เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 03 พฤษภาคม 2024, 08:02:05
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 [20] 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 440254 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #380 เมื่อ: วันที่ 22 พฤศจิกายน 2011, 18:51:35 »

อดีตรองนายกฯ แนะจับตาดุลอำนาจจีน-อเมริกาในอาเซียน เกาะติดจีน-GMS

เชียงราย - มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเวทีถกนโยบายเศรษฐกิจจีนที่มีผลต่อไทย ดึง “กร ทัพพะรังสี” ขึ้นเวที ชี้วันนี้ต้องจับตาอเมริกาบุกอาเซียน เกาะติดปมพม่าทิ้งจีน สั่งรื้อโครงการท่อน้ำมัน-ก๊าซ 1,500 กม.จากอ่าวเมาะตะมะ-หยุนหนัน ทั้งที่จีนทุ่มทุนไปแล้วหลายพันล้าน หวั่นคดียิงเรือจีนกลางน้ำโขงกระทบสัมพันธ์ไทยในระยะยาว
       
       วันนี้ (22 พ.ย.) ที่ห้องเชียงแสน อาคารสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) อ.เมือง จ.เชียงราย ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร และสถาบันขงจื้อ มฟล.ได้จัดปาฐกถาพิเศษ “นโยบายเศรษฐกิจจีนที่มีผลกระทบต่อธุรกิจไทย” เนื่องในโอกาสครบรอบการสถาปนา 13 ปี มฟล. ในปี 2554 โดยมีนายกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายกสมาคมมิตรภาพไทย-จีน ร่วมบรรยายพิเศษ มีประชาชนทั่วไป และนักศึกษาเข้ารับฟังประมาณ 100 คน
       
       นายกรได้เล่าถึงความสัมพันธ์ไทย-จีน ว่า มีมาเกือบพันปีและพัฒนาเรื่อยมาจนปัจจุบันมีช่องทางติดต่อทั้งที่เป็นทางการ และผ่านทางองค์กรสมาคม โดยเฉพาะสมาคมมิตรภายไทย-จีน ซึ่งความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยมากที่สุดมีมาตั้งแต่ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-จีน หรือเอฟทีเอ เมื่อปี 2546 เป็นต้นมาและขยายไปยังกลุ่มประเทศต่างๆ ทั้งอินเดีย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฯลฯ กระทั่งเป็นกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ
       
       เฉพาะกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้องคือไทย-จีน ก็มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน และไทย-อินเดีย มีประชากร 1,300 ล้านคน ส่วน 10 ประเทศอาเซียนมีประชากรกว่า 400 ล้านคน จึงถือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกที่มีตลาดรวมกันกว่า 3,000 ล้านคน เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งโลก
       
       ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา จีนมีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 10% และในปี 2555 นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารประเทศจากชุดที่มีนายหู จิ่น เทา เป็นประธานาธิบดีและนายเหวิน เจีย เป่า เป็นนายกรัฐมนตรี ไปสู่คนยุคใหม่ ซึ่งกำหนดให้นายฉี่ จิ้น ผิง และนายหลี่ เก้อ เจียง เป็นคณะผู้บริหารใหม่
       
       นายกร บอกว่า สิ่งเหล่านี้ประเทศไทยต้องศึกษาและรู้ข้อมูล เพื่อให้สามารถร่วมมือทางเศรษฐกิจกับจีน ที่มีรูปแบบการบริหารจากบนลงล่างดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
       
       นายกรบอกว่า จีนเน้นนโยบายทางการเมืองเป็นตัวตั้ง และบริหารแบบบนลงล่าง โดยมีตัวอย่างเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน เมื่อตนได้ติดตาม พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรี ไปเจรจาขอซื้อน้ำมันดีเซลจากจีน 200,000 ตันในราคามิตรภาพ เพราะประเทศไทยขาดแคลนอย่างหนัก ซึ่งนายโจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน ได้ตอบตกลงและหารือกับที่ปรึกษาเกี่ยวกับราคามิตรภาพดังกล่าว เมื่อไม่ได้ข้อยุติโดยเร็วนายกรัฐมนตรีจีน ก็ยุติเรื่องด้วยการตอบตกลงขายให้ โดยให้ประเทศไทยไปกำหนดราคาเอาเองด้วย ซึ่งระบบการบริหารงานแตกต่างจากไทย ที่จะนำเสนอผ่านหน่วยงานย่อยต่างๆ ขึ้นไปจนถึงระดับรัฐมนตรีตามขั้นตอน



       แตกต่างจากประเทศไทย ซึ่งยังมีปัญหาเรื่องความมั่นคงของคณะผู้บริหารประเทศที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ล่าสุดรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พบประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างหนัก เมื่อมีคนมาถามตนว่ากรณีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเช่นนี้จะไปถามข้อมูลจากใคร เมื่อตนตอบให้ไปถามรัฐบาล เขาก็ถามกลับในทำนองไม่แน่ใจว่า รัฐบาลจะมีอายุอยู่เกินต้นปีหน้าหรือไม่
       
       “ล่าสุดมีข่าวนักธุรกิจญี่ปุ่นจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนาม หลัง 7 นิคมอุตสาหกรรมถูกน้ำท่วมหนัก เพื่อนของตนที่เป็นนักธุรกิจญี่ปุ่นระบุหากเขาย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามเขามีความมั่นใจว่าปีหน้าจะมีคณะผู้บริหารประเทศชุดเดิมแน่นอน”
       
       อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาคเอกชนไทย-จีน ก็ยังคงมีการลงทุนย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีกลุ่มทุนไทยที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในจีนหลายกลุ่ม เช่น กระทิงแดงของกลุ่มนายเหยียน ปิน คนสองสัญชาติไทย-จีน ซึ่งรวยเป็นอันดับ 4 ในประเทศจีน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ และกลุ่มน้ำตาลมิตรผล
       
       นายกร ระบุว่า อนาคตตนอยากให้ประเทศไทยมุ่งให้ความสำคัญกับกลุ่ม GMS (Mekong Greater Sub region) มากกว่ากลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ เพราะกลุ่ม GMS ประกอบด้วยจีน ไทย พม่า สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งจีนมีสิทธิ์ในการเข้าประชุมได้โดยตรงไม่ต้องรับเชิญ ส่วนกลุ่มอาเซียน ซึ่งแม้จะมีอาเซียนบวก 1 คือบวกจีน แต่จีนก็เป็นเพียงประเทศที่ได้รับเชิญเท่านั้น จึงควรให้ความสำคัญ GMS มากที่สุด เพราะจะช่วยสร้างประโยชน์ให้ไทยได้มาก
       
       สำหรับข้อสังเกตในภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับไทย-จีน คือ การกลับมามีบทบาทของประเทศสหรัฐอเมริกา ในภูมิภาคอาเซียน - ทะเลจีนใต้อีกครั้ง และประเทศต่างๆ ในภูมิภาคก็เริ่มมีความสัมพันธ์กับจีนผิดแผกไปจากเดิม โดยเมื่อเดือนตุลาคม 54 ที่ผ่านมา ประเทศพม่าซึ่งมีการเลือกตั้งและมีประธานาธิบดีปกครองประเทศแล้ว ได้ยกเลิกโครงการท่อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ 2 ท่อจากอ่าวเมาะตะมะผ่านพม่าไปยังมณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ ระยะทาง 1,500 กิโลเมตร หลังจากที่จีนลงทุนกับโครงการนี้ไปแล้วประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของโครงการด้วยเงินทุนหลายพันล้านบาท
       
       เหตุการณ์นี้ทำให้ทางการจีนต้องตกตะลึงในเรื่องนี้ เพราะจีนคอยอุ้มชูพม่ามาโดยตลอด ในช่วงที่ถูกประเทศตะวันตกคว่ำบาตร แต่ล่าสุดพม่ากลับจะเชิญนางฮิลลาลี คลินตัน รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไปเยือนด้วย
       
       ในส่วนของประเทศไทย ก็พบมีเหตุการณ์ยิงลูกเรือจีน 2 ลำในแม่น้ำโขงจนเสียชีวิต 13 ศพ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทางการจีนมาก จึงทวงถามหาเหตุผลว่า เหตุใดจึงมีการฆ่าลูกเรือจีนและใครเป็นผู้สั่งการ ซึ่งเรื่องนี้ตนคงจะถูกถามไถ่ในเวลาต่างๆ จากทางการจีนในเร็วๆ นี้ และตนก็ยังไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไรดีด้วย
       ในด้านกลุ่มทุนไทยคือกลุ่มอิตัลไทย ที่ไปลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึกที่เมืองทวาย ประเทศพม่า ก็กำลังจับตามองสถานการณ์เพราะโครงการนี้เป็นท่าเรือใหญ่ที่มีถนนเชื่อมกับ จ.กาญจนบุรี ที่อยู่ห่างกันประมาณ 150 กิโลเมตร ซึ่งหากสำเร็จจะย่นระยะทางการขนส่งสินค้าไทยทางฝั่งมหาสมุทรอินเดียได้มากขึ้น แทนการขนส่งอ้อมไปทางท่าเรือประเทศสิงคโปร์


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000148847
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #381 เมื่อ: วันที่ 25 พฤศจิกายน 2011, 22:23:35 »

ผลบวกต่อไทยหลัง'พม่า'ก้าวรับบทบาทประธานอาเซียนปี 2557

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2011 เวลา 17:59 น.


บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "การเป็นประธานอาเซียนปี 2557 : ก้าวสำคัญของพม่า และนัยยะต่อไทย" ระบุว่า  การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 19 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ที่ปิดฉากลงไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2554 มีข้อสรุปที่สำคัญประการหนึ่งคือ การตกลงรับรองพม่าเป็นประธานอาเซียนประจำปี 2557 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พม่าได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวหลังจากที่เคยสละสิทธิ์การเป็นประธานอาเซียนเมื่อปี 2549 ทั้งนี้ การเป็นประธานอาเซียนปี 2557 ถือว่าเป็นวาระที่เร็วกว่ากำหนดเดิม 2 ปี  และยังเป็นปีที่มีนัยสำคัญต่ออาเซียนค่อนข้างมาก คือ เป็นปีก่อนการก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558  ขณะที่พม่ายังมีประเด็นอ่อนไหวในด้านการเมืองซึ่งหลายประเทศกำลังจับตามองพัฒนาการปฏิรูปทางการเมืองของพม่า

อย่างไรก็ดี ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พม่ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาเป็นลำดับ ตั้งแต่การจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรก ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของพม่าที่ประกาศใช้เมื่อปี 2551 หลังจากนั้นมีการปล่อยตัวนางออง ซาน ซูจี เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2553  การปล่อยนักโทษการเมืองราว 200 รายเมื่อเดือนตุลาคม 2554 และล่าสุดในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2554 รัฐสภาพม่าได้ผ่านร่างกฎหมาย “Peaceful Assembly and Procession Bill” ซึ่งมีสาระสำคัญในการอนุญาตให้พลเมืองชุมนุมประท้วงอย่างสงบได้โดยต้องแจ้งทางการพม่าอย่างน้อย 5 วันก่อนการชุมนุม และอยู่ระหว่างรอการลงนามจากประธานาธิบดีของพม่า สะท้อนถึงก้าวย่างในการปฏิรูปการเมืองของพม่าที่เริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและองค์การสหประชาชาติที่มีกำหนดเยือนพม่าในเร็ววันนี้ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ มีกำหนดเยือนวันที่ 1 ธันวาคม 2554 นี้) บ่งบอกความสนใจของประเทศมหาอำนาจของโลกต่อการปรับตัวของพม่า ซึ่งไทยในฐานะที่เป็นสมาชิกอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับพม่าอย่างต่อเนื่อง ควรจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองต่อพัฒนาการของพม่าและนัยยะต่อประเทศไทย ดังนี้


• บทบาทประธานอาเซียน...เอื้อโอกาสแสดงศักยภาพทางเศรษฐกิจของพม่า
การที่พม่าจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2557 นั้น ก็เป็นเสมือนบททดสอบความพร้อมในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนของประเทศสมาชิกอาเซียนไปในตัว ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยเกื้อหนุนศักยภาพทางเศรษฐกิจของพม่าที่มีอยู่แล้วให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น ด้วยศักยภาพด้านแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งสินแร่ อัญมณีมีค่า รวมทั้งแหล่งพลังงานที่สำคัญอย่างก๊าซธรรมชาติ  รวมทั้งข้อได้เปรียบด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของพม่า ซึ่งเป็นประเทศอาเซียนแห่งเดียวที่มีพรมแดนเชื่อมต่อกับภูมิภาคเอเชียใต้ โดยมีอาณาเขตทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือติดกับประเทศอินเดีย (ระยะทาง 1,463 กิโลเมตร) บังกลาเทศ (ราว 200 กิโลเมตร) และมีทางออกสู่ทะเลทางอ่าวเบงกอล น่าจะช่วยเกื้อหนุนบทบาทพม่าเป็นเสมือนประตูการค้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่ภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรป โดยไม่ต้องอ้อมผ่านช่องแคบมะละกาที่กำลังเกิดปัญหาการจราจรแออัดในปัจจุบัน นอกจากนี้ พม่ายังมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนในธุรกิจหลายสาขา อาทิ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเหมืองแร่ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เป็นต้น

