สบายอย่างตุ๊
คำว่า ตุ๊ กร่อนมาจากคำว่า ตุ๊เจ้า เป็นภาษาพื้นเมืองภาคเหนือหมายถึง พระภิกษุ เช่น ตุ๊ลุง ตุ๊เจ้าตา ตุ๊ปี้ เป็นต้น ถ้าสนิทสนมกันหน่อยก็สามารถเรียกชื่อตามหลังได้ เช่น ตุ๊ลุงพัน ตุ๊น้อย ตุ๊ปี้โขง เป็นต้น คำว่า ตุ๊ นี่ชาวเหนือนิยมใช้กันทั่วไป เมื่อเราพบพระภิกษุในที่ต่าง ๆ ไม่ทราบชื่อท่าน สามารถใช้คำว่า ตุ๊ เรียกท่านได้ เป็นคำแฝงการแสดงความเคารพไปในตัว เช่นเดียวกับภาษาไทยที่ใช้สรรพนามบุรุษที่สองกับพระภิกษุว่า ท่าน ข้าพเจ้าชินกับภาษาไทยมากกว่าภาษาท้องถิ่นจึงทำให้เมื่อข้าพเจ้าบวชใหม่ ๆ นั้น ได้ยินใคร เขาเรียก ตุ๊ ก็อดสะดุ้งไม่ได้ พอปรับตัวได้ก็สำรวมลงไม่สะดุ้งอีกต่อไป อย่างเมื่อตอนเที่ยงวันที่เขียนบทความนี้ ก็มีอุบาสกสองท่านมาที่วัดและตะโกนเรียก “ตุ๊ ครับ นมัสการครับ ผมมาจากบริษัท... จะมาขอยืมเสื่อไปออกค่าย นะครับ”
อันที่จริงแล้วแม้จะเรียกพระภิกษุว่า ตุ๊ ตุ๊เจ้า หรือพระ อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นพระ มีวัตรปฏิบัติที่เหมือนกัน ตั้งแต่สวดมนต์ทำวัตรเช้า – เย็น บิณฑบาต เรียนรู้พระธรรมคำสอนและปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา รับของถวายและอนุโมทนา ไปจนถึงงานจิปาถะอื่น ๆ เช่น ทำความสะอาดกุฏิ ห้องน้ำ วิหาร อุโบสถ โรงครัว และอาคารสถานที่ต่าง ๆ กวาดลานวัดและดูแลความเป็นเรียบร้อยรอบบริเวณ ฯลฯ วัดหรือสำนักไหนที่มีพระภิกษุและสามเณรเป็นจำนวนมาก อาจจัดเป็นรูปแบบเวรผลัดกันรับหน้าที่เหล่านี้ พระครูสิริปุญญากร วัดศรีบุญยืน เคยเมตตาเล่าให้ฟังว่า สมัยท่านเป็นสามเณรอยู่ที่วัดพระบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง ลำพูนนั้น ต้องจัดเวรสามเณรวันละ ๓ รูป คอยอุปัฏฐากครูบาพรหมา ตลอดเวลา คำว่าตลอดเวลานี้ หมายถึงตั้งแต่ท่าน ตื่นนอน ต้องเตรียมกิ่งข่อยทุบปลายให้แตกชุบเกลือไว้ให้ท่านสีฟัน ต้องหาบน้ำร้อนที่ต้มแล้วไปผสมเป็นน้ำอุ่นในห้องอาบน้ำ กระทั่งท่านครูบาเข้านอนบนตั่งซึ่งยกสูงจากพื้นเล็กน้อย สามเณรที่เข้าเวรฯ ก็ต้องไปนอน ติดกับตั่งในห้องท่านทั้งสามคน เพื่อคอยปรนนิบัติท่านยามวิกาลด้วย
ในภาษาบาลี ภิกขุ แปลว่า ผู้ขอ หมายถึงบิณฑบาตขอข้าวปลาอาหารชาวบ้านรับประทานไปเรื่อย ๆ บาตรและการบิณฑบาตนี้ จัดเป็นปัจจัยและวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ถึงกับบัญญัติไว้ในขั้นตอนการอุปสมบทที่พระกรรมวาจาจารย์ต้องบอกบาตรแก่อุปสัมปทาเปกขะ ว่า อยนฺเต ปตฺโต นี่คือบาตรของเจ้า ในบทสวดทำวัตรประจำวัน ก็มีบทพิจารณาเฉพาะปัจจัย ๔ อันมี บาตร จีวร เสนาสนะ และคิลานเภสัช ข้อว่าด้วยการบิณฑบาตนั้น พระภิกษุทั้งหลายพึงต้อง เนว ทวาย น มทาย น มณฺฑนาย น วิภูสนาย, ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา ยาปนาย วิหิงฺสุปรติยา พรฺหฺมจริยานุคฺคหาย แปลว่า (การฉันบิณฑบาตนั้น) ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน เมามัน เกิดกำลังทางกาย ประดับ ตกแต่ง แต่ให้เป็นไปเพียงเพื่อการตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้ ตามอัตภาพ ความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย และอนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์ บางคนเข้าใจว่า การตักบาตรพระสงฆ์ไม่ต่างอะไรกับการให้เงินขอทาน เพราะในเมื่อคำว่า ภิกขุ แปลว่า ผู้ขอ ฉะนั้น ขอทาน ก็คงเข้าข่ายการประพฤติแบบพระภิกษุเฉกกัน แท้จริงแล้ว ขอทานและพระภิกษุมีความแตกต่างสำคัญ กล่าวคือ พระภิกษุเป็นผู้ละเว้นจากบาปทั้งปวง ในขณะที่ขอทานไม่ได้ละเว้นจากบาป ดังนั้นพระภิกษุจึงเป็นผู้ขอที่สมควรแก่การได้รับเป็นอย่างยิ่ง
