าวสุกใส่ในขันกลิ่นควันกรุ่น
แกงเลียงอุ่น..ฝอยทองคือของหวาน
เรือเทียบท่าตายายถวายทาน
บนสะพานไม้เก่าเช่นเช้านั้น
แมลงปอวางไข่ ใบไผ่ร่วง
ต้นมะม่วง ลมลูบก็วูบหวั่น
เสียงระหัดกังวานเมื่อวานวัน
ก็เงียบงันเสียงรัวลงชั่วคราว
กระยางย่ำกอจากจ่อปากจิ้ม
ก๊วนปลากริมหนีกรูเข้ารูพร้าว
ที่กระรอกเจาะกลวงจนร่วงกราว
เรือหางยาวแล่นลั่นสนั่นบาง
หอมมะลิดอกรักที่ถักร้อย
มาลัยน้อยวางเหนือหัวเรือหาง
เขาแล่นแรงแข่งกัน..พอควันจาง
แม่ย่านางกุมอก..เธอตกใจ…!
ต้นมะพร้าวที่ปลูกจากลูกพร้าว
ยอดทางยาวอีกครึ่งก็ถึงไหล่
หลังฟ้ารั่วหัวอกแห่งนกไพร
ก็โผไปสู่แสงสุดแรงบิน….
……………………..
๔.คือเรื่องราวผ่านมาในจารึก
ที่บันทึกทำนองแห่งท้องถิ่น
ยังโลดเล่นเต้นไหวยังได้ยิน
อยู่ในจินตนาการนานนิรันดร์
คือเวทย์มนต์ฝนแรกอันแตกตื่น
คือค่ำคืนพฤติกรรมที่ขำขัน
วันนี้ข้าคืนดงอย่างงงงัน
บ้านจัดสรรโผล่ผุดจนสุดตา
แผ่นดินล่มสมบัติถูกตัดขาย
บนน้ำตาหลั่งรายของยายย่า
ทางคอนกรีตทับทางระหว่างนา
ไร้หลังคาสังกะสีเคยคีย์เพลง
คลองรกแล้งแห้งน้ำและคล้ำเน่า
แลว่างเปล่าลิบโล่งจนโหวงเหวง
ฤๅเรือหางผุพังจึงวังเวง
ฤๅนักเลงเรือจอดเพราะถอดใจ
ข้าหยุดยืนมองโคนลำต้นพร้าว
ครั้งหนึ่งยาวแค่ครึ่งไม่ถึงไหล่
วันนี้สูงสุดเท่ากับเสาไฟ
การเติบใหญ่..เปลี่ยนปรับ..และอับปาง
มืดเมฆฝนหม่นดำมาคล้ำเขียว
เพียงครู่เดียวสายฝนก็หล่นพร่าง
เหมือนมาเตือนมารับการกลับบาง
ผู้เคว้งคว้างวงเวียนการเปลี่ยนแปลง
ข้ายังอ่านบันทึกจนสึกกร่อน
ตัวละครตัวเดิมไม่เติมแต่ง
ไม่มีผู้กำกับการแสดง
แต่พร้อมแบ่งปันสุขเช่นทุกครั้ง
มองโลกที่ติดปีกกับอีกฝน
บางเหตุผลไม่อาจจะคาดหวัง
อย่าคาดหมายสิ่งที่ไม่จีรัง
แม้กระทั่งศรัทธา..ของข้าเอง….
๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