 

 ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2532 จนถึงเดือนสิงหาคม 2554 การลงทุนจากต่างประเทศในพม่ามีมูลค่ารวม 36,117.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของประเทศอาเซียนด้วยมูลค่าลงทุน 13,560.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 38 ของการลงทุนจากต่างประเทศในพม่า โดยไทยเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่สุดจากอาเซียนด้วยสัดส่วนประมาณร้อยละ 77 ของมูลค่าการลงทุนจากอาเซียน (รองลงมาได้แก่ สิงคโปร์ ร้อยละ 13 และมาเลเซีย ร้อยละ 7)

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า จีนเข้ามามีบทบาทด้านการลงทุนในพม่าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2550-2551 และมีบทบาทเหนือการลงทุนของประเทศอาเซียนในพม่าอย่างเห็นได้ชัด ผ่านโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ด้านพลังงานและการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในพม่า จนมีสัดส่วนการลงทุนในพม่าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 ของการลงทุนทั้งหมดในพม่าในปี 2550 เป็นร้อยละ 26 ในเวลาเพียง 3 ปี บ่งชี้ได้ว่า จีนกำลังมีบทบาททางเศรษฐกิจในพม่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยที่สะท้อนอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอาเซียนที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
• นัยยะต่อไทย:
 ไทยมีโอกาสขยายการส่งออกสินค้าไปพม่าเพิ่มขึ้น รองรับการเตรียมความพร้อมเป็นประธานอาเซียน แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยจะมีสถานะขาดดุลการค้ากับพม่าอย่างต่อเนื่อง  แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา ไทยมีแนวโน้มขาดดุลการค้ากับพม่าลดลงเป็นลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ไทยสามารถขยายมูลค่าส่งออกไปพม่าได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การค้าระหว่างไทยกับพม่าส่วนใหญ่เป็นการค้าผ่านชายแดนซึ่งมีสัดส่วนราวร้อยละ 86 ของมูลค่าการค้าโดยรวมของไทยกับพม่า ล่าสุด มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับพม่าในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2554 อยู่ที่ 131,438.6 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยไทยส่งออกผ่านชายแดนเป็นมูลค่า 50,558.1 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 (YoY) และนำเข้าผ่านชายแดนเป็นมูลค่า 80,880.4 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 (YoY) ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าผ่านชายแดนราว 30,322.3 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในระยะสั้นไทยน่าจะมีโอกาสขยายมูลค่าส่งออกไปยังพม่าได้เพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากการเตรียมความพร้อมในการจัดการประชุมอาเซียนในปี 2557 นอกจากนี้ พม่ามีกำหนดจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 ในปี 2556 ด้วย นับเป็นช่วงเวลาที่สอดคล้องกันในการเร่งดำเนินโครงการพัฒนาประเทศหลายด้านเพื่อแสดงศักยภาพของพม่าในเวทีนานาชาติ โดยคาดว่ากิจกรรมเศรษฐกิจของพม่าที่น่าจะขยายตัวนับจากนี้ อาทิ การก่อสร้างสาธารณูปโภค อาคารสิ่งปลูกสร้าง  รวมถึงการปรับทัศนียภาพโดยรอบของนครเนปิดอว์ เมืองหลวงของพม่า อันเป็นสถานที่หลักจัดงานสำคัญดังกล่าว สำหรับสินค้าที่มีศักยภาพในการขยายการส่งออกไปพม่าในระยะข้างหน้า ครอบคลุมทั้งสินค้าเพื่อรองรับกิจกรรมก่อสร้างต่างๆ อาทิ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง ตลอดจนยานพาหนะในการเดินทางและขนส่ง เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งสินค้าไทยยังได้รับความนิยมค่อนข้างมากและมีแนวโน้มขยายตัวดีในตลาดผู้บริโภคพม่า ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยจึงควรเสาะหาโอกาสในการขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับคู่ค้าเดิมและคู่ค้ารายใหม่เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงตลาดพม่า

 อย่างไรก็ดี การขยายการส่งออกไปพม่าอาจต้องเผชิญคู่แข่งทางการค้าจากจีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรกของพม่า ทั้งนี้ แม้ว่าไทยจะเป็นแหล่งนำเข้าที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 2 ของพม่า แต่ด้วยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับพม่าที่มีแนวโน้มใกล้ชิดยิ่งขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ปิดด่านชายแดนไทย-พม่าด้านจังหวัดตากของไทย นอกจากนี้ สินค้าที่พม่านำเข้าจากจีนส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกหลักของไทยด้วยเช่นกัน  อาทิ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สะท้อนให้เห็นว่า สินค้าไทยในพม่ากำลังเผชิญโจทย์ท้าทายมากขึ้นในการครองส่วนแบ่งตลาดในพม่า ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรติดตามความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจของพม่าและคู่ค้าอื่นอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์และหาแนวทางรับมือกับคู่แข่งที่อาจจะเข้ามาในตลาดพม่ามากขึ้นในอนาคตด้วย ซึ่งในระยะยาวคงต้องจับตานโยบายทางการค้าและการลงทุนของพม่าซึ่งอาจเอื้อให้การส่งออกของไทยไปพม่ามีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

 ไทยและพม่ามีโอกาสขยายความสัมพันธ์ทางด้านการลงทุนระหว่างกัน โดยแนวโน้มน่าจะยังเป็นรูปแบบการลงทุนจากไทยในพม่าเป็นหลัก เพื่ออาศัยศักยภาพด้านวัตถุดิบของพม่าและน่าจะสอดรับกับความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจอีกหลายด้านของพม่า โดยเฉพาะการขับเคลื่อนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ระหว่างไทยกับพม่า ที่สำคัญ อาทิ โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ซึ่งได้บรรจุอยู่ภายใต้กรอบการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง-อินเดีย และเป็นส่วนเพิ่มเติมจากเส้นทางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก  (EWEC) ที่เป็นหนึ่งในเส้นทางการเชื่อมโยงระหว่างกันภายในอาเซียน (ASEAN Connectivity) โดยโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายมีมูลค่าโครงการราว 58,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการลงทุนก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมราว 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และท่าเรือน้ำลึกพร้อมสาธารณูปโภคพื้นฐาน (อาทิ ถนน รางรถไฟ โรงไฟฟ้า) เป็นมูลค่าราว 8,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ไทยยังมีโอกาสได้รับอานิสงส์ขยายการลงทุนในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของไทยที่มีพรมแดนใกล้เคียงกับพม่ามากขึ้น โดยธุรกิจที่มีศักยภาพ อาทิ ธุรกิจค้าปลีก การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคต่างๆ  ธุรกิจด้านการเกษตรและเกษตรแปรรูป ธุรกิจประมง และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เป็นต้น
ทั้งนี้ หากพม่ามีพัฒนาการทางการเมืองที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในอนาคต และมีความชัดเจนในการปรับปรุงนโยบายการส่งเสริมการลงทุน  ก็น่าจะเอื้อให้พม่ามีศักยภาพโดดเด่นมากขึ้นในฐานะประเทศฐานการผลิตที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน จากพื้นฐานความพร้อมด้านปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ ปัจจัยแรงงานที่มีอยู่จำนวนมากและค่าจ้างแรงงานยังอยู่ในระดับต่ำ และความได้เปรียบด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เปรียบเสมือนประตูสู่ประเทศตะวันตกอีกด้วย  ขณะที่นโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนและเสรียิ่งขึ้นน่าจะดึงดูดให้นักลงทุนจากหลายประเทศเข้าไปลงทุนมากขึ้น จากที่เคยถูกจำกัดโอกาสขยายการลงทุนในพม่าอันเนื่องมาจากมาตรการคว่ำบาตรของบางประเทศต่อพม่า

 เศรษฐกิจบริเวณชาย

แดนไทย-พม่ามีโอกาสกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยไทยอาจได้อานิสงส์จากการบรรเทาของปัญหาทางการเมืองในพม่า ในแง่ที่เกี่ยวโยงกับสถานการณ์บริเวณชายแดน ซึ่งน่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ในพื้นที่ และกระตุ้นเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-พม่า รวม 7 จังหวัด คือ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ระนอง และประจวบคีรีขันธ์  ซึ่งจังหวัดชายแดนที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในพม่า ได้แก่ จังหวัดตาก อันเป็นช่องทางสำคัญในการส่งออกสินค้าของไทยที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการปิดด่านเมียววดี-แม่สอด ในจังหวัดตาก ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2553  สะท้อนจากการส่งออกผ่านชายแดนจังหวัดตากในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2554 ที่หดตัวลงราวร้อยละ 77 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน  นอกจากนี้ จังหวัดระนอง ยังเป็นอีกจังหวัดชายแดนสำคัญที่มีการส่งออกสินค้าออกไปพม่าค่อนข้างมาก  (โดยเฉพาะในช่วงที่ด่านชายแดนที่ด่านเมียววดี-แม่สอดถูกปิด ทำให้ผู้ประกอบการเลี่ยงมาขนส่งสินค้าผ่านระนองเข้าสู่พม่ามากขึ้น) ด้วยความสามารถในการรองรับการขนส่งสินค้าและเป็นจุดเชื่อมต่อทางยุทธศาสตร์ของไทยกับพื้นที่ตอนใต้สุดของพม่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สำคัญ จึงเป็นโอกาสขยายการส่งออกสินค้าของไทย โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค

 

• ประเด็นที่น่าติดตาม:
 การปฎิรูปทางการเมืองของพม่า อาจต้องอาศัยระยะเวลาในการดำเนินการให้เกิดความคืบหน้าในระดับที่ชัดเจน รวมถึงปัญหาชนกลุ่มน้อยในพม่าที่ยังสร้างความกังวลแก่นักลงทุนต่อสถานการณ์ความไม่สงบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ ด้วยข้อจำกัดที่การเมืองพม่าได้รับอิทธิพลจากผู้นำทางทหารมาเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน อาจส่งผลให้การปรับเปลี่ยนวิถีทางการเมืองต้องดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไปทั้งในด้านกระบวนการและแนวคิด  อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของพม่าที่ดำเนินมาก่อนหน้านี้อาจก่อให้เกิดความหวังจากนานาประเทศต่อการปฏิรูปทางการเมืองที่เด่นชัดจากพม่า นอกจากนี้ การได้รับการรับรองให้เป็นประธานอาเซียนในปี 2557 อาจมีผลช่วยกดดันพม่าให้ต้องเร่งปฏิรูปการเมืองให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อนสมาชิกอาเซียนและนานาชาติมากขึ้นได้
 ท่าทีของจีนและสหรัฐฯ ที่มีต่อพม่า อาจส่งผลต่อแนวทางนโยบายทางการเมืองของพม่าได้ หลังจากที่ในช่วงที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับพม่าเป็นไปอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นผ่านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการลงทุนเป็นจำนวนมากของจีนในพม่า ขณะที่ท่าทีสหรัฐฯที่เริ่มมีสัญญาณของการเจรจาเชิงการทูตกับพม่าจากที่จะมีการส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยือนพม่าเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีของสหรัฐฯ อาจบ่งชี้ได้ว่าสหรัฐฯมีท่าทีสนใจพม่ามากขึ้น และนับเป็นทางเลือกสำหรับพม่าในการใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นสร้างสัมพันธ์กับมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อท่าทีของจีนที่กำลังงัดข้อกับสหรัฐฯในหลายด้านได้ จึงควรติดตามความเคลื่อนไหวและท่าทีของจีนและสหรัฐฯต่อพม่าที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมอาเซียนและไทยได้

 โดยสรุป ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 19 ได้การรับรองข้อเสนอการเป็นประธานอาเซียนของพม่า ในปี 2557 เป็นประเด็นที่น่าจับตามองถึงการเตรียมความพร้อมของพม่า เนื่องจากพม่ายังมีประเด็นอ่อนไหวทางการเมืองอยู่พอสมควร  แม้ว่าพม่าจะได้ทยอยเปลี่ยนแปลงการเมืองให้มีความเป็นเสรีและก้าวสู่ระบอบการปกครองประชาธิปไตยมากขึ้น แต่หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ  ยังมองว่าพม่าจำเป็นต้องปฏิรูปการเมืองให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งการที่รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ มีกำหนดเยือนพม่าในวันที่ 1 ธันวาคม 2554 นี้ อาจจะเป็นการสะท้อนถึงความสนใจของสหรัฐฯที่มีต่อพม่าในเชิงการทูต จากเดิมที่มีการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรมาเป็นระยะเวลานาน แต่ขณะเดียวกันควรต้องติดตามท่าทีของจีนที่มีต่อสหรัฐฯในพม่าด้วยเช่นกัน เพราะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาจีนมีความสัมพันธ์กับพม่าในทิศทางที่ใกล้ชิดผ่านกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ส่วนจีนกับสหรัฐฯนั้นก็ยังมีประเด็นงัดข้อทางเศรษฐกิจระหว่างกัน จึงยากที่จะคาดเดาท่าทีของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและจีนที่อาจมีผลต่อพม่าและอาเซียน