อุบาสกอุบาสิกาบางท่านได้พบเห็นวัตรปฏิบัติบางส่วนของพระ คือ มาที่วัดทีไร ไม่พ้นเห็นแต่ ฉัน สวด เรียนหรือปฏิบัติธรรม ไม่ต้องทำงานใด ๆ เลย อุบาสกอุบาสิกาเสียอีกที่สู้อุตส่าห์มีจิตจาคะกุศลเจียดเงินมาทำบุญบริจาค พระอยู่เฉย ๆ ก็ได้รับปัจจัย ได้รับภัตตาหาร ไม่ต้องหุงหาเอง หรือทำงานตรากตรำเพื่อให้ได้ซึ่งค่าแรง กลายเป็นบ่อเกิดแห่งคำคมชาวล้านนาที่ว่า สบายอย่างตุ๊
ข้าพเจ้าได้ยินคำพูดนี้จากลูกน้องที่ทำงานก่อนจะมาบวช ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้เมื่อบวชแล้วว่า สบายอย่างตุ๊ จริง ๆ ดังคำโบราณนั้น
คำว่าสบายของข้าพเจ้าหมายถึง สบายทางธรรม ซึ่งจำแนกเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
๑. ความสบายทางใจ จิตใจของเราที่ฟุ้งซ่านเปี่ยมไปด้วยกิเลสตัณหา ยึดติดกับอุปาทานและสิ่งสมมติทั้งปวงในโลก เมื่อปล่อยวางว่าทุกสิ่งนั้นเป็น อนิจฺจํ คือ ความไม่เที่ยง ลาภยศสรรเสริญที่ได้มาประดุจลมมาชั่วครู่ประเดี๋ยวก็จางหายไป ไม่สามารถห่อเก็บไว้ในกลัดใบตองได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเป็นภิกษุซึ่งปล่อยวางสิ่ง ต่าง ๆ ว่าคือความไม่เที่ยงนั้นแล้ว ย่อมเกิดความสบายทางจิต ไม่ยึดติด ไม่ใฝ่หา และไม่กระตือรือร้นที่จะให้ได้มา กิเลสตัณหาจึงไม่บังเกิดและค่อยมลายไป ประดุจน้ำที่ขุ่นเมื่อตั้งทิ้งไว้ นานเข้าก็ย่อมคลายความขุ่นลง ตกตะกอนกลายเป็นน้ำอันสะอาดแลดูใส ใช้จิตพิจารณาถึงกายของเรา ที่ตอนนี้ได้หยุดพักและมีเวลาสำรวจตัวเองมากขึ้น สำรวจถึงความเป็นไปของสังขาร ว่า เราแก่เพียงนี้เชียวหรือ เราทำงานหนักเพียงนี้เชียวหรือ พิจารณาถึงสภาพการทำงานอันรุมเร้าไปด้วยปัญหาว่า นั่นคือ ทุกขํ ล้วนแต่เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ทั้งสิ้น เมื่อเราหยุดตัวเองลง ความทุกข์ต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะคลายลง การปฏิบัติให้เกิดความสบายทางจิตใจนั้น สามารถทำได้โดยการเจริญสมาธิ ผู้เริ่มต้นใหม่ที่ยังไม่รู้จักการทำสมาธิ สามารถทดลองฝึกตนเองเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ ด้วยการนั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาอยู่ข้างบน หรืออยู่ด้านนอก (สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักตัว) วางมือทั้งสองข้างลงบนตักให้เอามือขวาทับมือซ้าย นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างจรดกัน หลับตาและทำจิตใจให้สบาย สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ ประมาณสี่ห้าครั้ง เป็นการปรับการทำงานของปอด จากนั้นจึงค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจให้ช้าลง ๆ จนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ภาวนาในใจเมื่อลมหายใจเข้าว่า พุท ลมหายใจออกว่า โธ ทำไปเรื่อย ๆ สักพักจิตใจจะสงบเยือกเย็น บุคคลใดที่เจริญสมาธิเป็นประจำ มีอานิสงส์ต่อตนเองในด้านการเรียน การทำงาน คือ มีสติและสมาธิสูง สามารถจดจำและลำดับงานต่าง ๆ ได้รวดเร็ว ไม่วอกแวก ลังเล