 

ทั้งนี้ การก้าวเข้ารับบทบาทประธานอาเซียนของพม่า อาจกล่าวได้ว่าส่งผลเชิงบวกต่อไทยในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากไทยเป็นสมาชิกอาเซียนที่มีความสัมพันธ์ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านกับพม่า และน่าจะได้อานิสงส์จากการปฎิรูปทางการเมืองของพม่าซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อพม่าและอาเซียน ขณะที่การขยายตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในพม่าเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประธานอาเซียนน่าจะช่วยเอื้อโอกาสการขยายตัวทางการค้า-การลงทุนระหว่างไทยกับพม่า โดยอย่างน้อยในระยะสั้น น่าจะเป็นผลดีกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานและการก่อสร้าง สำหรับในระยะยาว คงต้องจับตาบทพิสูจน์ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพม่า รวมถึงการปรับปรุงนโยบายการค้าการลงทุนของพม่าอย่างใกล้ชิด อันจะเป็นตัวสะท้อนบทบาทพม่าในเวทีอาเซียนและเวทีโลกต่อไป


 
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #382 เมื่อ: วันที่ 29 พฤศจิกายน 2011, 20:23:18 »

สะพานข้ามโขงแห่งที่ 3 นครพนมเปิดวันที่11:11:11

สะพานข้ามโขงแห่งที่ 4 เชียงราย เปิดวันที่ 12:12:12


ภาพ วันที่ 29 /11/11
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #383 เมื่อ: วันที่ 30 พฤศจิกายน 2011, 20:19:00 »

ชียงราย - กรรมาธิการต่างประเทศ ยกทีมลงพื้นที่เมืองพ่อขุนฯ ตามคดีฆ่าหมู่ลูกเรือจีนกลางแม่น้ำโขง รวม 13 ศพ ด้านรอง ผบก.ภ.เชียงราย รับวันเกิดเหตุมีเรือปริศนา 4 ลำประกบ 2 เรือจีนเข้ามาด้วย ขณะที่ปลอกกระสุนทหารไทยบนเรือต้องรอผลพิสูจน์ก่อน
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า นายสุนัย จุลพงศธร ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะได้เดินทางไปรับทราบข้อมูลเพื่อติดตามความคืบหน้าในคดีปล้นเรือจีนแม่น้ำโขงจำนวน 2 ลำ เป็นเหตุให้กัปตันและลูกเรือชาวจีนเสียชีวิตจำนวน 13 ศพ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมา และพบเรือทั้ง 2 ลำติดริมตลิ่งใกล้ถนนสายเชียงแสน-แม่สาย ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน บนเรือพบยาบ้าจำนวน 920,000 เม็ด โดยครั้งนี้มีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร หน่วยรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย ตำรวจ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ด่านศุลกากรเชียงแสน พาณิชย์จังหวัด หอการค้า ผู้ประกอบการค้าชายแดน เข้าร่วมประชุมด้วย
       
       นายสุนัยระบุว่า จากการรับทราบข้อมูลพบว่าคดีนี้ได้สร้างผลกระทบต่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทยและจีนอย่างมาก เพราะทางการจีนได้ระงับการเดินเรือสินค้าที่ขนส่งสินค้าระหว่างเมืองเชียงรุ่งหรือจิ่งหง เขตปกครองสิบสองปันนา มาที่ท่าเรือเชียงแสน 1 อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มาเป็นระยะเวลากว่า 1 เดือนแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถขนส่งสินค้าไป-มา ได้ ในส่วนของคดีก็ทราบว่าได้มีทหารจากกองกำลังผาเมือง 9 นาย เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาตามกระบวนการยุติธรรม ทำให้ประเทศจีนมีความพอใจที่ทางการไทยให้ความสำคัญในคดีนี้
       
       “ที่ผ่านมาก็มีการประชุมร่วมกันหลายครั้งทั้งที่ประเทศจีนและในประเทศไทยของเราเอง ซึ่งในการลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อมาหาข้อมูลเพิ่มเติมทั้งจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการ ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ และตรวจที่เกิดเหตุ พบปะพูดคุยกับชาวบ้านหรือผู้ประกอบการในพื้นที่ นำข้อมูลไปประกอบการพิจารณาในคณะกรรมาธิการ เพื่อร่วมกันคลี่คลายปัญหานี้ร่วมกันต่อไป” นายสุนัยกล่าว
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ในที่ประชุมทาง พ.ต.อ.ทวีชัย ประทีปอุษานนท์ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงราย ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนในระดับจังหวัด กล่าวยอมรับว่า แนวทางสืบสวนสอบสวนมีเสียงปืนยิงบริเวณที่เกิดเหตุ และมีเรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจำนวน 4 ลำบังคับเรือสินค้าจีนทั้ง 2 ลำ ล้ำเข้ามายังเขตแดนไทย แต่ไม่แน่ชัดว่าขณะนั้นมีผู้เสียชีวิตแล้วหรือไม่ แต่มีศพอยู่ในห้องบังคับเรือ 1 ศพ ส่วนอีก 12 ศพที่ลอยมาเกยตื้นริมฝั่งแม่น้ำโขงในเขต อ.เชียงแสน ก็อยู่ระหว่างตรวจสอบว่ามีการยิงกันมาก่อนแล้วหรือไม่
       
       ด้านการสอบสวนนายทหารทั้ง 9 นายซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เบื้องต้นให้การยืนยันว่า ปลอกกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเรือเป็นเพียงการยิงขู่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ได้ทำการนำอาวุธปืน ปลอกกระสุนและหัวกระสุนในที่เกิดเหตุส่งให้หน่วยพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ ว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่ ซึ่งกำลังรอการตรวจพิสูจน์อยู่
       
       ขณะที่ พ.อ.ถนัดพล โกศัยเสวี ผบ.ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง ยืนยันว่า นายทหารทั้ง 9 นายที่ถูกทางตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาเป็นชุดปฏิบัติงานที่มาเสริมในพื้นที่ เพื่อดูแลสถานการณ์ด้านความมั่นคงและสกัดกั้นยาเสพติด เนื่องจากระยะหลังตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.54 เป็นต้นมา มีเหตุปล้นสะดมเรือสินค้าในแม่น้ำโขง เกิดการปะทะกันจนมีข่าวการแก้แค้นและพยายามลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในเขตไทยบ่อยครั้ง ซึ่งมีบันทึกหลักฐานจาก ป.ป.ส.ให้เฝ้าระวัง ส่วนการยิงปะทะกันนั้นไม่ทราบแน่ชัด ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่เกี่ยวกับกองทัพ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #384 เมื่อ: วันที่ 07 ธันวาคม 2011, 21:05:21 »

ลมหนาว-น้ำลด คนแห่เที่ยวเชียงราย ขณะท้องถิ่นทยอยจัดงานรับ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   7 ธันวาคม 2554

เชียงราย - สภาพอากาศที่หนาวเย็นลงต่อเนื่อง ขณะที่น้ำท่วมกรุงเริ่มทุเลา ทำคนแห่ขึ้นเหนือท้าลมหนาวที่เชียงรายหนาตามากขึ้น เชื่อ ปีนี้ไม่ซบเซาแน่ เม็ดเงินกระจายลงผู้ประกอบการขนาดเล็ก-กลาง มากขึ้น ด้านองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ทยอยจัดงานรับหลายพื้นที่
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ขณะนี้การท่องเที่ยวของ จ.เชียงราย คึกคักขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากสภาพอากาศหนาวเย็น และสถานการณ์น้ำท่วมที่ภาคกลางและกรุงเทพฯ ทุเลาลงได้ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเริ่มมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหนาตามากขึ้นด้วย ลดความกังวลของหลายฝ่ายที่มองว่าการท่องเที่ยวจะซบเซาลง เพราะเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยและปัญหาทางการเมือง
       
       นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย เปิดเผยว่า สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีนักท่องเที่ยวไปเยือนเป็นจำนวนมาก ทั้งแม่สาย ดอยตุง ภูชี้ฟ้า วัดร่องขุ่น ฯลฯ ขณะที่โรงแรมห้องพักมีการเข้าพักและจองกันเกือบเต็ม โดยเฉพาะช่วงวันหยุดยาว ส่วนหนึ่งเพราะสถานการณ์น้ำท่วมทุเลาลงไปมากแล้ว ประกอบกับมีวันหยุดยาว และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เคยจองทัวร์ไปยังกรุงเทพฯ และภาคกลาง ได้ยกเลิก แล้วหันมาเดินทางขึ้นภาคเหนือแทน
       
       “คาดว่า ในภาพรวมสถานการณ์ไม่น่าจะซบเซา แต่คงจะดีขึ้นตามลำดับ โดยมีงานกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นประจำปีช่วยส่งเสริมได้มาก เช่น งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 เป็นต้น”
       
       นายอภิชา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม จากสถิติปี 2553 หน่วยงานภาครัฐรายงานว่า มีนักท่องเที่ยวและผู้ไปเยือน จ.เชียงราย รวมประมาณ 2.2 ล้านคน และสร้างรายได้เข้าจังหวัดมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท แต่ไม่มีความชัดเจน ว่า เม็ดเงินดังกล่าวได้กระจายไปยังภาคเอกชนขนาดกลางและเล็ก หรือไม่ ดังนั้น ปีนี้ทางภาคเอกชนจึงจะทำการตรวจสอบลงไปถึงภาคเอกชนขนาดกลางและเล็ก รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ฯลฯ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการประกอบการพัฒนาการท่องเที่ยวต่อไป
       
       ในปีนี้ทางจังหวัดกำลังได้รับการพิจารณางบประมาณเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวจำนวนประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งภาคเอกชนคงจะมีการนำเสนอไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่ ให้ช่วยใช้งบประมาณมาพัฒนาภาคการท่องเที่ยวให้ได้ตลอดทั้งปี และกระจายให้ได้ทั่วถึงต่อไป เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเมืองเชียงรายมีอายุครบ 750 ปี ในปี 2555 ต่อไป
       
       ทั้งนี้ ในห้วงฤดูหนาวเชียงราย ซึ่งคาบเกี่ยวเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2554 ต้อนรับปีใหม่ 2555 พบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งได้มีการจัดกิจกรรมกันอย่างคึกคัก
       
       นางรัตนา จงสุทธนามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย กล่าวว่าเชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศ ที่มีภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการทำการปลูกดอกไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว ซึ่งอากาศเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของไม้ดอกไม้ประดับ ที่มีความสวยงาม ทั้งสีสันและชนิดพันธุ์ที่แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ซึ่งจังหวัดได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองแห่งดอกไม้งามมาโดยตลอด
       
       ดังนั้น ปีนี้จึงมีการจัดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 ธ.ค.2554-วันที่ 3 ม.ค.2555 ณ บริเวณสวนไม้งามริมน้ำกก เชิงสะพานเฉลิมพระเกียรติ 1 ต.ริมกก อ.เมือง ทั้งนี้ เพื่อให้งานเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 750 ปี เมืองเชียงรายด้วย
       
       ภายในงานจะมีการจัดอุทยานไม้ดอกเมืองหนาว ดอกทิวลิป ลิลลี่ อุทยานกล้วยไม้ การประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม จัดข่วงวัฒนธรรมล้านนา และชนเผ่า การจัดจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น สำหรับพิธีเปิดงานในวันเสาร์ที่ 24 ธ.ค.2554 โดยจะจัดขบวนแห่รถบุปผาชาติและพิธีเปิดงานที่ยิ่งใหญ่
       
       ด้านนายวุฒิพงศ์ สุวรรณโชติ นายก อบต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า อบต.แม่สลองนอก ร่วมกับ อ.แม่ฟ้าหลวง และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมีกำหนดจัดเทศกาลชิมชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ดอยแม่สลอง ครั้งที่ 16 ณ สนามกีฬาโรงเรียนบ้านสันติคีรี ต.แม่สลองนอก ระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.2554-2 ม.ค.2555 โดยมีกิจกรรมลานบ้านชนเผ่า เช่น โล้ชิงช้า ชิงช้าชนเผ่า ฯลฯ รวมทั้งมีการออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะผลไม้อบ ชา กาแฟ การแสดงศิลปวัฒนธรรมชนเผ่า 7 ชนเผ่า คือ ลาหู่ จีนยูนนาน อาข่า ลัวะ เมี้ยน ไทยใหญ่ และ ลีซู
       
       ขณะที่ นายกนก จินดายก ปลัด อบต.วาวี อ.แม่สรวย กล่าวว่า อบต.วาวี ร่วมกับ อ.แม่สรวย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีกำหนดจัดงานเทศกาลชิมชาวาวี รสดีกาแฟดอยช้าง โดยกำหนดจัดงานขึ้นในวันที่ 31 ธ.ค.2554-3 ม.ค.2555 ณ เวทีกลางบ้านวาวี หมู่ที่ 1 ต.วาวี อ.แม่สรวย เพื่อร่วมฉลองสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย และส่งเสริมผลิตผลการเกษตร ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสืบสานวัฒนธรรม 7 ชนเผ่า การแสดงมินิไลท์แอนด์ซาวด์ตำนานชาววาวี การแสดงวิถีชีวิตวัฒนธรรมชนเผ่า การแข่งขันกีฬาชนเผ่า จัดประกวดธิดาชา-กาแฟ จัดประกวดอาหารชนเผ่า และการแข่งขันวาวีมินิมาราธอน ครั้งที่ 1
       
       การแข่งขันวาวีมินิมาราธอน ครั้งที่ 1 จะจัดขึ้นวันที่ 31 ธ.ค.2554 ณ ลานกีฬาบ้านวาวี เวลา 06.00 น.โดยแบ่งเป็นประเภทการแข่งขันเป็นชาย รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี รุ่นอายุ 16-19 ปี รุ่นอายุ 20-29 ปี รุ่นอายุ 30-39 ปี รุ่นอายุ 40-49 ปี รุ่นอายุ 50-59 ปี รุ่นอายุ 60 ปีขึ้นไป ส่วนประเภทหญิง รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี รุ่นอายุ 16-39 ปี และรุ่นอายุ 40 ปีขึ้นไป มีรางวัล เป็นรางวัลชนะเลิศที่ 1 ได้รับเงิน 500 บาทพร้อมถ้วยรางวัล
       
       ส่วนรางวัลที่ 2 ได้รับเงิน 300 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและรางวัลที่ 3 ได้รับเงิน 200 บาท พร้อมถ้วยรางวัล ผู้สนใจให้สมัครตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2554 ก่อนการแข่งขัน ค่าสมัครคนละ 100 บาท ผู้สนใจให้สมัครและติดต่อสอบถามได้ที่ อบต.วาวี โทรศัพท์ 053- 605950

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000155674
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #385 เมื่อ: วันที่ 15 ธันวาคม 2011, 19:55:38 »

ชมทิวลิปบานที่ลานริมกก ในงาน “เทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม”



เชียงรายจัดงาน “เทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8” ตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค. 54 - 3 ม.ค. 55 ณ บริเวณสวนไม้งามริมน้ำกก อ.เมือง จ.เชียงราย ใกล้สนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ชมดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ และร่วมเฉลิมฉลองสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย

นางรัตนา จงสุทธนามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า เชียงรายมีภูมิประเทศสวยงาม มีความโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของชาวล้านนา ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมอันหลากหลายของชาติพันธุ์ต่างๆ อีกทั้งยังมีภูมิอากาศที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกไม้ดอกเมืองหนาว องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายจึงได้จัดงาน “เทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม” ในช่วงฤดูหนาวเป็นประจำทุกปีต่อเนื่องเรื่อยมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 จนถึงปัจจุบัน โดยการจัดงานครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองสมโภช 750 ปี เมืองเชียงรายอีกด้วย โดยได้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่วันที่ 24 ธันวาคม 2554 - 3 มกราคม 2555 ณ บริเวณสวนไม้งามริมน้ำกก (ใกล้สนามบินแม่ฟ้าหลวง)

วัตถุประสงค์ในการจัดงานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของจังหวัดเชียงราย เสริมสร้างรายได้แก่ประชาชนและส่งเสริมพัฒนาให้จังหวัดเชียงรายเป็นแหล่งผลิตไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวที่มีคุณภาพ โดยการจัดแสดงดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ และนำดอกทิวลิปที่เพาะปลูกในจังหวัดเชียงรายมาเป็นจุดเด่นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาชมโดยไม่ต้องเสียเดินทางไปไกลถึงต่างประเทศ

ภายในงานจัดให้มีสวนเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นอุทยานไม้ดอกไม้ประดับที่แสดงถึงความจงรักภักดีของเหล่าพสกนิกรชาวเชียงราย และชาวไทยทุกหมู่เหล่า อุทยานไม้ดอกเมืองหนาวนานาพันธุ์ ดอกลิลลี่และทิวลิปหลากสีหลายสายพันธุ์ รวมทั้งประติมากรรมดอกไม้รูปทรงต่างๆ เช่น อุโมงค์ดอกไม้ พร้อมไม้ยืนต้นลีลานานาชนิด อุทยานกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์ ที่เป็นผลผลิตจากเกษตรกรผู้เลี้ยงกล้วยไม้ในจังหวัดเชียงราย การประกวดขบวนรถบุปผชาติ การแสดงงานฝีมือและการประดิษฐ์ดอกไม้ใบตอง การประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม ศึกษาวิถีชีวิตในข่วงวัฒนธรรมล้านนาและชนเผ่า โดยการจำลองวิถีชีวิตชนชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรมที่มีการหล่อหลอมรวมกันเป็นอารยะทางวัฒนธรรมได้อย่างผสมกลมกลืนในรูปแบบนิทรรศการมีชีวิต นอกจากนี้ภายในงานยังได้นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของดีเมืองเชียงรายมาจัดจำนวนหลายร้อยร้านค้า ทั้งชาและกาแฟจากยอดดอย และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

และในวันที่ 24 ธันวาคม 2554 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไปเชิญชมขบวนรถบุปผาชาติที่ตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์จากส่วนราชการ สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชน กว่า 20 แห่งโดยเริ่มขบวนที่หน้าโรงเรียนสามัคคีวิทยาคมเคลื่อนไปตามถนนบรรพปราการถึงห้าแยกพ่อขุนเม็งรายมหาราชในเวลา 18.00 น. ชมพิธิเปิดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามที่ยิ่งใหญ่อลังการกับการแสดงมินิไลน์ แอนด์ ซาวนด์ ณ บริเวณสวนไม้งามริมน้ำกก และวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ขอเชิญร่วม Countdown ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นและดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ในบรรยากาศแห่งล้านนา


http://www.manager.co.th/Travel/View...=9540000159015
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #386 เมื่อ: วันที่ 15 ธันวาคม 2011, 19:55:52 »

ปิดดอยแม่สลอง ชวนนักท่องเที่ยวดื่มชา-ดูซากุระ-ชมวิถี 7 ชนเผ่าสิ้นปีนี้

เชียงราย - เมืองพ่อขุนฯ เปิดดอยแม่สลอง จัดเทศกาลชิมชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ครั้งที่ 16 ระหว่าง 28 ธ.ค.54-2 ม.ค.55 พร้อมจัดโชว์เต็มการแสดงจาก 7 ชนเผ่า ดึงนักท่องเที่ยวขึ้นดอย เชื่อหน้าหนาวปีนี้ ทำเงินสะพัดกว่า 100 ล้าน วันนี้ (15 ธ.ค.) นายประพันธ์ จันทร์ชุ่ม นายอำเภอแม่ฟ้าหลวง, นายชาญณรงค์ สุหงษา ท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย, นางจิรารัตน์ มีงาม ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงาน จ.เชียงราย และ นายวุฒิพงษ์ สวรรค์โชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน “เทศกาลชิมชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า ดอยแม่สลอง” ครั้งที่ 16 ประจำปี 2554 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.นี้ไปจนถึงวันที่ 2 ม.ค.2555 ณ บริเวณสนามกีฬาโรงเรียนสันติคีรี บนดอยแม่สลอง ต.แม่สลองนอก เช่นเคย นายประพันธ์ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายให้กับดอยแม่สลอง เพราะบนดอยแม่สลองนอกจากจะมีภาคธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต ธุรกิจใบชา ห้างร้านต่างๆ แล้วยังมีเกษตรกรที่ทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกันอีกด้วย ซึ่งเมื่อมีผู้คนขึ้นไปเยือนก็จับจ่ายใช้สอยทำให้เกิดเงินสะพัดในพื้นที่ คาดว่าในฤดูหนาวปีนี้จะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ การจัดงานยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีของท้องถิ่นด้วย เพราะบนดอยแม่สลองมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากทั้งชาวจีน ไทใหญ่ อาข่า ฯลฯ ต่างอาศัยอยู่ร่วมกัน ขณะเดียวกัน ยังเป็นส่วนหนึ่งของ จ.เชียงราย ในการร่วมเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วย เพราะการจัดงานคาบเกี่ยวช่วงเทศกาลพอดี ซึ่งวันที่ 1 ม.ค.ก็จะมีการนำนักท่องเที่ยวตักบาตรใบชาแห่งเดียวบนดอยแม่สลองเพื่อทำบุญร่วมกันด้วย ด้าน นายวุฒิพงษ์ กล่าวว่า งานเทศกาลดังกล่าวเคยจัดให้มีขึ้นมาแล้ว 15 ครั้ง ซึ่งพบว่าแต่ละครั้งล้วนได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมปีละเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ปีนี้จึงได้กำหนดให้มีกิจกรรมที่หลากหลายขึ้น เช่น การแสดงของชนเผ่าจำนวน 7 เผ่า เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียนให้นักท่องเที่ยวได้ชมตลอดทั้งการจัดงาน นอกจากนี้ มีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ การประกวดร้านชา การแสดงวัฒนธรรมและดนตรีชนเผ่า ประกวดร้องเพลงไทยลูกทุ่ง รวมถึงการจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ ฯลฯ ขณะเดียวกันปีนี้ มีการจัดกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ การประกวดร้านชา การแสดงวัฒนธรรมและดนตรีชนเผ่า ประกวดร้องเพลงไทยลูกทุ่ง รวมถึงการจำหน่ายสินค้าในพื้นที่ ฯลฯ กิจกรรมที่พิเศษกว่าทุกปี คือ การจัดประกวดไก่ดำ พันธุ์ไก่พื้นเมืองของเชียงราย ซึ่งถือเป็นสัตว์เลี้ยงเศรษฐกิจบนดอยแม่สลอง โดยจะมีการนำมาปรุงอาหารให้กับนักท่องเที่ยวได้ชิมด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9540000159620
__________________
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #387 เมื่อ: วันที่ 15 ธันวาคม 2011, 19:56:05 »

ะดมศิลปินลุ่มน้ำโขง-ตะวันตก วาดภาพฉลอง 750 ปี ชร.-ฝรั่งรัก “ในหลวง” วาดภาพแสดงตลอดปี

เชียงราย - ม.ราชภัฏเชียงราย เปิดพื้นที่หอประชุมกาสะลองคำ รับศิลปินลุ่มน้ำโขง และนานาชาติ แสดงฝีมือวาดภาพร่วมฉลอง 750 ปีเมืองพ่อขุนฯ เผย มีศิลปินจากหลายประเทศทั้งจีน-ตะวันตก เข้าร่วมนับ 100 คน ก่อนนำผลงานตั้งโชว์ตลอดปี 55 พบฝรั่งรัก “ในหลวง” บรรจงวาดพระบรมฉายาลักษณ์สุดฝีมือ

วันนี้ (13 ธ.ค.) ที่หอประชุมกาสะลองคำ ม.ราชภัฏเชียงราย รศ.ดร.มาณพ ภาษิตวิไลธรรม อธิการบดี ม.ราชภัฏเชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการนิทรรศการศิลปกรรม “ร้อยศิลปินลุ่มน้ำโขง:750 ปีเมืองเชียงราย” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 ธ.ค.นี้โดยมีศิลปินด้านจิตรกรรมจากเชียงราย, จีน และประเทศต่างๆ รวมประมาณ 100 คน เข้าร่วมเป็นศิลปินจีนจากคุนหมิง ฝู่เอ๋อ ต้าลี วีซี มณฑลหยุนหนัน และเมืองหนานหนิง มณฑลกวางสี 17 คน, ศิลปินชาวเชียงรายชื่อดังหลายคน เช่น อ.ฉลอง พินิจสุวรรณ, อ.กนก วิศวกุล ฯลฯ และศิลปินจากตะวันตกอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งทางมหาวิทยาลัยจัดให้ศิลปินแต่ละคนได้วาดภาพแสดงผลงานของตนเองบนผืนภาพขนาดเท่ากันภายในหอประชุม

รศ.ดร.มาณพ กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักในการจัดการแสดงผลงานของศิลปินในครั้งนี้ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสเมืองเชียงราย มีอายุครบ 750 ปี ในปี 2555 นี้ และยังเป็นการจัดประชุมบรรดาศิลปินในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและนานาชาติ โดยเฉพาะเชียงราย-ลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีศิลปินจำนวนมากและหลากหลาย ที่ล้วนแล้วแต่มีฝีมือ แต่การจะจัดประชุมศิลปิน จะให้มานั่งประชุมกันไม่ได้จึงให้จัดการแสดงผลงานแทน