๒. ความสบายทางกาย เป็นผลต่อเนื่องจากความสบายทางใจ เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า ดวงตาคือประตูส่องจิตใจ ฉันใดก็ฉันนั้น ร่างกายของคนเราถูกควบคุมด้วยจิตใจเป็นส่วนใหญ่ หรือเรียกได้ว่า มีจิตเป็นประธาน เมื่อเราสงบที่จิตใจของเราแล้ว กายของเราย่อมสงบและสบายด้วย สิ่งใดที่มาสัมผัสย่อมไปทำให้เกิดกิเลสตัณหา เพราะจิตใจได้ตั้งมั่นคงดีแล้วนั้น นอกจากนี้ผลของการเจริญสมาธิยังส่งผลต่อกายของเราทางอ้อม ช่วยให้ร่างกายเกิดความสมดุลกับธรรมชาติมากขึ้น ด้วยผัสสาสะสั้นยาวนั้น สามารถฟอกปอดของเราให้ได้รับออกซิเจนเต็มที่ ร่างกายจึงทำงานเป็นปกติมากขึ้น เป็นความสบายทางกาย คำว่า กาย นี้อาจหมายรวมถึง วาจา ความประพฤติ การสำรวมวาจาหรือการมี ปิยวาจา พูดไพเราะ ไม่เสียดสี เยาะเย้ย หรือก่นด่าผู้อื่นนั้น ย่อมเป็นความสบายทางวาจา สำหรับความประพฤตินั้น ตรงกับคำว่า สุปฏิปณฺโณ พระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไฉนเลยจะปราศจากซึ่งกิริยาอันควรแก่การเคารพโดยแท้
๓. ความสบายทางปัญญา เมื่อสงบและหยุดที่ตัวเราได้แล้ว ถึงเวลาที่เราจะศึกษาถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อันมีถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ซึ่งบรรจุรวมไว้เรียกว่า พระไตรปิฎก สำหรับพระนวกะนั้น ควรศึกษาจากหนังสือ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ของ นายสุชีพ ปุญญานุภาพ มีสารัตถะประโยชน์ดีมาก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษาพระธรรม หรือหาเวลาว่างวันละหนึ่งชั่วโมงอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านได้แต่งไว้ดีทุกเล่ม ใช้ศัพท์ที่อ่านเข้าใจง่าย เป็นการเน้นให้ผู้อ่านสามารถซึมซับประเด็น ข้อคิด หรือหลักธรรมต่าง ๆ ได้อย่างดี ข้าพเจ้าเองเมื่อหยิบหนังสือธรรมะมาอ่านนั้น จะบังเกิดความสงบขึ้นมาโดยฉับพลัน เกิดความเพลิดเพลินทางปัญญาประดุจเด็กน้อยวิ่งเล่นแล้วพบลูกกวาดตกหล่นอยู่ข้างทาง ย่อมดีใจเป็นธรรมดา ฉันใดก็ดี หนังสือธรรมะปัจจุบันนั้น มีมากมายเหลือคณานับ ผู้อ่านจึงสามารถเลือกหนังสือที่ตนชื่นชอบได้ เป็นความเพลิดเพลินและประเทืองปัญญาไปในตัว ข้าพเจ้าคิดว่า คงมีหลายท่านที่เกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้
ความสบายทั้งสามประการนี้ จัดได้ว่า เป็นความสบายของพระภิกษุ หรือ ตุ๊ โดยแท้ เป็นความสงบสุขทางธรรมที่หาไม่ได้ทางโลก ข้าพเจ้าจึงยอมรับคำพังเพยประโยคนั้นโดยดุษณี อย่างไรก็ดี หากอุบาสกอุบาสิกาท่านใด อยากมีความ สบายอย่างตุ๊ ดูบ้าง ก็จงนำหลักปฏิบัติที่ให้ไปพิจารณาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เผื่อว่าวันหนึ่ง เพื่อนบ้านตะโกนทักทายริมรั้วว่า “สบายดีบ่”
“อืม.. ก่อสบายดี” ท่านตะโกนตอบ
“สบายอย่างใด”
“สบายอย่างตุ๊ !”
เมื่อนั้น ท่านจะพบว่าความสุขทางธรรมย่อมมีขึ้นได้แก่ชาวโลกผู้เห็นดวงตาธรรม
ภ. ม. ภาคิโน
วัดศรีบุญยืน
๓ ธันวาคม ๒๕๔๘
แหล่งที่มา
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=iampakin&date=03-09-2008&group=10&gblog=5