ทั้งนี้ หลังการวาดภาพซึ่งบรรดาศิลปินคงจะใช้เวลา 2 วันแล้ว ม.ราชภัฏเชียงราย จะนำผลงานพร้อมภาพวาดที่ศิลปินมอบให้ท่านละ 1-3 ใบ ไปจัดแสดงที่หอศิลปของมหาวิทยาลัย ริมหนองบัว ม.ราชภัฏเชียงราย ซึ่งคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 200 ภาพ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ชื่นชมไปตลอดการเฉลิมฉลอง 750 ปีเมืองเชียงราย

รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติม ว่า ขณะนี้บรรดาศิลปินต่างแสดงฝีมือในการวาดภาพด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ โดยบางคนนำผืนภาพวาดกับพื้นราบโดยไม่วางบนโต๊ะและตวัดพู่กันอย่างงดงามโดยเฉพาะจากศิลปินชาวจีน บางคนใช้สีอะคริลิกวาดแล้ววางทับด้วยแผ่นพลาสติกใส ฯลฯ สร้างความสนใจให้กับบรรดาคณาจารย์ สื่อมวลชน และนักศึกษาที่ไปเข้าชมเป็นอย่างมาก

ขณะที่หลายคนวาดภาพที่เกี่ยวข้องกับเมืองเชียงราย 750 ปีอย่างงดงาม และบางคนวาดภาพในหลวงจากแรงบังดาลใจที่น่าชื่นชม

Mis.Lisa Moses ศิลปินชาวอเมริกัน ซึ่งร่วมวาดภาพในโครงการนี้ด้วย ได้วาดภาพในหลวงประกอบข้อความเฉลิมพระเกียรติ โดยได้ระบุว่า อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาได้ประมาณ 4 ปีแล้ว รู้สึกเคารพและรักในหลวงของประเทศไทยมาก รวมทั้งรู้ว่าคนไทยก็รักและเคารพในหลวงเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นผลงานทางศิลปะตามที่ตนเองถนัดอย่างเต็มความสามารถ

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9540000158351
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #388 เมื่อ: วันที่ 18 ธันวาคม 2011, 15:37:14 »

18 ธันวาคม 2554 11:20 น.

เชียงราย - กรรมาธิการการเงินฯ ยกคณะขึ้นเหนือ ติดตามผลกระทบเหตุปล้น-ฆ่าลูกเรือจีนตายยกลำกลางน้ำโขง ประเมินเบื้องต้นทำการค้า-การลงทุน ชะลอยาวกว่า 2 ปีแน่ แม้วันนี้ สป.จีน จะปล่อยเรือลงอีกรอบ แต่บรรยากาศไม่เอื้อ ชี้ไม่มีที่ไหนในโลกที่ใช้กองเรือติดอาวุธคุ้มกัน ขณะที่ตัวแทนรัฐ-เอกชน เสนอดันถนนไทย-ลาว-จีน รับแทน พร้อมตัดงบเกินดุลช่วยงานคุ้มกันเรือจีน
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ได้นำคณะเดินทางไปรับทราบข้อมูลด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อชายแดนด้าน จ.เชียงราย ต่อกรณีการปล้น-ฆ่า ลูกเรือสินค้าจีน 2 ลำ เสียชีวิตรวม 13 ศพ ที่ห้องประชุมที่ว่าการ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อสุดสัปดาห์นี้ โดยมีผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจ้งสถานการณ์และการดำเนินการต่างๆ
       
       พ.ต.อ.ภพกร คูณเจริญสุข ผกก.สภ.เชียงแสน ได้สรุปสถานการณ์ปล้นฆ่าลูกเรือจีน ว่า เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีการปล้นเรือนอกราชอาณาจักรไทย และเรือได้ถูกควบคุมเข้ามาริมฝั่งหมู่บ้านสบรวก ก่อนเกิดเสียงปืนดังขึ้น เมื่อขึ้นไปตรวจเรือพบผู้เสียชีวิต 1 คน จากนั้นค่อยๆ ทยอยพบผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ ลอยมาติดริมฝั่งแม่น้ำโขง ต่อมาได้มีการดำเนินคดีกับทหาร 9 นาย ปัจจุบันได้สอบปากคำพยานไปแล้วกว่า 100 ปาก ขณะนี้เรื่องอยู่ในการดูแลของอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้ง 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงคือไทย สปป.ลาว พม่า จีน ได้ตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดในแม่น้ำโขง (ศปปข.) ขึ้นมาดูแลกองเรือสินค้าที่เดินทางไปมา
       
       แต่กรณีในเขตน่านน้ำ หรือเข้าฝั่งไทย ทางจีนจะไม่ส่งกำลังเข้ามา โดยจะส่งมอบให้ทาง ศปปข.ส่วนหน้าของไทยดูแล
       
       นายประธาน อินทรียงค์ ที่ปรึกษาหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ชายแดนเชียงราย มีการลงทุนเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนหลายอย่าง เช่น ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ฯลฯ ขณะที่จีนก็ขยายการค้าการลงทุนลงมา ทำให้[COLOR="Red"]แม้แต่กลุ่มทุนญี่ปุ่นก็สนใจจะเข้าไปลงทุนในกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะลอจิสติกสแต่เหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้ทำให้การลงทุนอาจต้องชะลอไปกว่า 2 ปี แต่เชื่อว่าในอนาคตทุกอย่างจะดีขึ้น ดังนั้นช่วงฟื้นตัวขอเสนอให้มีการพัฒนาด้านอื่นๆ เพื่อรองรับอนาคต ทั้งระบบการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศให้เป็นสากล เพราะปัจจุบันยังไม่มีระบบธนาคารที่มาตรฐาน
       
       ด้านนายเฉลิมพล พงษ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย กล่าวว่า การค้าชายแดนเชียงราย เป็นการค้ากับจีนตอนใต้กว่า 22% และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากช่วง 2-3 ปีก่อนที่อยู่ในอัตรา 10% กว่าเท่าตัว และหากแยกเป็นรายด่านพบว่า เป็นการค้าที่เกิดขึ้นด้าน อ.เชียงแสน กว่า 70% และที่เชียงของผ่านถนน R3A ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ จำนวน 30% โดยเป็นที่น่าสังเกตว่ามูลค่าการค้าทั้งหมดเป็นการส่งออกสินค้าของไทยที่ท่าเรือ อ.เชียงแสน เสียกว่า 96% และมีการส่งออกที่เชียงของน้อยกว่ามาก ทำให้ที่เชียงแสนมีการค้ากันวันละเฉลี่ยกว่า 500 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออกเฉลี่ยวันละกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามหาศาล
       
       ผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงได้ทำให้มูลค่าการค้าลดฮวบลงกว่า 50-60% เพราะยังมีการบรรทุกทางเรือสินค้าลาว แต่ระวางบรรทุกน้อยกว่ามากแค่ 150 ตัน ส่วนเรือจีนมีระวางบรรทุกกว่า 250-300 ตัน และเกรงว่าจะกระทบยาวไปจนถึงเดือน พ.ค.55 เพราะตามปกติน้ำโขงจะแห้งจนไม่สามารถเดินเรือสินค้าได้ในช่วงฤดูแล้งด้วย
       
       นายเฉลิมพล กล่าวว่า ดังนั้น จึงควรหันมาผลักดันพัฒนาถนน R3A เพื่อพลิกวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาส รองรับกรณีเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นมาอีกในอนาคต เพราะจากมูลค่าการส่งออกของไทยที่ อ.เชียงของ พบว่ามีอัตราแค่ 4% ของการส่งออกไปจีนทั้งหมด สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะรถบรรทุกไทย ไปได้แค่ชายแดนลาว-จีน ที่เมืองบ่อเต็น-บ่อหาน ไม่สามารถเข้าไปในจีนได้ และความชำนาญในการขนส่งอาจจะไม่เท่ารถบรรทุกของจีนที่เหมาะสมกับเส้นทางคดเคี้ยวตามไหล่เขาของถนน R3A และเชื่อว่าเมื่อสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับ สปป.ลาว แล้วเสร็จในปี 2556 จะทำให้การขนส่งด้าน R3A คึกคักอย่างมาก จึงควรจะเตรียมการในช่วงนี้ไว้เพื่อรองรับด้วย โดยเฉพาะกรณีข้อตกลงขนส่งรถบรรทุกประเทศละ 500 ลำ ที่เงียบหายไป และตนยังไม่ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนไหนด้วย
       
       "อย่างไรก็ตามกรณีเรือสินค้าแม่น้ำโขงนั้นผมเห็นว่าจีนอย่างไรเสียก็มีพลเมืองกว่า 1,300 คน และมีที่ราบเพื่อเพาะปลูกแค่ 20% การขนส่งเสบียงอาหารต้องกระจายไปทั่ว ซึ่งถ้าลงใต้ก็ต้องผ่านประเทศไทยโดย จ.เชียงราย เขาจึงจะต้องรักษาเส้นทางนี้เอาไว้ ดังนั้น จึงควรหันไปผลักดันเรื่อง R3A ให้มาก เพราะปัจจุบันจีนส่งสินค้าลงมากว่า 1,900 ล้านบาท แต่ไทยส่งขึ้นไปบนถนนสายเดียวกันแค่ 100 กว่าล้านบาทเท่านั้น" นายเฉลิมพล กล่าว
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่าทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงโดยตำรวจน้ำ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าปัจจุบันประเทศจีน ได้มอบเรือเพื่อการคุ้มกันเรือขนส่งสินค้าในแม่น้ำโขงให้พม่า 1 ลำ และ สปป.ลาว 1 ลำ ส่วนของจีน มีเรืออาวุธและกองกำลัง เป็นเรือใหญ่ 3-5 ลำ และเรือเล็ก 8 ลำ ซึ่งถือว่าทางการจีนเตรียมพร้อม และทุ่มทุนในเรื่องนี้มาก
       
       ขณะที่ทางประเทศไทยหลังจากตั้ง ศปปข.ส่วนหน้าแล้วเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ เช่น ตำรวจน้ำ มีเรือดีเซล 2 ลำ เบนซิน 2 ลำ ต้องเสียค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเที่ยวจากท่าเรือไปสามเหลี่ยมทองคำไปกลับ 360 ลิตร ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ลาดตระเวนตามกำหนดเวลาและความจำเป็น แต่ปัจจุบันต้องคุ้มกันคาราวานเรือสินค้าจีนเป็นประจำตามข้อตกลง ซึ่งเรือจีนจะเดินทางไปเป็นกลุ่มๆ ละ 3-5 ลำก่อนที่เจ้าหน้าที่ไทยจะส่งมอบให้กองกำลังของจีนคุ้มกันต่อเมื่อถึงบริเวณเหนือสามเหลี่ยมทองคำขึ้นไป เมื่อมองจากปริมาณเรือที่มีกว่า 100 ลำของกองเรือสินค้าจีนถือว่าเป็นงานหนักและสิ้นเปลืองด้านงบประมาณดำเนินการอย่างมาก
       
       ขณะที่ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นแม่งานก็เบิกจ่ายงบประมาณด้านการคุ้มกันดูแลของเจ้าหน้าที่ไทยล่าช้า จึงเสนอให้มีการนำงบประมาณดุลการค้าที่เป็นบวกอย่างมากมายจากการค้าชายแดนราว 5-10% มาสนับสนุนการคุ้มกันกองเรือสินค้าดังกล่าว
       
       นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ทางประเทศจีนยืนยันว่าเรือสินค้าที่เกิดเหตุทั้ง 2 ลำไม่ได้ขนยาเสพติดแน่นอน เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งสะสางเพื่อให้บรรยากาศการค้าดีขึ้น เพราะไม่มีที่แห่งใดในโลกที่การค้าขายมีการนำกองกำลังติดอาวุธคอยคุ้มกันกองเรือไปตลอดเส้นทางเช่นนี้ ซึ่งแม้จะปลอดภัยแต่บรรยากาศไม่เหมาะ และกรณีของแม่น้ำโขงก็เหมาะสมกับการเป็นเส้นทางท่องเที่ยวด้วย โดยที่ผ่านมาเคยมีการเดินเรือท่องเที่ยวอย่างคึกคักแต่กลับได้รับผลกระทบหนัก
       
       ดังนั้นคณะกรรมาธิการฯ จะนำเสนอไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไขปัญหารวมทั้งกรณีข้อเสนอต่างๆ ด้วย เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เกินศักยภาพของหน่วยงานในพื้นที่จะดำเนินการเองได้ โดยมีเป้าหมายสูงสุดของการดำเนินการคือบรรยากาศการค้าการลงทุนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้กองกำลังติดอาวุธคุ้มกันเช่นนี้อีก
       
       ส่วนกรณีถนน R3A ก็จะประสานงานเพื่อดำเนินการให้เกิดการเจรจา การใช้เงื่อนไขทางการค้า ฯลฯ ให้เอื้อกับการส่งออกสินค้าของไทยให้มากขึ้น เช่นเดียวกับการผลักดันเรื่องกฎหมายการเงินเพื่อการค้าชายแดนด้านนี้ให้ได้มาตรฐานต่อไป
       
       ด้านนายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์ กรรมาธิการที่ปรึกษาฯ กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ในประเทศจีนแล้ว เขาให้ความสำคัญมากและเชื่อว่าเรือสินค้าของจีนไม่ได้ขนยาเสพติด ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมแน่นอน ตนจึงเชื่อว่าการค้าการลงทุนจะไม่ล่าช้าไปแค่ 2 ปีแต่คงจะมากกว่านั้น และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการขนส่งสินค้ากันบ้างแล้ว แต่ก็มีกองกำลังติดอาวุธคอยคุ้มกันตลอดแนวซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีที่ไหนในโลกมาก่อน แม้แต่จีนก็ถือเป็นครั้งแรกที่นำกองกำลังติดอาวุธออกนอกประเทศเช่นนี้ด้วย ตนจึงเกรงจะเกิดปัญหาในอนาคตกรณีต้องการกดดันทางการค้าและมีสินค้าไทยขนส่งขึ้นไปยังจีนหรือผลกระทบอื่นๆ อันเกิดจากการติดอาวุธที่อาจเกิดขึ้นได้
       
      รายงานข่าวแจ้งอีกว่าการค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ต.ค.ที่ผ่านมามีการค้ากับจีนรวม 5,680.53 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 2,319.13 ล้านบาท และส่งออก 914.05 ล้านบาท การค้ากับ สปป.ลาว มีมูลค่ารวม 2,908.37 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 439.53 ล้านบาท และส่งออก 7,830.02 ล้านบาท การค้ากับพม่ามีมูลค่าการค้ารวม 10,189.35 ล้านบาท ส่งออก 10,201.93 ล้านบาท


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000160428

///////////////////////////////////

ว่าแต่ญี่ปุ่น จะทำโครงการอะไร นะ...ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #389 เมื่อ: วันที่ 18 ธันวาคม 2011, 20:25:28 »

ท่าเรือเชียงแสน อัพเดต  4 ธันวาคม 54



















IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #390 เมื่อ: วันที่ 20 ธันวาคม 2011, 20:36:54 »

ราชการ-เอกชนประสานเสียง ชงเมกะโปรเจกต์เสนอ ครม.สัญจรเชียงใหม่

 ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ภาครัฐ-เอกชนเชียงใหม่ ระดมสมอง เตรียมรับ ครม.สัญจรที่เชียงใหม่ 15-16 ม.ค.55 เล็งจัด รมต.ลงพื้นที่ทุกอำเภอ พร้อมชงสารพัดเมกะโปรเจกต์เสนอ ครม.ทั้งสร้างถนน-ขยายสนามบิน-รถไฟความเร็วสูง เชื่อ โครงการฉลุยจังหวัดได้ประโยชน์เพียบ ด้านภาคเอกชนเผยเตรียมเสนอรัฐหนุนภาคเศรษฐกิจ หอการค้าหวังรัฐหนุนรถไฟความเร็วสูง-เปิดด่านชายแดน ส่วนสภาอุตสาหกรรมฯ หวังรัฐแก้ปัญหาน้ำทั้งระบบ
       
       วันนี้ (20 ธ.ค.) ที่ห้องประชุม 5 ชั้น 5 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายชูชาติ กีฬาแปง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในการประชุมการเตรียมความพร้อมการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการและตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วม
       
       การประชุมดังกล่าวมีขึ้นเพื่อหารือถึงการเตรียมการรองรับการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้กำหนดจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 15-16 ม.ค.2555
       
       ในที่ประชุมได้มีการหารือ ถึงการตั้งคณะทำงานและมอบหมายภารกิจให้กับฝ่ายต่างๆ เพื่อเตรียมการรองรับการประชุมที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งการเตรียมการสำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่ของคณะรัฐมนตรี ซึ่งในที่ประชุมได้มีการเสนอแนวคิดสำหรับการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีไว้เป็น 2 รูปแบบ
       
       แบบแรก ได้แก่ การจัดให้รัฐมนตรีลงพื้นที่ระดับอำเภอเป็นรายอำเภอทั้ง 25 อำเภอ โดยแต่ละอำเภอจะมีข้อมูลประกอบการปฏิบัติราชการ ที่สอดคล้องกับภาระงานของรัฐมนตรีตามกระทรวงต่างๆ ที่จะลงพื้นที่
       
       ส่วนแบบที่สอง คือ การจัดกลุ่มอำเภอต่างๆ ที่มีลักษณะปัญหาหรือแนวทางการดำเนินการพัฒนาใกล้เคียงกันในลักษณะคลัสเตอร์ แล้วให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายลงพื้นที่ตามกลุ่มคลัสเตอร์ต่างๆ ต่อไป
       
       นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงการจัดทำโครงการสำคัญๆ ที่จะนำเสนอขอรับการสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรี โดยในเบื้องต้นโครงการที่จังหวัดเชียงใหม่เตรียมที่จะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีประกอบด้วยโครงการ Medical Hub, โครงการวางระบบไฟฟ้าใต้ดิน, โครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคม, โครงการขยายสนามบิน, โครงการรถไฟความเร็วสูง, โครงการอนุรักษ์พื้นที่รอบคูเมืองเชียงใหม่, โครงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเมืองเชียงใหม่, โครงการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้วยระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และโครงการบริหารจัดการน้ำด้วยการก่อสร้างแก้มลิง
       
       ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีการให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ที่เตรียมจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีกันอย่างแพร่หลาย โดยโครงการบางส่วนเป็นโครงการที่หน่วยงานที่รับผิดชอบเตรียมที่จะดำเนินการอยู่แล้ว อาทิเช่นโครงการขยายสนามบินซึ่งบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เตรียมที่จะใช้งบประมาณของตนเองในการดำเนินงาน หรือโครงการอนุรักษ์พื้นที่รอบคูเมืองซึ่งเป็นการต่อยอดจากการที่จังหวัดเชียงใหม่ได้รับการประกาศให้เป็นจังหวัดที่เป็นที่สุดแห่งความสง่างามทางวัฒนธรรม เป็นต้น เช่นเดียวกับการสร้างระบบป้องกันปัญหาอุทกภัยซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลเตรียมจะดำเนินการอย่างแน่นอน
       
       ขณะเดียวกัน โครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูง อย่างโครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะผลักดันให้คณะรัฐมนตรีรับทราบและพิจารณา เนื่องจากจะเกิดประโยชน์ต่อจังหวัดเชียงใหม่ในระยะยาว โดยในส่วนของโครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมนั้น
       
       นอกจากจะมีการเสนอเรื่องการพัฒนาถนนเส้นทางหลวงที่เชื่อมโยงกับจังหวัดอื่นๆ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ อย่างกการพัฒนาเส้นทางเชียงใหม่-เชียงรายหรือเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอนแล้ว ที่ประชุมยังได้เน้นย้ำถึงการเสนอให้ขยายเส้นทางถนนวงแหวนรอบนอกหรือวงแหวนรอบที่ 3 จากถนน 2 เลน เป็นถนน 4 เลน การเสนอให้คณะรัฐมนตรีศึกษาการสร้างเส้นทางถนนวงแหวนรอบที่ 4 เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง รวมไปถึงการพัฒนาเส้นทางเพื่อรองรับศูนย์ประชุมและศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ บริเวณถนนเลียบคลองชลประทานซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2555 อีกด้วย
       
       นายณรงค์ คองประเสริฐ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงการที่คณะรัฐมนตรีเตรียมที่จะเดินทางมาจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ช่วงวันที่ 15-16 ม.ค.55 ว่า ในส่วนของหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมโครงการที่จะนำเสนอผลักดันต่อคณะรัฐมนตรี 2 โครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และการเปิดด่านการค้าชายแดนกิ่วผาวอก อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
       
       นอกจากนี้ ยังจะมีการติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ที่กำลังก่อสร้างใกล้จะเสร็จแล้วด้วย ตลอดจนอยากเรียกร้องให้รัฐบาลมีการประกาศให้ปี 2555 เป็นปีแห่ง MICE หรือการประชุมสัมมนาเพื่อให้มีคนเดินทางมามาจัดการประชุมสัมมนาที่จังหวัดเชียงใหม่มากๆ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับจังหวัดเชียงใหม่
       
       ด้าน นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมที่จะเสนอให้รัฐบาลดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพให้กับจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้สามารถทำการเกษตรกรรมได้ตลอดทั้งปี เป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องรายได้ของเกษตรกร รวมทั้งเป็นการแก้ไขปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมไปพร้อมกันด้วย ซึ่งมองว่าการลงทุนในโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพนี้ ดีกว่าการที่รัฐต้องสิ้นเปลืองงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะเหมือนที่ผ่านมา


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000161810
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #391 เมื่อ: วันที่ 21 ธันวาคม 2011, 17:36:03 »

ภาคธุรกิจชายแดนตั้งตารอ-หลังประชุมผู้นำGMSเขตเศรษฐกิจรอบพรมแดนเกิด

เชียงราย - นักธุรกิจชายแดนคาดหวังหลัง “ปู” ร่วมประชุมสุดยอดผู้นำ GMS หนุนแจ้งเกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย-พม่า และไทยกับเพื่อนบ้านตลอดแนว
       
       หลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS (Grater Mekong Sub-region) ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 19-20 ธ.ค.54 ที่ประเทศพม่านั้น ทำให้บรรดานักธุรกิจต่างๆ ตามชายแดน มองว่า จะทำให้บรรยากาศทางการค้าดีขึ้น
       
       โดยนายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ บอกว่า ในเวทีนี้นอกจากจะมีการประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มน้ำโขงแล้ว ยังการเปิดตัวนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยต่อประเทศลุ่มน้ำโขงหลังบริหารงานมาได้ 3 เดือนและการไปพบปะกับนางอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านในพม่าด้วย ซึ่งจะทำให้บรรยากาศระหว่างสองประเทศดีขึ้นในทุกมิติ เพราะไทยกับพม่ามีอาณาเขตติดต่อกันหลายพันกิโลเมตรจึงมีความสัมพันธ์กันในหลายด้าน
       
       ทั้งนี้ ทราบว่าจากการเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำ GMS ครั้งนี้ ทำให้เกิดข้อตกลงร่วมกัน 10 ข้อ เช่น การใช้ทรัพยากรร่วมกัน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน ฯลฯ โดยมีเป้าหมายให้มีส่วนร่วมกันมากขึ้น
       
       นายพัฒนา กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามจากการศึกษาของธนาคารพัฒนาเอเชียหรือเอดีบี ระบุว่าการที่มีด่านพรมแดนเพื่อการค้าการลงทุนระหว่างกันนั้น หากว่าไม่มีเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนก็ไม่ถือว่ามีความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นคาดหวังว่าไทยและพม่าจะตกลงหารือกันเพื่อผลักดันให้เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนระหว่างกันต่อไป หลังจากเกิดขึ้นที่ชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก กับเมืองเมียวดีของพม่าแล้ว ก็ยังมีด่านพรมแดนด้านอื่นๆ ที่มีศักยภาพ
       
       เช่น ด้าน จ.เชียงราย กับท่าขี้เหล็ก ซึ่งมีถนนอาร์สามบีเชื่อมไทย-พม่า-จีนตอนใต้ ผ่าน อ.แม่สาย-เชียงตุง-เมืองลา ,ด้านท่าเรือเมืองทวายไปยังชายแดนด้าน จ.กาญจนบุรี ของไทย เป็นต้น
       
       ขณะเดียวกันอยากให้มีความร่วมมือด้านที่เกี่ยวข้องกับการจะเป็นประชาคมอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 โดยหารือเรื่องการใช้แรงงานชาวพม่า ซึ่งมีอยู่มากในประเทศไทยด้วย
       
       ด้านนายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า อ.แม่สาย กล่าวว่า ปัจจุบันบรรยากาศการค้าชายแดนไทย-พม่า ดีอยู่แล้ว ทั้งด้านการเมืองภายในพม่าและการกระจายสินค้าไทยเข้าไปทางภาคเหนือของพม่า ซึ่งแม้ว่าที่ผ่านจะมีสินค้าหลากหลายทั้งจากไทย จีน หรือแม้แต่อินเดีย เข้าไปในภูมิภาคนี้ แต่สินค้าไทยก็ยังคงครองตลาดในโซนภาคเหนือของพม่าอยู่ ดังนั้นจึงเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้บริหารประเทศจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น
       
      รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับการค้าชายแดนไทย-พม่า ด้าน จ.เชียงราย พบว่ามีมุลค่าการค้ารวมตั้งแต่เดือน ม.ค.-ต.ค.2554 อยู่ที่ 10,302.24 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 100.31 ล้านบาท และส่งออก 10,201.93 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีอัตราที่เพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 30.32% โดยแม้จะมีช่วงที่ปิดด่านแม่สอด-เมียวดี อยู่พักใหญ่แต่ผู้ประกอบการก็หันนำเข้าสินค้าผ่านด่านอื่นๆ
       
       เช่น แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ฯลฯ แทน ทั้งนี้สินค้าไทยที่ส่งเข้าไปในพม่าส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภคเกือบทุกชนิด ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้าจากพม่าเป็นสุราต่างประเทศ เสื้อผ้า ฯลฯ


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000162111

//////////////////////

ด่านนี้ไทยเกินดุลมาก ได้ดุลเกือบ 10000ล้าน
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #392 เมื่อ: วันที่ 22 ธันวาคม 2011, 13:13:08 »

การประชุมจีเอ็มเอส

คอลัมน์ที่ 13


การประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง หรือ จีเอ็มเอส ซัมมิท เป็นการประชุมเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และข้อตกลงการพัฒนาประเทศในการเชื่อมโยงชาติสมาชิก ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และจีน (เฉพาะมณฑลยูนนานและกวางสี) ในแง่ของเศรษฐกิจและระบบโครงข่ายคมนาคม

เพื่อเปิดประตูการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียใต้ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ โดยขอบเขตการพัฒนานั้นกินพื้นที่รวมกว่า 2,300,000 ตารางกิโลเมตร

อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้รับการก่อตั้งในปี 2535 มีสาขาความร่วมมือ 9 สาขา ได้แก่ คมนาคม โทร คมนาคม พลังงาน การค้า การลงทุน เกษตร สิ่งแวด ล้อม การท่องเที่ยว และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งกำหนดแผนงานลำดับความสำคัญสูง 11 แผนงาน ได้แก่ ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก(East-West Economic Corridor : EWEC) ระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้(North-South Economic Corridor : NSEC) และระเบียงเศรษฐกิจทิศใต้(South Economic Corridor : SEC)

มีกลไกการทำงานโดยจัดประชุม 4 ระดับ ได้แก่ ระดับกลุ่มแผนงาน 9 สาขา ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสปีละ 1-2 ครั้ง ระดับรัฐมนตรีปีละ 1 ครั้ง และระดับผู้นำทุก 3 ปี

ล่าสุด ในช่วงวันที่ 19-20 ธ.ค. ถือเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำ 6 ประเทศ ครั้งที่ 4 จัดขึ้นที่กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงใหม่ของพม่า มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย รองนายกฯรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 9 หน่วยงาน พร้อมผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศเพื่อช่วยในการประสานงานเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของไทย

ประเด็นสำคัญที่ฝ่ายไทยต้องติดตามผลักดันคือ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกในพม่า ซึ่งการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่เมืองทวาย นั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนดังกล่าว รวมไปถึงการหารือปัญหาแม่น้ำแห้งขอดและโครงการก่อสร้างเขื่อนเหนือลุ่มน้ำโขงของจีน ตลอดจนกรอบความร่วมมือด้านอื่นๆ เช่น ธุรกิจการค้าการลงทุน และความมั่นคงทางพลัง งานซึ่งกำลังกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนของไทย

นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ไทยยังให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนบ้านด้วย อาทิ สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย ผ่านจุดผ่านแดนถาวรแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก และเส้นทางอาร์-3 สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 หรือสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แม่สอด-เมียวดี ที่ทางการพม่าเปิดให้ผ่านได้แล้ว เมื่อ 5 ธ.ค.เป็นต้นมา

ในการประชุมครั้งนี้ คณะรัฐมนตรีของไทยมีมติเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ให้รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแต่งตั้งนายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำแผนงานความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย หรือไอเอ็มที-จีที แผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ หรือ จีเอ็มเอส และกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม

สำหรับประเด็นสำคัญอยู่ที่การเห็นชอบกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงานจีเอ็มเอสใหม่ ระยะเวลา 10 ปี (2555-2565) ซึ่งเป็นการกำหนดทิศทางการพัฒนาความร่วมมือภายใต้แผนงานจีเอ็มเอสที่บูรณาการและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนแผนพัฒนาเก่าที่สิ้นสุดระยะเวลาลงในปีนี้ (2544-2554)

เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทในอนาคตที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

หน้า 6

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNakl5TVRJMU5BPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1TMHhNaTB5TWc9PQ==
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #393 เมื่อ: วันที่ 23 ธันวาคม 2011, 22:31:24 »

ททท.จัดอันดับ10แหล่งท่องเที่ยวที่นักเดินทางสอบถามมากที่สุด

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2011


นายธวัชชัย อรัญญิก รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. กล่าวว่า ททท.จัดอันดับ 10 แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักเดินทาง พบว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่ได้รับการสอบถามและค้นหามากที่สุด


สาเหตุที่คนไทยสอบถามการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่เข้ามามากสุด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่มีเสียงสอบถามเข้ามามากที่สุดได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ 120 สาย โดยแหล่งท่องเที่ยวที่ถามถึง คือ ดอยอ่างขาง, ดอยอินทนนท์, ดอยสุเทพ-ดอยปุย, ออบหลวง, ห้วยน้ำดัง และดอยม่อนแจ่ม เป็นต้น

รองลงมาคือ กรุงเทพมหานคร , ชลบุรี , นครราชสีมา , เชียงราย และประจวบคีรีขันธ์ ด้านสถิติการจัดเก็บจำนวนคนที่เข้าชมเว็บไซต์ ททท. tourismthailand.org ภาษาไทย ปีนี้ พบว่า จังหวัดที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและเข้าดูข้อมูลมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ เชียงใหม่, ภูเก็ต, กระบี่, ชลบุรี, กาญจนบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, เชียงราย, เพชรบุรี, ราชบุรี และจันทบุรี โดยในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่นั้น เป็นจังหวัดที่ติดอันดับมีคนเข้ามาดูข้อมูลผ่านเว็บไซต์ ททท. มากที่สุดเกือบทุกเดือน

นายธวัชชัย กล่าวด้วยว่า ปี 2555 ได้สั่งการให้ ททท.สำนักงานในประเทศ ทั้ง 37 แห่ง ศึกษาและรวบรวมแหล่งท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่น ในแต่ละช่วงตั้งแต่เดือน มกราคม-ธันวาคม เพื่อจัดเก็บเป็นข้อมูล ในการโปรโมทให้คนไทยเกิดการกระจายตัวในการเดินทาง ซึ่งนักท่องเที่ยวจะสามารถเดินทางได้ตลอดทั้งปี และจะเป็นการกระจายรายได้ให้ผู้ประกอบการในพื้นที่นั้นๆ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถรวบรวมแล้วเสร็จและดำเนินการได้ในต้นปี 2555

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=99055:10&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #394 เมื่อ: วันที่ 25 ธันวาคม 2011, 20:48:53 »

เปิดแล้ว “งานดอกไม้เชียงราย” - 54 นักท่องเที่ยวทะลุล้านแล้ว


เชียงราย - “คุณชายดิศนัดดา” ตัดริบบิ้นเปิดงานดอกไม้งามครั้งที่ 8 ย้ำปีนี้เป็นปีมหามงคล ทั้งฉลอง 750 ปีเมืองเชียงราย และที่สำคัญเป็นมีที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนพรรษาครบ 7 รอบ ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวทะลักเข้าเมืองพ่อขุนฯ ต่อเนื่อง จากต้นปีถึงวันนี้ทะลุหลักล้านแล้ว
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และผู้อำนวยการโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 ณ ข่วงวัฒนธรรม สวนไม้งามริมน้ำกก ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่ในการจัดงานเทศกาลตั้งวันที่ 24 ธ.ค. 2544 - วันที่ 3 ม.ค. 2555 เมื่อค่ำวันที่ 24 ธ.ค.54 ที่ผ่านมา โดยท่าน ว.วชิรเมธี พระนักคิดชื่อดังเดินทางไปร่วมด้วย ขณะที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างเดินทางไปร่วมงาน ทั้งภาคกลางวันและต่อเนื่องไปจนถึงกลางคืนเป็นจำนวนมาก
       
       นางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียงราย ได้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานว่า เพื่อส่งเสริมให้เชียงรายเป็นแหล่งผลิตไม้ดอกไม้ประดับที่มีคุณภาพ และเปิดโอกาสให้เกษตรกรโดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านได้นำสินค้าพื้นบ้านที่มีคุณภาพไปจำหน่าย รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับไม้ดอกไม้ประดับ ส่งเสริมการท่องเที่ยว วัฒนธรรม ประเพณีล้านนา
       
       กิจกรรมภายในงานมีหลากหลาย ทั้งการจัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ สวนเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อุทยานไม้ดอกเมืองหนาว ทุ่งทิวลิป ประติมากรรมอุโมงค์ดอกไม้ ซึ่งท่าน ว.วชิรเมธี เมตตาตั้งชื่อว่าอุโมงค์ดอกไม้มงคล เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินลอดผ่าน นอกจากนี้มีการประกวดวาดภาพ ถ่ายภาพ จัดไม้ดอกไม้ประดับ ประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม ฯลฯ
       
       หม่อมราชวงศ์ดิศนัดากล่าวว่า ในปีนี้ถือเป็นปีมหามงคลเพราะในการจัดงานสอดคล้องกับช่วงที่เมืองเชียงรายมีอายุครบ 750 ปี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา ขณะเดียวกัน เชียงรายเป็นเมืองแห่งธรรมชาติและวัฒนธรรมล้านนา ดังนั้นการจัดงานครั้งนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงการนำไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวไปจัดแสดง แต่เป็นปีแห่งมหามงคล ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและร่วมงานได้สิริมงคลไปด้วย
       
       ด้าน นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามได้ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนเชียงรายเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนได้ไปตรวจสอบตัวเลขจากตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) อ.แม่สาย ชายแดนไทย-พม่า เพราะเห็นว่านักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเชียงรายมักจะข้ามไปยังฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า พบว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวหรือบอเดอร์พาสจากฝั่งไทยไปยังฝั่งพม่าแล้วกว่า 1 ล้านคน
       
       “ตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ข้ามไป จึงถือว่านักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก และขณะนี้ห้องพักโรงแรมต่างๆ ถูกจองจนแน่น และเกือบจะเต็มหมดตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.54 ไปจนถึงต้นปี 2555 สถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนไปเยือนมากยังคงเป็นเส้นทางเดิมคือวัดร่องขุ่น เมืองเชียงราย ดอยตุง แม่สาย สามเหลี่ยมทองคำ เชียงแสน ภูชี้ฟ้า ผาตั้ง งานเชียงรายดอกไม้งาม ฯลฯ” นายอภิชากล่าว


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000163946
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #395 เมื่อ: วันที่ 07 มกราคม 2012, 01:05:43 »

เชียงราย - พ่อเมืองคนใหม่ของเชียงราย เล็งเสนอ ครม.สัญจรที่เชียงใหม่กลางเดือนนี้ ขอไฟเขียวตัดถนนบายพาส-อุโมงค์ลอดทางแยกสำคัญทั่วเมืองพ่อขุนฯ รับจรจาแออัด การค้าการลงทุนโตตามประชาคมอาเซียน
       
       นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวขณะเข้ารับตำแหน่งใหม่ว่า ตนเป็นคนเก่าคนแก่ของเชียงราย โดยเคยทำงานครั้งแรกที่จังหวัดนี้ตั้งแต่ปี 2542 ที่ อ.แม่ลาว จากนั้นตระเวนเป็นนายอำเภอต่างๆ มาแล้วทั้งหมด 7 อำเภอ ดังนั้นเชียงรายจึงเป็นบ้านที่สองของตน
       
       ในการมารับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ครั้งนี้ นอกเหนือจากงานเร่งด่วนที่ตนต้องรีบทำคืองานเฉลิมฉลองเมืองเชียงรายครบ 750 ปี ในปี 2555 ด้วยการจัดกิจกรรมและสร้างหอประวัติศาสตร์เมืองเชียงราย ที่เล่าถึงประวัติการสร้างเมืองขององค์พ่อขุนเม็งราย ตั้งแต่ปี 1805 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ก็คือเรื่องปัญหาการจราจรที่กำลังพลุกพล่าน
       
       นายธานินทร์ กล่าวอีกว่า นอกจากสภาพการจราจรที่เป็นอยู่ในปัจจุบันในอนาคตเมื่อสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ เชื่อมกับ สปป.ลาว แล้วเสร็จและเชื่อมกับถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ก็จะยิ่งทำให้การจราจรบนถนนเส้นนี้แออัดมากขึ้นด้วย ดังนั้น ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 15 ม.ค.55 นี้ ตนจะนำเรื่องยุทธศาสตร์ของจังหวัดไปแถลง และจะนำปัญหารถติดและการแก้ไขปัญหาไม่ว่าสร้างถนนบายพาสและอุโมงค์ลอดแยกสำคัญๆ ในเขตเทศบาล เช่น ห้าแยกพ่อขุนฯ สี่แยกศรีทรายมูล ฯลฯ ไปเสนอด้วย
       
       โดยถือว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการรองรับการที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 นี้ และรองรับการขยายตัวทางการค้าการลงทุนในภูมิภาคนี้อีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขและถนนหนทางจะได้รับการพัฒนาต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000001959
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #396 เมื่อ: วันที่ 07 มกราคม 2012, 01:06:04 »

รัฐเล็งคลอดนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ตามแนวชายแดนใน 3 จังหวัด “กาญจนบุรี-เชียงราย-ตาก” ส.อ.ท. หนุนเต็มที่เชื่อลดความกังวลจากปัญหาภัยธรรมชาติได้ แนะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม…

นายสุภาพ คลี่ขจาย ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในงานเสวนา พลิกฟื้นนิคมอุตสาหกรรมไทยหลังมหาอุทกภัย 2554 ว่า ขณะนี้นิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยมีพื้นที่รองรับโครงการลงทุนค่อนข้างเต็มศักยภาพแล้ว ดังนั้นรัฐบาลจึงเห็นความจำเป็นในการตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามแนวชายแดนขึ้นมา เพื่อเป็นจุดรองรับการลงทุนเพิ่มเติม โดยมีความเป็นไปได้ 3 นิคม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างนิคมอุตสาหกรรมในไทยกันนิคมอุตสาหกรรมทวาย ของสหภาพพม่า ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาได้อนุมัติเงิน 25 ล้านบาท เพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้ และสำรวจพื้นที่แล้ว และภายในสัปดาห์หน้าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะลงพื้นที่เพื่อสำรวจพื้นที่อีกครั้ง

ส่วนอีกนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างการศึกษาจัดตั้งอยู่ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อเชื่อมต่อกับมลฑลยูนนานของจีน และแห่งที่ 3 ที่จะจัดตั้งในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นอกจากนี้รัฐบาลกำลังจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ จังหวัดขอนแก่นอีกด้วย ทั้งนี้การเดินหน้าตั้งนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ รัฐบาลจัดให้มีคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง 13 ชุด เพื่อทำงานที่สอดประสานกัน

ขณะที่นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ระบุว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลปัญหาภัยธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ส.อ.ท. จึงสนับสนุนให้รัฐบาลจัดหานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่เพื่อรองรับการลงทุนใหม่ ๆ อีกทั้งยังเป็นการรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตจะต้องมีระบบบริหารจัดการที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งสู่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศ หรือ อีโคทาวน์.

ไทยรัฐออนไลน์

http://www.thairath.co.th/content/eco/228446
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #397 เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2012, 17:53:33 »

ค้าชายแดน 3 ชาติ ดันตัวเลขศก.เชียงรายพุ่งพรวด


เมื่อวันที่ 8 ม.ค.นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ในปี 2554 ที่ผ่านมา จ. เชียงราย ซึ่งมีการค้าชายแดนกับ 3 ประเทศ คือ จีน พม่าและส.ป.ป.ลาว โครงสร้างการค้าชายแดนมีมูลค่าการค้าสองฝ่ายกับประเทศพม่ามากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 42 รองลงมาเป็นส.ป.ป.ลาว ร้อยละ 36 และจีนตอนใต้ ร้อยละ 22 ตามลำดับ ซึ่งการค้ารวมกับ 3 ประเทศในรอบ 11 เดือน ของปี 2554 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่าทั้งสิ้น 26,540.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2553 ร้อยละ 45.24 สิ้นปี 2554 จึงมียอดการค้ารวมทั้งสิ้นประมาณ 28,956.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 นับว่าเป็นมูลค่าการค้า ที่เกินกว่าเป้าหมาย โดยเพิ่มขึ้น ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15

สำหรับตัวแปรที่สำคัญได้แก่ การเปิดใช้ถนนสายอาร์ 3 เอ ที่สร้างแล้วเสร็จในพื้นที่ของ สปป.ลาว ตั้งแต่ปี 2551 ทำให้การพัฒนาพื้นที่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ (NSEC) เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง อย่างในจีนตอนใต้แถบสิบสองปันนา และในลาวตอนเหนือ โดยเฉพาะในแขวงหลวงน้ำทา และแขวงบ่อแก้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในภาคเกษตรกรรม ในส่วนของภาคเหนือตอนบน เช่น เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน มีสินค้าที่ถ่ายเทระหว่าง 3 ประเทศกันมากขึ้น เพราะการเดินทางที่สะดวกกว่าในอดีต

นายเฉลิมพล กล่าวว่า การส่งออกในรอบ 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย. 2554) มีมูลค่าทั้งสิ้น 23,349.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ร้อยละ 50.55 มีส่งออกไปยังประเทศพม่ามากที่สุด มูลค่า 10,997.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.74 รองลงมาเป็นการส่งออกไปยังส.ป.ป.ลาว มูลค่า 8,959.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 135.64 และส่งออกไปยังจีนตอนใต้ มูลค่า 3,392.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.57

ส่วนการส่งออกด้านชายแดน จ. เชียงราย ที่ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นผลมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งพม่า ลาว และจีนตอนใต้ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ ได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ จากปัจจัยภายนอกน้อยมาก เพราะอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงมาก่อน ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลของจีน มายังมณฑลทางตะวันตกและทางตอนใต้ ก็ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคนี้อย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับทิศทางทางการเมืองของพม่า ซึ่งต้องยอมรับว่ามีการเปิดประเทศมากขึ้น ในช่วงกลางปี 2554 มีการประกาศยกเลิกมาตรการห้ามนำเข้าสินค้า 15 รายการของพม่า ซึ่งก็เป็นผลทำให้การค้าชายแดนระหว่างด่านแม่สาย กับพม่าดีขึ้นเป็นลำดับ อีกทั้งบรรยากาศทางการเมืองในพม่าที่เริ่มดีขึ้นตามลำดับ คาดว่าต่อไปอาจจะมีการใช้เส้นทางอาร์3 บี เป็นเส้นทางการค้าสำคัญ หลังจากที่เคยชะงักมานาน ซึ่งจะเป็นโอกาสต่อการส่งออกสินค้าไทย ผ่านทางพม่า ไปยังจีนตอนใต้ เพื่อขยายตลาดอีกเส้นทางหนึ่ง

ในส่วนของตลาด ส.ป.ป.ลาว เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ประชากรจะน้อย ทั้งประเทศมีเพียง 6 ล้านคน ในส่วนนี้เป็นลาวตอนเหนือ ประมาณ 2 ล้านคน แต่ปรากฏว่าการส่งออกไปยัง สปป.ลาว มีอัตราการเพิ่มมากที่สุด ถึงร้อยละ 135.64 ส่วนหนึ่งเพื่อการบริโภคในลาว แต่อีกส่วนหนึ่ง เพื่อผ่านสินค้าในนามลาวไปยังจีนตอนใต้ เพราะลาวและจีนเป็นประเทศสังคมนิยม ที่มีข้อผูกพันให้สิทธิพิเศษทางการค้าแบบทวิภาคีบางรายการ กันมาก่อน และสินค้าขาออกที่ส่งไปยังจีนตอนใต้ ส่วนใหญ่ยังนิยมส่งทางเรือ เพราะเป็นการขนส่งที่ต้นทุนต่ำที่สุด

ในด้านการนำเข้าในรอบ 11 เดือนของปี 2554 (ม.ค. - พ.ย.) มีมูลค่าการนำเข้าทั้งสิ้น 3,190.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ร้อยละ 15.46 ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากจีนตอนใต้ มีมูลค่า 2,587.93 ล้านบาท รองลงมาเป็นการนำเข้าจาก สปป.ลาว มูลค่า 488.39 ล้านบาท และนำเข้าจากพม่า ประมาณ 114.21 ล้านบาท สินค้าที่นำเข้าได้แก่ พืชผักผลไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลูกเต๋า ลูกเดือย ถ่านหินลิกไนต์ แร่แมงกานีส เคมีที่ใช้ในการผลิตยาสีฟัน แก๊สอาร์ก้อน และไม้แปรรูป

พาณิชย์จังหวัดเชียงราย กล่าวด้วยว่า ด่านชายแดนที่ จ. เชียงราย เป็นด่านที่เกินดุลการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน(พม่าและลาว) และจีนตอนใต้มาโดยตลอด ซึ่งต่อไปเมื่อภาษีนำเข้ามีอัตรา 0 % บริบทของด่านก็จะเปลี่ยนไป และจะกลายเป็นกลไกที่สำคัญ ต่อการผลักดันการส่งออก นั่นหมายถึงที่ด่านชายแดน จะต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือ และการบริหารจัดการที่ดีมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความสะดวกและการลื่นไหลทางการค้า

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=547438
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #398 เมื่อ: วันที่ 09 มกราคม 2012, 19:24:33 »

กกร.เสนอรัฐพัฒนาระบบขนส่ง-จัดการน้ำ

09 มกราคม 2555 เวลา 16:53 น
  
กกร.เตรียมเสนอรัฐบาลพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การค้าชายแดน ท่องเที่ยว และบริหารจัดการน้ำ ในการประชุมกรอ.นัดแรก ที่เชียงใหม่

นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการภาคเอกชนร่วม 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุมได้หารือเรื่องการเตรียมการไปประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 14 ม.ค. 2555 โดยภาคเอกชนจะนำเสนอ 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ โครงข่ายคมนาคมระบบโลจิสติกส์ การส่งเสริมการลงทุน การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

ทั้งนี้ ในส่วนของโครงข่ายคมนาคมระบบโลจิสติกส์ ภาคเอกชนต้องการเห็นโครงการ ได้แก่ รถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ และเส้นทางรถไฟรางคู่ โดยตามแผนของรัฐบาลโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งเอกชนเห็นว่าล่าช้าเกินไป ต้องดำเนินการให้เร็วกว่รวมทั้งส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย ให้เป็นพื้นที่นำร่องในการสร้างเชตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจำเป็นต้องพัฒนาการใช้ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่อย่างเป็นรูปธรรม ว่าจะมีใครเป็นเจ้าภาพและดูแล เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการประชุม และการจัดนิทรรศการ (ไมซ์) ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือให้มากที่สุด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวด้วย

ส่วนเรื่องการบริหารจัดการน้ำต้องมีการดูแลทั้งปัญหาน้ำท่วม และน้ำแล้ง เพื่ออำนวยความสะดวกต่อภาคเกษตรกรในภาคเหนือ

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากระบบการขนส่งของไทยเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าภายในภูมิภาค


http://www.posttoday.com
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #399 เมื่อ: วันที่ 09 มกราคม 2012, 19:25:49 »

นายกฯ สั่งคมนาคมเดินหน้าพัฒนาระบบขนส่งฯเน้นลดต้นทุน

วันนี้ (9 ม.ค.) ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เดินทางตรวจเยี่ยมและประชุมกับผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ตามคำเชิญของกระทรวง เพื่อรับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคม โครงการต่าง ๆ รวมถึงผลการดำเนินงานตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา และโครงการต่างๆ ที่อาคารสโมสร และหอประชุมกระทรวงคมนาคม โดยพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบเสื้อแจ็กเก็ต 100 ปี กระทรวงคมนาคม ให้กับนายกรัฐมนตรี และนำชมนิทรรศการตลอดระเบียงทางเดินจากห้องโถงกลางและอาคารสโมสร

         
จากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมประชุมร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรับฟังแนวทางการดำเนินงาน ทั้งนี้กระทรวงคมนาคม ได้เสนอการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในด้านต่างๆ ให้ นายกฯได้รับทราบ พร้อมกันนี้นายกฯ ได้ให้คำแนะนำการบริหารราชการตามนโยบายรัฐบาล พร้อมกับแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า นายกฯกำชับให้กระทรวงคมนาคมเดินหน้าระบบการขนส่ง โดยเน้นเรื่องลดต้นทุนการขนส่ง ทั้งขนส่งสินค้า และผู้โดยสาร รองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 เพื่อให้ราคาค่าโดยสารสอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการเดินหน้าระบบตั๋วร่วม ซึ่งคาดว่าระบบตั๋วร่วมจะแล้วเสร็จในปี 2557 และในปี 2558 จะสามารถให้บริการรถไฟฟ้าในอัตรา 20 บาทตลอดสายได้ แม้ว่าโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้ง 10 สายทาง ที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2562 ก็ตาม และการพัฒนารถไฟความเร็วสูงไปยังฝั่งตะวันออก โดยใช้ระบบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ไปยัง จ.ระยอง เพื่อให้เป็นทางเลือกในการเดินทางให้กับประชาชน
       
 ส่วนการจัดซื้อรถโดยสาร NGV ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯกำลังจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้

ในส่วนของการเข้ามาบริหารตลาดนัดจตุจักร ของการรถไฟแห่งประเทศไทย รมว.คมนาคม กล่าวว่า จะให้ผู้ค้าเก่ามาทำสัญญาก่อน ส่วนที่เหลือค่อยหารือกัน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพส 2 และท่าอากาศยานภูเก็ต การเปิดให้บริการท่าเทียบเรือเชียงแสน แห่งที่ 2 จังหวัดเชียงราย ที่จะเปิดให้บริการในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งจะใช้โอกาสจากการเดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่เดินทางไปดูท่าเรือเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดให้บริการ


http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=101426:2012-01-09-08-12-06&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 [20] 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!